การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ที่จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 362 คนซึ่งได้จากการลุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างเป็นสัดส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบและแบบสอบถามจำนวน 4 ตอน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเป็น.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าที (Independent Samples t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว กำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อ การคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายองค์ประกอบอยู่ในระดับมากทุกองค์ประกอบ 2. ความรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยจำแนกขนาดของสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงานไม่แตกต่างกัน 3. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีประเด็นที่มีผู้เสนอแนะมากที่สุดคือ ควรให้ความรู้กับครูทุกคนเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายในให้มากขึ้นรองลงมาคือควรให้งานประกันคุณภาพภายในเป็นงานที่ครูทุกคนต้องทำร่วมกัน
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ที่จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 362 คนซึ่งได้จากการลุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างเป็นสัดส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบและแบบสอบถามจำนวน 4 ตอน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเป็น.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าที (Independent Samples t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว กำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้ของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อ การคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายองค์ประกอบอยู่ในระดับมากทุกองค์ประกอบ 2. ความรู้และการมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการคำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยจำแนกขนาดของสถานศึกษาและประสบการณ์การทำงานไม่แตกต่างกัน 3. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่มีต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีประเด็นที่มีผู้เสนอแนะมากที่สุดคือ ควรให้ความรู้กับครูทุกคนเกี่ยวกับการประกันคุณภาพภายในให้มากขึ้นรองลงมาคือควรให้งานประกันคุณภาพภายในเป็นงานที่ครูทุกคนต้องทำร่วมกัน