Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 ตามความคิดเห็นของผู้ใช้บริหารสถานศึกษาและครู โดยจำแนก สถานภาพตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดของโรงเรียนในกรอบของเนื้อหา 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการจัดหาหรือสร้างความรู้ 2) ด้านการจัดเก็บความรู้ 3) ด้านการเผยแพร่ความรู้ และ 4) ด้านการนำความรู้ไปใช้ กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากรโดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 127 คน และ ครูจำนวน 341 คน รวมจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 468 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างมีสัดส่วนตามขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1.ผู้บริหารสถานศึกษาและครูมีความคดเห็นเกี่ยวกับสภาพการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปหาต่ำ ได้แก่ ด้านการจัดหาและการสร้างความรู้ ด้านการนำความรู้ไปใช้ ด้านการเผยแพร่ความรู้ และด้านการจัดเก็บความรู้ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับสภาพการจัดความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 จำแนกตาม สถานภาพตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดของโรงเรียน พบว่าทั้งโดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน 3. ผู้บริหารสถานศึกษาและครูได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 ที่มีจำนวนมากที่สุดในแต่ละด้านได้แก่ ด้านการจัดหาหรือการสร้างความรู้ คือสถานศึกษาต้องมีการวางแผน หรือจัดทำเป็นโครงการเกี่ยวกับการจัดการความรู้ในสถานศึกษาในแต่ละปีการศึกษา ด้านการจัดเก็บความรู้คือ สถานศึกษาควรมีระบบเกี่ยวกับการจัดเก็บฐานความรู้เพื่อเป็นองค์ความรู้ที่จะนำออกไปใช้ ด้านการเผยแพร่ความรู้ คือผู้บริหารสถานศึกษา และครูควรมีการเผยแพร่ความรู้ทางด้านเอกสารและวารสารเพื่อสะดวกในการศึกษา และ ด้านการนำความรู้ไปใช้ คือครูควรนำความรู้ที่เกิดจากการนำความรู้ ไปใช้อย่างหลากหลายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน
