Abstract:
การทักทายถือว่าเป็นการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล ด้วยเหตุผลนี้การทักมายจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจโรงแรม พนักงานโรงแรมและแขกรงแรมมักใช้คำทักทายและการตอบรับการทักมายเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของตัวเองในการพบปะกันในแต่ละครั้ง วัตุประสงค์ของการศึกษานี้ประการแรกเพื่อศึกษากลวิธีการทักทายและตอบรับการทักทายโดยพนักงานโรงแรมและแขกโรงแรมขแงโรงแรมประเทศไทย ประการที่สองเพื่อเปรียบเทียบกลวิธีการทักทายและการตอบรับทักทายเมื่อจำแนกตามเพศของพนักงานโรงแรมและแขกโรงแรม การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีอัดเสียงกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรรีศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานโรงแรมและแขกดรงแรมจำนวน 40 คู่ แบ่งเป็น โรงแรมชาย 10 คู่ พนักงานโรงแรมหญิง 10 คู่ แขกโรงแรมชาย 10 คู่ และแขกโรงแรมหญิง 10 คู่ กลวิธีการทักทายและการตอบรับการทักทาย ที่เก็บรวบรวมมาถอดความและรหัสตามกลวิธีการทักทายและการตอบรับทักทาย หลังจากนั้นนำมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบความถี่ของรูปภาษาที่ปรากฏของผู้ให้ข้อมูลทั้ง 4 กลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคาระห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ และความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1. กลวิธีการทักทายโดยพนักงานโรงแรมและแขกของโรงแรมในประเทศไทย มีการใช้กลวิธีในการทักทาย 4 กลวิธีโดยเรียบเรียงลำดับที่ใช้มากที่สุดคือ กลวิธีพบปะกัน กลวิธีการขอข้อมูล กลวิธีทักทาย และกลวิธีการแนะนำ ตามลำดับ 2. กลวิธีการตอบรับการทักทายโดยพนักงานโรงแรมและแขกโรงแรมของโรงแรมในประเทศไทยมีการใช้กลวิธีการตอบรับการทักทายมี 3 กลวี กลวิธีที่ได้ใช้มากที่สุด คือ กลวิธีของคำที่ม่สามารถแยกกันได้ กลวิธีของคำที่สามารถแยกกันได้ และกลวิธีของคำที่ใช้ในโอกาสพิเศษ ตามลำดับ 3. เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างในการใช้กลวิธีการทักทายจำแนกตามเพศ พบว่า แขกโรงแรมหญิง ใช้กลวิธีการทักทายสูงที่สุด รองลงมาคือแขกโรงรมชาย พนักงานโรงแรมชาย และพนักงานโรงแรมหญิง ตามลำดับ โดยกลวิธีการพบปะกัน และกลวิธีการขอข้อมุลมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.14 4. เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างในการใช้กลวิธีการตอบรับการทักทายเมื่อจำแนกเพศพบว่า แขกโรงรมหญิงใช้กลวิธีการตอบรับการทักทายมากที่สุด รองลงมาคือพนักงานโรงแรมชาย แขกโรงแรมชาย และพนักงานโรงแรมหญิง ตามลำดับ โดยกลวิธีในการตอบรับการทักมายไม่แตกต่างกัน