การวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันอุบัตเิหตุจากรถจักรยานยนต์ของวัยรุ่นบ้านนาฝาย จังหวัดชัยภูมิเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามชนิดตอบเองจากกลุ่มตัวอย่าง 359 คน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติพรรณนา หาค่าความชุกของพฤตกิรรมการป้องกันอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ ด้วยค่าความถี่ค่าร้อยละ และช่วงเชื่อมั่นที่ 95% ของค่าร้อยละ ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงอันตรายจากอุบัติเหตุจราจร 3 อันดับแรก คือ ไม่ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงร้อยละ 67.4 (95%CI เท่ากับ 62.2 ถึง 72.2) ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ร้อยละ 63.8 (95%CI เท่ากับ 58.2 ถึง 68.4) ไม่ขับขี่รถจักรยานยนต์มีผู้โดยสารหลายคนร้อยละ 63.8 (95%CI เท่ากับ 58.8 ถึง 68.7) พฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุจราจรทกี่ลุ่มตัวอย่างมักจะปฏิบัติทกุครั้งเมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์ คือขับขี่รถจักรยานยนต์โดยสังเกตป้ายเตือนจุดเสี่ยงร้อยละ 76.9 (95%CI เท่ากับ 72.1 ถึง 81.1) ผิวทางชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อจะขับขี่ด้วยความระมัดระวังร้อยละ 76.3 (95%CI เท่ากับ 71.5 ถึง 80.6) ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยชะลอความเร็วเมื่อถึงทางแยกร้อยละ 70.2 (95%CI เท่ากับ 65.1 ถึง 74.8)
This research is a descriptive study. The purpose is to determine the prevention of motorcycle accidents. Data were collected by questionnaires from adolescents. Describe the general characteristics of the sample with descriptive statistics. The prevalence of participants with prevention of motorcycle accidents and other parameters were assessed. The first three prevalence of prevention of motorcycle accidents following: Do not driving a motorcycle at high speed 67.4% (95%CI: 62.2-72.2). Do not use a cell phone while driving 63.8 % (95% CI:58.2-68.4). Do not motorcyclists have many passengers 63.8 (95% CI: 58.8-68.7) Prevention behaviors traffic accidents were usually observed at all times when driving following: Motorcyclists without notice warning the Unrest 76.9% (95%CI: 72.1-81.1).
The damaged skin is bumpy ride with caution 76.3 (95%CI: 71.5-80.6). When the motorcycle slowed to a crossroads 70.2% (95%CI: 65.1-74.8). This finding should be used to promote adolescents prevention behavior. The administrator and relevant persons should pay greater attention to these priority health that might be course of death among adolescents.
