การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาทัศนคติของเกษตรกรที่มีต่อบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้บัตรสินเชื่อของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ 3) ศึกษาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายบัตรสินเชื่อเกษตรกรที่มีต่อรายได้ ค่าใช้จ่าย เงินออม ทรัพย์สิน และหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณาโดยการแจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าที (t-test) One – Way ANOVA และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟฟี่ (Scheff’e) ผลการวิจัยพบว่า 1.เกษตรกรมีทัศนคติต่อบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และมีพฤติกรรมการใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2.เกษตรกรมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจจากนโยบายบัตรสินเชื่อเกษตรกรที่มีต่อรายได้ ค่าใช้จ่าย เงินออม ทรัพย์สิน และหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3.เพศชายและเพศหญิงมีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติของเกษตรกรผู้ถือบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในพื้นที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.การเปรียบเทียบความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติของเกษตรกรผู้ถือบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในพื้นที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า อายุ สถานภาพทางครอบครัว ระดับการศึกษา อาชีพการเกษตรหลัก อายุการเป็นลูกค้าธนาคาร ธ.ก.ส. วงเงินที่ใช้ในการซื้อปัจจัยการผลิตในฤดูการผลิตต่อครั้ง มีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติโดยภาพรวมไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.5 เกษตรกรที่ได้รับอนุมัติวงเงินบัตรสินเชื่อเกษตรกรและเกษตรกรที่ชำระคืนหนี้บัตรสินเชื่อเกษตรกรแตกต่างกัน มีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติโดยภาพรวมแตกต่างกัน ที่ระดับนัย
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาทัศนคติของเกษตรกรที่มีต่อบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้บัตรสินเชื่อของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ 3) ศึกษาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายบัตรสินเชื่อเกษตรกรที่มีต่อรายได้ ค่าใช้จ่าย เงินออม ทรัพย์สิน และหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณาโดยการแจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าที (t-test) One – Way ANOVA และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟฟี่ (Scheff’e) ผลการวิจัยพบว่า 1.เกษตรกรมีทัศนคติต่อบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และมีพฤติกรรมการใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2.เกษตรกรมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจจากนโยบายบัตรสินเชื่อเกษตรกรที่มีต่อรายได้ ค่าใช้จ่าย เงินออม ทรัพย์สิน และหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3.เพศชายและเพศหญิงมีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติของเกษตรกรผู้ถือบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในพื้นที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.การเปรียบเทียบความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติของเกษตรกรผู้ถือบัตรสินเชื่อเกษตรกรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในพื้นที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า อายุ สถานภาพทางครอบครัว ระดับการศึกษา อาชีพการเกษตรหลัก อายุการเป็นลูกค้าธนาคาร ธ.ก.ส. วงเงินที่ใช้ในการซื้อปัจจัยการผลิตในฤดูการผลิตต่อครั้ง มีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติโดยภาพรวมไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ 0.5 เกษตรกรที่ได้รับอนุมัติวงเงินบัตรสินเชื่อเกษตรกรและเกษตรกรที่ชำระคืนหนี้บัตรสินเชื่อเกษตรกรแตกต่างกัน มีความคิดเห็นและระดับการปฏิบัติโดยภาพรวมแตกต่างกัน ที่ระดับนัย