Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน ประชากรที่ศึกษาได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกเป็นผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 326 คน และครูผู้สอน 3,291 คน กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มประชากร โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซีและมอร์แกน (Kreicie & Morgan) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 526 คน จำแนกเป็นผู้บริหารจำนวน 181 คน และครูผู้สอนจำนวน 345 คน หลังจากนั้นทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นอย่างมีสัดส่วน (Proportional Stratified ) และดำเนินการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบสำรวจรายการ (Check List) แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) และแบบปลายเปิด (Open Form) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test แบบ Independent Samples) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way Analysis of Variance) เมื่อพบความแตกต่างจึงทำการเปรียบเทียบรายคู่ในแต่ละด้านตามวิธีของเซฟเฟ่ (Scheffe) กำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับการดำเนินงานจากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ ด้านการดำเนินงานตามแผน ด้านการวางแผนการปฏิบัติงาน ด้านการจัดทำรายงานการประเมินตนเองหรือรายงานประจำปี ด้านการเตรียมการ ด้านการนำผลการประเมินมาปรับปรุงงานด้านการตรวจสอบประเมินผล 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง โดยภาพรวมพบว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา ด้านการวางแผนการปฏิบัติงาน ด้านการดำเนินงานตามแผน ด้านการตรวจสอบประเมินผลและด้านการจัดทำรายงานการประเมินตนเองหรือรายงานประจำปีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านการเตรียมการและด้านการนำผลการประเมินมาปรับปรุงงานไม่แตกต่างกัน 3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยภาพรวมพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการดำเนินการตามแผน ด้านการตรวจสอบประเมินผล ด้านการนำผลการประเมินมาปรับปรุงงาน และด้านการจัดทำรายการประเมินตนเองหรือรายงานประจำปี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน และเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายคู่ พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็กกับขนาดกลางมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขนาดใหญ่กับขนาดเล็กและผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่กับขนาดกลางมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 4. ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาที่ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมที่สำคัญ คือควรมีการจัดอบรมเพื่อให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา โรงเรียนควรมีการจัดประชุมวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานแจ้งให้บุคลากรทุกคนทราบ และโรงเรียนควรมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารงานที่ชัดเจน รวมทั้งปฏิบัติงานตามแผนหรือโครงการที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาประสบความสำเร็จสูงสุดตามจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้