Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาปัญหาของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญที่มีหนี้ค้างงชำระ 2) เพื่อศึกษาสาเหตุของการเกิดหนี้ค้างชำระของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญ 3) เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาหนี้ค้างชำระของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญ โดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญที่มีหนี้ค้างงชำระ จำนวน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและการบันทึกจากการจัดเวทีอภิปรายกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า 1. ปัญหาของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญ ที่มีปัญหาหนี้ค้างชำระกับธนาคารจำนวน 44 ราย คิดเป็นร้อยละ 51.16 ของเกษตรกรลูกค้าทั้งหมดและมียอดหนี้ค้างกับธนาคาร จำนวน 3,138,000 บาท มีปัญหาดังนี้ ปัญหาครอบครัว เช่น การหย่าร้าง ชราภาพ ปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน ปัญหาค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าใช้จ่ายการผลิตพืชเชิงเดี่ยวสูงกว่ารายได้ ปัญหาขาดการออมและปัญหามีหนี้หลายทางทั้งในด้านและนอกระบบ 2. สาเหตุของการเกิดหนี้ค้างชำระของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญพบสาเหตุจาก 1) สาเหตุจากการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว จากการผลิตอ้อย มันสำปะหลัง และแตงโม ซึ่งเป็นระบบเกษตรที่มีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงและส่งผลในการก่อหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ 2) สาเหตุจากครอบครัวหย่าร้าง ชราภาพและย้ายถิ่นที่อยู่ 3) สาเหตุจากมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูง 4) สาเหตุจากนโยบายสินเชื่อของธนาคาร 5) สาเหตุจากพนักงานธนาคารที่ปฏิบัติงานพื้นที่ 3. แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรบ้านบึงเจริญมีแนวทางในการแก้ปัญหาดังนี้ 1) แก้ไขปัญหาจากตัวเกษตรกรลูกค้าโดยใช้วิธีหมุนหนี้โดยกู้หนี้มาใช้หนี้ กู้เงินตามความจำเป็น มีความขยันขันแข็งในการทำงานทำหารผลิตการเกษตรหลากหลายชนิด มีการบริหารจัดการวางแผนการผลิตที่ดี มีการวางแผนเงินออมเพื่อชำระหนี้และได้รับความช่วยเหลือจากบุตรหลาน 2) แก้ไขปัญหาโดยการปรับปรุงแก้ไขนโยบายด้านสินเชื่อของธนาคาร โดยการให้สินเชื่อเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรลูกค้า 3) แก้ไขโดยให้กูยืมเงินในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน 4) ขยายเวลาการชะระหนี้โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 5) ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้เพื่อทราบถึงปัญหาและสาเหตุพร้อมทั้งหาแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าร่วมกัน 6) กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาในการขายผลผลิตของเกษตรกร 7) เพิ่มความเข้มงวดในมาตรการการติดตามเร่งรัดหนี้และการออกไปรับชำระหนี้นอกสถานที่ 8) พนักงานธนาคารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ควรปรับเปลี่ยนกระบวนการทัศน์ในการทำงานกับเกษตรลูกค้าใหม่โดยไม่มองปัญหาเรื่องหนี้สินเพียงอย่างเดียวควรมองปัญหาในทุกมิติและมีความเข้าใจสภาพวิถีชีวิต เศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรลูกค้าในชุมชน 9) กลุ่มองค์กรที่มีอยู่ในชุมชน ควรมีการส่งเสริมการเพิ่มเงินออมและการระดมเงินทุนร่วมกันของคนในชุมชนเพื่อพัฒนาเป็นกลุ่มการเงินชุมชนหรือธนาคารชุมชน เพื่อเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบของคนในชุมชน