Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1)ศึกษาทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา และ2)เพื่อเปรียบเทียบทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประเภทของโรงเรียน ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ครู 14 โรงเรียน จำนวน 153 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ(Check Lists) แบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 ระดับ และแบบปลายเปิด(Open Form) แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น .9854 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย(Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า 1.ทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 8 ด้าน คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม การวิเคราะห์และสังเคราะห์ การสื่อสารและการจูงใจ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การมีวิสัยทัศน์ โดยรวมมีสมรรถนะอยู่ในระดับปานกลาง 2.เปรียบเทียบ ทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยรวมและรายด้าน พบว่าโดรงเรียนมัธยมศึกษาโดรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียนประถมศึกษา มีทัศนะแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือโรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก และโรงเรียนมัธยมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ตามลำดับ 2.1ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.2ด้านการบริการที่ดี โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.3ด้านการพัฒนาตนเอง โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.4ด้านการทำงานเป็นทีม โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.5ด้านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.6ด้านการสื่อสารและการจูงใจ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 2.7ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร พบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ไม่แตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนประถมศึกษา มีค่าเฉลี่ยของระบบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาเท่ากัน รองลงมาคือโรงเรียนมัธยมศึกษาตามลำดับ 2.8ด้านการมีวิสัยทัศน์ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ 3.ข้อเสนอแนะข้อคิดเห็นที่มีต่อสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาการศึกษาประโคนชัยเขต 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต 2 คือ ผู้บริหารควรมีการวางแผนและติดตามการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ กำหนดทิศทางในการพัฒนาโรงเรียนที่ชัดเจน พัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยี สร้างปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ ศึกษาความต้องหารของผู้รับบริการ รับฟังความคิดเห็น มีอัธยาศัยที่ดี ประชุมร่วมกับผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ประชาสัมพันธ์ข่าวสารของโรงเรียนสู่ชุมชน ส่งบุคลากรเข้ารับการอบรม ศึกษาดูงานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนต่อไป