Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และครูที่ปรึกษาเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนางานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ช่วงชั้นที่ 3-4 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ใน 5 ด้าน คือ ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการส่งเสริมนักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา และด้านการส่งต่อ โดยศึกษาจากประชากร ได้แก่ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 101 คน หัวหน้างานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 101 คน และกลุ่มตัวอย่าง ครูที่ปรึกษา จำนวน 180 คน รวมทั้งสิ้น 382 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (F - test) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยสูง 3 อันดับแรก ได้แก่ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งเสริมนักเรียน ตามลำดับ ส่วนความต้องการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูง 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และด้านการส่งเสริมนักเรียน ตามลำดับ 2. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและครูที่ปรึกษามีความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งต่อ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านการคัดกรองนักเรียน พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนกับครูที่ปรึกษามีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและครูที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ไม่แตกต่างกัน 4. ผู้บริหารโรงเรียน กับครูที่ปรึกษาและหัวหน้างานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนกับครูที่ปรึกษา มีความต้องการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลชวยเหลือนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สวนด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งต่อพบว่า หัวหน้าระบบการดูแลชวยเหลือนักเรียนกับครูที่ปรึกษา มีความคิดเห็น แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5. ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบการดูแลชวยเหลือนักเรียนและครูที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อความต้องการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนไม่แตกต่างกัน 6. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม พบว่า ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และครูที่ปรึกษา จำนวน 170 คน ที่ตอบแบบสอบถามได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพปัญหามากที่สุด 3 อันดับแรก ดังนี้ 1) การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนยังไม่เป็นระบบ 2) ขาดการนิเทศ กำกับ ติดตามอย่างต่อเนื่อง 3) ครูมีภาระงานมาก ทั้งงานสอน งานพิเศษ และความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ดังนี้ 1) ความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง ชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2) สนับสนุนงบประมาณ จัดหาวัสดุอุปกรณ์เครื่องมืออย่างเพียงพอ 3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการนิเทศติดตามอย่างสม่ำเสมอ