การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจต่อการเรียน เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD กับการเรียนแบบร่มมือ แบบการเรียนแบบร่วมกัน LT

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการเรียนรู้เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD กับการเรียนแบบร่มมือ แบบการเรียนแบบร่วมกัน LT ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD กับการเรียนแบบร่มมือ แบบการเรียนแบบร่วมกัน LT และ 3) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD กับการเรียนแบบร่มมือ แบบการเรียนแบบร่วมกัน LT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 2 ห้อง ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่มกลุ่มทดลองที่ 1 ได้รับการสอนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD และกลุ่มทดลองที่ 2 ได้รับการสอนแบบร่วมมือแบบการเรียนร่วมกัน LT เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจักการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ STAD และแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการเรียนร่มกัน LT เรื่องพื้นผิวและปริมาตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกาปีที่ 3 จำนวน 15 แผน 2) แบบการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.30 – 0.73 และค่าอำนาจจำแนก (B) อยู่ระหว่าง 0.27-0.40 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยการเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD กับการเรียนแบบร่มมือ แบบการเรียนแบบร่วมกัน LT เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยล่ะ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าทดสอบที่ (t-test) แบบ Dependent Sample Test และ Independent Samples Test ผลการวิจัยพบว่า 1.ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ STAD และการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการเรียนร่วมกัน LT เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.01/85.56 และ 85.46/83.01 ตามลำดับ ซึ่งเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2.นักเรียนที่เรียนด้วนการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการเรียนร่มกัน LT แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่มมือแบบแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ STAD และนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการเรียนร่วมกัน LT มีความพึงพอใจ ต่อการเรียน เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร อยู่ในระดับมากที่สุด 4.นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่มมือแบบแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ STAD มีความพึงพอใจกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการเรียนร่วมกัน LT แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05