การศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4

Abstract

การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 และเพื่อ เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีต่อแนวทางการบริหารการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารหารศึกษาจำนวน 120 คน ครูผู้สอนจำนวน 244 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 204 คนรวมทั้งสิ้น 568 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลเป็ยนแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า สอบถามเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐษน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way ANOVA) แล้วเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วนวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe s Method)กำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริการสถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยรวมอยุ่ในระดับมาก และเพื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็ยฐาน อยู่ในระดับมากทุกด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ดังนี้ ด้านการบริหารทั่วไป ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบรหารบุคคล และด้านการบริหารงบประมาณ ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา เกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของผู้บริหารสถานศึกษาตามขนาดของสถานศึกษาโดยรวม พบว่า ไม่แตกต่างกัน และเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายคู่ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่กับผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารสถารศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานงบประมาณ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้บริหารสถานศึกษาขนาดกลางกับผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ด้านการบริหารงานบุคคล แตกต่างกันอย่างมันัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาขนาดใหญ่ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป๋นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการบริหารงานวิชาการ ไม่แตกต่างกัน 3. ผลการเปรียบเทียบ ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริการการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของครูผู้สอน ตามขนาดของสถานศึกษา โดยรวม พบว่า ไม่แตกต่างกัน และเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายคู่ พบว่า ครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดใหญ่กับครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดเล็กและครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดกลางกับครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริการการศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการบริหารงบประมาณ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดใหญ่ ครูผู้สอนในสถานศึกษากลางและครูผู้สอนในสถานศึกษาขนาดเล็ก มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานทั่วไป ไม่แตกต่างกัน 4. ผลการเปรียบเทียบ ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการศึกษาโดยใช้ดรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามขนาดของสถานศึกษา โดยรวม พบว่าไม่แตกต่างกัน และเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายคู่ พบว่า คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาขนาดใหญ่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาขนาดใหญ่ คณะกรรมการสถานศึกษาขึ้นพื้นฐานในสถานศึกษาขนาดกลางและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐษนในสถานศึกษาขนาดเล็กมีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ในสถานศึกษาขั้นพ็นบาน ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบสริการงานวิชาการ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานทั่วไป ไม่แตกต่างกัน