รูปแบบการระดมทุนเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของชุมชนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนในชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์เกี่ยวกับรูปแบบการระดมทุนเพื่อการศึกษา สภาพความพร้อมของชุมชน สภาพความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนที่มีผลต่อการระดมทุนเพื่อการศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์โดยจำแนกตามสภาพการทำงาน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 900 คน ซึ่งได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Taro Yamane ที่ความเชื่อมั่น 99.73 % ความคลาดเคลื่อน +_ 5% จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ตามสถานภาพการทำงานอย่างมีสัดส่วนโดยเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้ที่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ (Check List) แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และแบบปลายเปิด (Open Form) แบบสอบถามมีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 2.077 – 4.006 มีค่าความเชื่อมั่น 0.9579 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way Analysis of Variance) และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่โดยวิธีของ LSD (Least Significant Difference) กำหนดค่าสถิติที่มีระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของประชาชนในชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์เกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อการศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า รูปแบบการระดมทุนเพื่อการศึกษา มีความเห็นด้วยในระดับมาก ความพร้อมของชุมชนต่อการระดมทุนเพื่อการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง และด้านสภาพความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนที่มีผลต่อการระดมทุนเพื่อการศึกษา มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนในชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์โดยจำแนกตามสภาพการทำงานบุรีรัมย์เกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อการศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวม มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในทุกด้าน และเมื่อทดสอบเป็นรายคู่ พบว่า ประชาชนที่มีสถานภาพการทำงานระหว่างกลุ่มธุระกินส่วนตัวกับกลุ่มช่วยครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และระหว่างกลุ่มอื่นๆ กับนายจ้าง ลูกจ้างเอกชนและธุรกิจส่วนตัว มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ระหว่างลูกจ้างรัฐบาลกับลูกจ้างเอกชน ธุรกิจส่วนตัว ช่วยครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้างและกลุ่มอื่นๆ และระหว่างกลุ่มช่วยครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้างและกลุ่มอื่นๆ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนรายคู่อื่นๆ มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อการศึกษามีผู้แสดงควมคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า รัฐควรจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาให้มากขึ้น ควรมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา ชุมชนมีความพร้อมต่อการระดุมทุนเพื่อการศึกษาเพราะเห็นความสำคัญของการศึกษา ชุมชนบางส่วนยังยากจนอยู่ทำให้เกิดความพร้อมน้อยต่อการระดมทุนเพื่อการศึกษา ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อการศึกษาจากชุมชนให้มากขึ้น และเสนอว่าการระดมทุนเพื่อการศึกษานั้นควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาอย่างแท้จริงและไม่ควรให้ชุมชนตกอยู่ในภาวะจำยอม