Abstract:
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบรูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพโดยยึด หลักภาวะผู้น าและการท างานเป็นทีมในสถานศึกษา 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักภาวะผู้น าและการท างานเป็นทีมในสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มี ประสิทธิภาพโดยยึดหลักภาวะผู้น าและการท างานเป็นทีมไปใช้ในสถานศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบ ประชากร จ านวน 935 คน เป็นผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 360 คน ได้มาโดยการสุ่ม แบบหลายขั้นตอน ระยะที่ 2 การทดลองใช้รูปแบบ ประชากร จ านวน 105 คน เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู โรงเรียนล าปลายมาศ กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 52 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วัดความสอดคล้อง เหมาะสมของรูปแบบ คู่มือการบริหารจัดการรูปแบบและแบบสอบถามการทดลองใช้รูปแบบ สถิติที่ใช้ใน การวิจัย 1) สถิติการทดสอบรูปแบบ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของรูปแบบ (Model Fit) โดยใช้โปรแกรม AMOS 2) สถิติผลการทดลองใช้รูปแบบ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – test ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพโดยยึดหลักภาวะผู้น าและการท างานเป็นทีม ในสถานศึกษา มี 4 ด้าน คือ ด้านกระบวนการบริหารงานวิชาการ ด้านภาวะผู้น า ด้านการท างานเป็นทีมในสถานศึกษา และด้านการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ มีการแจกแจงเป็นโค้งปกติทุกด้าน และมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิง ประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดีทุกด้าน 2. การสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพโดยยึดหลักภาวะผู้น าและการท างาน เป็นทีมในสถานศึกษา รูปแบบมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยกระบวนการบริหารวิชาการ ภาวะผู้น า มีอิทธิพลตรงและเป็นสาเหตุการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ ในด้านการท างานเป็นทีมในสถานศึกษามีอิทธิพล ทางอ้อมผ่านกระบวนการบริหารวิชาการ และเป็นสาเหตุของการบริหารงานวิชาการที่มี รวมทั้งภาวะผู้น ามีอิทธิพลตรงและ เป็นสาเหตุของการท างานเป็นทีม 3. ผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพโดยยึดหลักภาวะผู้น าและการท างานเป็นทีมใน สถานศึกษา พบว่า ระดับความคิดเห็นหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
