Abstract:
บทคัดย่อ
หลักการและเหตุผล: ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ(Ventilator Associated Pneumonia : VAP)เป็นปัญหาอันดับต้นของการติดเชื้อในโรงพยาบาลและผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจจากการศึกษาก่อนการพัฒนาพบว่ายังขาดความตระหนักในการปฏิบัติตามแนวทาง VAP Bundle การพัฒนาศักยภาพพยาบาลยังไม่ครอบคลุมและยังไม่มีการวางแผนการนำแนวปฏิบัติไปใช้ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจลดลงต่ำกว่าเกณฑ์แต่ยังไม่คงที่
วิธีการศึกษา : การวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนาทำการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคมพ.ศ.2562ถึงเดือนพฤษภาคม 2565ที่หอผู้ป่วยวิกฤตโรงพยาบาลบุรีรัมย์กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่1) กลุ่มผู้ป่วยเพื่อประเมินผลการพัฒนารูปแบบแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมคือผู้ป่วยที่ใส่เครื่องช่วยหายใจที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบเดิมและกลุ่มทดลองคือผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นใหม่จำนวน 40 คน ต่อกลุ่มและ 2) กลุ่มพยาบาลวิชาชีพเพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้รูปแบบจำนวน47คนมีขั้นตอนดำเนินการ 3 ระยะคือระยะที่1ระยะวิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบและนำลงสู่การปฏิบัติระยะที่3ขั้นการสรุปรูปแบบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ1)เครื่องมือในการดำเนินการวิจัยได้แก่ 1.1) รูปแบบการพยาบาล 1.2) แบบประเมินความพร้อมในการหย่าและถอดเครื่องช่วยหายใจ 1.3) แบบประเมินความเสี่ยงทางโภชนาการ1.4) แบบบันทึก VAP daily gold sheet 2) เครื่องมือเก็บรวมรวมข้อมูล ได้แก่ 2.1) แบบเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจ 2.2) แบบบันทึกอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจและ 2.3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ สถิติฟิชเชอร์และสถิติ independent t-test
ผลการศึกษา : เปรียบเทียบผลลัพธ์ระยะก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบการพยาบาลพบว่ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีจำนวนวันใส่ท่อช่วยหายใจแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (t=0.35,p=0.29) มีจำนวนวันนอนในหอผู้ป่วยวิกฤตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=0.5,p=0.03)มีอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยลดลงและความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบของพยาบาลวิชาชีพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดเฉลี่ย 4.4 (S.D.=0.59)