Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาแนวทางการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอห้วยราชและอำเภอกระสังจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 60 คน และผู้ดูแลเด็ก จำนวน 191 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 251 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) แบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 ระดับ และแบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended Form) มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9882 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.ปัญหาการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอห้วยราชและอำเภอกระสังจังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมมีปัญหาอยู่ในระดับน้อย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีปัญหาอยู่ในระดับน้อยทุกด้าน ยกเว้นด้านอาคาร สถานที่สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย มีปัญหาอยู่ในระดับน้อยที่สุด โดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร ด้านการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากชุมชน ด้านบุคลากรและด้านการบริหารจัดการ และด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยตามลำดับ 2.แนวทางการจัดการศึกษาปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตอำเภอห้วยราชและอำเภอกระสังจังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมเห็นด้วยในระมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเห็นด้วยในระดับมากทุกด้าน ยกเว้นด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย เห็นด้วยในระดับมากที่สุดโดยเรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย พบว่า ควรกำหนดที่ตั้งของศูนย์ให้อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีขนาดเหมาะสมควรกับเด็ก ควรจัดที่แปรงฟันสำหรับเด็กให้เพียงพอและไม่ลื่นอาคารของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรมีมาตรการป้องกันอัคคีภัยและอุบัติภัยต่างๆ อย่างรัดกุม ด้านการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากชุมชน พบว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรจัดกิจกรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ผู้ดูแลเด็กสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ให้ความรู้ประชาชนในท้องถิ่นเกี่ยวกับการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร พบว่า ผู้ดูแลเด็กควรจัดประสบการณ์แบบบูรณาการผ่านเล่น เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดประสบการณ์รวมทั้ง การวางแผน การสนับสนุนสื่อการสอน และด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ พบว่า ผู้ดูแลเด็กควรมีจำนวนเพียงพอเหมาะสมกับจำนวนเด็ก และมีความรู้ ความสามารถและมีวุฒิการศึกษาด้านปฐมวัย ตามลำดับ