Abstract:
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายคือ 1) เพื่อพัฒนาชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80/80 ของกระบวนการจัดกิจกรรมและผลลัพธ์ของการจัดกิจกรรม 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้งก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมด้วยชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทย โดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนบ้านดงย่อ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 28 คน เป็นการวิจัยแบบ One-Group Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) ชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 3) แบบทดสอบแบบปรนัยสำหรับทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนและหลังเรียน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทย โดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.76 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสถิติแบบ Dependent Samples t-Test ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. ชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพของกระบวนการการจัดกิจกรรม/ผลลัพธ์ของการจัดกิจกรรม เท่ากับ 86.04/83.21 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการใช้ชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนการใช้ ร้อยละ 20 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักเรียนร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ครูผู้สอนที่สนใจสามารถนำเอาชุดฝึกกิจกรรมการเขียนภาษาไทยโดยใช้โครงงาน เรื่องมาตรฐานตัวสะกด ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นี้ ไปปรับใช้สอนเนื้อหาสาระอื่นๆ ได้ตามเงื่อนไขที่เป็นจริง เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างหลากหลาย ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและผู้สอนที่ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น