การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปะคำพิทยาคม อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 30 คน ได้โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ บทเรียนสำเร็จรูป แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก ซึ่งมีค่าความยากรายข้อตั้งแต่ .50 - .80 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ .20 - .73 และค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ .9375 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ ค่า 1 E / 2 E และ t-test Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1. บทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.58/83.92 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 3. นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป วิชาสุขศึกษา เรื่องระบบต่าง ๆ โดยใช้เทคนิค TAI สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก

ABSTRACT The objective of this research were :1) to develop the learning package for the Health Education Systems course by using TAI technique for Mathayomsuksa 5 students based on the criteria set at 80/80, 2) to compare the students’ learning achievement before and after learning through the learning package, and 3) to study the satisfaction of those students towards the learning package. The samples, obtained by purposive sampling were 30 Mathayomsuksa 5 students semester 2 of 2010 academic year from Pakhampittayakhom School, under Mathayomsuksa Educational Service Area Office 32.The research instruments included : thelearning package, the lesson plans for using with the learning package, the achievement test made by the researcher with the difficulty indices ranged from .50 to .80, the discrimination indices ranged from .20 to .73, and the reliability value of .9375, and the questionnaire asking for the students’ satisfaction toward the learning package. The statistics used to analyze the collected data were percentage, means, and standard deviation, and the hypotheses were tested by using 1 E / 2 E and t-test (Dependent Samples). The research results were as follows : 1. The efficiency of learning package in on the Health Education Systems course for Mathayomsuksa 5 students had an efficiency of 86.58/83.92 which was higher than the set criteria 80/80. 2. The learning achievement of students after learning through the learning package was higher then before learning with .01 statistical significant efficiency at .01 level. 3. The students were satisfied with the learning package on the Health Education Systems course for Mathayomsuksa 5 students at a high level.