การศึกษาความรู ความเขาใจที่มีตอกระบวนการนิติบัญญัติของประชาชน ในอําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์

Abstract

วัตถุประสงคเพื่อศึกษาระดับความรูความเขาใจเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติ สภาพ ปญหาเกี่ยวกับความรูความเขาใจ และ แนวทางในการแกปญหาเพื่อใหเกิดความเขาใจในกระบวนการ นิติบัญญัติของประชาชนในอําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย กลุมตัวอยางไดแก กลุมประชากรในอําเภอ เมืองบุรีรัมยจํานวน 400 คน โดยใชวิธีการสุมแบบสะดวก (Convenient Sampling) และผูมีสวน เกี่ยวของกับการแกปญหาจํานวน 15 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัยคือ แบบสอบถามและแบบ สัมภาษณ สถิติที่ใชในการวิจัย ไดแก คารอยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบวา ประชาชนสวนใหญมีการรับรูเรื่องกฎหมายมาจากการไดรับการศึกษาในชั้นเรียนจากโรงเรียนหรือ มหาวิทยาลัย รองลงมาคือ จากการที่หนวยงานที่ตนสังกัดมีการจัดอบรมเกี่ยวกับกฎหมาย จากการ อบรมใบอนุญาตขับขี่รถยนต รถจักรยาน จากการอานหนังสือพิมพ จากการดูโทรทัศน สวนการรับรู ในเรื่องใดนั้น สวนใหญ จะทราบเฉพาะกฎหมายที่ใกลตัว ไดแก กฎหมายแพงพาณิชย กฎหมายอาญา จัดอยูในระดับ มากที่สุด และจากประสบการณที่เคยใชกฎหมายหรือประสบชะตากรรมบางอยางแลว ไดใชกฎหมายนั้น สวนกระบวนการนิติบัญญัตินั้น พบวา สวนใหญไมทราบขั้นตอนเกี่ยวกับการ ดําเนินงานดานนิติบัญญัติทั้งรูปแบบกฎหมายแพงและกฎหมายอาญา จัดอยูในระดับ มากที่สุด และ ดานปญหาที่พบ คือ ประชาชนที่ไมรูขั้นตอนกระบวนการนิติบัญญัติจะทําใหเกิดการเสียเปรียบตอผูที่ รูจักขั้นตอนและเปดโอกาสใหเอารัดเอาเปรียบกันขึ้นในสังคม จัดอยูในระดับ มากที่สุด สําหรับ แนวทางในการแกปญหานั้น ควรมีการจัดบูรณาการโดยการมีสวนรวมของประชาชนเพื่อถายทอด ความรูเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัต