การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น ในประเด็นต่อไปนี้ 1) ประวัติชีวิตและผลงานทางด้านดนตรีของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น 2) แนวคิดในการประสมประสานวัฒนธรรมทางดนตรใีนการเรียบเรียงเสียง
ประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น และ 3) แนวทางการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การสุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัย ใช้วิธี การสุ่มจากกลุ่มตัวอย่าง คือ บทเพลงที่ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น ได้รับรางวัลพระราชทานด้านการเรียบเรียงเสียงประสานดนตรเีพลงไทยลูกทงุ่ยอดเยี่ยม ในช่วงปีพุทธศักราช 2519 - 2534
โดยใช้วิธีการแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 5 บทเพลง ผลการวิจัยพบว่า 1. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น เติบโตขึ้นมาในท่ามกลางสังคมและวัฒนธรรมของไทยแบบชนบท ที่ได้รับอิทธิพลดนตรีพื้นบ้าน และดนตรีไทยเป็นประจำจากการได้ยินได้ฟังที่วัดใกล้บ้านจึงเกิดแรงจูงใจ และเริ่มเล่นดนตรีจากการเป็นนักดนตรีแตรวงของโรงเรียน เมื่อเรียน จบก็หา รายได้พิเศษจากการเป็นนักเป่าแตรเชียร์รำวง จนเข้าสู่วงการศิลปินนักร้องนักดนตรี เริ่มการเรียบเรียงเสียงประสานโดยอาศัยประสบการณ์และการศึกษาจากผลงานของนักเรียบเรียงเสียงประสานรุ่นพี่ ก่อนที่จะเข้าเรียนวิชาการเรียบเรียงเสียงประสานอย่างจริงจัง ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ช ื่นเย็น ได้นำเอาความรู้ความสามารถประสมประสานกับประสบการณ์ด้านดนตรี ความกล้าในการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์ และความตั้งใจพัฒนาการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งให้กับนักร้องจนมีชื่อเสียง มีผลงานที่
ได้รับรางวัลพระราชทาน ด้านการเรียบเรียงเสียงประสาน และผลงานความภาคภูมิใจที่เป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น มีแนวคิดในการประสมประสานระหว่างสองวัฒนธรรม คือ ดนตรีแบบไทยและเนื้อร้องทำนองแบบไทยกับดนตรีสากล สามารถเข้ากันได้อย่างกลมกลืน กล่าวคือ ทั้งผู้เรียบเรียง นักร้อง และนักดนตรีที่บรรเลงเครื่องดนตรีสากลเป็นคนไทย เมื่อทาการบรรเลงก็ย่อมมีสำเนียงความเป็นไทยปนอยู่ในบทเพลง มีการสร้างดนตรีประกอบการขับร้อง โดยการนำเอาท่วงทำนองหรือวลีของทำนองเพลงไทยมาช่วยในการสร้างผลงานเพลง ใช้เครื่องดนตรีไทยมาร่วมบรรเลงเป็นส่วนประกอบในการสร้างผลงานเพลง ใช้เครื่องดนตรีสากลมา
บรรเลงเลียนแบบเสียงเครื่องดนตรีไทย และนำเอาทำนองของเพลงไทยมาดัดแปลงให้เหมาะสมสำหรับวงดนตรีบรรเลง เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์และความกลมกลืนของบทเพลง 3. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น มีแนวทางในการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งดังนี้ 3.1 คุณลักษณะของบทเพลง เครื่องดนตรีและหน้าที่ของเครื่องดนตรี มีรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ บทเพลงมีการใช้ร้อยกรองตามรูปแบบฉันทลักษณ์คาประพันธ์แบบไทย ดำเนินทำนองโดยใช้เครื่องดนตรีหลัก 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบจังหวะ 2) กลุ่มเครื่องดนตรีดำเนินทำนอง และเสริมด้วยกลุ่มเครื่องดนตรีพิเศษ โดยใช้ ทรัมเป็ต (Trumpet) เป็นเครื่องดนตรีดำเนินทำนองหลัก 3.2 การสร้างบทนำ (Introduction) บทเชื่อม (Interlude) และบทจบ (Ending) ดัดแปลงจากแนวทำนอง หลักเป็นท่วงทำนองสั้น ๆ หรือวลีสั้น ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ ส่งเข้าบทร้อง และลงจบได้ การสร้างดนตรีประกอบแนวทำนองใช้กลุ่มเครื่องเป่า (Brass) เป็นหลัก ทำหน้าที่โอบอุ้มแนวทำนอง สอดแทรกแนวทำนอง ใช้การเคลื่อนที่ของแนวทำนองเข้าช่วยในการสร้างดนตรีประกอบ และรองรับแนวทำนองหลัก โดยสร้างจากคอร์ดเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะบทนำทั้ง 5 บทเพลง
ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น จะใช้คอร์ดเพียงคอร์ดเดียวในการสร้างบทนำ 3.3 การใช้คอร์ด (Chord) บทเพลงทั้ง 5 บทเพลง ใช้คอร์ดหลัก (Primary Chord) ในการดำเนินทำนอง ดังนี้ 1) เพลง “แม่ยก” ใช้คอร์ด Cm Gm 2) เพลง “หนุ่มนารอนาง” ใช้ คอร์ด F Bb C7 3) เพลง “อีสาวทรานซิสเตอร์” ใช้คอร์ด Em Am Bm7 4) เพลง “ข้อยเว้าแม่นบ่” ใช้คอร์ด Bb F7 และ 5) เพลง “ส้มตำ” ใช้คอร์ด Bm Em7 F#m7 การจบประโยคแบบ เปอร์เพค คาเดนซ์ ( Perfect Cadence) พบอยู่ในทั้ง 5 บทเพลง การจบแบบอิมเปอร์เพค คาเดนซ์ (Imperfect Cadence) พบ อยู่ใน 3 บทเพลง คือ เพลง “หนุ่มนารอนาง” “ข้อยเว้าแม่นบ่” และ “ส้มตำ” และรูปสำเร็จของคาเดนซ์ ( Cadential) พบอยู่ใน 4 บทเพลง คือ เพลง “หนุ่มนารอนาง” “อีสาวทรานซิสเตอร์” “ข้อยเว้าแม่นบ่” และ “ส้มตำ” ส่วนการใช้ชุดคอร์ดดอมินันท์ 7 (Dominant 7) พบว่าใช้ดอมินันท์ 7 ที่ 1 มากที่สุด พบอยู่ใน ทั้ง 5 บทเพลง และการใช้ชุดคอร์ดแพทเทิร์น (Pattern) ไม่พบ อยู่ในบทเพลงทั้ง 5 บทเพลง
This study aimed to explore Prayong Chuenyen, a national artist, musical concept in Thai country music arrangement as follows: 1) the biography and influences on his musical work; 2) the combination of Thai musical culture concept; and 3) The theme of Thai country music arrangement. Qualitative research method was used in this study. The subjects included 5 songs of Prayong Chuenyen, a national artist, arrangement which received awards from His Majesty the King during the period of 2519 - 2534 B.E. selected by purposive sampling. The finding demonstrated the followings: 1. Prayong Chuenyen, a national artist, grew up in the social and cultural milieu of the Thai country side. The country music and Thai music that he heard from a temple near his home were the main motivation on his work. He started playing music in the brass band at his school. He was also a part-time musician after he graduated school. He tried to arrange music according to his experience and through listening to professionals work before taking a course in musical arrangement. He used his musical knowledge and ability, his bravery in presenting a unique of creativities, and his intention to develop arrangements of Thai country music. His arrangements were performed by famous singers and some was recognized by His Majesty the King. Moreover, he arranged the music for the song written by HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn. 2. Prayong Chuenyen, a national artist, has harmonized combining both the musical cultures of Thai music and Thai melody in Western music. Since the composer, singer, and musician were Thai, Thai styles were confounded naturally in the play. He adapted melodies from Thai songs, used both Thai and international musical instruments to present simulations of Thai musical instruments. These were led to the connections and harmony in songs. 3. Prayong Chuenyen, a national artist, has conceptualized in Thai country music arrangement as follows: 3.1 The unique identity appeared in performance of two primary instrumental sections including: 1) the percussion section; and 2) the melody section joined to main musical instrument such trumpet. 3.2 The introduction, interlude, and ending were adapted from a short melody or phrase which can lead to lyrics and end properly. In brass group, the movement that supports the main melody was constructed primarily from basic chords, especially the introduction of the five songs use only one chord. 3.3 All 5 songs were used primary chord during the preceding: 1) Song “Mae Yok” was used Cm Gm chord; 2) Song “Noom Na Ro Nang” was used F Bb C7 chord; 3) Song “Ei sao Transistor” was used Em Am Bm7 chord; 4) Song “Khoi Wao Man Bo” was used Bb F7 chord; and 5) Song “Som Tam” was used Bm Em7 F#m7 chord. The perfect cadence ending was found in all 5 songs. However, the imperfect cadence was shown in 3 songs: Song “Noom Na Ro Nang”, Song “Khoi Wao Man Bo”, and Song “Som Tam”. The cadential was displayed in 4 songs: Song “Noom Na Ro Nang”, Song “Ei sao Transistor”, Song “Khoi Wao Man Bo”, and Song “Som Tam”. Besides, this indicated the mostly used in the dominant 7 chord was the first one, conversely, there were no pattern chord found in all 5 songs.