Abstract:
ผักเชียงดา (Gymnema inodorum Decne.) เป็นผักพื้นบ้านภาคเหนือที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะเพื่อบําบัดรักษาโรคภัยต่าง ๆ ใบมีฤทธิ์บรรเทาอาการต#อโรคเบาหวาน รูมาตอยด์และเกาต์ ยับยั้งการดูดซึมและลดระดับน้ําตาลในลําไส้ สารสกัดจากใบช่วยทําให้นักกีฬาเกิดการพัฒนากล้ามเนื้อมากขึ้น การทดลองในครั้งนี้เพื่อศึกษาหาวิธีการเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระในผักเชียงดา โดยศึกษาผลของปริมาณธาตุอาหารในดิน ธาตุโบรอน การขาดน้ำ และไมคอร3ไรซา ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต สารต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในการผลิตผักเชียงดา ดําเนินการทดลองที่สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดลําปาง ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ถึงกันยายน พ.ศ. 2556 พบว่า ปริมาณธาตุอาหารในดินและในใบมีความแตกต่างกันทางสถิติตามพื้นที่ที่เก็บตัวอย่าง ถ้ามีปริมาณอินทรียวัตถุและฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน3ในดิน ปริมาณไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในใบสูง จะส่งผล
ให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผักเชียงดาสูง การใส่สารละลายธาตุอาหาร 3 ระดับ (0B 30B100B) ไม่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางลําต้นและผลผลิตของผักเชียงดาทั้งสองสายต้น (4 และ 6) แต่แสดงอาการขาดโบรอนโดยพื้นที่ระหว่างเส้นใบมีสีเหลือง เมื่อใส่ธาตุโบรอนต่ํากว่าร้อยละ 30 สายต้นที่ 4 มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสายต้นที่ 6 ถึงจะใส่โบรอนในปริมาณที่เท่ากัน การขาดน้ําเป็นระยะเวลา 15 วัน ไม่กระทบต่อการให้ผลผลิตในผักเชียงดาที่มีอายุต้น 5 - 12 เดือนหลังย้ายปลูก แต่การขาดน้ำเป็นระยะเวลา 2 เดือนทําให้ผลผลิตผักเชียงดาลดลงประมาณร้อยละ 50 มีความสัมพันธ3เชิงบวกระหว่างปริมาณคลอโรฟnลล3 สารประกอบฟีนอลิกและ
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การเขาอยู่ของเชื้อราอาบัสคูล่า ไมคอร์ไรซา ชนิดต่าง ๆ ในผักเชียงดา พบว่า เชื้อ Glomus sp. 1 มีผลให้จํานวนยอดของผักเชียงดาสูงที่สุด ส#วนเชื้อ Acaulospora sp. มีผลให้ความยาวยอดของผักเชียงดาสูงสุด และ เชื้อ Glomus mosseae มีผลให้การเข้าอยู่ในต้นผักเชียงดาสูงที่สุด