Description:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประ
โคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา
และ2) เพื่อเปรียบเทียบทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาบุรีรัมย์เขต2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประเภทของโรงเรียน
ประชากรที่ใช้ในการ ศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ครู 14 โรงเรียน จำนวน 153 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มี 3
ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ(Check Lists ) แบบมาตราส่วนประมาณค่า(Rating Scale) 5 ระดับ และแบบ
ปลายเปิด (Open Form) แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ(Percentage)
ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า
1. ทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาบุรีรัมย์เขต 2 ที่มีต่อสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 8 ด้าน คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์
การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม การวิเคราะห์และสังเคราะห์ การสื่อสารและการจูงใจ การพัฒนา
ศักยภาพบุคลากร การมีวิสัยทัศน์ โดยรวม มีสมรรถนะอยู่ในระดับปานกลาง
2. เปรียบเทียบ ทัศนะของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยรวมและรายด้าน พบว่าโรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียน
ประถมศึกษา มีทัศนะแตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด
รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.1 ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน
โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนประถมศึกษา
และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.2 ด้านการบริการที่ดี โดยรวม พบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดย
โรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส และ
โรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.3 ด้านการพัฒนาตนเอง โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน
โดยโรงเรียนประถมศึกษามีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส
และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ2.4 ด้านการทำงานเป็นทีม โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกัน
โดยโรงเรียนประถมศึกษา มีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียนขยายโอกาส
และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.5 ด้านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ โดยรวม พบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา
แตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือ โรงเรียน
ประถมศึกษา และ โรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.6 ด้านการสื่อสารและการจูงใจ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของ ผู้บริหารสถานศึกษา
แตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือโรงเรียน
ประถมศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.7 ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร พบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ไม่
แตกต่างกัน โดยโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนประถมศึกษา มีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา
เท่ากัน รองลงมาคือโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
2.8 ด้านการมีวิสัยทัศน์ โดยรวมพบว่าสมรรถนะทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาแตกต่างกัน โดย
โรงเรียนขยายโอกาสมีค่าเฉลี่ยของระดับสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาสูงสุด รองลงมาคือโรงเรียนประถมศึกษา และ
โรงเรียนมัธยมศึกษา ตามลำดับ
3. ข้อเสนอแนะข้อคิดเห็นที่มีต่อสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนของครูในกลุ่มเครือข่ายเพื่อ
พัฒนาการศึกษาประโคนชัย 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต 2 คือ ผู้บริหารควรมีการวางแผนและ
ติดตามการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ กำหนดทิศทางในการพัฒนาโรงเรียนที่ชัดเจน พัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยี
สร้างปรับปรุงแหล่งเรียนรู้ ศึกษาความต้องการของผู้รับบริการ รับฟังความคิดเห็น มีอัธยาศัยที่ดี ประชุมร่วมกับ
ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ประชาสัมพันธ์ข่าวสารของโรงเรียนสู่ชุมชน ส่งบุคลากรเข้ารับการอบรม ศึกษาดู
งาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของโรงเรียนต่อไป