DSpace at My University
https://localhost:443/xmlui
The DSpace digital repository system captures, stores, indexes, preserves, and distributes digital research material.
2024-03-29T07:28:31Z
-
หน่วยงานสำหรับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ 2567
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8811
หน่วยงานสำหรับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ 2567
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
รายวิชา การฝึกประสบการณ์วิชาชีพทางรัฐประศาสนศาสตร์ [2554802] ฝึกงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในองค์การภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เน้นการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์การบริหารงานในองค์การ การวางโครงการในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานในองค์การ และร่วมกิจกรรมทางการบริหารในองค์การ การประชุม การฝึกอบรม การสร้างทีมงาน และการประเมินผล
นำเสนอโปสเตอร์ ประกอบด้วย
- หน่วยงาน
- ตำแหน่งงานที่ฝึกฯ
- การประยุกต์ใช้ทฤษฎี
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8810
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ
แผนสนิท, อลงกต; ปัญญายงค์, วิษณุ; มะลิไทย, ปรารถนา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถาม โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนที่เข้าใช้บริการจำ นวน 398 คน ที่มาจากการคำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร ทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 เก็บข้อมูลตามสัดส่วนและใช้วิธีการสุ่มแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็นโดยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ แล้วนำ ข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสอบถาม มาวิเคราะห์โดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยตัวแปรทั้ง 4 อยู่ในระดับมาก ผลวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการถดถอยพหุคูณเพื่อทำนายอิทธิพลของปัจจัยทั้ง 4 ด้านพบว่าปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (β = 0.137) การบริหารองค์การ(β = 0.244) ด้านขีดสมรรถนะบุคลากร (β = 0.225) การมีส่วนร่วมของชุมชน (β = 0.303) มีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านศูนย์ดิจิทัลชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05
บทความฉบับเต็ม : https://so03.tci-thaijo.org/index.php/humsujournal/article/view/264682/180398
2566-07-01T00:00:00Z
-
รูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8809
รูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
ปัญญายงค์, วิษณุ; ฝ้ายโคกสูง, ปิติวรรณ; พรหมสถิตย์, สากล; ช่อชู, คคนางค์
The participatory action research process was applied in this research. It aimed to study the context and potential of the agro tourism management, and to develop the agro tourism management model to generate incomes for the communities in Khokklang sub district, Lamplaimat district, Buriram province. The samples were 24 persons, consisting of two representatives of government sectors, 16 community leaders, four entrepreneurs, and two members of tourism committee. The research was conducted in four stages: diagnosis, operation, measurement and reflection. The instruments were a questionnaire, an in-depth interview, a workshop meeting, and a forum. The collection and analysis of quantitative data were carried out by using a statistical package program. Statistics used for analysis were frequency, percentage, mean, and standard deviation. The qualitative data were analyzed by using the content analysis.
The research results revealed that the agro tourism management was carried out by the communities using the local resources based on the principles of sufficiency economy with unique activities in the local contexts. The acquired results led to a pilot tourism to evaluate the potential of agro tourism. It was found that tourists were overall satisfied with tourism in Khokklang sub district at a high level. The synthesis results of Khokklang subdistrict tourism development plan to generate community incomes consisted of three projects: 1) the agro tourism route development project for connecting other tourist attractions in the communities, 2) the agricultural product processing project, and 3) the media development project for promoting tourism. The agro tourism development model provided a mechanism for community engagement that relied primarily on community resources and wisdom. There were also network partners with strong community leaders to stimulate activities and develop products in the area. This has changed the area to become a major tourist attraction in Buriram province.
https://resmilitaris.net/index.php/resmilitaris/article/view/205/135
2022-10-01T00:00:00Z
-
บันทึกรายการหน่วยงานภาคีฝักประสบการณ์วิชาชีพรัฐประศาสนศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8808
บันทึกรายการหน่วยงานภาคีฝักประสบการณ์วิชาชีพรัฐประศาสนศาสตร์
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
ชั้นปีที่ 4 ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การฝึกประสบการณ์วิชาชีพทางรัฐประศาสนศาสตร์ [2554802] ฝึกงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในองค์การภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เน้นการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์การบริหารงานในองค์การ การวางโครงการในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานในองค์การ และร่วมกิจกรรมทางการบริหารในองค์การ การประชุม การฝึกอบรม การสร้างทีมงาน และการประเมินผล (450 ชั่วโมง) หน่วยงานที่นักศึกษาเลือกเพื่อทำการฝึกภาคปฏิบัติ
-
นวัตกรรมการเสริมสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมผ่านยุทธศาสตร์ วิชาชีวิตพฤฒพลังเพื่อสร้างสังคมคุณภาพทุกช่วงวัย รองรับสังคมสูงวัยในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8807
นวัตกรรมการเสริมสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมผ่านยุทธศาสตร์ วิชาชีวิตพฤฒพลังเพื่อสร้างสังคมคุณภาพทุกช่วงวัย รองรับสังคมสูงวัยในจังหวัดบุรีรัมย์
ทศมาศ, ภัทรพล; ศรีใหญ่, ธิติ; เพชรสินจร, ธนกร
บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหากรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมผ่านยุทธศาสตร์ วิชาชีวิตพฤฒพลังเพื่อสร้างสังคมคุณภาพทุกช่วงวัยรองรับสังคมสูงวัยในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) จากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาและสร้างกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีศักยภาพของแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมผ่านยุทธศาสตร์ วิชาชีวิตพฤฒพลังเพื่อสร้างสังคมคุณภาพทุกช่วงวัยรองรับสังคมสูงวัยในจังหวัดบุรีรัมย์ ผลการศึกษา พบว่า นวัตกรรมการเสริมสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคม ประกอบด้วย 1) แรงสนับสนุนทางอารมณ์และความเพลิดเพลิน 2) การสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสารและการเข้าถึงข้อมูล 3) การสนับสนุนด้านสิ่งของ 4) ความรู้ในสารสนเทศ 5) ประโยชน์ในการใช้งาน 6) การสนับสนุนกลุ่มเครือข่ายและความสัมพันธ์เชิงสถาบัน 7) ทัศนคติที่มีต่อการใช้งาน ยุทธศาสตร์ วิชาชีวิตพฤฒพลัง ประกอบด้วย 1) หลักสุขภาพ 2) หลักการเรียนรู้ 3) หลักสังคม 4) หลักเศรษฐกิจ และ สังคมคุณภาพทุกช่วงวัยรองรับสังคมสูงวัยในจังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วย 1) กายภาพ/ร่างกาย 2) สังคมและวัฒนธรรม 3) สติปัญญาและความคิด 4) สภาพแวดล้อม 5) ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและรายได้ 6) อารมณ์และจิตใจ
ฉบับเต็ม : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/252701/170577
2564-09-01T00:00:00Z
-
รูปแบบการจัดการวัตถุดิบแบบครบวงจรของอาหารพื้นถิ่นเพื่อรองรับการท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8806
รูปแบบการจัดการวัตถุดิบแบบครบวงจรของอาหารพื้นถิ่นเพื่อรองรับการท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
ฝ้ายโคกสูง, ปิติวรรณ; ปัญญายงค์, วิษณุ; ช่อชู, คคนางค์; สมัปปิโต, จตุพัฒน์; แผลงรักษา, วณิชา
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพของแหล่งวัตถุดิบในชุมชนของอาหารพื้นถิ่น เพื่อศึกษาการบริหารจัดการของกลุ่มผู้ประกอบอาหารพื้นถิ่น และศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงแหล่งวัตถุดิบอาหารพื้นถิ่นกับกลไกทางการตลาดในชุมชนบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มเป้าหมายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการแหล่งวัตถุดิบในชุมชนของอาหารพื้นถิ่นโดยตรง จำนวนทั้งสิ้น 210 คน และ กลุ่มผู้ประกอบอาหารพื้นถิ่น จำนวนทั้งสิ้น 22 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบสำรวจข้อมูลและสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่าสภาพของแหล่งวัตถุดิบมี 3 แหล่ง ได้แก่ แหล่งอาหารธรรมชาติ แหล่งอาหารผลิตเอง และแหล่งอาหารซื้อขาย ผลการศึกษาบริหารจัดการของกลุ่มผู้ประกอบอาหารพื้นถิ่น พบว่ามีการบริหารจัดการ ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการด้านคน บริหารจัดการด้านเงิน การบริหารจัดการด้านสินค้า การจัดการเครื่องมือ การบริหารจัดการวิธีการ การบริหารจัดการด้านตลาด และแนวทางการเชื่อมโยงแหล่งวัตถุดิบอาหารพื้นถิ่นกับกลไกทางการตลาดในชุมชนบ้านโคกเมือง การเชื่อมโยงของแหล่งวัตถุดิบในชุมชน เป็นลักษณะการพึ่งพาอาศัยกัน เป็นชุมชนที่ปลูกผักสวนครัวทุกครัวเรือน มีตลาดชุมชนเป็นศูนย์กลางในการซื้อขาย และตัวเชื่อมสินค้าไปหาผู้บริโภค ผู้ประกอบอาหาร และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนบ้านโคกเมือง โดยระบบงานเริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนการเพาะปลูกชนิดพืชพันธุ์ วัตถุดิบ มีการสรุปยอดนักท่องเที่ยวเพื่อปลูกวัตถุดิบให้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยว และประสานไปยังผู้ประกอบอาหาร ปฏิทินวัตถุดิบ ปฏิทินอาหารจากธรรมชาติ เพื่อสร้างจุดเด่นของวัฒนธรรมอาหารของชุมชนบ้านโคกเมืองให้มีความยั่งยืนต่อไป
บทความฉบับเต็ม : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou/article/view/259534/174430
2565-05-01T00:00:00Z
-
รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะตามพระราโชบายด้านการศึกษาใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบมีส่วนร่วมชุมชน รัฐ-บ-ว-ร : กรณีศึกษา ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8805
รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะตามพระราโชบายด้านการศึกษาใน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบมีส่วนร่วมชุมชน รัฐ-บ-ว-ร : กรณีศึกษา ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
เพชรสินจร, ธนกร; ทศมาศ, ภัทรพล; คึ้มภูเขียว, เชาวลิต
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะตามพระราโชบายด้านการศึกษาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แบบมีส่วนร่วมชุมชน รัฐ-บ-ว-ร : กรณีศึกษา ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า หลังปรับโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ทุกค่า ค่า p-value มีนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ 0.000 น้อยกว่าค่าที่กำหนด 0.05 ค่าไค-สแควร์ (x2) มีค่าเท่ากับ 588.205 ค่าองค์ศาอิสระ(df) มีค่าเท่ากับ 198 ค่าสัดส่วนไค-สแควร์ (x2/df) มีค่าเท่ากับ 2.970 น้อยกว่าค่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ < 5 (ในกรณีโมเดลมีความซับซ้อน) ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (TLI) เท่ากับ 0.960 (เกณฑ์ที่กำหนด > 0.90) มีดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 0.972 (เกณฑ์ที่กำหนด> 0.95) มีค่ารากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (SRMR) เท่ากับ 0.050 (เกณฑ์ที่กำหนด < 0.05) มีค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.072 (เกณฑ์ที่กำหนดระหว่าง 0.05 – 0.08) ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกค่าซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย
บทความฉบับเต็ม : https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/264399/176396
2565-09-01T00:00:00Z
-
การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ของชุมชนชนบทไทย ในทศวรรษที่ 10 แห่งประชาธิปไตยไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8804
การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ของชุมชนชนบทไทย ในทศวรรษที่ 10 แห่งประชาธิปไตยไทย
ฝอดสูงเนิน, สุธีกิติ์; ทศมาศ, ภัทรพล
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ปัจจัยที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และข้อเสนอแนะเพื่อการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของชุมชนชนบทไทยในทศวรรษที่ 10 แห่งประชาธิปไตยไทย กรณีศึกษาตำบลทะเมนชัย อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของชุมชนชนบทไทยในพื้นที่ตำบลทะเมนชัย อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง ปัจจัยที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของชุมชนชนบทไทย ได้แก่ อาชีพ รายได้ การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และระดับการศึกษา มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1) ควรสร้างเครือข่ายการเรียนรู้วัฒนธรรมทางการเมืองการปกครองไทย 2) พัฒนาศักยภาพบุคคลและชุมชนต้นแบบประชาธิปไตย 3) ขับเคลื่อนบทบาทรัฐบวรอย่างมีส่วนร่วม 4) เสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยบนฐานทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนทุกระดับ และ 5) ปรับเปลี่ยนบทบาทภาครัฐให้เน้นการสนับสนุนและส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายด้านการพัฒนาประชาธิปไตย
บทความฉบับเต็ม : https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhusoc/article/view/264348/176394
2565-09-01T00:00:00Z
-
เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะชุมชนในเขตเทศบาล ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8803
เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะชุมชนในเขตเทศบาล ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ, ธัญญรัตน์; วิชัยรัมย์, สถาพร; คะเนวัน, ประชัน; พรหมสถิตย์, สากล; อุบลเลิศ, รชต
บทความวิจัยเรื่อง เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะชุมชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการขยะมูลฝอยเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะชุมชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาได้แก่ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 383 คน โดยใช้การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะตรวจสอบรายการและประมาณค่ามาตราส่วน 6 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ วิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test และค่าสถิติ F-test ผลการวิจัยพบว่า
1) ระดับการมีส่วนร่วมการจัดการขยะมูลฝอยแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ( = 3.48) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ด้านการวางแผนดำเนินกิจกรรม อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนนอกนั้นอยู่ในระดับน้อย โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ( = 3.69) รองลงมา คือ ด้านการวางแผนดำเนินกิจกรรม ( =3.55) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการติดตามผลและประเมินผลงาน ( =3.23) ตามลำดับ
2) เปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมการจัดการขยะมูลฝอยในเขตเทศบาลตำบลบ้านบัว อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่าเมื่อจำแนกตามอายุและการศึกษาพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านเพศ สถานภาพการสมรสและอาชีพ ไม่มีความแตกต่างกัน
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/263596/177461
2566-01-01T00:00:00Z
-
บทบาทกำนันผู้ใหญ่บ้านในการตรวจสอบนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8802
บทบาทกำนันผู้ใหญ่บ้านในการตรวจสอบนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
จงมีสุข, ธนพัฒน์; พรหมสถิตย์, สากล; ทศมาศ, ภัทรพล; วิชัยรัมย์, สถาพร
บทบาทหน้าที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ตามกรอบของตัวบทกฎหมายที่กำหนดไว้เป็นลักษณะผู้ปกครองท้องถิ่นตามกลไกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคและเป็นตัวแทนภาครัฐที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด อำนาจหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบันนั้นกำนันและผู้ใหญ่บ้านต่างก็เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารประเทศ อันเนื่องมาจากทั้งคู่ต่างก็เปรียบเสมือนเป็นแขนขาหรือตัวประสานงานระหว่างรัฐกับประชาชนนั่นเอง ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย (2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบายในระดับท้องถิ่น (3)เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของกำนันผู้ใหญ่บ้าน (4) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายของกำนันผู้ใหญ่บ้านต่อการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบายในระดับท้องถิ่น การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษากับกลุ่มประชากร ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 291 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการหาจำนวนกลุ่มตัวอย่างของทาโร่ ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับระดับบทบาทการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบายของ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน การประมาณค่าพารามิเตอร์ ความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์ตามสมมติฐานกับข้อมูลเชิง ประจักษ์ด้วยสถิติไคกำลังสอง ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับบทบาทการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (2) องค์ประกอบการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย พบว่า มีค่า KMO เท่ากับ 0.755 เหมาะสมใช้วิเคราะห์องค์ประกอบดี สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันผ่านเกณฑ์โดยมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.208 ถึง 0.889 มีความเหมาะสมในการใช้วิเคราะห์องค์ประกอบ (3) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลมี 8 องค์ประกอบ 30 ตัวบ่งชี้ (4) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมตรวจสอบนโยบาย พบว่า ค่าไคสแควร์ (X2) = 2276.252 ที่องศาอิสระ (df) = 977 P-value = 0.051 ค่าไคสแควร์สัมพันธ์ (X2/df) = 2.32 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) =0.984 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) = 0.952 ค่ารากกำลังสองของความคลาดเคลื่อนโดยประมาณ (RMSEA) = 0.013 และค่ารากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของเศษเหลือในรูปคะแนนมาตรฐาน (SRMR) = 0.010
2566-07-01T00:00:00Z
-
คุณภาพการให้บริการประชาชนของสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8801
คุณภาพการให้บริการประชาชนของสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง
วิชัยรัมย์, สถาพร; คะเนวัน, ประชัน; พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ, ธัญญรัตน์; พรหมสถิตย์, สากล; จงมีสุข, ธนพัฒน์
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพการใหบริการประชาชนของสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย สาขานางรองและ 2)เปรียบเทียบปจจัยสวนบุคคลที่มีตอคุณภาพการใหบริการประชาชนของสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย สาขานางรอง จําแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษาและอาชีพ ประชากรกลุมตัวอยางไดแก ประชาชนที่มาใชบริการสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย สาขานางรอง ระหวางเดือนมกราคม –เดือนมิถุนายน พ.ศ.2566โดยใชสูตรการคํานวณหาขนาดกลุมตัวอยาง กรณีไมทราบจํานวนประชากรจากสูตรของ Cochran (Cochran,1953) ไดขนาดกลุมตัวอยางจํานวน 384 คน เพื่อใหเกิดความสะดวกในการวิเคราะหขอมูลและเพิ่มความนาเชื่อถือของขนาดกลุมตัวอยาง ผูวิจัยจึงไดเพิ่มขนาดกลุมตัวอยางเปนจํานวน 400 คน และใชวิธีเก็บขอมูลแบบบังเอิญ (Accidental Sampling)เครื่องมือที่ใชในการวิจัยเปนแบบสอบถาม มีลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราสวนประมาณคา วิเคราะหดวยสถิติเชิงพรรณนา ประกอบดวยการแจกแจงความถี่ คารอยละ การหคาเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบคุณภาพการใหบริการประชาชนของสํานักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย สาขานางรอง จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ วิเคราะหโดยใชคาสถิติ t-test Independent กรณีตัวแปร 2 ตัว และวิเคราะหโดยใชวิธี F-testกรณีตัวแปรมากกวา 2 ตัว
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266758/180362
2566-07-01T00:00:00Z
-
โมเดลการจัดการขยะชุมชนเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนบ้านโนนสมบูรณ์ ตําบลหนองตาด อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8800
โมเดลการจัดการขยะชุมชนเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนบ้านโนนสมบูรณ์ ตําบลหนองตาด อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พรหมสถิตย์, สากล; จงมีสุข, ธนพัฒน์; อุบลเลิศ, รชต; พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ, ธัญญรัตน์
บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการบริหารจัดการขยะชุมชน2) เพื่อศึกษาค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการบริหารจัดการขยะชุมชนและ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวบ่งชี้ลักษณะการจัดการขยะชุมชน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ พื้นที่วิจัย คือบ้านโนนสมบูรณ์ ตําบลหนองตาด อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอย่างที่อาศัยในหมู่บ้านโนนสมบูรณ์ จํานวน 300 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบทาโร่ ยามาเน่ คัดเลือกประชาชนในหมู่บ้าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จํานวน 3 ตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะเคราะห์ปัจจัยเชิงยืนยันและแบบจําลองสมการโครงสร้างโดยใช้โปรแกรมสถิติ JASP v.0.16.4.0 ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการมีส่วนร่วมการบริหารจัดการขยะชุมชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันผ่านเกณฑ์ โดยมีค่าอํานาจจําแนกตั้งแต่ 0.372 ถึง 0.986 ค่า KMO เท่ากับ 0.927 มีความสัมพันธ์เชิงบวกเหมาะสมในการใช้วิเคราะห์องค์ประกอบ 3. วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันปัจจัยที่ส่งผลมี 3 องค์ประกอบ 28 ตัว บ่งชี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อลักษณะการบริหารจัดการขยะชุมชนมีความตรงเชิงโครงสร้างและสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีที่ผ่านเกณฑ์ทุกค่า คือ = 1738.627, df= 489, P-value = 0.000, GFI = 0.882, AGFI = 0.951, RMSEA = 0.033, SRMR =0.052 และ /df) = 3.55
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/gajasara/article/view/266939/180367
2566-07-01T00:00:00Z
-
โปสเตอร์นำเสนอการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ2566
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8799
โปสเตอร์นำเสนอการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ2566
รัฐประศาสนศาสตร์, สาขาวิชา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 นักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 113 คน ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การฝึกประสบการณ์วิชาชีพทางรัฐประศาสนศาสตร์ [2554802] ฝึกงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในองค์การภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เน้นการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์การบริหารงานในองค์การ การวางโครงการในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานในองค์การ และร่วมกิจกรรมทางการบริหารในองค์การ การประชุม การฝึกอบรม การสร้างทีมงาน และการประเมินผล วันที่ 30 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 256 (450 ชั่วโมง) 65 วัน หน่วยงานที่นักศึกษาเลือกเพื่อทำการฝึกภาคปฏิบัติ จำนวน 50 หน่วยงาน
https://pa.bru.ac.th/2023/12/11/pet66/
โปสเตอร์รายงานการฝึกประสบการณ์วิชาชีพรัฐประศาสนศาสตร์
2567-02-01T00:00:00Z
-
โปสเตอร์นำเสนอการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ2566
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8798
โปสเตอร์นำเสนอการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ2566
รัฐประศาสนศาสตร์, สาขาวิชา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 นักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 113 คน ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา การฝึกประสบการณ์วิชาชีพทางรัฐประศาสนศาสตร์ [2554802] ฝึกงานด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในองค์การภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน เน้นการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์การบริหารงานในองค์การ การวางโครงการในการแก้ไขปัญหาการบริหารงานในองค์การ และร่วมกิจกรรมทางการบริหารในองค์การ การประชุม การฝึกอบรม การสร้างทีมงาน และการประเมินผล วันที่ 30 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 256 (450 ชั่วโมง) 65 วัน หน่วยงานที่นักศึกษาเลือกเพื่อทำการฝึกภาคปฏิบัติ จำนวน 50 หน่วยงาน
https://pa.bru.ac.th/2023/12/11/pet66/
2567-02-01T00:00:00Z
-
การพยาบาลครอบครัว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8796
การพยาบาลครอบครัว
แสงงาม, ถาวรีย์
-
สถิติชีพ (Vital statistics) และดัชนีอนามัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8795
สถิติชีพ (Vital statistics) และดัชนีอนามัย
แสงงาม, ถาวรีย์
-
การให้อาหารทางสายยาง และการดูแลสายสวนปัสสาวะ สำหรับผู้ช่วยเหลือคนไข้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8794
การให้อาหารทางสายยาง และการดูแลสายสวนปัสสาวะ สำหรับผู้ช่วยเหลือคนไข้
ชัยวงศ์, ณรงค์กร
-
บทนำโภชนาการและโภชนบำบัด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8793
บทนำโภชนาการและโภชนบำบัด
ชัยวงศ์, ณรงค์กร
-
พยาบาลกับการสอนสุขศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8792
พยาบาลกับการสอนสุขศึกษา
Hormniam, Nongnuch
-
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติเชิงคณิตศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8791
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติเชิงคณิตศาสตร์
ศิลปกอบ, กรกช
-
สื่อประกอบการสอนการประมาณค่าเฉลี่ยประชากร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8790
สื่อประกอบการสอนการประมาณค่าเฉลี่ยประชากร
ศิลปกอบ, กรกช
-
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8789
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ศิลปกอบ, กรกช
-
สื่อประกอบการสอนรายวิชาแผบแบบการทดลอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8788
สื่อประกอบการสอนรายวิชาแผบแบบการทดลอง
ศิลปกอบ, กรกช
-
สื่อประกอบการสอนรายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8787
สื่อประกอบการสอนรายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์
ศิลปกอบ, กรกช
บทที่ 2 ตัวแปรสุ่มและการแจกแจงความน่าจะเป็น
-
การศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8786
การศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
พรมนัด, พัชราภรณ์; ศิลปกอบ, กรกช
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ของประชาชนในเขตเทศเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสุขภาพ กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ทำการเก็บรวบรวมจากตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยการเลือกตัวอย่างสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิจาก 18 ชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.945 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ สถิติทดสอบไคสกำลังสอง และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพกาย พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพมีความสัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพกาย และภาวะสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพในระดับค่อนข้างสูง (r = 0.689**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2023-02-24T00:00:00Z
-
คำสั่งแนะแนว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8785
คำสั่งแนะแนว
สาขาวิชาเคมี
-
โครงการทวนสอบ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8784
โครงการทวนสอบ
สาขาวิขาเคมี
-
โครงการเตรียมพร้อมสาขาวิขาเคมี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8783
โครงการเตรียมพร้อมสาขาวิขาเคมี
สาขาวิขาเคมี
-
คำสั่งสัมภาษณ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8782
คำสั่งสัมภาษณ์
สาขาวิชาเคมี
-
ตักบาตรประจำสัปดาห์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8781
ตักบาตรประจำสัปดาห์
สาขาวิขาเคมี; สาขาวิขาเคมี
-
โครงการปีใหม่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8779
โครงการปีใหม่
สาขาวิขาเคมี
-
วิทยากรละหานทราย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8778
วิทยากรละหานทราย
สาขาวิขาเคมี
-
เอกสารการร่วมงาน BRICC
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8777
เอกสารการร่วมงาน BRICC
สาขาวิขาเคมี; สาขาวิขาเคมี
-
คำสั่งวันเด็ก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8775
คำสั่งวันเด็ก
สาขาวิขาเคมี
-
งานกฐิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8774
งานกฐิน
งานกฐิน สาขาเคมี
-
Scopus and the Chemistry Connection
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8773
Scopus and the Chemistry Connection
สาขาวิขาเคมี
-
HCP Analysis in Biopharmaceuticals by Mass Spectrometry
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8772
HCP Analysis in Biopharmaceuticals by Mass Spectrometry
Sainate, Chuleekant
2024-02-01T00:00:00Z
-
Mechanistic Modelling in Early Stage Chromatography Process Development...
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8771
Mechanistic Modelling in Early Stage Chromatography Process Development...
Sainate, Chuleekant
2024-01-01T00:00:00Z
-
Best Practices of Downstream Protein Purification and Product Concentration
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8769
Best Practices of Downstream Protein Purification and Product Concentration
Sainate, Chuleekant
Best Practices of Downstream Protein Purification and Product
Concentration
2024-01-01T00:00:00Z
-
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากรำข้าวพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8768
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากรำข้าวพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 จังหวัดบุรีรัมย์
Sainate, Chuleekant
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากรำข้าวพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ประชากร คือ รำข้าวพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 กลุ่มตัวอย่าง คือ รำข้าวจากบ้านสวายจีก บ้านสนวนนอก อำเภอเมือง และบ้านโคกเมือง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยทำการศึกษาตัวทำละลายที่เหมาะสมในการสกัด ปริมาณสารโปลีฟีนอลรวม ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ดีพีพีเอช (DPPH) และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ (SPSS) พบว่าตัวทำละลายเมทานอลสามารถสกัดรำข้าวให้ระดับร้อยละผลผลิต (%yield) สูงที่สุดส่วนปริมาณสารโปลีฟีนอลรวมจะพบในสารสกัดรำข้าวจากบ้านสวายจีกมากที่สุด เท่ากับ 58.67 บ้านสนวนนอก เท่ากับ 39.70 และบ้านโคกเมือง เท่ากับ 32.70 mg GAE/g DW เมื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีพีพีเอช(DPPH) โดยคิดเป็นร้อยละการยับยั้งอนุมูลอิสระ (%Inhibition) พบว่าบ้านสนวนนอก เท่ากับ 95.17% บ้านสวายจีก เท่ากับ 85.96% และบ้านโคกเมือง เท่ากับ 50.98% ค่ากิจกรรมการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH เทียบเท่าวิตามินซี (mg Vitamin C/g DW) พบว่าบ้านสนวนนอก เท่ากับ 61.91 บ้านสวายจีก เท่ากับ 57.35 และบ้านโคกเมือง เท่ากับ 34.65 mg Vitamin C/g DW และเมื่อวิเคราะห์ค่าทางสถิติ (One way analysis of variance : One way ANOVA) ของค่ากิจกรรมการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH เทียบเท่าวิตามินซี (mg Vitamin C/g DW) พบว่าสารสกัดรำข้าวของ 3 ชุมชน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2023-07-01T00:00:00Z
-
บทที่ 1 การสร้างเสริมสุขภาพเด็กและวัยรุ่นในภาวะปกติ อ.กนิษฐา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8767
บทที่ 1 การสร้างเสริมสุขภาพเด็กและวัยรุ่นในภาวะปกติ อ.กนิษฐา
จอดนอก, กนิษฐา
เด็กและวัยรุ่น เป็นวัยที่มีพัฒนาการที่ต้องมีการส่งเสริมพัฒนาการที่แตกต่างกัน จึงต้องมีการเรียนรู ้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการสร้างพัฒนาการ ความต้องการและการส่งเสริมพัฒนาการให้เป็นไปตามวัย
-
รูปแบบการบริหารงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8766
รูปแบบการบริหารงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์
กิตติศักดิ์, นามวิชา
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ที่ทำการตอบแบบสัมภาษณ์ คือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ที่ทำการตอบแบบสอบถาม คือ บุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ตามทฤษฎีการบริหารตามทฤษฎีการบริหาร POCCC ของ เฮนรี่ ฟาโยล(Henri Fayol) 5 ประการ ได้แก่ ได้แก่ การวางแผน การจัดการองค์กร การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน การควบคุม ในแต่ละด้านมีการตั้งข้อคำถามด้านละ 3 ข้อ และวิเคราะห์ 4 ด้าน ได้แก่ด้านที่ 1 จุดแข็ง ด้านที่ 2 จุดอ่อน ด้านที่ 3 โอกาส ด้านที่ 4 อุปสรรค ในแต่ละด้านมีการตั้งข้อคำถามด้านละ 3 ข้อ และแบบสอบถามตามทฤษฎีการบริหารตามทฤษฎีการบริหาร POCCC ของ เฮนรี่ ฟาโยล (Henri FayoV) 5 ประการ ได้แก่ กรวางแผน การจัดการองค์กร การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน การควบคุม ในแต่ละด้านมีการตั้งข้อคำถามด้านละ 5 ข้อ โดยมีการเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ถึง มีนาคม 2567 และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาตามข้อมูลที่ได้จากแบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม ใช้สถิติเชิงพรรณาในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตฐาน
ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารงานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ใช้กระบวนการ PDCA ในการบริหารจัดการงาน คือวงจรบริหารสี่ขั้นตอนที่ประกอบไปด้วย Plan (การวางแผน) Do (ปฏิบัติ) Check (ตรวจสอบ) และ Action (การดำเนินการ) วงจรการบริหารงานคุณภาพใช้ในการควบคุมและพัฒนากระบวนการหรือผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง PDCA ทั้งสี่ขั้นตอน และยังพบว่า ด้านการวางแผน การบริหารยึดวัตถุประสงค์ คือ วิธีการบริหารโดยการ กำหนดร่างแผนประจำปี และความสำคัญของปัญหาเพื่อที่จะศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา และจัดทำแผนปฏิบัติงานต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมาย ด้านการจัดองค์กร มีการพัฒนาในรูปแบบของการ บริการที่ทันสมัย และมีการกระจายอำนาจหน้าที่ในการทำงานขององค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถบริหารความเปลี่ยนแปลงได้อย่างประสบความสำเร็จ สามารถนำระบบบริหารงานบุคคลมาใช้กับการช่วยวางแผนการจัดวางกำลังคนให้เหมาะกับงานได้ โดยที่นำข้อมูลต่างๆ ของพนักงาน เช่นอายุเฉลี่ย อายุงานของพนักงานและอื่นๆ มาจำลองวางแผนจัดการกำลังคน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สำรวจ training need ของบุคคลากร ในแต่ละปีเพื่อวางแผนการฝึกอบรม เพิ่มพูนความรู้ เพื่อให้การพัฒนาที่หน่วยงานหรือองค์กรวางแผนพัฒนาบุคลกรในองค์กร มีความคุ้มค่าคุ้มทุนและเป็นการเพิ่มคุณค่า (added value) เพื่อสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่มีค่าขององค์กร และสามารถนำมาใช้ในการจัดทำแผนการพัฒนาและฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อไป เน้นใช้งบประมาณที่ประหยัดและเกิดผลประโยชน์สูงสุด การบริหารจัดการทุกประเภทจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหรือทรัพยากรทางการบริหารจัดการที่สำคัญ ได้แก่ บุคลากร (Man) เงิน (Money) วัสดุอุปกรณ์ (Material และการจัดการ(Management) และจากการตอบแบบสอบถาม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 90.00 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 31 - 40 ปี จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40.00 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีระยะเวลา / อายุงาน ที่ปฏิบัติงาน มากกว่า 2 ปี 1 เดือน ขึ้นไป จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 90.00 และ P - Planning : (การวางแผน) ข้อ 1.1) ท่านมีความพึงพอใจต่อกฎระเบียบ วินัยและข้อบังคับในการปฏิบัติงานของหน่วยงาน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดอยู่ที่ 4.30 O - Organizing : (การจัดองค์กร) ข้อ 2.1) ท่านมีความพึงพอใจที่มีต่อนโยบายหรือมาตรการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานให้กับบุคลากรของหน่วยงาน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย มีค่าเฉลี่ย 4.10 ข้อ 2.4) ท่านมีความพึงพอใจในการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารภายในหน่วยงาน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 9.10 C - Commanding : (การบังคับบัญชาหรือสั่งการ) ข้อ 3.2) ท่านมีความพึงพอใจที่มีต่อหน่วยงานมีการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างคุ้มค่าในการบริหารงานในองค์กร เช่น วัสดุ อุปกรณ์ และสาธารณูปโภคต่างๆ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดอยู่ที่ 4.30 C - Coordinting : (การประสานงาน) ข้อ 4.3) ท่านมีความพึงพอใจในการประสานงาน เพื่อให้ บุคลากรได้ทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดอยู่ที่ 4.30 C - Controling : (การควบคุม) ข้อ 5.4) ท่านมีความพึงพอใจต่อหน่วยงานของท่านที่มีการควบคุมโรคระบาดหรือโรคประจำถิ่นในชุมชน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.50
2024-03-05T00:00:00Z
-
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8765
กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา1
กิตติศักดิ์, นามวิชา
เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา 1 รหัส 4071105 เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาที่กำลังศึกษาในรายวิชานี้และผู้อื่นที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกายวิภาคและสรีรวิทยาของมนุษย์ ซึ่งในเนื้อหาผู้เขียนได้เขียนครอบคลุมเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกายวิภาคและสรีรวิทยา เซลล์ เนื้อเยื่อ ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และระบบอวัยวะรับความรู้สึก ผู้เขียนหวังว่า เอกสารฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา สามารถที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตทั้งต่อตนเองและครอบครัวได้ นักศึกษาที่เรียนในรหัสวิชานี้สามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากเอกสาร ตำรา หนังสือเล่มอื่นๆ ได้ เพื่อให้มีความรู้ที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
-
สื่อการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ข้อมูลเบื้องต้นและการวิเคราะห์ข้อมูล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8764
สื่อการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ข้อมูลเบื้องต้นและการวิเคราะห์ข้อมูล
วรรณตรง, นางสาวณปภัช
สื่อการสอนรายวิชา วิทยาศาสตร์ข้อมูลเบื้องต้นและการวิเคราะห์ข้อมูล
-
เอกสารประกอบการสอน การพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8763
เอกสารประกอบการสอน การพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
วรรณตรง, นางสาวณปภัช
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาการพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
-
การสกัดข้อมูลผลการแข่งขัน ROV ด้วยเทคโนโลยี OCR
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8761
การสกัดข้อมูลผลการแข่งขัน ROV ด้วยเทคโนโลยี OCR
วรรณตรง, นางสาวณปภัช; บุษบง, สกรณ์
The esports industry in Thailand has gained widespread attention, with several organizations starting to organize RoV tournaments to enhance the excitement of the competitions. Consequently, statistics of each match arecollected and utilized as data for promoting each round of the competition. Conventionally, the method of data collection involves capturing images of the match results and manually inputting the information for further analysis. However, this process often leads to errors or delays, particularly when dealing with a large volume of data. To address these issues, the researchers explore the use of Optical Character Recognition (OCR) for data extraction from images, aiming to reduce errors associated with manual data entry and improve the convenience and efficiency of data collection. A comparative analysis of image data extraction performance between pytesseract and easyOCR reveals that pytesseract provides superior data extraction results and requires lesstime for the extraction process.
2023-01-01T00:00:00Z
-
การทำนายโอกาสการเลื่อนชั้นของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาด้วยอัลกอลิทึม การเรียนรู้ของเครื่อง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8760
การทำนายโอกาสการเลื่อนชั้นของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาด้วยอัลกอลิทึม การเรียนรู้ของเครื่อง
แสงสว่าง, จารุมาศ; วรรณตรง, นางสาวณปภัช
งานวิจัยนี้นำเสนอการทำนายข้อมูลโอกาสที่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จะได้เลื่อนชั้นขึ้นชั้นปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้ของเครื่อง ในบริบทการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อสร้างแบบจำลองทำนายโอกาสการได้ขึ้นชั้นปี 2 ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และ 2) เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันทำนายโอกาสการได้ขึ้นชั้นปี 2 ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์
ผลการสร้างแบบจำลองทำนายโอกาสการได้ขึ้นชั้นปี 2 ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม นักศึกษาสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ชั้นปีที่ 1-4 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์จำนวน 125 คน และรวบรวบข้อมูลจากสำนักวิชาการและงานทะเบียนของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปรับข้อมูลที่ไม่สมดุลด้วยเทคนิค SMOTE และสร้างแบบจำลองจากอัลกอลิทึม 3 ได้แก่ เทคนิคการวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติก เทคนิคป่าไม้ตัดสินใจ และเทคนิคต้นไม้ตัดสินใจ วัดประสิทธิภาพแต่ละอัลกอลิทึมด้วยค่าความถูกต้อง และค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือ ผลการวัดประสิทธิภาพของแบบจำลอง พบว่า แบบจำลองที่ใช้เทคนิคการวิเคราะห์การถดถอยโลจีสติกมีประสิทธิภาพในการทำนายที่สูงที่สุด
ผลการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันทำนายโอกาสการได้ขึ้นชั้นปี 2 ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ นำแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมาพัฒนาในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ในการทำนายด้วยภาษา Python และ Django Framework และใช้โปรแกรม Postgresql เป็นฐานข้อมูล ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อเว็บแอปพลิเคชันพบว่า ผู้ใช้มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.59 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.55
2023-12-28T00:00:00Z
-
การผลิตถ่านอัดแท่งจากตะเกียบไม้ไผ่ที่ใช้แล้วร่วมกับเปลือกทุเรียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8759
การผลิตถ่านอัดแท่งจากตะเกียบไม้ไผ่ที่ใช้แล้วร่วมกับเปลือกทุเรียน
ธีรารัตน์ จีระมะกร
งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาการผลิตถ่านอัดแท่งจากตะเกียบไม้ไผ่ที่ใช้เเล้วร่วมกับเปลือกทุเรียน โดยจะศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการผลิตถ่านอัดแท่ง และศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ การขึ้นรูป การคงรูป ค่าความหนาแน่น ดัชนีการแตกร่วน และคุณสมบัติทางด้านเชื้อเพลิง ได้แก่ ปริมาณความชื้น ปริมาณเถ้า และค่าความร้อน ประกอบด้วย 11 ชุดการทดลองในอัตราส่วน ตะเกียบไม้ไผ่ และเปลือกทุเรียน คือ 100:0 (T1), 90:10 (T2), 80:20 (T3), 70:30 (T4), 60:40 (T5), 50:50 (T6), 40:60 (T7), 30:70 (T8), 20:80 (T9), 10:90 (T10), และ 0:100 (T11) ทำการทดลองจำนวน 3 ซ้ำ อัดแท่งด้วยวิธีการอัดเย็น โดยใช้เครื่องอัดถ่านแบบสกรู และตัวประสานที่ใช้ คือ กาวแป้งเปียก 40 กรัม
ผลการศึกษา พบว่า ถ่านอัดแท่งจากตะเกียบไม้ไผ่ที่ใช้แล้วร่วมกับเปลือกทุเรียน ในชุดการทดลองที่ T4, T5, T6 และ T7 สามารถขึ้นรูป และคงรูปได้สมบูรณ์ที่สุด เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ และคุณสมบัติทางด้านเชื้อเพลิง พบว่า ชุดการทดลองที่ T5 มีความเหมาะสมที่สุดในการนำมาผลิตเป็นถ่านอัดแท่งเนื่องจากมีการขึ้นรูป และคงรูปที่สมบูรณ์ มีค่าความหนาแน่น 1.2029ns กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ดัชนีการแตกร่วน 0.9953ns กรัม ปริมาณความชื้นร้อยละ 0.2078ns ปริมาณเถ้าร้อยละ 2.1682ns และค่าความร้อน 6,796 แคลอรีต่อกรัม เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนของถ่านอัดแท่งปี 2547 กำหนดค่าความร้อนต้องไม่ต่ำกว่า 5,000 แคลรีต่อกรัม มีปริมาณค่าความชื้นไม่ต่ำกว่า 8 โดยน้ำหนัก ตามมาตรฐานกำหนด
2566-11-16T00:00:00Z
-
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8757
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
รัตนา, ชนัดดา
-
ศึกษาเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนมีส่วนร่วมจากผลประเมินในรายวิชา “วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต”
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8756
ศึกษาเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนมีส่วนร่วมจากผลประเมินในรายวิชา “วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต”
จันผกา, บัวลอย; จันทร์นวล, ปฏิมา; ทัพสุริย์, สุภาวรัตน์; จันทร์นวล, เก่ง
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ คือ ศึกษาเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนมีส่วนร่วมจากผลประเมินในรายวิชา “วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต” ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในสาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้า คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และสาขาวิชาสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการจัดการ ระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยการประเมินความพึงพอใจในการเรียนการสอน ในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลการประเมินเจตคติต่อบทเรียนจาก 15 คำถาม และการประเมินการจัดการสอนแบบให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม 25 คำถาม ผลการประเมิน พบว่า หัวข้อที่นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้าร้อยละ 52.9 ประเมินว่าสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คือ ‘พลังงาน’ ในขณะที่นักศึกษาในสาขาวิชาสื่อสารมวลชนร้อยละ 85.7 ประเมินให้หัวข้อ ‘สารเคมีในเครื่องสำอาง’ หัวข้อที่กิจกรรมมีความสนุกสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้าร้อยละ 52.9 คือ ‘คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า’ และ ‘สารอาหาร สลากอาหาร และยา’ แตกต่างจากนักศึกษาในสาขาวิชาสื่อสารมวลชนที่ประเมินว่าหัวข้อ ‘สารเคมีในเครื่องสำอาง’ มีความสนุกในการทำกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 71.4 โดยนักศึกษาทั้งสองสาขาประเมินว่าสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อย คือ ‘อัตราส่วน ร้อยละ’ คิดเป็นร้อยละ 41.2 และ 64.3 ตามลำดับ; The aim of this research is to investigate the attitudes in active-learning provided on "Science for Quality of Life" course. The first-year students of Electrical Engineering Technology program in Faculty of Industrial Technology, and Mass Communication program in Faculty of Management Science at Buriram Rajabhat University, registered in second semester, answered a questionnaire. Data was collected from 15 questions for assessed the attitude on each chapter and 25 questions for assessed the active-based learning in this course. The results show that active-based learning impacted on students’ attitude. ‘energy’ is the chapter can used in everyday life, from assessed of 52.9 % students of Electrical Engineering Technology program. In the other hand, 85.7% students of Mass Communication represented in ‘cosmetics chemistry’. In terms of enjoyable activities, 52.9 % students of Electrical Engineering Technology interested in ‘electromagnetic waves’ and ‘nutrition, food label and medicine’ but 71.4 % students of Mass Communication interested in ‘cosmetics chemistry’. However, the lowest interested chapter for both group’ students was ‘ratios and percentages’ that was found at percentage of 41.2 and 64.3, respectively.
2567-03-03T00:00:00Z
-
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8755
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Z
-
การใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8754
การใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
แสงสว่าง, จารุมาศ
ใช้ประกอบการเรียนพาทการคำนวณในรายวิชาสถิติธุรกิจ
-
การศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8753
การศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; บุตรงาม, ทองสา; อารมณ์, เขมิกา; นพตลุง, ศฐาน์ภัฏ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดำรงชีวิตก่อนและหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ป่วยภาวะ Long COVID เพื่อศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อศึกษาระดับผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ และสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัย พบว่าพฤติกรรมการดำรงชีวิตของผู้ป่วยก่อนและหลังการติดเชื้อของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ต่างกัน โดยอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อ 5 อันดับแรก ได้แก่ อ่อนเพลีย ไอเรื้อรัง นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดตามตัว และข้อกระดูก ตามลำดับ ซึ่งระดับผลกระทบของอาการผิดปกติที่มีต่อร่างกายหรือการใช้ชีวิตในระดับที่ค่อนข้างน้อย และเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าสัดส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันทำให้มีระดับผลกระทบของการแสดงอาการที่ตามมาทั้งด้านสุขภาพร่างกายและด้านการใช้ชีวิต แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05); The purposes of this research were to study the lifestyles of long COVID patients before and after infection with COVID-19, to identify symptoms or complications after infection with COVID-19, to measure the level of impacts of symptoms or complications after infection with COVID-19, and to compare the proportion of occurrence of symptoms or complications after infection with COVID-19 based on basic data of Long COVID patients in Buriram Province. Research participants, were 400 people who had been infected with COVID-19, obtained through the snowball sampling method. The research tool was a questionnaire. Statistics used for data analysis included frequency, percentage, and chi-square test. Research findings showed that the most respondents lifestyles before and after infection with COVID-19 were not different. The first most common symptoms or complications suffered after the infection were fatigue, chronic cough, insomnia, dizziness, muscle weakness with body and joint pain, respectively. The level of impacts that those symptoms had on the body or lifestyle was relatively low. When comparing the proportion of occurrence of the symptoms or complications after infection with COVID-19, it was found that differences in personal factors resulted in significantly different levels of impacts of symptoms both in terms of physical health and living (p<0.05).
2023-01-01T00:00:00Z
-
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 4074505 กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ฉบับปรับปรุง 2567
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8752
เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 4074505 กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ฉบับปรับปรุง 2567
ดวงคำ, เสกสิทธิ์
เอกสารประกอบการสอน เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอน ในรายวิชา 4074505 รายวิชา กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพสาธารณสุข (Laws and Ethic in Public Health Professional) สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย บทบาทของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขในกฏหมาย สาระสำคัญของพระราชบัญญัติที่สำคัญในบังคับใช้ในงานสาธารณสุข และจรรยาบรรณวิชาชีพสาธารณสุข ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาจากหนังสือ ตำรา และบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง
-
การพัฒนาแอปพลิเคชันแชตบอตสำหรับงานบริการนักศึกษา กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8751
การพัฒนาแอปพลิเคชันแชตบอตสำหรับงานบริการนักศึกษา กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ฝ้ายพรม, เจษฎา; เขตรัมย์, ธนกร; ยาทองไชย, ชูศักดิ์; ยาทองไชย, วิไลรัตน์
2566-02-21T00:00:00Z
-
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8750
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
-
หลักการออกกำลังกายและการฝึกกีฬา (ฉบับปรับปรุง 2567)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8749
หลักการออกกำลังกายและการฝึกกีฬา (ฉบับปรับปรุง 2567)
ผศ.กริชเพชร นนทโคตร
-
สื่อประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8747
สื่อประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
-
สื่อประกอบการสอน รายวิชา4073901 การวิจัยทางสาธารณสุข (การนำเสนอรายงานวิจัย)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8746
สื่อประกอบการสอน รายวิชา4073901 การวิจัยทางสาธารณสุข (การนำเสนอรายงานวิจัย)
ดวงคำ, เสกสิทธิ์
-
อิทธิพลความร้อนต่อคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของเยื่อหุ้มฟักข้าว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8745
อิทธิพลความร้อนต่อคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของเยื่อหุ้มฟักข้าว
เหลารินทร์, ชลิตา; ภักดีเดชาเกียรติ, วรนุช
ฟักข้าวเป็นพืชที่เจริญได้ดีในทวีปเอเชีย ตั้งแต่จีน เวียดนาม รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งมีการนำฟักข้าวมาใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งการเป็นอาหาร และยารักษาโรคได้ โดยเฉพาะส่วนผลของฟักข้าวที่มีการนำมาใช้ประโยชน์มาก ในการวิจัยนี้มีการนำสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดของฟักข้าวมาทดสอบการต้านอนุมูลอิสระที่อุณหภูมิต่าง ๆ ซึ่งพบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นมีอิทธิพลให้กิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระลดลง เมื่อนำมาทดสอบเทียบกับที่อุณหภูมิห้อง และอุณหภูมิที่สูงขึ้นยังมีอิทธิพลให้สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ได้แก่ปริมาณแคโรทีนอยด์รวม สารประกอบฟีนอลิกรวม และฟลาโวนอยด์รวม มีปริมาณลดลง จากผลการทดสอบนี้แสดงให้เห็นว่า อุณหภูมิมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการลดลงของกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ และการลดลงของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพด้วย
2566-10-10T00:00:00Z
-
คัพภวิทยา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8744
คัพภวิทยา
ประครองรักษ์, นฤมล
-
คัพภวิทยา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8743
คัพภวิทยา
ประครองรักษ์, นฤมล
-
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้าง ทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8742
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้าง ทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์; ณัฐสิทธิ์ จำปาเงิน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า สาขาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 2 ) เพื่อเปรียบเทียบความต้องการในเรื่องการพัฒนาทักษะใหม่ และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า สาขาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 จำแนกตาม อายุ อาชีพ ลักษณะหน่วยงานที่ประกอบอาชีพ ที่ตั้งของสถานประกอบการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 ทั้งหมด 190 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาชเท่ากับ 0.924 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลีย ส่วนเบียนเบนมาตรฐาน และ สถิติทดสอบ
F - test
ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อเสริมสร้างทักษะเดิมส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก มีเพียงศิษย์เก่าต้องการเสริมสร้างทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ (= 4.53, S.D. = 0.61) เท่านั้นอยู่ในระดับมากที่สุด ในส่วนของความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ศิษย์เก่าต้องการพัฒนาอยู่ในระดับมากทุกเรื่อง โดยทักษะใหม่ที่ศิษย์เก่าต้องการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop เมื่อทำการเปรียบเทียบความต้องการในเรื่องการพัฒนาทักษะใหม่ และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า พบว่า ศิษย์เก่าที่มี อายุ อาชีพ ลักษณะหน่วยงาน ที่ตั้งของสถานประกอบการต่างกัน จะมีความต้องการเสริมสร้างทักษะเดิมเรื่องการใช้โปรแกรม Microsoft Excel และ ทักษะการใช้โปรแกรมการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศ ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในส่วนของทักษะใหม่ พบว่า ศิษย์เก่าที่มีลักษณะหน่วยงานที่ประกอบอาชีพต่างกันจะมีความต้องการพัฒนาทักษะใหม่ในเรื่อง ทักษะการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Orange ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Awos ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Eview ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Tabula และ ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น Phthon, R, Unix, Java/sdala และ SQL ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05; This research aims to study 1) the level of self-development needs to develop new skills and strengthen existing skills of alumni. Applied Statistics field Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018 2 ) to compare the needs in the development of new skills and strengthen the existing skills of alumni Applied Statistics field Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018, classified by age, occupation, nature of occupational organization Location of the establishment The population used in the study was alumni of the applied statistics program. Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018, a total of 190 students, using the proportional stratified sampling method. Data were collected using a questionnaire with a Cronbach's alpha coefficient of 0.924. Data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation and F - test statistics.
The research results found that The need for self-development to strengthen previous skills is mostly at a high level. Only alumni wanting to strengthen their English language skills ( = 4.53, S.D. = 0.61) were at the highest level. In terms of the need for self-development to develop new skills Alumni want to develop at a high level in every area. The new skills that alumni want to develop the most include: Alumni want to increase their skills in using Adobe Photoshop. When comparing the needs for developing new skills, and strengthen the existing skills of alumni. It was found that alumni with different ages, occupations, and organizational characteristics The locations of the establishments are different. There will be a need to strengthen previous skills in using Microsoft Excel and skills in using information presentation programs. They are significantly different at the significance level of 0.05. In terms of new skills, it was found that alumni with different career organization characteristics will have a desire to develop new skills in Skills in using Adobe Photoshop. Alumni want to increase skills in using the Orange program. Alumni want to increase skills in using the Awos program. Alumni want to increase skills in using the Eview program. Alumni want to increase skills in using the Tabula program. Alumni want to increase skills in using the Tabula program. And alumni need more skills in using the language program. Programs such as Phthon, R, Unix, Java/sdala, and SQL are significantly different at the 0.05 significance level.
2567-02-02T00:00:00Z
-
สื่อประกอบการสอนรายวิชา สถิติวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8741
สื่อประกอบการสอนรายวิชา สถิติวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์
หลักการเบื้องต้นทางสถิติและสถิติพรรณนาเชิงพื้นที่แหล่งข้อมูล การสุ่มตัวอย่างแหล่งข้อมูล การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐานแหล่งข้อมูล การวิเคราะห์จำแนกกลุ่มแหล่งข้อมูล การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นและสหสัมพันธ์แหล่งข้อมูล
-
การศึกษาคุุณสมบัติทางเคมีและประสาทสัมผัสของสาโทข้าวเหนียว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8739
การศึกษาคุุณสมบัติทางเคมีและประสาทสัมผัสของสาโทข้าวเหนียว
ศิริขันธ์แสง, ประภาพันธ์; งามทวี, วรรณวิสา; บุุญโกมล, พนิชา
งานวิิจััยนี้้��มีีวััตถุุประสงค์์เพื่่��อศึึกษาคุุณสมบััติิทางเคมีีและประสาทสััมผััสของสาโทข้้าวเหนีียว 3 ชนิิด คืือ
ข้้าวเหนีียว กข.6 ข้้าวเหนีียวนางนวล และข้้าวเหนีียวลืื มผััว โดยใช้้ลููกแป้้ง 10 กรััม ต่่อข้้าว 3 กิิโลกรััม และผ่่าน้้ ำโดย
การเติิมน้้ ำต้้มสุุกที่่ ��เย็็นแล้้ว ปริิมาตร 1.50 ลิิตรต่่อข้้าว 1 กิิโลกรััม จากการศึึ กษาการหมัักสาโทเป็็นเวลา 7 วััน พบว่่า
ปริิมาณของแข็็งที่่ ��ละลายได้้ทั้้ ��งหมด คืื อ 2.00-28.30 องศาบริิกซ์์ ปริิมาณแอลกอฮอล์์ 0.85-7.90 เปอร์์เซ็็นต์์ โดยปริิมาตร
น้้ำตาลรี ีดิิวซ์์ 0.19±0.03-1.79±0.16 กรััมต่่อลิิตร น้้ำตาลทั้้ ��งหมด 0.06±0.01-1.65±0.01 กรััมต่่อลิิตร ปริิมาณกรด
ทั้้��งหมด 1.50±0.00-11.50±0.57 กรััมต่่อลิิตร จากการศึึกษาฤทธิ์์��การต้้านอนุุมููลอิ ิสระ (DPPH) พบว่่า ในข้้าวเหนีียว
กข. 6 ข้้าวเหนีียวนางนวล และข้้าวเหนีียวลืืมผััว มีีความสามารถในการต้้านอนุุมููลอิ ิสระอยู่่�ในช่่วง 23.98±5.48-
39.68±1.23 61.99±2.17-87.51±0.28 และ 59.92±4.91-88.58±0.10 เปอร์์เซ็็นต์์ตามลำดัับ การทดสอบการยอมรัับ
คุุณภาพทางประสาทสััมผััสพบว่่า ค่่าคะแนนความชอบโดยรวมของสาโทข้้าวเหนีียว กข. 6 สาโทข้้าวเหนีียวนางนวล และ
สาโท ข้้าวเหนีียวลืืมผััวมี ีค่่าเท่่ากัับ 6.27±4.86 6.17±4.25 และ 7.80±4.84 คะแนนตามลำดัับ ซึ่่��งสาโทข้้าวเหนีียว
ลืืมผััวมี ีค่่าคะแนนมากที่่��สุุด แต่่อย่่างไรก็็ตามเมื่่��อนำผลจากการทดสอบการยอมรัับคุุณภาพทางประสาทสััมผััส
ด้้านความใส สีี กลิ่่��น รสชาติิ และความชอบโดยรวมของสาโทข้้าวเหนีียวทั้้ ��ง 3 ชนิิดมาวิิเคราะห์์ทางสถิิติิพบว่่า มีีค่่า
ไม่่แตกต่่างกัันอย่่างมีีนััยสำคััญทางสถิิติิที่่ ��ระดัับความเชื่่��อมั่่ ��นร้้อยละ 95 (p>0.05)
2565-01-01T00:00:00Z
-
Major Phytochemical as ��-Sitosterol Disclosing and Toxicity Testing in Lagerstroemia Species
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8738
Major Phytochemical as ��-Sitosterol Disclosing and Toxicity Testing in Lagerstroemia Species
Sirikhansaeng, Prapaparn; Tanee, Tawatchai; Sudmoon, Runglawan; Chaveerach, Arunrat
Medicinal plants in genus Lagerstroemia were investigated for phytochemical contents by GC-MS and HPLC with ethanol and
hexane extracts and their toxicity MTT and comet assay on human peripheral blood mononuclear cells (PBMCs). -Sitosterol is
the major component found in all species at 14.70–34.44%. All of the extracts, except for L. speciosa ethanol extract, showed high
percentages of cell viability. The IC50 value, 0.24mg/mL, of ethanol L. speciosa extract predicted an LD50 of 811.78mg/kg, which
belongs toWHO Class III of toxic chemicals. However, in-depth toxicity evaluation by the comet assay showed that the four tested
species induced significant ( < 0.05) DNAdamage in PBMCs. -Sitosterol was previously reported to possess antihyperglycemic
activity by increasing insulin secretion in response to glucose. Nonetheless, consumers should consider its toxicity, and the amount
of consumption should be of concern.
2017-01-01T00:00:00Z
-
เอกสารประกอบการสอนโครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8737
เอกสารประกอบการสอนโครงสร้างข้อมูลและขั้นตอนวิธี
จันทร์นวล, เก่ง
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ภาวะซึมเศร้าในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8736
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ภาวะซึมเศร้าในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
ดวงคำ, เสกสิทธิ์
การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 1,886 คน กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มหลายขั้นตอนจำนวน 324 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดการเห็นคุณค่าในตนเอง แบบวัดภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น(PHQ-A) ระหว่างเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จำนวนร้อยละ และ Chi-Square
ผลการศึกษา พบว่า ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างมีการเห็นคณค่าตนเองอยู่ในระดับต่ำ205 คน(63.3%) มีภาวะซึมเศร้าจำนวน 102 คน (31.4%) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การมีโรคประจำตัว (p-value = 0.017) ความเพียงพอรายรับของครัวเรือน (p-value = 0.009) และการเห็นคุณค่าในตนเอง (p-value < 0.001)
ข้อเสนอแนะ โรงรียนควรมีการส่งเสริมให้นักเรียนในเรื่องการเห็นคุณค่าในตนเองให้กับนักเรียน และควรมีการคัดกรองภาวะซึมเศร้าในนักเรียนอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนที่มีโรคประจำตัว
2024-03-05T00:00:00Z
-
เอกสารประกอบการสอน 4133305 การออกแบบและการเขียนโปรแกรมบนเว็บ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8734
เอกสารประกอบการสอน 4133305 การออกแบบและการเขียนโปรแกรมบนเว็บ
ชฎารัตนฐิติ, ปุริม
-
การสกัด การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และการตรวจสอบกลุ่มสารพฤกษเคมีของ Limonia acidissima
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8733
การสกัด การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และการตรวจสอบกลุ่มสารพฤกษเคมีของ Limonia acidissima
สุวรรณา จันคนา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการสกัด ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบมะขวิด พร้อมทั้งตรวจสอบกลุ่มสารทางพฤกษเคมี ได้แก่ คูมารินส์ อัลคาลอยด์ สเตอรอยด์ เทอร์ปีนอยด์ โดยทำการสกัดใบมะขวิดด้วยตัวทำละลายเมทานอล ได้สารสกัดหยาบเมทานอล (crude methanol extract) โดยมีเปอร์เซ็นต์ของสารสกัดหยาบต่อน้ำหนักพืชแห้งคือ 8.4536% นำสารสกัดไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่าสารสกัดหยาบใบมะขวิดออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยมีค่า IC50 เท่ากับ 1611.1436 mg/L ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระมาตรฐานTrolox มีค่า IC50เท่ากับ 14.3561 mg/L การวิเคราะห์องค์ประกอบทางพฤกษเคมี ในสารสกัดใบมะขวิด โดยทำการวิเคราะห์กลุ่มสารคูมารินส์ กลุ่มสารอัลคาลอยด์ กลุ่มสารสเตอรอยด์-เทอร์ปีนอยด์ พบว่าในสารสกัดใบมะขวิดมีสารกลุ่มคูมารินส์กลุ่มอัลคาลอยด์ และกลุ่มสเตอรอยด์-เทอร์ปีนอยด์ เป็นองค์ประกอบ
2567-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแอนโทไซยานิน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เพื่อแปรรูปเป็นผงแอนโทไซยานิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8732
การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแอนโทไซยานิน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ เพื่อแปรรูปเป็นผงแอนโทไซยานิน
ศรัญญา มณีทอง; ธัญพรรณ ฮ่อบรรทัด
งานวิจัยนี้ได้ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ให้ได้ปริมาณ
สารแอนโทไซยานิน และมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระมากที่สุด เพื่อนำสารสกัดที่ได้ไปแปรรูปเป็น
ผลิตภัณฑ์ผงแอนโทไซยานิน จากผลการวิจัยพบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการสกัดข้าว โดยใช้อัตราส่วน
ของข้าวไรซ์เบอร์รี่ต่อน้ำสะอาดเป็น 1:5 คือ การสกัดโดยวิธีให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส
เป็นเวลา 15 นาที ได้ไซยานิดิน-3-กลูโคไซด์ และ เพลาร์โกนิดิน-3-กลูโคไซด์ เท่ากับ 37.950+4.809
และ 20.188+2.556 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ด้วยวิธี DPPH (IC50 97.87 มิลลิกรัมต่อลิตร) ABTS (2.58 มิลลิโมลาร์ Trolox/กรัม sample) และ
FRAP (74.70 มิลลิกรัมต่อลิตร Fe2+/กรัม sample) และมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด
(264.74 มิลลิกรัมต่อลิตร) สูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสกัดแบบไม่ให้ความร้อน นอกจากนี้ยังได้
ศึกษาการทำให้เป็นผงด้วยกระบวนการอบแห้ง (Tray dry) และทำให้แห้งแบบแช่เยือกแข็ง (Freeze
dry) พบว่าผงแอนโทไซยานินที่ผ่านการทำให้แห้งแบบแช่เยือกแข็งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า ดังนั้น
จากผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่าสามารถนำสารสกัดแอนโทไซยานินจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไปแปรรูปเป็น
ผลิตภัณฑ์ผงแอนโทไซยานิน เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อไปได้
2023-12-08T00:00:00Z
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ กรณีศึกษารายวิชาเคมี 2
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8731
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจ กรณีศึกษารายวิชาเคมี 2
ภัทรนันท์ ทวดอาจ; ศรัญญา มณีทอง; ธัญพรรณ ฮ่อบรรทัด
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนเคมี 2 กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบเจาะจง คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเคมี ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 4 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบฝึกทักษะขั้นพื้นฐานการเคมี แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบอัตนัย และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเคมี โดยใช้แบบฝึกทักษะขั้นพื้นฐานเคมี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเคมี สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 และ 3) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนเคมี 2 โดยแบ่งเป็นด้านเนื้อหาและความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ คิดเป็นร้อยละ 88 ความพึงพอใจและความมั่นใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 80 และเจตคติต่อการเรียนเคมี 2 คิดเป็นร้อยละ 80 อยู่ในระดับมาก
2024-03-04T00:00:00Z
-
เอกสารประกอบการสอนชีวเคมี2 (2566)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8730
เอกสารประกอบการสอนชีวเคมี2 (2566)
สุวรรณา จันคนา
-
ทัศนคติและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน วิชาชีวเคมี 2 กรณีศึกษา: นักศึกษาสาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8729
ทัศนคติและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน วิชาชีวเคมี 2 กรณีศึกษา: นักศึกษาสาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สุวรรณา จันคนา; กริชเพชร นนทโคตร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาทัศนคติและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน 2) เพื่อวิเคราะห์การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามทัศนคติและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาชีวเคมี 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อนโยบายการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ระดับมากที่สุด ร้อยละ 29.6 ระดับมาก ร้อยละ 40.7 นักศึกษามีความพึงพอใจต่อวิธีการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย ระดับมากที่สุดร้อยละ 18.5 ระดับมากร้อยละ 44.4 2) ด้านอาจารย์ผู้สอน มีการใช้สื่อประกอบการสอนได้อย่างเหมาะสม พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 33.3 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 44.4 ให้ผู้เรียนซักถามและรับฟังความคิดเห็น พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 40.7 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 40.7 ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 40.7 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 40.7 3) ด้านวิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน มีการจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 37.0 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 37.0 วิธีการสอนมีความเหมาะสมกับเนื้อหาวิชา พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 33.3 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 48.1 มีการบูรณาการและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 29.6 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 44.4 4) ด้านการวัดผลและการประเมินผลการเรียน มีวิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 29.6 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 37.0 มีการวัดผลและประเมินผลตรงตามจุดประสงค์การเรียน พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 37.0 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 29.6 มีการวัดผลและประเมินผลต่อเนื่องควบคู่ไปกับการเรียนการสอน พึงพอใจระดับมากที่สุดร้อยละ 29.6 พึงพอใจระดับมากร้อยละ 44.4
2567-01-01T00:00:00Z
-
การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากสารกำจัดศัตรูพืช กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในเกษตรกร กรณีศึกษา: ชุมชนบ้านมะค่าใต้ ตำบลบ้านยาง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8728
การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจากสารกำจัดศัตรูพืช กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในเกษตรกร กรณีศึกษา: ชุมชนบ้านมะค่าใต้ ตำบลบ้านยาง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
ยอดอินทร์, ฉวีวรรณ; จอดนอก, กนิษฐา; พรหมประโคน, กนกวรรณ
กษตรกรมีการใช้สารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ซึ่งมีฤทธิ์ในการขัดขวางการทำงานของระบบประสาท ส่วนกลางและการสะสมเกิดพิษเรื้อรังอาจทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ การวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงการสะสมสารเคมีกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และหาความสัมพันธ์ของผลการประเมินความเสี่ยงกับผลการตรวจวัดทางชีวภาพ ในเกษตรกรชุมชนมะค่าใต้ ตำบลบ้านยาง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัด บุรีรัมย์ ที่สมัครใจ จำนวน 63 คน ด้วยเครื่องมือที่ประกอบด้วยแบบสอบถามการประเมินความเสี่ยงสุขภาพ และชุดทดสอบระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในซีรัมของเกษตรกร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน
ร้อยละ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติเชิงอนุมานด้วยไคสแควร์ พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 74.60 อายุระหว่าง 54 – 71 ปี ร้อยละ 50.80 ทำนาเอง ร้อยละ 53.96 สัมผัสสารเคมีปุ๋ยเคมีชนิดเม็ด ร้อยละ 44.44 และผสมสารเคมี ร้อยละ 22.22 อยู่ในบริเวณที่มีการฉีดพ่น ร้อยละ 20.64 ผลการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพมีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง จำนวน 49 คน (ร้อยละ 79.03) มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงและมีความเสี่ยงสูง จำนวน 13 คน (ร้อยละ 20.97) ผลการตรวจวัดทางชีวภาพจากการตรวจคัดกรองหาระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในซีรัมอยู่ในระดับปกติและปลอดภัย จำนวน 35 คน (ร้อยละ 56.45) ระดับมีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัย จำนวน 27 คน (ร้อยละ 43.55) ผลการประเมินความเสี่ยงพบว่า มีความสัมพันธ์กับผลตรวจวัดทางชีวภาพอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ (p<0.05) ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัย การติดตามสังเกตพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และมีแนวทางลดอันตรายในกลุ่มเกษตรกรที่มีความเสี่ยงต่อไป
2023-11-01T00:00:00Z
-
คู่มือการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลายผ้าเลือน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8727
คู่มือการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลายผ้าเลือน
สมบัติ, ประจญศานต์
คู่มือนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการถ่ายทอดเทคนิคการผลิตผ้ามัดหมี่ลายพร่าเลือนสู่สินค้าทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์เพื่อพึ่งพาตนเองแก่โครงการส่งเสริมศิลปาชีพอำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนประเภทกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมภายใต้โครงการจัดการความรู้การวิจัยและถ่ายทอดเพื่อการใช้ประโยชน์ ประจำปี 2566 ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
2567-02-10T00:00:00Z
-
โครงการวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์มุ่งสู่ตลาดออนไลน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8726
โครงการวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์มุ่งสู่ตลาดออนไลน์
สมบัติ, ประจญศานต์
จากแนวคิดในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคมและเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ ในจังหวัดบุรีรัมย์เป็นแหล่งสำคัญระดับประเทศที่มีภูมิปัญญาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผลิตเป็นผ้าทอมือที่มีคุณภาพมีชื่อเสียง ทั้งนี้ มีกลุ่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ส่งผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายเข้าคัดสรรโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ จำนวนมากกว่า 1,000 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าทอมือซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการถ่ายทอดองค์ความรู้จากงานวิจัยเพื่อสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่ ให้มีความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอัตลักษณ์ และขยายช่องทางการตลาดสู่การตลาดออนไลน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มียุทธศาสตร์หลักเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น จึงสมควรที่ต้องนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยยกระดับสินค้าชุมชน OTOP ในพื้นที่อำเภอประโคนชัยซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 2) เพื่อพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่ผู้ประกอบการ อาศัยกระบวนงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยใช้เทคนิคการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีขั้นตอนการวินิจฉัย ขั้นปฏิบัติการ ขั้นการวัดผล และขั้นผลสะท้อนที่เกิดขึ้น มีผลการวิจัยโดยสรุปดังนี้
ผลยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการฯ ได้ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับผลิตภัณฑ์ด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
1. ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมผืน ได้แก่ ผ้าไหมมัดหมี่ลายออกแบบใหม่ เช่น นกกระเรียนไทย จังหวัดบุรีรัมย์ ย้อมด้วยสีธรรมชาติ สารสนิมเป็นสารช่วยติด และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
2. ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมผืนลายสมอ ซึ่งเป็นผ้าดั้งเดิมทางวัฒนธรรมไทยเขมร ย้อมด้วยสีเคมี และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
3. ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายผืนและผ้าด้ายเรยอนผืน ได้แก่ ผ้าขาวม้าออกแบบโครงสร้างใหม่ ย้อมด้วยสีเคมี หรือสีธรรมชาติ และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 3 กลุ่ม
4. ผลิตภัณฑ์แปรรูปประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าด้าย ผ้าขาวม้าเป็นเสื้อผ้าสำหรับบุรุษ สตรี จำนวน 5 กลุ่ม กระเป๋าถือแปรรูปจากกกด้านในบุผ้าทอ กระเป๋าผ้าฝ้าย หมวก หมวกไหมพรมถัก จำนวน 3 กลุ่ม ผ้าพันคอฝ้าย จำนวน 2 กลุ่ม ผ้าพันคอไหมย้อมด้วยสีธรรมชาติ และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าด้ายประเภทของใช้ ของที่ระลึก เช่น พวงกุญแจนกกระเรียนไทย จังหวัดบุรีรัมย์ พวงกุญแจผ้า ที่ใส่กล่องทิชชู กระเป๋าใส่แก้วเก็บความเย็น หมอนรูปสุนัข จำนวน 2 กลุ่ม
ผลการพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่กลุ่มผู้ประกอบการ การดำเนินงานของโครงการส่งผลต่อการพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ซึ่งในระหว่างดำเนินโครงการประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยประสบสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การอยู่บ้าน การทำงานที่บ้าน ฯลฯ เพื่อยับยั้งการแพร่การกระจายเชื้อ ทำให้มีการปิดสถานที่เสี่ยงชั่วคราว และห้ามจัดกิจกรรมชุมชนคน ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบ การได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากขาดแหล่งจำหน่ายสินค้า ตลาด งานออกร้าน งานเทศกาล การท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเที่ยวในภาพรวม และที่สำคัญคือผลกระทบของโรคระบาดทำให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจในวงกว้างส่งผลต่อกำลังซื้อสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ
2563-05-01T00:00:00Z
-
สูจิบัตรประกอบการแสดง ผลงานสร้างสรรค์งานศิลป์ ไหมมัดหมี่ลายประยุกต์จากหลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8725
สูจิบัตรประกอบการแสดง ผลงานสร้างสรรค์งานศิลป์ ไหมมัดหมี่ลายประยุกต์จากหลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรม
สมบัติ, ประจญศานต์
สูจิบัตรประกอบแสดงผลงานสร้างสรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประยุกต์หลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรมกับการออกแบบลายมัดหมี่ ซึ่งรับทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปี 2566 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
2567-01-04T00:00:00Z
-
คู่มือการออกแบบและผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลายประยุกต์จากหลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8723
คู่มือการออกแบบและผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลายประยุกต์จากหลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรม
สมบัติ, ประจญศานต์
คู่มือนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประยุกต์หลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรมกับการออกแบบลายมัดหมี่ ซึ่งรับทุนอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปี 2566 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการออกแบบและผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลายประยุกต์จากหลักการเขียนภาพแบบทางสถาปัตยกรรมฉบับนี้จะอำนวยประโยชน์แก่แรงงานนอกภาคเกษตรที่เป็นกลุ่มทอผ้าที่มีพื้นฐานด้านการผลิต แต่ต้องการความรู้ด้านการออกแบบลายมัดหมี่ หรือผู้สนใจศึกษา ค้นคว้า และออกแบบ เพื่อนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่ให้มีความงดงามมีคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้ผลิต อันเป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้ามัดหมี่ทอมือให้ดำรงคงอยู่เป็นมรดกของชาติสืบไป
2566-11-20T00:00:00Z
-
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8722
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคน
ในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Z
-
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8720
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
-
ความผิดปกติทางพันธุกรรม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8719
ความผิดปกติทางพันธุกรรม
กุลวงศ์, เจนจิรา
เนื้อหาการเรียนการสอนมีขอบเขตครอบคลุม ดังนี้ ความผิดปกติทางพันธุกรรม ,โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม , ความผิดปกติของยีนเดี่ยว .ความผิดปกติของโครโมโซม ,การให้คำปรึกษาและการวินิจฉัยโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
-
มาตรฐานสถานประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ (ด้านความปลอดภัย)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8717
มาตรฐานสถานประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุ (ด้านความปลอดภัย)
ทองมี, ญาสิณี
-
มคอ.วิชากายวิภาคศาสตร์ 1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/null
มคอ.วิชากายวิภาคศาสตร์ 1
ทองมี, ญาสิณี
-
มคอ.วิชากายวิภาคศาสตร์ 1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8714
มคอ.วิชากายวิภาคศาสตร์ 1
ทองมี, ญาสิณี
มคอ.
-
การพยาบาลต่อมไร้ท่อ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8713
การพยาบาลต่อมไร้ท่อ
ทองมี, ญาสิณี
-
การประเมินภาวะโภชนาการ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8712
การประเมินภาวะโภชนาการ
Hormnian, Nongnuch
-
ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการเปิดกัญชาเสรีของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8711
ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการเปิดกัญชาเสรีของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
Hormnian, Nongnuch
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้และระดับทัศนคติ ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับระดับความรู้และระดับทัศนคติ และความสัมพันธ์ของระดับความรู้และทัศนคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีผลกับการเปิดกัญชาเสรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนในระดับมัธยมปลายในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 368 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการเปิดกัญชาเสรี วิเคราะห์หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) จากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าเท่ากับ 0.6 วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยแบบสอบถามด้านความรู้ใช้สูตร KR-20 มีค่าเท่ากับ 0.85 แบบสอบถามด้านทัศนคติใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่าเท่ากับ 0.9 สถิติที่ใช้เป็นสถิติพื้นฐานและ Chi-Square test
-
บทที่ 9 ความต้องการอาหารของบุคคลแต่ละวัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8709
บทที่ 9 ความต้องการอาหารของบุคคลแต่ละวัย
แสงงาม, ถาวรีย์
-
บทที่ 2 ชนิดและคุณค่าของสารอาหาร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8708
บทที่ 2 ชนิดและคุณค่าของสารอาหาร
แสงงาม, ถาวรีย์
-
การประเมินภาวะโภชนาการ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8706
การประเมินภาวะโภชนาการ
แสงงาม, ถาวรีย์
-
ปัจจัยทำานายพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8705
ปัจจัยทำานายพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของนักศึกษาพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
แสงงาม, ถาวรีย์
2023-08-01T00:00:00Z
-
บทที่8บทบาทของพยาบาลด้านโภชนาการ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8703
บทที่8บทบาทของพยาบาลด้านโภชนาการ
แสสงาม, ถาวรีย์
-
แผนการนิเทศประจำวัน รายวิชาปฏิบัตการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8702
แผนการนิเทศประจำวัน รายวิชาปฏิบัตการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น
จอดนอก, กนิษฐา
การนิเทศเป็นเรื่องสำคัญต้องมีการเขียนข้อมูลการนิเทศให้ครบถ้วน
-
การประเมินหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ 2561) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8701
การประเมินหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ 2561) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ชัยวงศ์, ณรงค์กร; มณีพันธ์, ณิชาภัทร; วิโสรัมย์, นธภร
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลผลิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ 2561) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2565 ตามรูปแบบ CIPP Model โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 261 คน ประกอบด้วย อาจารย์พยาบาล จำนวน 19 คน นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 145 คน บัณฑิตพยาบาล จำนวน 31 คน ตัวแทนจากแหล่งฝึก 10 คน ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน จำนวน 25 คน ประชาชนหรือผู้ป่วย จำนวน 31 คน เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามประเมินหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ 2561) และแบบประเมินคุณภาพนักศึกษา/บัณฑิตพยาบาล ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา 0.6 - 1.00 ทุกข้อ และมีค่าความเชื่อมั่นโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.93 และ 0.91 ตามลำดับดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือน เมษายน - กรกฎาคม 2565 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
ด้วยสถิติพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ 2561) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ผลการวิจัยสามารถนำใช้ประโยชน์เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตรพัฒนาการจัดการเรียนการสอนผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บัณฑิตต่อไป
2023-07-01T00:00:00Z
-
ปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ในชุมชนเมือง: ระเบียบการทบทวนอย่างเป็นระบบ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8700
ปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ในชุมชนเมือง: ระเบียบการทบทวนอย่างเป็นระบบ
จันทพิมพ์, ศรินรัตน์, ณิชาภัทร, ณรงค์กร มณีพันธ์, ชัยวงศ์
Objectives: There is a limited understanding about the factors that are related to the mental health of older adults living alone in urban communities. All available evidence was synthesized to better understand the factors related to the mental health of this group of older adults.
Method: A systematic search of the following databases in Medline, Web of Science, Cochrane Library, CINAHL, PsycINFO, and TCI databases was carried out from January 2010 to May 2021. Observational studies, which had investigated older adults (60 years of age and over), who were living alone in urban communities were eligible for review. Two reviewers independently screened and selected the data; one reviewer extracted the data, while the second checked the extracted data. A narrative synthesis described the quality and content of the evidence. The included studies were appraised using the relevant Joanna Briggs Institute checklist.
Results: Our findings suggested that there is a potential association between socio-economics, health status, physical activities, social isolation, social support, loneliness, living alone, and mental health, which was found in the studies. Our findings were limited given that the number of studies, which were included, was low and the quality of evidence varied across the studies.
Conclusion :
The results showed that all included studies found socio-economics, including gender, health status, income, educational level, social support, and social isolation had been associated with the mental health of older adults living alone. Consequently, social welfare policies should focus on those for support services enhanced quality of life for these groups.
2023-12-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8699
การพัฒนาชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืน
มณีพันธ์, ณิชาภัทร, ณรงค์กร ชัยวงศ์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืนในจังหวัดบุรีรัมย์ในเขตเทศบาลเมืองชุมเห็ด จังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินการวิจัยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุและบริบทชุมชนของผู้สูงอายุ ในตำบลชุมเห็ด จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุในตำบลชุมเห็ด จำนวน 258 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบทดสอบสมรรถภาพสมองไทย ที่พัฒนาขึ้นโดยกลุ่มฟื้นฟูสรรถภาพสมองของไทย (2536) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืน ในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นตัวแทนภาคีเครือข่าย 3 กลุ่ม จำนวน 29 คน ที่เข้าร่วมประชุมสนทนากลุ่ม และนำข้อมูลมาหลอมเป็นร่างชุมชนต้นแบบด้านสุขภาพ ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืนในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 30 คน ขั้นตอนที่ 4 ประเมินและปรับปรุงรูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านยั่งยืนในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) รูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืนในชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ 3) แบบประเมินความพึงพอใจและแบบสังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพปัจจุบันของผู้สูงอายุกับภาวะสมองเสื่อมในตำบลชุมเห็ด จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ผู้สูงอายุมีอาการหลงลืมบ่อย คิดเลขไม่ได้ จำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ค่อยได้ ร้อยละ 51.16 สงสัยภาวะสมองเสื่อม ร้อยละ 6.60 ส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ร้อยละ 94.18 มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ร้อยละ 76.03
2. การพัฒนาชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืน ประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย ได้แก่ 1) ด้านสุขภาพ (Health) 2) การมีส่วนร่วม (Participation) 3) การมีหลักประกันและความมั่นคง (Security)
3. การพัฒนารูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืน มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70 (S.D = 0.50)
4. กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการพัฒนารูปแบบชุมชนต้นแบบสุขภาพผู้สูงอายุด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบยั่งยืนโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4.61 (SD = 0.49)
2023-08-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้วยทักษะวิศวกรสังคม สร้างนวัตกรเพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการบูรณาการเรียนการสอนสู่การพัฒนาท้องถิ่น คณะพยาบาลศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8698
การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้วยทักษะวิศวกรสังคม สร้างนวัตกรเพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการบูรณาการเรียนการสอนสู่การพัฒนาท้องถิ่น คณะพยาบาลศาสตร์
จอดนอก, กนิษฐา; บรรจง, ยงยุทธ; สมรรถนะกุล, รณชิต; วิโสรัมย์, นธภร; คันศร, ฐพัชร์; คงเรืองราช, เยี่ยม; สังขะพงษ์, อานนท์
การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้วยทักษะวิศวกรสังคม สร้างนวัตกรเพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการบูรณาการเรียนการสอนสู่การพัฒนาท้องถิ่นคณะพยาบาลศาสตร์ ได้มีการพัฒนาให้นักศึกษาได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือวิศวกรสังคมจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษามีทักษะในการคิดวิเคราะห์ เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเหตุและผลเห็นปัญหาเป็นเรื่องท้าทาย นักศึกษานำความรู้ที่เรียนไปใช้ประโยชน์ให้กับชุมชนได้อย่างไร สามารถสื่อสารองค์ความรู้ที่เรียนไปเพื่อนำไปแก้ปัญหาให้กับชุมชนได้ นักศึกษาทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยปราศจากข้อขัดแย้ง สามารถที่จะระดมกำลังไม่ว่าจะภายในท้องถิ่นหรือนอกท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นได้ และนักศึกษามีทักษะในการสร้างนวัตกรรม เพื่อแก้ปัญหาให้กับชุมชนท้องถิ่นได้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 31 คน ประชาชนในพื้นที่ จำนวน 149 คน เกณฑ์คัดเข้า ความสมัครใจเข้าร่วมวิจัย เพศชายและเพศหญิง อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ต้องเข้าร่วมโครงการได้อย่างน้อย 2 เดือน เกณฑ์คัดออก คือ ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างน้อย 2 เดือน ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาได้ผ่านกระบวนการอบรมวิศวกรสังคม สามารถพัฒนาตนเองเป็นนวัตกรได้ คิดเป็นร้อยละ 100 นักศึกษาเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์ เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเหตุและผลเห็นปัญหาเป็นเรื่องท้าทาย ร้อยละ 93.75 นักศึกษาเกิดทักษะการสื่อสารกับอาจารย์ เพื่อนและประชาชนในชุมชนในท้องถิ่น ร้อยละ 100 นักศึกษาเกิดทักษะการประสานงานและทำงานร่วมกันกับผู้อื่น โดยเป็นผู้นำและผู้ตามในการออกแบบกิจกรรม จัดกิจกรรมและประเมินผล ร้อยละ 93.75 และนักศึกษาสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ร้อยละ 96.88 โดยทักษะที่ดีที่สุดของนักศึกษาคือ ทักษะการสื่อสารกับอาจารย์ เพื่อนและประชาชนในชุมชนในท้องถิ่น ร้อยละ 100 โดยได้รับการชื่นชมจากอาจารย์ คุณครู ผู้นำชุมชน เพื่อนด้วยกัน ประชาชนในพื้นที่ว่าเป็นทักษะที่ทำได้ดีที่สุด โดยการนำไปใช้ประโยชน์และการขยายผล การใช้ประโยชน์ในทางวิชาการแนวทางการแก้ไขปัญหาสุขภาพชุมชนเกี่ยวกับรูปแบบของการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนและการสร้างแกนนำสุขภาพที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ และการใช้ประโยชน์ในด้านวิชาการในการบูรณาการ การเรียนการสอนรายวิชาการปฏิบัติการพยาบาลชุมชน ข้อเสนอแนะ ควรจัดโครงการต่อเนื่อง โดยเพิ่มระยะเวลา และขยายผลไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
2022-05-01T00:00:00Z
-
การพัฒนากระบวนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคจิตเภทโดยทีมสหสาขาและเครือข่ายผู้ดูแลในชุมชนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดงกะทิง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8697
การพัฒนากระบวนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยโรคจิตเภทโดยทีมสหสาขาและเครือข่ายผู้ดูแลในชุมชนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดงกะทิง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
สมรรถนะกุล, รณชิต; บำรุงธรรม, วัชราภรณ์; จอดนอก, กนิษฐา; ไชยสำโรง, ทองมาก; แคนดา, กฤษญาพร; แถมจะโปะ, เอกชัย
The study objectives aimed to explore the development of process of continuity care in schizophrenic patient by interdisciplinary team and caregiver network in community of Bandongkating Health Promoting Hospital, Ban Dan District, Buriram Province. Population who participated in this research were schizophrenic patients at 15 years old or above who were registered for treatment at Ban Dan Hospital and Buriram Hospital including living in responsibility area of Bandongkating Health Promoting Hospital for 25 persons, recruited by purposive sampling. Duration period study from October 2019 until September 2020. Mixed method research methodology was taken by Quantitative and Qualitative research integration. Instruments was 4 questionnaires; Bandongkating Health Promoting Hospital Home Visit Record, GAF scale of Department of Mental Health (2014), WHOQOL-BREF-THAI of Suwat Mahatnirankul et al. (2014) and Chronic Schizophrenic Patient in Community Follow Up: 10 Dimensions Form of Chitchanok Opartwattana (2020). Collecting data by 4 questionnaires together with focus group and in-depth interview among key persons; patient, their family, community leader, local organization officer, village health volunteer, interdisciplinary team and caregiver network in community and local leader. Length of collecting data last 3 months from June to August of 2020. Analyzing quantitative data by frequency, percentage, mean and standard deviation for qualitative date was analyzed by content analysis.
Results found that schizophrenic patients were male 20 persons (80.0%), 30-45 years old 13 persons (52.0%), single 16 persons (64.0%), duration of illness more than 2 years 22 persons (88.0%), living in community more than 5 years 24 persons (96.0%), not drinker 19 persons (76.0%), cigarette use 14 persons (56.0%), normal condition 23 persons (92.0%), daily routine efficacy 22 persons (88.0%), Housework efficacy 16 persons (64.0%), earn living 15 persons (60.0%), having care obstacle 18 persons (72.0%) such as lack of caregiver, drug abuse, inappropriate health belief of cure, GAF Scale at maximum 12 persons (48.0%), moderate quality of life 18 persons (72.0%). After the development of process of continuity care in schizophrenic patient 1 month later, follow up the participants was proceed and found that they earn living ( = 1.08, SD = 0.28), moderate environment ( = 2.16, SD = 0.75). Some participant reported satisfied to this study caused it’s valuable and benefit. Recommendation were combination care system with network, caregiver and community, information technology development and further study in field of district region.
Keywords : schizophrenia, community care, interdisciplinary team, caregiver network
2022-01-01T00:00:00Z