วิทยานิพนธ์/ปริญญานิพนธ์/โปรเจค (Thesis,Project)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4040
2024-03-29T07:35:40Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8684
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
จ่าภา, ชนิกานต์; ชนัดดา รัตนา
งานวิจัยเรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล วิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยกำหนดโดยกรมควบคุมมลพิษ จำนวนปัจจัยทั้งหมด 13 ปัจจัย ดังนี้ 1) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร จากแนวเขตชุมชน 2) อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 3) ระดับน้ำใต้ดิน อยู่ลึกกว่า 5 เมตร 4) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตรจากแนวเขตโบราณสถาน 5) ห่างจากถนนสายหลักไม่น้อยกว่า 300 เมตร 6) อยู่ห่างจากบ่อน้ำบาดาล ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 7) สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่า 8) ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง 9) สมรรถนะของดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก 10) ไม่อยู่ในเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 11) ไม่อยู่ในเขตอนุรักษ์ 12) ไม่อยู่ในตำแหน่งของรอยเลื่อน 13) ความลาดของพื้นที่ไม่เกินร้อยละ 3 วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า
อำเภอลำปลายมาศมีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด 0.78 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของพื้นที่
และพื้นที่เหมาะสมมากที่สุดในระดับตำบลคือ ตำบลทะเมนชัยมีพื้นที่ 0.77 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 1.63 ของพื้นที่ ซึ่งพื้นที่เหมาะสมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย
เหมาะสมมาก ไม่เหมาะสม และเหมาะสมมากที่สุด
สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ปีการศึกษา 2561
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งสถานแ ข่งขันกีฬาในร่ม กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6177
การประยุกต์ใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งสถานแ ข่งขันกีฬาในร่ม กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สายสุวรรณ, ณัฐชา
-
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโ รคไข้เลือดออก เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6176
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโ รคไข้เลือดออก เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พวงพันธ์, ศิริวรรณ
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ร้ายแรงที่พบบ่อยในพื้นที่เขตร้อน และเป็นปัญหาหลักของสาธารณสุขในประเทศไทย วัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดรคไข้เลือดออกในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล (Overly)
และกำหนดค่าถ่วงน้ำหนักค่าคะแนนความเสี่ยงของปัจจัย ซึ่งกำหนดปัจจัย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1)ระยะห่างจากของเขตเทศบาลและพื้นที่ชุมชน 2) ระยะห่างจากพื้นที่สวน 3) ระยะห่างจากพื้นที่แหล่งน้ำ 4) ปริมาณน้ำฝน 5) อุณหภูมิ 6) ความชื้นสัมพันธ์ จากนั้นให่ค่าคะแนนและค่าถ่วงน้ำหนักของแต่ละปัจจัย ผลการศึกษาพบว่าการหาพื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในอำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ วิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงจำนวน 6 ปัจจัย สามารถจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ทั้งหมด 3 ระดับดังรายละเอียดดังนี้ 1) ระดับน้อย มีเนื้อที่ 32.80 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 3.83 ของพื้นที่ทั้งหมด 2) ระดับปานกลาง มีเนื้อที่ 313.03 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 36.55 ของพื้นที่ทั้งหมด 3) ระดับมาก มีเนื้อที่ 510.42 ตารางกโลเมตร คิดเป็นร้อนละ 59.61 ของพื้นที่ทั้งหมด
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวร้า นค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6175
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวร้า นค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สิงห์คำ, สันติพงษ์
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการกระจายตัวและหาความสัมพันธ์การกระจายตัวกับทฤษฎีทำเลที่ตั้งของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยผู้วิจัยได้ลงพื้นที่จับพิกัดตำแหน่งร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง โดยใช้เครื่อง GPS
และนำข้อมูลที่ได้จากการจับพิกัดตำแหน่งมาใช้ในโปรแกรม Arc map ที่ช่วยในการวิเคราะห์หารูปแบบการกระจายตัวและผู้วิจัยได้หาความสัมพันธ์การกระจายตัวกับทฤษฎีทำเลที่ตั้งเพื่อดูความสอดคล้องด้านที่ตั้งทำเลตามทฤษฎีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทำเลที่ตั้ง ได้แก่ สถานศึกษา สถานบันเทิง สถานที่ราชการ หอพัก ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน โดยการทำ Buffer หรือ แนวกันชนและแบ่งชั้นระยะห่างออกเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย 100 เมตร 200 เมตร 300 เมตร 400 เมตร เพื่อดูระยะห่างของร้านร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง ในรัศมีการทำ Buffer ผลการการศึกษา พบว่า กระจายตัวของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง มีการกระจายตัวแบบ Random และสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ด้านทำเลที่ตั้งของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง อันดับหนึ่งคือห้างสรรพสินค้า เพราะในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภคเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตและสถานที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือห้างสรรพสินค้า ในขณะเดียวกัน สถานศึกษา สถานบันเทิง สถานที่ราชการ หอพัก ปั๊มน้ำมัน ก็มีความสัมพันธ์เช่นเดียวกันเพราะเป็นสถานที่ดึงดูดลูกค้าจำนวนมากและมีการใช้บริการอยู่ตลอดเวลาจึง 2 ทำให้มีร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง กระจายตัวกันตามสถานที่สำคัญเหล่านี้เพราะมีเส้นทางสัญจรที่สะดวกสบายง่ายต่อการเข้าถึงและมีความปลอดภัยด้านทำเลที่ตั้งจึงทำให้ร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ไม่ประสบภาวะขาดทุน จากการศึกษาของผู้วิจัยสรุปได้ว่าการกระจายตัวร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นไปตามทฤษฎีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทำเลที่ตั้งเพราะในระยะ 100 เมตร มีการกระจายตัวของร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ทุกสถานที่สำคัญ
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การการเปลี่ยนแปลงป่าชุมช นบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6174
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การการเปลี่ยนแปลงป่าชุมช นบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
สรุปพล, ศุภกร
จากการศึกษา การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ในการการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อจําแนกพื้นที่ป่าไม้ด้วยข้อมูล ภาพถ่ายดาวเทียมหลายช่วงเวลา ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม LANDSAT-5 TM ในปี พ.ศ. 2546-2554 และ LANDSAT-8 OIL ในปี พ.ศ. 2561 ทำการจำแนกข้อมูลจากภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT และยังใช้เทคนิคการแปลตีความภาพถ่ายด้วยสายตาเพื่อทำข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อประเมินหาการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล และตรวจสอบความถูกต้องในการภาคสนาม และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้
ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงของป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
ปี พ.ศ. 2546-2554 พบว่า พื้นที่ป่ามีขนาดลดลง 0.24 ตารางกิโลเมตรหรือ 150 ไร่ พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้ประโยชน์นั้นเป็น พื้นที่ปลูกอ้อยมีขนาดเพิ่มขึ้น 125 ไร่ พื้นที่ปลูกนาข้าว 12.5 ไร่ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 6.25 ไร่ พื้นที่ปลูกยางพาราไม่มีการเปลี่ยนแปลง พื้นที่สิ่งก่อสร้าง 12.5 ไร่ และพื้นที่แหล่งน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ปี พ.ศ. 2554-2561 พบว่า พื้นที่ป่ามีขนาดลดลง 0.33 ตารางกิโลเมตรหรือ 206.25 ไร่ พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้ประโยชน์นั้นเป็นพื้นนาข้าวมีขนาดเพิ่มขึ้น 56.25 ไร่ พื้นที่มันสำปะหลัง 250 ไร่ พื้นที่ยางพารา 6.25 ไร่ พื้นที่อ้อย 87.5 ไร่ พื้นที่พื้นที่สิ่งก่อสร้าง 6.25 ไร่
และพื้นที่แหล่งน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม คือ ในปี พ.ศ. 2546 มีพื้นที่ป่าไม้ 2.39 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2554 มีพื้นที่ป่าไม้ 2.15 ตารางกิโลเมตร และปี พ.ศ. 2561 มีพื้นที่ป่าไม้ 1.82 ตารางกิโลเมตร มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ จาก ปี พ.ศ.2546-2561 มีพื้นที่ป่าไม้ลดลง -0.57 ตารางกิโลเมตร หรือ 356.25 ไร่ เพราะมีการบุกรุกพื้นที่ป่าชุมชน
ดังนั้นมีการจัดการและควบคุมดูแลพื้นที่ป่าไม้โดยชุมชนจึงมีความสําคัญ และมีความจําเป็นเพื่อให้พื้นที่ป่าคงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการเผยแพร่ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6173
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการเผยแพร่ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
มีการุณ, ปราการ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการส่งเสริมชุมชนท่องเที่ย
ว OTOPนวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางอินเทอร์เน็ตในการแดงแหล่งชุมชน OTOP นวัตวิถี ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษามีวิธีการดำเนินการวิจัย โดยเริ่มจากการเตรียมข้อมูลชุมชนท่องเที่ยว ทั้ง 6 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านยาง ชุมชนบ้านสำโรง ชุมชนบ้านโคกสูง ชุมชนบ้านบุตาวงษ์ ชุมชนบ้านแสลงพัน ชุมชนบ้านห้วยหวาย ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จากอินเตอร์เน็ตและสอบถามชาวบ้าน หนังสือ หน่วยงานราชการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องชุมชนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โดย
จัดทำเว็บไซต์เพื่อนำเสนอและประชาสัมพันธ์แหล่งชุมชนท่องเที่ยวทั้ง 6 ชุมชน ผลการศึกษาพบว่า
สามารถทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ในแต่ละชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ทราบตำแหน่งเชิงพื้นที่ของศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมที่พัก และยังรวมไปถึงสินค้าโอทอปในแต่ละชุมชน ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้อย่างชัดเจน
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6172
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
ภูเฮียงแก้ว, ภัทรวดี
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ
การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษาได้กำหนดปัจจัยที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน ระยะห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ความสามารถของการระบายน้ำของชุดดิน ความลาดชันและการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยวิธีการให้ค่าคะแนนถ่างน้ำหนักความสำคัญ (Weighting) และค่าคะแนนระดับปัจจัย (Rating)
จากนั้นนำแต่ละปัจจัยมาซ้อนทับกันผลการศึกษาจากการวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมากพ
บว่าตำบลพุทไธสง มีพื้นทีเสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมากมีพื้นที่ 160.02 ตารางกิโลเมตร หรือ 78,912.50
ไร่ คิดเป็นร้อยละ 43.99 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือตำบลบ้านจานมีพื้นทีเสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมีพื้นที่ 30.26 ตารางกิโลเมตร หรือ 57,081 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 53.96 ของพื้นที่ทั้งหมด
พบว่าการระบายน้ำค่อนข้างเลวใกล้ลำน้ำมูลและเป็นพื้นที่การเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของ สถานบันเทิงยามค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6171
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของ สถานบันเทิงยามค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
จันทะบูรณ์, แพรทอง
วิจัยครั้งนี้เป็นการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัว
ของ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ ได้แก่
1) เพื่อ วิเคราะห์การกระจายตัวของสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัย และที่ตั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอ
เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลพิกัดดตำแหน่งสถานบันเทิงยามค่ำคืน โดยใช้เครื่อง GPS
ในรูปแบบจุด (Point) นำพิกัดตำแหน่งสถานบันเทิงมาวิเคราะห์การกระจายตัว โดยใช้โปรแกรม
Arcmap 10.2 และใช้ค่าสั่ง Average Nearest Neighbor ในการวิเคราะห์พบว่าสถานบันเทิงยาม
ค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์มีรูปแบบการกระจายตัวแบบกลุ่มก้อน (Clusterred) และวิเคราะห์
ปัจจัยที่ตั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืนกำหนดพื้นที่กันชน ด้วยโปรแกรม Arcmap 10.2 โดยกำหนดระยะ
พื้นที่กันชน 300 เมตร จาก สถานศึกษา และศาสนสถาน พื้นที่ที่สามารถตั้งสถานบันเทิงได้และไม่สามารถตั้งสถานบันเทิงได้ สรุปได้ว่าภายในรัศมี 300 เมตร มีสถานบันเทิงที่ตั้งถูกต้องตามพระราชบัญญัติสถานบริการปี พ.ศ.2509 และพระราชบัญญัติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปี พ.ศ. 2551 จำนวน 2 แห่ง และไม่ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติจำนวน 23 แห่ง
2560-01-01T00:00:00Z
-
การเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว กรณีศึกษา : อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6170
การเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว กรณีศึกษา : อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อรุณศรี, ศรีวิชัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว อำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว
ตามประเภทแหล่งท่องเที่ยวและจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางการท่องเที่ยวอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษาคือเก็บรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจากอินเตอร์เน็ตและจากลงภาคสนามมาแบ่งตามประเภทการท่องเที่ยวแล้วนำแบบสอบถามความต้องการเว็บไซต์ของแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 50 ชุด มาหาค่าความถี่ โดยใช้สถิติร้อยละเพื่อหาความต้องการที่มากที่สุดของนักท่องเที่ยวในแต่ละข้อของแบบสอบถามเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเว็บไซต์ ผลการศึกษาพบว่า มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งสิ้น 30 แห่ง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
นำมาจัดทำเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ที่ทำการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์
และนำข้อมูลเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวไปให้หน่วยงานอำเภอเมืองบุรีรัมย์ใช้ประโยชน์ต่อไป
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6169
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
บุญรอด, ศศิมา
การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556-2561 เพื่อทำการศึกษาและจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งของผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556-2561 วิธีการดำเนินงานวิจัยโดยการจุดตำแหน่งของผู้ป่วยโดยวิเคราะห์การกระจายตัวโดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มาช่วยในการวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวด้วยวิธี High/Low Clustering ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการกระจายตัวของผู้ป่วย ปี พ.ศ. 2558 มีจะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ High Clusters หรือเป็นรูปแบบที่เป็นกลุ่มใหญ่ และมีพื้นที่กว้าง ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ 4.294992 ส่วนปี พ.ศ. 2557 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ High Clusters หรือเป็นรูปแบบที่เป็นกลุ่มใหญ่ และมีพื้นที่กว้าง ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ 1.712864 และในปี พ.ศ. 2556 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ -0.145836 พ.ศ. 2559 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z- score อยู่ ที่ -0.895784 พ.ศ. 2560 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ -0.011855 และพ.ศ. 2561 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z- score อยู่ ที่ 1.136917 จากการวิเคราะห์ความหนาแน่นด้วยวิธี Kernel Density พบว่าพื้นที่ที่มีผู้ป่วยมีความหนาแน่นมากคือตำบลแคนดงและตำบลดงพลอง
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6168
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
จ่าภา, ชนิกานต์
งานวิจัยเรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล วิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยกำหนดโดยกรมควบคุมมลพิษ จำนวนปัจจัยทั้งหมด 13 ปัจจัย ดังนี้ 1) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร จากแนวเขตชุมชน 2) อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 3) ระดับน้ำใต้ดิน อยู่ลึกกว่า 5 เมตร 4) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตรจากแนวเขตโบราณสถาน 5) ห่างจากถนนสายหลักไม่น้อยกว่า 300 เมตร 6) อยู่ห่างจากบ่อน้ำบาดาล ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 7) สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่า 8) ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง 9) สมรรถนะของดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก 10)
ไม่อยู่ในเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 11) ไม่อยู่ในเขตอนุรักษ์ 12) ไม่อยู่ในตำแหน่งของรอยเลื่อน 13) ความลาดของพื้นที่ไม่เกินร้อยละ 3 วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า อำเภอลำปลายมาศมีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด 0.78 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของพื้นที่ และพื้นที่เหมาะสมมากที่สุดในระดับตำบลคือ ตำบลทะเมนชัยมีพื้นที่ 0.77 ตารางกิโลเมตร
คิดเป็นร้อยละ 1.63 ของพื้นที่ ซึ่งพื้นที่เหมาะสมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย
เหมาะสมมาก ไม่เหมาะสม และเหมาะสมมากที่สุด
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6166
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พันธุ์ลี, ภาณุเดช
งานวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ของ ตำบลตูมใหญ่
อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยทางกายภาพมีจำนวน 6
ปัจจัย ได้แก่ สถานที่ราชการ แหล่งชุมชน ถนนสายหลัก แหล่งน้ำผิวดิน ชนิดดินและความลาดชัน
โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น ในการเปรียบเทียบน้ำหนักของปัจจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ 3
ท่านเนื่องจากปัจจัยแต่ละประเภทมีอิทธิพลต่อพื้นที่เหมาะสมไม่เท่ากันแบ่งพื้นที่เหมาะสมได้
6ระดับได้แก่ พื้นที่ไม่เหมาะสม พื้นที่เหมาะสมน้อย พื้นที่เหมาะสมค่อนข้างน้อย พื้นที่เหมาะสมปานกลาง พื้นที่เหมาะสมค่อนข้างมาก พื้นที่เหมาะสมมากที่สุด ผลการวิจัยพบว่าพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ของตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด มีเนื้อที่ 0.31 ตารางกิโลเมตรหรือ 193.75ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.55% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่โรงปุ๋ยมูลไก่ที่ส่งผลกระทบจุดเดิมอยู่ในเขตบ้านตูมใหญ่ ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากวิเคราะห์ผลทำให้ทราบว่าพื้นที่ที่เหมาะสมมากที่สุดอยู่ในเขตบ้านหนองไผ่ดง ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมประมาน 5 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ที่เหมาะสมพบว่าเป็นสวนยางพาราและมีทุ่งนาล้อมรอบ อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ประมาณ 800 เมตร และห่างจากแหล่งชุมชนประมาณ 1 กิโลเมตร เหมาะสมที่จะตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
การเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5984
การเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
ยือรัมย์, กฤศวรรธน์
งานวิจัยการเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง
จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีดำเนินการวิจัยโดยหาข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียม ปี พ.ศ2551 ภาพถ่ายทางดาวเทียม LANDSAT-5 และ ปี พ.ศ 2555และปี พ.ศ 2561 ภาพถ่ายทางดาวเทียม google earth ทำการตัดต่อภาพถ่ายทางดาวเทียม เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ศึกษาทั้ง 3 ชั้นปี ปรับแก้ค่าพิกัด
และปรับแก้ความคลาดเคลื่อนทางเลขาคณิตของภาพทั้ง 3 ปี ได้แก่ ปี พ.ศ. 2551 ปี พ.ศ. 2555
และปี พ.ศ. 2561 ทำการแปลตีความด้วยสายตา โดยจำแนกประเภทประเภทการเปลี่ยนแปลงแต่ละปีโดย ปี พ.ศ 2551 มีพื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าไม้ได้แก่ นาข้าว สันทราย และแหล่งน้ำ ปี พ.ศ 2555 และปี พ.ศ.2561 มีพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าไม้ ได้แก่ นาข้าว แหล่งน้ำ สันทราย และยูคาลิปตัส และพื้นที่อื่น ๆ และทำการตรวจสอบความถูกต้องโดย ออกภาคสนาม ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากการแปลตีความหมายด้วยสายตา ป่าชุมชนป่าโคกทามปี พ.ศ.2561 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบซ้อนทับ โดยดำเนินการเป็นการซ้อนทับของข้อมูลทั้ง 3 ปี คือปี พ.ศ. 2551 และปี พ.ศ.2555 และปี พ.ศ.2561 เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงและจัดทำแผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษา ป่าไม้ มีการเปลี่ยนแปลง ปี พ.ศ.2555 และปี พ.ศ.2561 เพิ่มขึ้น 8.841 เปอร์เซ็นต์ นาข้าว มีการเปลี่ยนแปลงลดลง 14.912 สันทรายมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.326 เปอร์เซ็นต์ แหล่งน้ำมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.326 เปอร์เซ็นต์ และยูคาลิปตัสในปี พ.ศ 2551 ไม่มีการปลูกต้นยูคาลิปตัส แต่ในปี พ.ศ 2561 นั้นมีพื้นที่เพิ่มขึ้น คิดเป็น 0.678 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสรุปได้ว่าตั้งแต่มีการเข้ามาดูแลป่าชุมชนป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2551 ป่าไม้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น จากการเข้าไปจัดการดูแล ซึ่งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวฟื้นฟูมาเป็นป่า เริ่มปลูกป่าทดแทนตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2561 แต่ก็ยังมีพื้นที่ป่าบางส่วนที่ยังเป็นพื้นที่นาข้าว
แต่ก็มีพื้นที่นาข้าวลดลงมากในปี พ.ศ.2561 จนถึงปัจจุบัน
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ปัญหาพิเศษทางภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ
รหัสวิชา (2543702) หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2561
2561-01-01T00:00:00Z