สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4036
2024-03-29T11:41:13Z
-
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8757
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
รัตนา, ชนัดดา
-
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8755
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Z
-
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8722
กลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคน
ในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน ้าเขตพื้นที่ภัยแล้ง ในจังหวัดบุรีรั
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8695
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน ้าเขตพื้นที่ภัยแล้ง ในจังหวัดบุรีรั
ทะนันไธสง, ณัฐวุฒิ; วงษ์รัมย์, ณัฐพล; รัตนา, ชนัดดา; วัชรพงษ์เกษม, วรินทร์พิพัชร
จังหวัดบุรีรัมย์ประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานท าให้เกิดการขาดแคลนน้ า ในสภาวะอากาศที่
เปลี่ยนแปลง จ านวนประชากรเพิ่มมากขึ้นท าให้การบริหารจัดการน้ าในหลายพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
บททความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส ารวจแหล่งน้ าต้นทุน ความต้องการใช้น้ าอุปโภค บริโภคและการเกษตร จัดท า
ฐานข้อมูลในการบริหารจัดการน้ าและพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อเผยแพร่ข้อมูลการใช้น้ า พื้นที่ต าบลมะเฟือง
อ าเภอพุทไธสง ต าบลบ้านด่าน อ าเภอบ้านด่าน ต าบลโคกเหล็ก อ าเภอห้วยราชและต าบลเมืองฝาง อ าเภอเมือง
บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างจ านวน 61 คน ประกอบด้วย กรรมการกลุ่มบริหารจัดการบริหารจัดการน้ า
ระดับต าบล ส านักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ส านักงานทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมจังหวัดบุรีรัมย์ส านักงานสภาเกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ และสถานีพัฒนาที่ดินบุรีรัมย์การพัฒนาระบบ
โดยแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ วิธีด าเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาความต้องการ 2) จัดท า
ฐานข้อมูลการใช้น้ าระดับต าบล 3) การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน 4) การทดลองประเมินประสิทธิภาพและความพึง
พอใจผู้ใช้ระบบ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบฐานข้อมูลประกอบไปด้วย 16 ตาราง ได้แก่ ค าแนะน า
หมู่บ้าน ต าบล อ าเภอ จังหวัด ข้อมูลติดต่อ ประเภทปศุสัตว์ จ านวนปศุสัตว์ ครัวเรือน ปริมาณพืช ประเภทพืช
ระบบสมาชิก แหล่งน้ า ประเภทแหล่งน้ า เจ้าของแหล่งน้ าและผู้ใช้แหล่งน้ า ระบบภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อ
การบริหารจัดการน้ าเขตพื้นที่ภัยแล้งประกอบด้วย 10 ส่วน ได้แก่ หน้าหลัก หมวดหมู่สัตว์ หมวดหมู่พื้นที่
การเกษตร การจัดการแหล่งน้ า การจัดการข้อมูลสมาชิก การจัดการหมู่บ้าน การบันทึกข้อมูล รายงาน
ค าแนะน า และการติดต่อเจ้าหน้าที่ และการน าเข้าข้อมูลความต้องการใช้น้ า ทั้งหมด 37 ชุมชน 2,714 ครัวเรือน
ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̅=4.70) ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้
ระบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.76)
2565-07-20T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8685
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์
เบญจพร ศรีสมบูรณ์; ชนัดดา รัตนา
มาลาเรียเป็นโรคที่ร้ายแรงที่พบบ่อยในพื้นที่เขตร้อน และเป็นปัญหาหลักของสาธารณสุขในประเทศไทย ปัญหาการแพร่เชื้อของโรคมาลาเรียจะมีสูงมากในพื้นที่บริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย วัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ ในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบัวเชด อำเภอสังขะ อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล (Overlay) กำหนดค่าถ่วงน้ำหนัก (Weighting) และค่าคะแนนของแต่ละปัจจัย (Rating) ซึ่งกำหนด 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2) ความหนาแน่นของผู้ป่วยมาลาเรีย 3) ปริมาณน้ำฝน 4) ระยะการบินของยุงก้นปล่อง 5) อุณหภูมิ และ 6) ความชื้นสัมพัทธ์ ผลการศึกษาพบว่า สามารถจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมาลาเรียได้ทั้งหมด 3 ระดับ คือ 1) พื้นที่เสี่ยงมากที่สุดมีเนื้อที่ 1,205.59 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 50.94 ของพื้นที่ทั้งหมด 2) พื้นที่เสี่ยงปานกลาง มีเนื้อที่ 965.85 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 40.80 ของพื้นที่ทั้งหมด และ 3) พื้นที่เสี่ยงน้อยมีเนื้อที่ 195.46 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 8.26 ของพื้นที่ทั้งหมด เมื่อจำแนกเป็นรายอำเภอ พบว่าอำเภอสังขะมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 458.88 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 19.38 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือ อำเภอบัวเชดมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 356.89 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 15.08 ของพื้นที่ทั้งหมด อำเภอกาบเชิงมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 277.21 คิดเป็นร้อยละ 11.71 ของพื้นที่ทั้งหมด และอำเภอพนมดงรักมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 112.61 คิดเป็นร้อยละ 4.76 ของพื้นที่ทั้งหมด ตามลำดับ จำนวนผู้ป่วยปี พ.ศ.2557-2561 มีทั้งสิ้น 919 คน เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงมาก 727 คน คิดเป็นร้อยละ 79.10 อยู่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลาง 187 คน คิดเป็นร้อยละ 20.34 และอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้อย 5 คน คิดเป็นร้อยละ 0.54 ซึ่งพื้นที่เสี่ยงที่ได้จะเป็นข้อมูลในการสนับสนุนการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคมาลาเรียได้
2564-07-18T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8684
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
จ่าภา, ชนิกานต์; ชนัดดา รัตนา
งานวิจัยเรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล วิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยกำหนดโดยกรมควบคุมมลพิษ จำนวนปัจจัยทั้งหมด 13 ปัจจัย ดังนี้ 1) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร จากแนวเขตชุมชน 2) อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 3) ระดับน้ำใต้ดิน อยู่ลึกกว่า 5 เมตร 4) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตรจากแนวเขตโบราณสถาน 5) ห่างจากถนนสายหลักไม่น้อยกว่า 300 เมตร 6) อยู่ห่างจากบ่อน้ำบาดาล ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 7) สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่า 8) ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง 9) สมรรถนะของดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก 10) ไม่อยู่ในเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 11) ไม่อยู่ในเขตอนุรักษ์ 12) ไม่อยู่ในตำแหน่งของรอยเลื่อน 13) ความลาดของพื้นที่ไม่เกินร้อยละ 3 วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า
อำเภอลำปลายมาศมีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด 0.78 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของพื้นที่
และพื้นที่เหมาะสมมากที่สุดในระดับตำบลคือ ตำบลทะเมนชัยมีพื้นที่ 0.77 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 1.63 ของพื้นที่ ซึ่งพื้นที่เหมาะสมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย
เหมาะสมมาก ไม่เหมาะสม และเหมาะสมมากที่สุด
สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ปีการศึกษา 2561
2561-01-01T00:00:00Z
-
ภูมิศาสตร์โลกและประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8682
ภูมิศาสตร์โลกและประเทศไทย
ชนัดดา รัตนา
-
ภูมิศาสตร์อาเซียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8681
ภูมิศาสตร์อาเซียน
ชนัดดา รัตนา
-
การทำแผนที่สามมิติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8680
การทำแผนที่สามมิติ
Tananthaisong, Nattawut
การทำแผนที่สามมิติ มีวัตถุประสงค์ใช้ประกอบกระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษา เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและเกิดประสิทธิผลสูงสุดของกระบวนการเรียนรู้ เอกสารประกอบการสอนนี้ประกอบไปด้วย แผนบริหารการสอนรายวิชาตามกรอบมาตรฐานอุดมศึก (TQF) แผนบริหารการสอนบทเรียน เนื้อหาตามหลักสูตรและแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน
ในส่วนที่เป็นเนื้อหา ได้เรียบเรียง พัฒนาและปรับปรุงเนื้อหามาโดยตลอด จากประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษา การฝึกอบรม การค้นคว้าและศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ และจากประสบการณ์การสอนมามากกว่า 5 ปี โดยได้คำนึงถึงเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนและสภาพการนำไปใช้ในท้องถิ่นเป็นสำคัญ
2023-09-15T00:00:00Z
-
การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8679
การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
Tananthaisong, Nattawut; Wongram, Nattapon
The purposes of this study Development of a Web Based GIS Application for Volcanic Rice
Group in Khok Muang Village, Chorakhemak Subdistrict, Prakhon Chai District, Buriram Province, were to conduct surveys and develop and display online geographic information system database for the volcano rice group in Khok Muang Village, Chorakhemak Subdistrict, PrakhonChai District, Buriram Province, utilizing the concept of System Development Life Cycle (SDLC).Research participants drawn by the purposive sampling technique were 15 members of the executive committee of the volcano rice group. Research findings revealed that there were nine databases developed, including data entry for officers, rice farming members, plantation, locations of farming plots, farming areas, type of products, distribution, and areas suitable for economic crops. Online geographic information system for the volcano rice group consists of six sections, namely main page, recorder data management, member data management, data management, areas suitable for economic crops, and data reporting. The data were obtained from a total of 176 members owning 228 plots with the total area used for growing volcano rice of 2621 rai, 3 ngan and 54 square wah. The overall system’s efficiency evaluation result was at a very good level (x̅=4.75). The results from the users’ satisfaction with the online geographic information system for the volcano rice group showed that the users’ satisfaction with the system was at the high level (x̅ = 4.23).
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อส ารวจและจัดทำฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และแสดงผลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ออนไลน์ กลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้แนวคิดวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศแบบ SDLC กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็น
บุคลากรกรรมการบริหารกลุ่มข้าวภูเขาไฟ จำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
ประกอบไปด้วย 9 ตาราง ได้แก่ ตารางข้อมูลสำหรับเจ้าหน้าที่ข้อมูลสมาชิกปลูกข้าว ข้อมูลการเพาะปลูก
ข้อมูลตำแหน่งแปลงเพาะปลูก ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูก ข้อมูลประเภทผลผลิต ข้อมูลการจ าหน่ายและข้อมูลเขตความเหมาะสมพืชเศรษฐกิจ ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟออนไลน์ ประกอบไปด้วย 6 ส่วน ได้แก่ หน้าหลัก จัดการข้อมูลผู้บันทึก จัดการข้อมูลสมาชิก จัดการข้อมูล เขตความเหมาะสมพืชเศรษฐกิจและรายงานข้อมูลในการดำเนินการวิเคราะห์สามารถนำเข้าข้อมูลสมาชิกทั้งหมด 175 คน จำนวน 228 แปลง รวมพื้นที่การเพาะปลูกข้าวภูเขาไฟทั้งหมด 2,621 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา ผลการประเมิน
ประสิทธิภาพระบบภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̅=4.75) ผลการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟในภาพรวม ผู้ใช้งานระบบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
(x̅ = 4.23)
2023-06-30T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8531
การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง จังหวัดบุรีรัมย์
วงษ์รัมย์, ณัฐพล; พชสิทธิ์, สรรธาร
การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้งจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เทคนิค Potential Surface Analysis (PSA) เพื่อหาพื้นที่เหมาะสำหรับสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ ในพื้นที่ 4 ตำบล คือ ต.มะเฟือง อ.พุทไธสง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน ต.โคกเหล็ก อ.ห้วยราช และ ต.เมืองฝาง อ.เมืองบุรีรัมย์ โดยพิจารณาปัจจัยทางกายภาพ และ โดยกำหนดค่าน้ำหนัก (W) คือ 1) น้ำท่า 5 คะแนน 2) การระบายน้ำของดิน 4 คะแนน 3) ความลาดชัน 3 คะแนน 4) การใช้ประโยชน์ที่ดิน 2 คะแนน และ 5)ชนิดของหิน 1 คะแนน คูณค่าคะแนนปัจจัย (R) แล้วนำค่าคะแนนรวมศักยภาพของพื้นที่ (S) มาวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อจัดระดับศักยภาพพื้นที่ 3 ระดับคือ สูง ปานกลาง และต่ำ พบว่า ตำบลที่มีพื้นที่มีศักยภาพสูงสุด ตำบลมะเฟือง รองลงมาคือ ตำบลเมืองฝาง ตำบลบ้านด่าน และตำบลโคกเหล็กตามลำดับ เมื่อเทียบอัตราส่วนกับพื้นที่ตำบลพบว่า ต.เมืองฝาง มีสัดส่วนพื้นที่ศักยภาพสูงต่อมากที่สุด รองลงมาคือ ตำบลมะเฟือง ตำบลบ้านด่าน และโคกเหล็ก
2022-10-15T00:00:00Z
-
การประมาณค่าอุณหภูมิพื้นผิวที่ดินภายในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8331
การประมาณค่าอุณหภูมิพื้นผิวที่ดินภายในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
Pantip Piyatadsananon, Ekkaluk Salakkham
2022-01-01T00:00:00Z
-
การสร้างแบบจำลองเพื่อประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางพาราด้วยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-2A
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8330
การสร้างแบบจำลองเพื่อประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางพาราด้วยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-2A
พัชรี เกษรบัว, อนุชสรา หงษ์แก้ว, เอกลักษณ์ สลักคำ
2565-03-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน้้าเขตพื้นที่ภัยแล้งในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8313
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน้้าเขตพื้นที่ภัยแล้งในจังหวัดบุรีรัมย์
Nattawut Tananthaisong; Nattapon Wongram; Chanadda Rattana; Warinpipat Watcharapongkasem
Buriram province has faced drought because of long dry spells leading to water shortages. In
changing weather conditions, the increasing population makes water management in many areas
insufficient to meet the demand. This article aims to survey the water supply resources and the
water demands for consumption and agriculture, to develop a water management database
and a web application to publicize water usage data in Ma Feung sub-district area, Phutthaisong
district, Ban Dan sub-district, Ban Dan district, Khok Lek sub-district, Huai Rat district and Mueang
Fang sub-district Mueang Buriram district, Buriram province. The sample group consisted of 61
participants, comprising members of the water management committee at the sub-district level,
representatives of Buriram Provincial Office for Disaster Prevention and Mitigation, Buriram
Provincial Office for Natural Resources and Environment, Farmers Council Office of Buriram
Province, and Buriram Land Development Station. The concept of System Development Life
Cycle (SDLC) was adopted in the system development. Research methods are divided into 4
phases, namely 1) the study of the needs, 2) water usage database development at the sub district level, 3) the web application development, and 4) An experiment to assess the system’s
efficiency and satisfaction of the system users. The results of the research showed that database
system development consists of 16 tables: advice, villages, sub-districts, districts, provinces,
contact information, cattle type, cattle by household, households, plants by household, plants
type, membership system, water resources, a record of water resources, villages responsible for
water resources, and villages utilizing water resources.The online geographic information system
for water management in drought-affected areas consists of 10 sections, including the main
page, classification of animals, agricultural areas, water management, member data
management, village management, data entry, issuance of reports, suggestions, and information
on how to contact officers. Information on water demand was collected from 2,714 households
in 37 communities. The overall system’s efficiency evaluation result was at a very good level
(x̅=4.70). The results from the users’ satisfaction with the online geoinformatics database system
for water management in drought-affected areas showed that in the overall aspect, the users’
satisfaction with the system was at the highest level (x̅=4.76).
2022-08-05T00:00:00Z
-
Land Surface Temperature Estimation for Buriram Town Municipality, Thailand
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8128
Land Surface Temperature Estimation for Buriram Town Municipality, Thailand
Salakkham, E., Piyatadsananon, P.
2021-01-01T00:00:00Z
-
การเปลี่ยนแปลงของป่าบุ่งป่าทามบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8127
การเปลี่ยนแปลงของป่าบุ่งป่าทามบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง
รัศมี สุวรรณวีระกำธร, อธิรัช ราชเจริญ, เอกลักษณ์ สลักคำ
2550-01-01T00:00:00Z
-
ภูมิสารสนเทศประยุกต์: การใช้ประโยชน์ที่ดินและการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8125
ภูมิสารสนเทศประยุกต์: การใช้ประโยชน์ที่ดินและการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง
เอกลักษณ์ สลักคำ
-
การประมวลผลภาพเชิงเลข (คู่มือโปรแกรม)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8123
การประมวลผลภาพเชิงเลข (คู่มือโปรแกรม)
เอกลักษณ์ สลักคำ
คู่มือการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางสำหรับการประมวลผลข้อมูลภาพเชิงเลขเบื้องต้น เพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา การรับรู้จากระยะไกล และการประมวลผลภาพเชิงเลข เอกสารฉบับนี้ไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการขอตำแหน่งทางวิชาการ แต่จัดทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษามีเอกสารสำหรับสืบค้น ทบทวน และศึกษาด้วยตนเองได้ในเบื้องต้น
-
รูปแบบการกระจายตัวและความหนาแน่นของโรงแรมอัจฉริยะ กรณีศึกษา อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8121
รูปแบบการกระจายตัวและความหนาแน่นของโรงแรมอัจฉริยะ กรณีศึกษา อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พิยดา ทองดุน, สำรวย คำเลิศ, เอกลักษณ์ สลักคำ
2565-01-01T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์ศักยภาพเชิงพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวเมือง กรณีศึกษา เทศบาลเมืองปากช่องและพื้นที่ใกล้เคียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8120
การวิเคราะห์ศักยภาพเชิงพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวเมือง กรณีศึกษา เทศบาลเมืองปากช่องและพื้นที่ใกล้เคียง
ธัญญารัตน์ แหวนวงค์, อมรา ตรีวิเศษ, เอกลักษณ์ สลักคำ
2565-01-01T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์จุดความร้อนของปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง กรณีศึกษา เทศบาลเมืองนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8119
การวิเคราะห์จุดความร้อนของปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง กรณีศึกษา เทศบาลเมืองนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
กฤษติกาญจน์ คะรัมย์, เอกลักษณ์ สลักคำ
2564-01-01T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8118
การวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อ้อมนภา จำปาศรี, เอกลักษณ์ สลักคำ
2564-01-01T00:00:00Z
-
แนวทางการจำแนกประเภทป่าไม้ด้วยเทคนิคการเน้นข้อมูลเชิงคลื่น กรณีศึกษา อุทยานแห่งชาติทับลาน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8117
แนวทางการจำแนกประเภทป่าไม้ด้วยเทคนิคการเน้นข้อมูลเชิงคลื่น กรณีศึกษา อุทยานแห่งชาติทับลาน
สุพัตรา ใจเย็น, เอกลักษณ์ สลักคำ
2564-01-01T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์การกระจายตัวของจำนวนผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8116
การวิเคราะห์การกระจายตัวของจำนวนผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับ จังหวัดบุรีรัมย์
ลภัสรดา พรมแก้ว, เอกลักษณ์ สลักคำ
2564-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้แบบจำลองเซลลูลาร์ออโตมาตามาร์คอฟเพื่อคาดการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน กรณีศึกษา อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8115
การประยุกต์ใช้แบบจำลองเซลลูลาร์ออโตมาตามาร์คอฟเพื่อคาดการณ์การใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน กรณีศึกษา อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด
นิทากร นิละพันธ์, เอกลักษณ์ สลักคำ
2564-01-01T00:00:00Z
-
ประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8114
ประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุม
เอกลักษณ์ สลักคำ
แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนเพื่อบริหารและจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ ในอดีตการจัดทำแผนที่การใช้ประโยชน์อาศัยการแปลตีความข้อมูลภาพถ่ายด้วยสายตา แต่ปัจจุบันมีการนำวิธีการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมไปใช้อย่างแพร่หลาย วิธีการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีด้วยกันหลายวิธี การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยวิธีการจำแนกข้อมูลแบบควบคุมและไม่ควบคุมและทดสอบสอบประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทข้อมูลแต่ละวิธี โดยทำการเปรียบเทียบผลการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยวิธีวิธีการจำแนกแบบจัดกลุ่มโดยเรียงลำดับ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันแบบทำซ้ำ การประยุกต์ทฤษฎีฟัซซีเซต วิธีการจำแนกแบบระยะทางสั้นที่สุด วิธีการจำแนกแบบสี่เหลี่ยมคู่ขนาน วิธีการจำแนกแบบความน่าจะเป็นสูงสุดและวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียม เทียบกับผลจากการจำแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตา ผลการวิจัย พบว่า ผลจากการจำแนกประเภทข้อมูลด้วยวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียมมีความใกล้เคียงกับผลผลจากการจำแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตามากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แคปปาเท่ากับ 0.27
2558-01-01T00:00:00Z
-
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7249
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง; อาลัย จันทร์พาณิชย์; ชลาวัล วรรณทอง; ชนัดา รัตนา
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์และแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้วิธีการศึกษาแบบมีส่วนร่วม การสังเกต สัมภาษณ์และการจัดเวทีชุมชน พบว่า ภูมิปัญญาที่พบในชุมชนบ้านคลองโป่งและบ้านคลองหิน สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านความเชื่อพิธีกรรมและด้านวิถีชีวิตวิทยาการ ซึ่งด้าน ความเชื่อและพิธีกรรมพบภูมิปัญญาทั้งหมด 4 ภูมิปัญญา ได้แก่ พิธีกรรมการบวชป่า การปลูกต้นไม้ในช่วงปริวาสกรรม ความเชื่อด้านเจ้าป่าและความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ส่วนด้านวิถีชีวิตและวิทยาการพบภูมิปัญญาในการอนุรักษ์ทั้งหมด 7 ภูมิปัญญา ได้แก่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปลูกพืชและพื้นที่อนุรักษ์ ปลูกพืชไว้เป็นอาหารสัตว์ เพาะชำต้นกล้าไม้คืนสู่ป่า ตั้งชมรมอาสาพิทักษ์ป่า กิจกรรมร่วมกันดับไฟป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติไว้เป็นแหล่งน้ำดื่มของสัตว์ป่าและการประยุกต์ทำเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อขับไล่สัตว์ป่า มีแนวทางการจัดการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ การจุดประกายพลังชุมชน การสร้างเครือข่าย การพัฒนาแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติชุมชน การสร้างการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเยาวชน การบูรณาการร่วมกับหลักศาสนาและการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาในการอนุรักษ์
2563-06-01T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ไวรัสโควิดไนน์ทีน ในประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7080
การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ไวรัสโควิดไนน์ทีน ในประเทศไทย
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
โลกได้รับรู้เรื่องโรคระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ปริศนา หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนยืนยันเมื่อ 31 ธันวาคม 2019 เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น โดยหลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้นำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ในเวลาต่อมาสาธารณรัฐประชาชนจีนและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้คือ เชื้อไวรัสโคโรนา ก่อนหน้านี้ พบไวรัสโคโรนามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยเกิดการระบาดในมนุษย์ สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ไวรัสในตระกูลนี้มาแล้ว จากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงหรือโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) โดยพบการระบาดครั้งแรกปลายปี 2002 เริ่มจากพื้นที่มณฑลกวางตุ้งของจีน ก่อนที่จะแพร่กระจายไปในหลายประเทศ จนมีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน และคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ 800 คนทั่วโลก องค์การอนามัยโลก เรียกโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า โควิดไนน์ทีน (Covid-19) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น การระบาดใหญ่ หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก (บีบีซี, 2563) ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปัจจุบันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดไปแล้วใน 203 ประเทศและดินแดนทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 826,250 คน ทั้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 40,712 คน (Johns Hopkins University, 2020)
สถานการณ์โควิดไนน์ทีนในประเทศไทย จากรายงานสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด ไนน์ทีน ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน วันที่ 1 มีนาคม 2563 มีการพบผู้ป่วยที่มีอาการตามนิยามเฝ้าระวังโรครายใหม่ 134 ราย และในวันที่ 24 มีนาคม 2563 สำนักงานนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดไนน์ทีนแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและไทยได้รับผลกระทบ รัฐบาลไทยจึงได้ใช้มาตรการป้องกัน สกัดกั้น ชะลอการแพร่ระบาดของโรค (ราชกิจจานุเบกษา, 2563) ในสถานการณ์ล่าสุด 31 มีนาคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโควิดไนน์ทีน จำนวน 1,651 ราย รักษาหายและแพทย์ให้กลับบ้าน 416 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิต 10 ราย ผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีสัญชาติไทย 1,407 ราย สัญชาติอื่น ๆ 244 ราย จำนวนผู้ป่วยจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพฯ-นนทบุรี 869 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 77 ราย ภาคเหนือ 55 ราย ภาคกลาง 172 ราย ภาคใต้ 206 ราย (กรมควบคุมโรค, 2563)
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ใช้ในการศึกษาการระบาดในเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดไนน์ทีน มาวิเคราะห์เชิงพื้นที่พิจารณาถึงปัจจัยตั้งและเวลาพร้อมกัน แสดงสถานการณ์การเกิดโรคระบาดเชิงพื้นที่ ระบุพื้นที่ที่มีการกลุ่มผู้ป่วยหรือโรคระบาด ประเมินพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ทำให้สามารถทราบถึงการกระจายเชิงพื้นที่ของอุบัติการณ์สะสมไวรัสโควิดไนน์ทีน มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจในการบริหาร วางแผนด้านทรัพยากรและมาตรการในการดำเนินป้องกันควบคุมโรคระบาดและนโยบายทางสังคมของปะเทศไทย
2563-01-01T00:00:00Z
-
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7074
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
รัตนา, ชนัดดา; ทะนันไธสง, ณัฐวุฒิ; จันทร์พาณิชย์, อาลัย; วรรณทอง, ชลาวัล
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์และแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้วิธีการศึกษาแบบมีส่วนร่วม การสังเกต สัมภาษณ์และการจัดเวทีชุมชน พบว่า ภูมิปัญญาของชุมชนบ้านคลองโป่งและบ้านคลองหิน แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านความเชื่อพิธีกรรมและด้านวิถีชีวิตวิทยาการ ซึ่งภูมิปัญญาด้านความเชื่อและพิธีกรรมมีทั้งหมด 4 ภูมิปัญญา ได้แก่ พิธีกรรมการบวชป่า การปลูกต้นไม้ในช่วงปริวาสกรรม ความเชื่อด้านเจ้าป่าและความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ส่วนภูมิปัญญาด้านวิถีชีวิตและวิทยาการในการอนุรักษ์มีทั้งหมด 7 ภูมิปัญญา ได้แก่ การแบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปลูกพืชและพื้นที่อนุรักษ์ ปลูกพืชไว้เป็นอาหารสัตว์ เพาะชำต้นกล้าไม้คืนสู่ป่า ตั้งชมรมอาสาพิทักษ์ป่า กิจกรรมร่วมกันดับไฟป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติไว้เป็นแหล่งน้ำดื่มของสัตว์ป่าและการประยุกต์ทำเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อขับไล่สัตว์ป่า มีแนวทางการจัดการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด 6 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ การจุดประกายพลังชุมชน การสร้างเครือข่าย การพัฒนาแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติชุมชน การสร้างการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเยาวชน การบูรณาการร่วมกับหลักศาสนาและการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ; The objective of the study entitled “Body of Knowledge on Natural Resources and Environment Conservation in Dong Yai Wildlife Sanctuary, Buriram Province” is to explore body of knowledge on natural resources and environment conservation including conservation approaches. Participatory action research method, observations, interviews, and community forum were used in the study. It was found that the body of knowledge of the Klong Pong village and Klong Hin village communities can be divided into 2 types: 1) beliefs and rituals and 2) lifestyles and disciplinary. The body of knowledge in terms of beliefs and rituals included 4 aspects: forest ordination, planting during parish period, forest lord belief, and ancestor spirits belief. The body of knowledge in terms of lifestyles and disciplinary in conservation consisted of 7 aspects: planting area and conservation area division, planting for animal food, making a plant nursery for planting in forest, establishing a forest protection volunteering club, forest fire suppression activities, natural drinking water resources conservation for wild animals, and wild animal ultrasonic repellent application. There were 6 conservation approaches in total: community power igniting, networking, developing community natural resources management plans, creating learning and participation in the youth, and integrating religion disciplines into education institute curriculum development regarding natural resources conservation.
2563-05-29T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งสถานแ ข่งขันกีฬาในร่ม กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6177
การประยุกต์ใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งสถานแ ข่งขันกีฬาในร่ม กรณีศึกษา อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สายสุวรรณ, ณัฐชา
-
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโ รคไข้เลือดออก เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6176
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโ รคไข้เลือดออก เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออก ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พวงพันธ์, ศิริวรรณ
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ร้ายแรงที่พบบ่อยในพื้นที่เขตร้อน และเป็นปัญหาหลักของสาธารณสุขในประเทศไทย วัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดรคไข้เลือดออกในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล (Overly)
และกำหนดค่าถ่วงน้ำหนักค่าคะแนนความเสี่ยงของปัจจัย ซึ่งกำหนดปัจจัย 6 ปัจจัย ได้แก่ 1)ระยะห่างจากของเขตเทศบาลและพื้นที่ชุมชน 2) ระยะห่างจากพื้นที่สวน 3) ระยะห่างจากพื้นที่แหล่งน้ำ 4) ปริมาณน้ำฝน 5) อุณหภูมิ 6) ความชื้นสัมพันธ์ จากนั้นให่ค่าคะแนนและค่าถ่วงน้ำหนักของแต่ละปัจจัย ผลการศึกษาพบว่าการหาพื้นที่เสี่ยงสำหรับป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในอำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ วิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงจำนวน 6 ปัจจัย สามารถจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ทั้งหมด 3 ระดับดังรายละเอียดดังนี้ 1) ระดับน้อย มีเนื้อที่ 32.80 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 3.83 ของพื้นที่ทั้งหมด 2) ระดับปานกลาง มีเนื้อที่ 313.03 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 36.55 ของพื้นที่ทั้งหมด 3) ระดับมาก มีเนื้อที่ 510.42 ตารางกโลเมตร คิดเป็นร้อนละ 59.61 ของพื้นที่ทั้งหมด
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวร้า นค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6175
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวร้า นค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สิงห์คำ, สันติพงษ์
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการกระจายตัวและหาความสัมพันธ์การกระจายตัวกับทฤษฎีทำเลที่ตั้งของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยผู้วิจัยได้ลงพื้นที่จับพิกัดตำแหน่งร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง โดยใช้เครื่อง GPS
และนำข้อมูลที่ได้จากการจับพิกัดตำแหน่งมาใช้ในโปรแกรม Arc map ที่ช่วยในการวิเคราะห์หารูปแบบการกระจายตัวและผู้วิจัยได้หาความสัมพันธ์การกระจายตัวกับทฤษฎีทำเลที่ตั้งเพื่อดูความสอดคล้องด้านที่ตั้งทำเลตามทฤษฎีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทำเลที่ตั้ง ได้แก่ สถานศึกษา สถานบันเทิง สถานที่ราชการ หอพัก ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน โดยการทำ Buffer หรือ แนวกันชนและแบ่งชั้นระยะห่างออกเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย 100 เมตร 200 เมตร 300 เมตร 400 เมตร เพื่อดูระยะห่างของร้านร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง ในรัศมีการทำ Buffer ผลการการศึกษา พบว่า กระจายตัวของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง มีการกระจายตัวแบบ Random และสถานที่ที่มีความสัมพันธ์ด้านทำเลที่ตั้งของร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง อันดับหนึ่งคือห้างสรรพสินค้า เพราะในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภคเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตและสถานที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือห้างสรรพสินค้า ในขณะเดียวกัน สถานศึกษา สถานบันเทิง สถานที่ราชการ หอพัก ปั๊มน้ำมัน ก็มีความสัมพันธ์เช่นเดียวกันเพราะเป็นสถานที่ดึงดูดลูกค้าจำนวนมากและมีการใช้บริการอยู่ตลอดเวลาจึง 2 ทำให้มีร้านค้าสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง กระจายตัวกันตามสถานที่สำคัญเหล่านี้เพราะมีเส้นทางสัญจรที่สะดวกสบายง่ายต่อการเข้าถึงและมีความปลอดภัยด้านทำเลที่ตั้งจึงทำให้ร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ไม่ประสบภาวะขาดทุน จากการศึกษาของผู้วิจัยสรุปได้ว่าการกระจายตัวร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ในเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นไปตามทฤษฎีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อทำเลที่ตั้งเพราะในระยะ 100 เมตร มีการกระจายตัวของร้านค้าสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง ทุกสถานที่สำคัญ
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การการเปลี่ยนแปลงป่าชุมช นบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6174
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การการเปลี่ยนแปลงป่าชุมช นบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
สรุปพล, ศุภกร
จากการศึกษา การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ในการการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อจําแนกพื้นที่ป่าไม้ด้วยข้อมูล ภาพถ่ายดาวเทียมหลายช่วงเวลา ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม LANDSAT-5 TM ในปี พ.ศ. 2546-2554 และ LANDSAT-8 OIL ในปี พ.ศ. 2561 ทำการจำแนกข้อมูลจากภาพถ่ายจากดาวเทียม LANDSAT และยังใช้เทคนิคการแปลตีความภาพถ่ายด้วยสายตาเพื่อทำข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อประเมินหาการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล และตรวจสอบความถูกต้องในการภาคสนาม และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้
ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงของป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
ปี พ.ศ. 2546-2554 พบว่า พื้นที่ป่ามีขนาดลดลง 0.24 ตารางกิโลเมตรหรือ 150 ไร่ พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้ประโยชน์นั้นเป็น พื้นที่ปลูกอ้อยมีขนาดเพิ่มขึ้น 125 ไร่ พื้นที่ปลูกนาข้าว 12.5 ไร่ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 6.25 ไร่ พื้นที่ปลูกยางพาราไม่มีการเปลี่ยนแปลง พื้นที่สิ่งก่อสร้าง 12.5 ไร่ และพื้นที่แหล่งน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโคกพะไล ต.ละลวด อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ปี พ.ศ. 2554-2561 พบว่า พื้นที่ป่ามีขนาดลดลง 0.33 ตารางกิโลเมตรหรือ 206.25 ไร่ พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้ประโยชน์นั้นเป็นพื้นนาข้าวมีขนาดเพิ่มขึ้น 56.25 ไร่ พื้นที่มันสำปะหลัง 250 ไร่ พื้นที่ยางพารา 6.25 ไร่ พื้นที่อ้อย 87.5 ไร่ พื้นที่พื้นที่สิ่งก่อสร้าง 6.25 ไร่
และพื้นที่แหล่งน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม คือ ในปี พ.ศ. 2546 มีพื้นที่ป่าไม้ 2.39 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2554 มีพื้นที่ป่าไม้ 2.15 ตารางกิโลเมตร และปี พ.ศ. 2561 มีพื้นที่ป่าไม้ 1.82 ตารางกิโลเมตร มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ จาก ปี พ.ศ.2546-2561 มีพื้นที่ป่าไม้ลดลง -0.57 ตารางกิโลเมตร หรือ 356.25 ไร่ เพราะมีการบุกรุกพื้นที่ป่าชุมชน
ดังนั้นมีการจัดการและควบคุมดูแลพื้นที่ป่าไม้โดยชุมชนจึงมีความสําคัญ และมีความจําเป็นเพื่อให้พื้นที่ป่าคงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการเผยแพร่ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6173
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการเผยแพร่ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
มีการุณ, ปราการ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการส่งเสริมชุมชนท่องเที่ย
ว OTOPนวัตวิถี กรณีศึกษา : อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางอินเทอร์เน็ตในการแดงแหล่งชุมชน OTOP นวัตวิถี ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษามีวิธีการดำเนินการวิจัย โดยเริ่มจากการเตรียมข้อมูลชุมชนท่องเที่ยว ทั้ง 6 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านยาง ชุมชนบ้านสำโรง ชุมชนบ้านโคกสูง ชุมชนบ้านบุตาวงษ์ ชุมชนบ้านแสลงพัน ชุมชนบ้านห้วยหวาย ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จากอินเตอร์เน็ตและสอบถามชาวบ้าน หนังสือ หน่วยงานราชการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องชุมชนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โดย
จัดทำเว็บไซต์เพื่อนำเสนอและประชาสัมพันธ์แหล่งชุมชนท่องเที่ยวทั้ง 6 ชุมชน ผลการศึกษาพบว่า
สามารถทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัด สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ในแต่ละชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ทราบตำแหน่งเชิงพื้นที่ของศูนย์การเรียนรู้ต่าง ๆ ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมที่พัก และยังรวมไปถึงสินค้าโอทอปในแต่ละชุมชน ในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้อย่างชัดเจน
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6172
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์
ภูเฮียงแก้ว, ภัทรวดี
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อ
การเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม กรณีศึกษา : อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษาได้กำหนดปัจจัยที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน ระยะห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ความสามารถของการระบายน้ำของชุดดิน ความลาดชันและการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยวิธีการให้ค่าคะแนนถ่างน้ำหนักความสำคัญ (Weighting) และค่าคะแนนระดับปัจจัย (Rating)
จากนั้นนำแต่ละปัจจัยมาซ้อนทับกันผลการศึกษาจากการวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมากพ
บว่าตำบลพุทไธสง มีพื้นทีเสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมากมีพื้นที่ 160.02 ตารางกิโลเมตร หรือ 78,912.50
ไร่ คิดเป็นร้อยละ 43.99 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือตำบลบ้านจานมีพื้นทีเสี่ยงภัยน้ำท่วมสูงมีพื้นที่ 30.26 ตารางกิโลเมตร หรือ 57,081 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 53.96 ของพื้นที่ทั้งหมด
พบว่าการระบายน้ำค่อนข้างเลวใกล้ลำน้ำมูลและเป็นพื้นที่การเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของ สถานบันเทิงยามค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6171
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของ สถานบันเทิงยามค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
จันทะบูรณ์, แพรทอง
วิจัยครั้งนี้เป็นการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวิเคราะห์การกระจายตัว
ของ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ ได้แก่
1) เพื่อ วิเคราะห์การกระจายตัวของสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัย และที่ตั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในเขตเทศบาลบุรีรัมย์ อำเภอ
เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลพิกัดดตำแหน่งสถานบันเทิงยามค่ำคืน โดยใช้เครื่อง GPS
ในรูปแบบจุด (Point) นำพิกัดตำแหน่งสถานบันเทิงมาวิเคราะห์การกระจายตัว โดยใช้โปรแกรม
Arcmap 10.2 และใช้ค่าสั่ง Average Nearest Neighbor ในการวิเคราะห์พบว่าสถานบันเทิงยาม
ค่ำคืนในเขตเทศบาลบุรีรัมย์มีรูปแบบการกระจายตัวแบบกลุ่มก้อน (Clusterred) และวิเคราะห์
ปัจจัยที่ตั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืนกำหนดพื้นที่กันชน ด้วยโปรแกรม Arcmap 10.2 โดยกำหนดระยะ
พื้นที่กันชน 300 เมตร จาก สถานศึกษา และศาสนสถาน พื้นที่ที่สามารถตั้งสถานบันเทิงได้และไม่สามารถตั้งสถานบันเทิงได้ สรุปได้ว่าภายในรัศมี 300 เมตร มีสถานบันเทิงที่ตั้งถูกต้องตามพระราชบัญญัติสถานบริการปี พ.ศ.2509 และพระราชบัญญัติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปี พ.ศ. 2551 จำนวน 2 แห่ง และไม่ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติจำนวน 23 แห่ง
2560-01-01T00:00:00Z
-
การเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว กรณีศึกษา : อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6170
การเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว กรณีศึกษา : อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อรุณศรี, ศรีวิชัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวตามประเภทการท่องเที่ยว อำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว
ตามประเภทแหล่งท่องเที่ยวและจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางการท่องเที่ยวอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ วิธีการศึกษาคือเก็บรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจากอินเตอร์เน็ตและจากลงภาคสนามมาแบ่งตามประเภทการท่องเที่ยวแล้วนำแบบสอบถามความต้องการเว็บไซต์ของแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 50 ชุด มาหาค่าความถี่ โดยใช้สถิติร้อยละเพื่อหาความต้องการที่มากที่สุดของนักท่องเที่ยวในแต่ละข้อของแบบสอบถามเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเว็บไซต์ ผลการศึกษาพบว่า มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจทั้งสิ้น 30 แห่ง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
นำมาจัดทำเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ที่ทำการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์
และนำข้อมูลเว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวไปให้หน่วยงานอำเภอเมืองบุรีรัมย์ใช้ประโยชน์ต่อไป
2560-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6169
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
บุญรอด, ศศิมา
การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกระจายตัวของผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556-2561 เพื่อทำการศึกษาและจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งของผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในอำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556-2561 วิธีการดำเนินงานวิจัยโดยการจุดตำแหน่งของผู้ป่วยโดยวิเคราะห์การกระจายตัวโดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มาช่วยในการวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวด้วยวิธี High/Low Clustering ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการกระจายตัวของผู้ป่วย ปี พ.ศ. 2558 มีจะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ High Clusters หรือเป็นรูปแบบที่เป็นกลุ่มใหญ่ และมีพื้นที่กว้าง ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ 4.294992 ส่วนปี พ.ศ. 2557 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ High Clusters หรือเป็นรูปแบบที่เป็นกลุ่มใหญ่ และมีพื้นที่กว้าง ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ 1.712864 และในปี พ.ศ. 2556 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ -0.145836 พ.ศ. 2559 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z- score อยู่ ที่ -0.895784 พ.ศ. 2560 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z-score อยู่ ที่ -0.011855 และพ.ศ. 2561 จะเป็นรูปแบบการกระจายตัวแบบ Ramdom หรือมีรูปแบบการกระจายตัวที่เป็นแบบสุ่ม ซึ่งค่า z- score อยู่ ที่ 1.136917 จากการวิเคราะห์ความหนาแน่นด้วยวิธี Kernel Density พบว่าพื้นที่ที่มีผู้ป่วยมีความหนาแน่นมากคือตำบลแคนดงและตำบลดงพลอง
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6168
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมใ นการสร้างหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์
จ่าภา, ชนิกานต์
งานวิจัยเรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อคัดเลือกพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการสร้างหลุมฝังกลบขยะแบบถูกสุขาภิบาล วิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยกำหนดโดยกรมควบคุมมลพิษ จำนวนปัจจัยทั้งหมด 13 ปัจจัย ดังนี้ 1) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร จากแนวเขตชุมชน 2) อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 3) ระดับน้ำใต้ดิน อยู่ลึกกว่า 5 เมตร 4) อยู่ห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตรจากแนวเขตโบราณสถาน 5) ห่างจากถนนสายหลักไม่น้อยกว่า 300 เมตร 6) อยู่ห่างจากบ่อน้ำบาดาล ไม่น้อยกว่า 700 เมตร 7) สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นที่รกร้างว่างเปล่า 8) ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง 9) สมรรถนะของดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก 10)
ไม่อยู่ในเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 11) ไม่อยู่ในเขตอนุรักษ์ 12) ไม่อยู่ในตำแหน่งของรอยเลื่อน 13) ความลาดของพื้นที่ไม่เกินร้อยละ 3 วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า อำเภอลำปลายมาศมีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด 0.78 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 0.09 ของพื้นที่ และพื้นที่เหมาะสมมากที่สุดในระดับตำบลคือ ตำบลทะเมนชัยมีพื้นที่ 0.77 ตารางกิโลเมตร
คิดเป็นร้อยละ 1.63 ของพื้นที่ ซึ่งพื้นที่เหมาะสมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย
เหมาะสมมาก ไม่เหมาะสม และเหมาะสมมากที่สุด
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6166
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
พันธุ์ลี, ภาณุเดช
งานวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กรณีศึกษา : ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ของ ตำบลตูมใหญ่
อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวิธีดำเนินการวิจัยโดยการวิเคราะห์ปัจจัยทางกายภาพมีจำนวน 6
ปัจจัย ได้แก่ สถานที่ราชการ แหล่งชุมชน ถนนสายหลัก แหล่งน้ำผิวดิน ชนิดดินและความลาดชัน
โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น ในการเปรียบเทียบน้ำหนักของปัจจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ 3
ท่านเนื่องจากปัจจัยแต่ละประเภทมีอิทธิพลต่อพื้นที่เหมาะสมไม่เท่ากันแบ่งพื้นที่เหมาะสมได้
6ระดับได้แก่ พื้นที่ไม่เหมาะสม พื้นที่เหมาะสมน้อย พื้นที่เหมาะสมค่อนข้างน้อย พื้นที่เหมาะสมปานกลาง พื้นที่เหมาะสมค่อนข้างมาก พื้นที่เหมาะสมมากที่สุด ผลการวิจัยพบว่าพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่ของตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีพื้นที่เหมาะสมมากที่สุด มีเนื้อที่ 0.31 ตารางกิโลเมตรหรือ 193.75ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.55% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่โรงปุ๋ยมูลไก่ที่ส่งผลกระทบจุดเดิมอยู่ในเขตบ้านตูมใหญ่ ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ หลังจากวิเคราะห์ผลทำให้ทราบว่าพื้นที่ที่เหมาะสมมากที่สุดอยู่ในเขตบ้านหนองไผ่ดง ตำบลตูมใหญ่ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมประมาน 5 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ที่เหมาะสมพบว่าเป็นสวนยางพาราและมีทุ่งนาล้อมรอบ อยู่ห่างจากแหล่งน้ำผิวดิน ประมาณ 800 เมตร และห่างจากแหล่งชุมชนประมาณ 1 กิโลเมตร เหมาะสมที่จะตั้งโรงปุ๋ยมูลไก่
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
2561-01-01T00:00:00Z
-
โครงการสำรวจและจัดทำแผนที่กายภาพ ศูนย์บริการอุดมศึกษาหนองขวาง อำเภอคูเมือง และศูนย์อุดมศึกษาปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6066
โครงการสำรวจและจัดทำแผนที่กายภาพ ศูนย์บริการอุดมศึกษาหนองขวาง อำเภอคูเมือง และศูนย์อุดมศึกษาปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
งานวิจัยนี้ จึงได้ทำการสำรวจและจัดทำแผนที่ด้านกายภาพ ศูนย์บริการอุดมศึกษาหนองขวาง อำเภอคูเมือง และศูนย์อุดมศึกษาปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยจัดเก็บเป็นข้อมูลคุณลักษณะและข้อมูลเชิงพื้นที่ ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูลทางด้านสภาพภูมิประเทศ ลักษณะดิน แหล่งน้ำ อุณหภูมิ ปริมาณแสง ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ภาพถ่ายดาวเทียม ของทรัพยากรกายภาพในท้องถิ่น ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัย มีความถูกต้องเชิงตำแหน่ง โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่หรือชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่
2562-10-01T00:00:00Z
-
การเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5984
การเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
ยือรัมย์, กฤศวรรธน์
งานวิจัยการเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงบริเวณป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง
จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีดำเนินการวิจัยโดยหาข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียม ปี พ.ศ2551 ภาพถ่ายทางดาวเทียม LANDSAT-5 และ ปี พ.ศ 2555และปี พ.ศ 2561 ภาพถ่ายทางดาวเทียม google earth ทำการตัดต่อภาพถ่ายทางดาวเทียม เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ศึกษาทั้ง 3 ชั้นปี ปรับแก้ค่าพิกัด
และปรับแก้ความคลาดเคลื่อนทางเลขาคณิตของภาพทั้ง 3 ปี ได้แก่ ปี พ.ศ. 2551 ปี พ.ศ. 2555
และปี พ.ศ. 2561 ทำการแปลตีความด้วยสายตา โดยจำแนกประเภทประเภทการเปลี่ยนแปลงแต่ละปีโดย ปี พ.ศ 2551 มีพื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าไม้ได้แก่ นาข้าว สันทราย และแหล่งน้ำ ปี พ.ศ 2555 และปี พ.ศ.2561 มีพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าไม้ ได้แก่ นาข้าว แหล่งน้ำ สันทราย และยูคาลิปตัส และพื้นที่อื่น ๆ และทำการตรวจสอบความถูกต้องโดย ออกภาคสนาม ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากการแปลตีความหมายด้วยสายตา ป่าชุมชนป่าโคกทามปี พ.ศ.2561 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบซ้อนทับ โดยดำเนินการเป็นการซ้อนทับของข้อมูลทั้ง 3 ปี คือปี พ.ศ. 2551 และปี พ.ศ.2555 และปี พ.ศ.2561 เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงและจัดทำแผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษา ป่าไม้ มีการเปลี่ยนแปลง ปี พ.ศ.2555 และปี พ.ศ.2561 เพิ่มขึ้น 8.841 เปอร์เซ็นต์ นาข้าว มีการเปลี่ยนแปลงลดลง 14.912 สันทรายมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.326 เปอร์เซ็นต์ แหล่งน้ำมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.326 เปอร์เซ็นต์ และยูคาลิปตัสในปี พ.ศ 2551 ไม่มีการปลูกต้นยูคาลิปตัส แต่ในปี พ.ศ 2561 นั้นมีพื้นที่เพิ่มขึ้น คิดเป็น 0.678 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสรุปได้ว่าตั้งแต่มีการเข้ามาดูแลป่าชุมชนป่าโคกทาม ตำบลแคนดง อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2551 ป่าไม้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น จากการเข้าไปจัดการดูแล ซึ่งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนพื้นที่นาข้าวฟื้นฟูมาเป็นป่า เริ่มปลูกป่าทดแทนตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมาจนถึงปี พ.ศ. 2561 แต่ก็ยังมีพื้นที่ป่าบางส่วนที่ยังเป็นพื้นที่นาข้าว
แต่ก็มีพื้นที่นาข้าวลดลงมากในปี พ.ศ.2561 จนถึงปัจจุบัน
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ปัญหาพิเศษทางภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ
รหัสวิชา (2543702) หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต (ภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ)
สาขาวิชาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2561
2561-01-01T00:00:00Z
-
การทำแผนที่สามมิติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5804
การทำแผนที่สามมิติ
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
แผนที่สามมิติ แผนที่ภูมิประเทศ แผนที่หุ่นจำลองภูมิประเทศ ภาพตัดขวางภูมิประเทศแบบสามมิติ การประมาณค่าในช่วง แบบจำลองความสูงเชิงเลข การวิเคราะห์แบบจำลองพื้นผิวเชิงเลข การสร้างแผนที่ภูมิประเทศสามมิติ การสร้างแบบจำลองสิ่งปลูกสร้าง
-
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5803
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อช่วย บริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลภาพจากดาวเทียม ฐานข้อมูลสารสนเทศ ภูมิศาสตร์อาคาร การใช้ประโยชน์ที่ดิน และสร้างแบบจําลองรูปทรง 3 มิติ อาคาร ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เป็นการประยุกต์ใช้ระบบ ภูมิสารสนเทศ โดย ใช้ภาพจากดาวเทียม Quickbird 2 ถ่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ด้วย กระบวนการจําแนกด้วยสายตา จากนั้นทําการสํารวจข้อมูลกายภาพ นําเข้าข้อมูล เชิงพื้นที่และข้อมูล เชิงคุณลักษณะ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคาร ความ กว้างยาวอาคาร อายุการใช้งานอาคาร ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบทําความเย็น ภายในอาคาร และระบบขนส่งในแนวดิ่ง เมื่อจัดทําข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เรียบร้อย จึงจําลองอาคารและสภาพแวดล้อมในรูปทรง 3 มิติ ผลการศึกษาสามารถนําฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ไปใช้เพื่อ บริหารจัดการทรัพยากรอาคารทั้งการซ่อมบํารุงและการติดตั้งระบบสาธารณูปโภค ของมหาวิทยาลัย เช่น ตําแหน่งหัวจ่ายนํ้าดับเพลิง ทางระบายนํ้า ไฟฟ้า ไฟส่องสว่าง ระบบท่อประปา รวมไปถึงการวางแผนในการสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค นับเป็นการบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่แบบ 2 มิติและข้อมูลแบบ 3 มิติ เพื่อใช้เป็นสื่อ ประกอบในการวางแผนและตัดสินใจได้เป็นอย่างดี
2015-08-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5802
การประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ในจังหวัดบุรีรัมย์
ชลาวัล วรรณทอง; ณัฐพล วงษ์รัมย์; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
The objectives of this research were 1) to create tourist attractions database; and 2) to create web application for promoting tourist attractions in Buriram province. Twenty two tourist attractions were selected and the System Development Life Cycle (SDLC) was used to create da-tabase and web application to promote tourism. By applying Geo-information technology to collect and manage tourist attractions and facilities information, the web application was created to ef-fectively integrate tourism information. The result of this study was that Buriram tourism database that comes from the needs of tourists was created. The database included 22 tourist attractions description, dimensional pho-tos and video clips and also information about accommodations from 120 restaurants, 93 hotels and 113 petrol stations was also included. Then, web application that meets the needs of tourists was developed. This application can be used via Web Browser in a computer and smartphone. The information in the Web application comprised photos and description of tourist attractions, map webpage of tourist attractions’ and facilities’ location from Google Map that can identify location of the users, radius distance and navigate to the desired location. The satisfaction of 30 tourists who used the web application was at the highest level
2019-06-03T00:00:00Z
-
รูปแบบการบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตเทศบาลตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5801
รูปแบบการบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตเทศบาลตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
ณัฐพล วงษ์รัมย์; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง; ชลาวัล วรรณทอง
This research aimed to 1) Investigate context and participation of community forest management 2) Survey physical and biological features and 3) Establish model of participatory forest management. The studied areas included National Reserved Forests at Kok Yai Forest, Nong Mee Forest, and Nong Pra Suan Forest within the jurisdiction of Pakham Subdistrict Municipality. Study of information was conducted from documents, textbooks, and relevant research works,
in-depth interviews, brainstorming sessions of stakeholders, survey of context and forest information with geographical and geo-informatics tools. The research findings revealed that the forest areas under the study covered in total 6.78 square kilometers, with elevation from surrounding areas, slope to the east and the west, and source of tributaries of the Mun River namely Lam Nang Rong and Lam Nam Mat. In the forest areas, firebreak roads were built. The forest areas were found to be encroached by villagers engaged in agriculture. According to the meetings attended by Community Forest Committee, community leaders, monks, and villagers, it was found that there was the need to set up clear forest boundary map to prevent encroachment, guideline to monitor forestation, firebreaks, and database of resources of community forests. It was also found that the abbot of Wat Pa Pakham Dhamma Samaggi was the leader of preservation of forest eco-system.
2018-12-12T00:00:00Z
-
การจัดทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศของห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5711
การจัดทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศของห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, อาลัย จันทร์พาณิชย์, ณัฐพล วงษ์รัมย์, เอกลักษณ์ สลักคำ, ชลาวัล วรรณทอง, รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์
2556-01-01T00:00:00Z
-
คุณภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5710
คุณภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้
จุรีพร จันทร์พาณิชย์, อาลัย จันทร์พาณิชย์, วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์
2550-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5709
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทอง
2557-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5708
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทอง
2557-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการจัดทำระบบงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน กรณีศึกษา : เทศบาลตำบลบ้านกรวดปัญญาภิวัฒน์ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5707
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการจัดทำระบบงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน กรณีศึกษา : เทศบาลตำบลบ้านกรวดปัญญาภิวัฒน์ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, อาลัย จันทร์พาณิชย์
2554-01-01T00:00:00Z
-
ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5706
ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์
2551-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5705
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, ชลาวัล วรรณทอง
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บในการนำสนอฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ของพื้นที่ศึกษา สำหรับวิธีดำเนินการวิจัยได้ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการสำรวจข้อมูล ประกอบด้วย แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม สถานีบริการน้ำมันร้านอาหารผลิตภัณฑ์ชุมชน สถานที่ราชการ วัด โรงเรียน และสถานที่อื่นๆ จากนั้นสร้าง โปรแกรมประยุกต์บนเว็บโดยใช้ภาษา PHP JavaScriptและ SQL เป็นภาษาหลักสำหรับการจัดทำระบบฐานข้อมูลแผนที่บนเว็บ ผลการวิจัยพบว่า เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศสามารถนำมาใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี มีข้อมูลดังนี้ แหล่งท่องเที่ยวจำนวน 3 แห่ง โรงแรมจำนวน 1 แห่ง สถานีบริการน้ำมันจำนวน 6 แห่ง ร้านอาหารจำนวน 71 แห่งผลิตภัณฑ์ชุมชนจำนวน2 แห่ง สถานที่ราชการจำนวน 7 แห่ง วัดจำนวน 12 แห่ง โรงเรียนจำนวน 8 แห่ง และสถานที่อื่นๆ จำนวน 29 แห่ง สำหรับโปรแกรมโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้งานได้ทันที ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเพิ่มข้อมูล แก้ไขข้อมูล ลบข้อมูล ได้อย่างอิสระ โดยผลการประเมินความพึงพอใจของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บทุกประเด็นอยู่ในระดับมากและมากที่สุด
2561-01-01T00:00:00Z
-
ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5555
ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน
กิตติ์ธนารุจน์, วริษฐ์
การใช้ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน ความรู้เกี่ยวกับการอ่านขอบเขตการปกครองจากท้ายประกาศ การฝึกปฏิบัติการเกี่ยวกับการสร้างขอบเขตและการค้นหาภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต การเตรียมข้อมูลเพื่อจัดทำแผนที่แม่บท การเตรียมภาพถ่ายดาวเทียมและการทำแผนที่ภูมิประเทศในพื้นที่ศึกษา การออกเก็บข้อมูลภาคสนาม เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน
-
การสร้างแผนที่ภูมิประเทศสามมิติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5554
การสร้างแผนที่ภูมิประเทศสามมิติ
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Z
-
ระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5553
ระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่ง
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Z
-
ภาพตัดขวาง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5552
ภาพตัดขวาง
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Z
-
การแปลภาพดาวเทียมด้วยสายตา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4714
การแปลภาพดาวเทียมด้วยสายตา
รัตนา, ชนัดดา
2019-06-14T00:00:00Z