บทความ (Articles)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/361
2024-03-29T00:57:19Zผลการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งรากต่ออัตราการงอกเมล็ดออร์เร้นเน็ตเมล่อนและกรีนเน็ตเมล่อน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6373
ผลการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งรากต่ออัตราการงอกเมล็ดออร์เร้นเน็ตเมล่อนและกรีนเน็ตเมล่อน
เหลือประเสริฐ, ภาวิณี; กริมรัมย์, สุพรรณี; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งราก ปริมาณที่แตกต่างกันที่จะส่งผลต่ออัตราการงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) และศึกษาการเจริญเติบโตของต้นกล้าพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) โดยเก็บข้อมูลในด้านความสูงต้นของต้นกล้า และความกว้างใบต้นกล้า เป็นระยะเวลา 30 วัน โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ Completely randomized design (CRD)ประกอบด้วย 2 ทรีทเมนต์ทรีทเมนต์ละ 2 ซ้าการทดลอง เมื่อทดสอบหาความงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ต เมล่อน (เนื้อสีเขียว) และเมล็ดพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) พบว่า อัตราการงอกของพันธุ์ เมล่อนมีอายุ 7 วัน จานวน 20 เมล็ด มีการงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) T1R1 และ T1R2 (แช่เมล็ดในน้าอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง และนาเมล็ดขึ้นไปบ่มต่อในกระติกน้าที่มีอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 36 ชั่วโมง) มีอัตราการงอกสูงสุด คือ T1R1 จานวน 17 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 85 % และ T1R2 15 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 75 % สาหรับการงอกของเมล็ดพันธุ์เมล่อนพันธุ์แสนหวาน (เนื้อสีส้ม) T2R1 และ T2R2 (แช่เมล็ดในน้าอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสและใส่ฮอร์โมนเร่งรากจานวน 8 ml ต่อน้า 300 ml. เป็นเวลา 12 ชั่วโมง และนาเมล็ดขึ้นไปบ่มต่อในกระติกน้าที่มีอุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส นาน 36 ชั่วโมง) มีอัตราการงอกต่าสุด คือ จานวน 13 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 65 % ในด้านการเจริญเติบโตของต้นกล้าพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) ครบ 15 วัน พบว่า ความสูงต้นของเมล่อน มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ ( P<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 0.85 และ 11.90 เซนติเมตร และความกว้างใบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3.97 เซนติเมตร มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ การทดลองเมื่อพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) ครบ 30 วัน พบว่า ความสูงต้นมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 15.80 เซนติเมตร และความกว้างใบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4.39 เซนติเมตร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05); This study is the use of temperature and hormonal roots. The amount different to affect the germination rate of seeds Melon Green Zone. Meat (green) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) and the growth of seedlings Green Zone melon. Meat (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) by storing data on the height of the tree seedlings. The broad leaves of seedlings for a period of 30 days using randomized completely Completely randomized design (CRD) consists of 2 treatments for treatment of two repeat experiments on test determinations seed Green. net melon (green flesh and Oscar potential net melon seeds (orange flesh), the rate of proliferation of melon varieties last 7 days, the number 20 seed germination of seeds melon green zone. (Green flesh) T1R1 and T1R2 (soak the seeds in warm water at 50 ° C for 12 hours and brought the seeds to mature in the bottle at a temperature of 50 ° C for 36 hours) with a germination rate was the highest T1R1 number. 17 the percentage of 85% and T1R2 15 the figure was 75% for the germination of seeds, melon seeds sweet (orange flesh) T2R1 and T2R2 (soak the seeds in warm water temperature is 50 degrees Celsius and put hormones. roots of 8 ml per 300 ml. for 12 hours and brought the seeds to mature in the bottle at a temperature of 55 ° c for 36 hours) with a germination rate of a minimum of 13 trees representing 65%. the growth of seedlings Green zone melon. (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) at 15 days showed that the height of melon. The difference was statistically significant (P <0.05), with an average maximum of 0.85 and 11.90 centimeters wide leaves. With an average of 3.97 cm, the maximum difference was statistically significant. Experiments on the Green Zone melon varieties. (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) found that 30 days is the average height of 15.80 cm and a maximum
width of the blade. With an average of 4.39 cm, the maximum difference was statistically significant (P <0.05).Keywords: Melon, Stimulating the regeneration with warm water ,
Catalyst root proliferation ,Factors attesting the germination of seeds
2562-05-24T00:00:00Zจำนวนต้นต่อหลุมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2769
จำนวนต้นต่อหลุมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; แก้วศรีหา, สุพรรณ; ชุมตรีนอก, จิตรกร; chanpenkun, lertpoom
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของจำนวนต้นต่อหลุมที่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) ประกอบด้วย 4 กรรมวิธี จำนวน 3 ซ้า กรรมวิธีทดลองจำนวนต้นคะน้าเห็ดหอม/หลุมแตกต่างกันคือจำนวน 1 ต้นต่อ 1 หลุม 2 ต้นต่อ 1 หลุม 3 ต้นต่อ 1 หลุม และ 4 ต้นต่อ 1 หลุมเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของผักคะน้าเห็ดหอมในด้านจำนวนใบ ความสูงลำต้น ความกว้างใบ ความกว้างลำต้น ความยาวราก และผผลิตน้ำหนักสดรวม เมื่อครบอายุ 35 วันหลังปลูกผลการทดลอง พบว่า การปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ใช้จำนวนต้นต่อหลุมต่างกันไม่มีผลทำให้ จำนวนใบ ความกว้างของใบ ผลของความสูง และความยาวราก มีความแตกกันทางสถิติแต่จำนวนต้นต่อหลุม มีผลต่อ ความกว้างของลำต้นและน้ำหนักสดรวม โดยการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ ที่จานวน 4 ต้น ต่อหนึ่งหลุม ความสูง ความกว้างของลำต้นและผลผลิตน้าหนักสดรวม โดยการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ ที่จำนวน 4 ต้น ต่อหนึ่งหลุมมีความสูงลำต้นเฉลี่ยสูงสุดและความยาวรากเฉลี่ยสูงที่สุด เท่ากับ 31.41 ซม. และ 29.77 ซม. ตามลำดับและการปลูกจำนวน 1 ต้นต่อหนึ่งหลุมมีน้ำหนักสดรวมเฉลี่ยสูงที่สุด มีค่าเท่ากับ 48.78 กรัมการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโพนิกส์ จำนวน 1 ต้นต่อหลุม จึงเป็นปริมาณที่มีความเหมาะสม
2558-07-14T00:00:00Zผลของการใช้ปอเทืองและถัว เขียวในการผลิตผักคะน้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4199
ผลของการใช้ปอเทืองและถัว เขียวในการผลิตผักคะน้า
อุบัติ, กรวิชญ์; ปิ่นเพชร, ชินดนัย; ที่รัก, วิณากร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสันต์, สุชาดา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปอเทืองและถั่วเขียวในการผลิตผักคะน้า โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) หน่วยทดลองคือผักคะน้า อายุ 10 วัน จำนวน 420 ต้น ปลูกในถุงขนาด 5x8 นิ้ว แบ่งการทดลองออกเป็น 7 กรรมวิธีๆ ละ 3 ซํ0าๆ ละ 20 ต้น ใช้ระยะเวลาทดลอง 7 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าที)อายุ 21 วัน พบว่า เส้นผ่านศูนย์กลางต้น ความยาวใบ และความกว้างใบไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ส่วนความสูงต้น จำนวนใบพบว่าที)ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถัว) เขียว 75เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) ทีอายุ 35 วัน พบว่า เส้นผ่านศูนย์กลางต้น และความยาวใบ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ส่วน ความสูงต้น จำนวนใบ และความกว้างใบพบว่าทีผ) สมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถัว) เขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) และที)อายุ 49 วัน พบว่า ความสูงต้น เส้นผ่านศูนย์กลางต้น จำนวนใบ ความยาวใบ และความกว้างใบ พบว่าที่ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถั่วเขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) ส่วนน้ำหนัก ผลผลิตรวม นํ0าหนักสด และน้ำหนักแห้ง พบว่าที่ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถั่วเขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01); This research aimed to study the effect of Crotalaria juncea and Vigna radiate on Chinese kale production with completely randomized design (CRD). The experimental unit was Chinese kale 10 days old plants 420 seedling in 5 * 8 inches bag. The experiment was divided into 7 treatments of 3 replications, each with 20 replications with period of 7 weeks experimental. The results showed that at 21 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were not significantly different (p> 0.05). Height of tree,
number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01). The results showed that at 35 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were not significantly different (p>0.05). Height of tree, number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01).And the results showed that at 49 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were significantly different (p> 0.05). Height of tree, number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01). Total weight, fresh weight and dry weight results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01).
2560-11-16T00:00:00Zผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4198
ผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
อินทะบิน, วรวุธ; ประกอบดี, ศิวกร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสนัต์, สุชาดา; หลวงจำนง, ปรีชา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) โดยนำผักกวางตุ้งอายุ 1 สัปดาห์
ย้ายลงปลูกในโรงเรือนไฮโดรโปนิกส์ จากนั,นทุกๆ 3 วันฉีดพ่นสารสกัดหยาบสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ สารสกัดหยาบ
พริก กระเทียม และตะไคร้ ส่วนชุดควบคุมไม่ฉีดพ่น จนกระทัง, ถึงอายุการเก็บเกี่ยว (4 สัปดาห์) จากการทดลองพบว่า
ผักกวางตุ้งทีฉีดพ่นสารสกัดหยาบทั้ง 3 ชนิด ไม่พบรอยโรคและแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย นอกจากนัน, ความสูงต้นมีค่า
ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) แต่อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นสารสกัดหยาบตะไคร้ทำให้ผักกวางตุ้งมีนํ,าหนักสด
น้ำหนักแห้งมีค่ามากทีสุด ขณะทีไม่ฉีดพ่นทำให้เกิดรอยโรคและแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย ดังนัน, จึงส่งผลให้มีน้ำหนักสด
และนํ,าหนักแห้งน้อยทีสุดจากการทดลองแสดงให้เห็นว่าการฉีดพ่นสารสกัดหยาบทั้ง, 3 ชนิด มีประสิทธิภาพในการ
เพิ่มผลผลิตของผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์; This research aimed to study the effect of herb crude extract on the yield of Chinese cabbage in
hydroponics with completely randomized design (CRD) by transplant one week of Chinese cabbage moved
into a hydroponics system plant. Then, every 3 days, spray 3 courses of herb crude extract: chili crude
extract, garlic and lemongrass with the control unit is not sprayed until the harvest time (4 weeks). It was
found that all three herb crude extracts on Chinese cabbage were not found disease and insect pests. In
addition, the tree height was not significantly different (p> 0.05). However, the spraying of herb crude extracts
of lemongrass makes Chinese cabbage have a fresh weight, dry weight is most valuable. While it is not
sprayed, it causes disease and insect pests that results in a fresh weight and a dry weight as minimum. The
experiments showed that all three herb crude extracts were effective in increasing the yield of Chinese
cabbage in hydroponic system.
2017-12-16T00:00:00Zผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4181
ผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
ชัยรินทร์, ทักษะ; ดียิ่ง, ทศพร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสันต์, สุชาดา; หลวงจำนง, ปรีชา
งานวิจัยนี/มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล๊อค (Randomized complete block design: RCBD) ทดลองกับหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 ปลูกในแปลงขนาด 1x4 เมตร แบ่งการทดลองออกเป็น 4 กรรมวิธีๆ ละ 4 ซํ/าๆ ละ 14 หลุมๆ ละ 3ท่อนพันธุ์ ใช้ระยะเวลา 45 วัน โดยมีกรรมวิธีดังนี/ กรรมวิธีที่ 1 ดินศูนย์ปฏิบัติการอุดมศึกษาหนองขวางไม่ปรับปรุงดิน กรรมวิธีที่ 2 ดินศูนย์ฯปรับปรุงดินด้วยมูลโค 5 กิโลกรัม กรรมวิธีที 3 ดินศูนย์ฯ ปรับปรุงดินด้วยปอเทือง และมูลโค 5 กิโลกรัม และกรรมวิธีที่ 4 ดินศูนย์ฯ ปรับปรุงดินด้วยปอเทืองและมูลโค 6 กิโลกรัม ผลการศึกษาพบว่า ความสูงต้น จำนวนหน่อต่อกอ และจำนวนใบต่อต้นทีปลูกได้ 21, 35 และ 45 วัน มีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ทางสถิติ (p<0.01) โดยทีก ารใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมส่งผลต่อการเจริญเติบโตมากทีส) ุด รองลงมาคือการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 5 กิโลกรัม ส่วนการใช้มูลโคอย่างเดียวไม่แตกต่างจากการทีไม่ใช้ ส่วนผลิตรวมต่อกรรมวิธี น้ำหนักสด และน้ำหนัก
แห้งมีความแตกต่างกันอย่างยิ่งทางสถิติ (p<0.01) โดยที่การใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมได้ผลดีทีสุด สรุปควรใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมในการปรับปรุงดินเพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1; The purpose of this research was to investigate the influence of Crotalaria Juncea and cattle manure
on the production of Napier Pakchong 1. Randomized complete block design (RCBD) was experimented withNapier Pakchong 1. Planted in a plot of 1 * 4 meters, the experiment was divided into 4 treatments of 4 replications, each with 14 holes and each with 3 breed pieces. The method takes 21, 35 and 45 days as follows: Process 1 the soil of Nong Khwang Higher Education Operation Center does not improve the soil.Process 2 the Soil of the Center was improved with 5 kilograms of cattle manure. Process 3 the soil of the Center was improved with Crotalaria Juncea and 5 kilograms of cattle manure. Process 4 the soil of the Center was improved with Crotalaria Juncea and6 kilograms of cattle manure. The results showed that height of the tree, number of shoots per clump and number of leaves per plant grown in 45 days was statistically significantly different (p <0.01). By the using of Crotalaria Juncea and 6 kilograms of cattle manure affects most growth, secondary is the use of Crotalaria Juncea and 5 kilograms of cattle manure and the use of cattle manure alone is not different from not using. Total production per process, weight before drying andweight gain after drying were significantly different (p <0.01). By the using of Crotalaria Juncea and 6 kilograms of cattle manure works the best result. It should be used together with 6 kg of cattle manuretoimprove the soil to grow Napier PakChong 1.
2561-02-26T00:00:00ZAllelopathy : อีกหนึ่งทางเลือกในการควบคุมวัชพืช
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3998
Allelopathy : อีกหนึ่งทางเลือกในการควบคุมวัชพืช
สานุสันต์, สุชาดา
การจัดการวัชพืชโดยใช้สารเคมีนับเป็นวิธีที่นิยมปฏิบัติกันมากในปัจจุบันเนื่องจากมีความรวดเร็วมีประสิทธิภาพสามารถเลือกทำลายวัชพืชได้อีกทั้งยังใช้ได้ดีกับพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่า ในแต่ละปีมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชสูงถึง 3 ล้านตันในระบบการเกษตร (Stephenson, 2000) แต่หากการใช้สารเคมีควบคุมวัชพืชติดต่อกันนานๆนั้น นอกจากจะเป็นอันตรายโดยตรงต่อผู้ใช้ยังมีผลทำให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันการพยายามใช้สารที่ได้จากพืชหรือวัชพืชมาควบคุมการเจริญเติบโตของพืชข้างเคียงเป็นวิธีการที่น่าสนใจ
ปัจจุบันมีรายงานค่อนข้างมากที่ยืนยันว่าพืชและวัชพืชหลายชนิดมีสารอยู่ในตัวเองและสามารถขับหรือปลดปล่อยสารนั้นออกมาแล้วไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชข้างเคียงหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ เรียกกระบวนการนี้ว่า allelopathy และเรียกสารที่มีในต้นพืชนั้นว่าสาร allelopathic ซึ่งถูกค้นพบโดย Molisch ในปี 1937 ซึ่งคุณสมบัตินี้มีผลได้ทั้งทางบวกหรือทางลบคืออาจจะกระตุ้นหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของอีกพืชหนึ่ง
ดังนั้นการนำความรู้ความเข้าใจด้านนี้มาใช้ประโยชน์ในการควบคุมและวางแผนการจัดการวัชพืชให้อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตของพืชปลูกในระดับเศรษฐกิจ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและสามารถนำมาใช้ในการจัดการและควบคุมวัชพืชได้เพื่อเป็นการลดการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช อีกทั้งยังเป็นการลดปริมาณสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อมและในสินค้าเกษตรได้อีกทางหนึ่งด้วย
2557-04-23T00:00:00Zอิทธิพลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจากไส้เดือนดิน ต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางฟิสิกส์ดินและการปรับปรุงโครงสร้างของดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2963
อิทธิพลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจากไส้เดือนดิน ต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางฟิสิกส์ดินและการปรับปรุงโครงสร้างของดิน
อารักษณ์ธรรม, สุลีลัก; สานุสันต์, สุชาดา
การศึกษาผลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน เปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดิน การเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวหอมมะลิ 105 ทำการทดลองที่แปลงนาเกษตรกรในเขตพื้นที่นาอาศัยน้ำฝน ชุดดินร้อยเอ็ด ที่บ้านบัวต.บ้านบัว อ. เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ระหว่างเดือน มิ.ย. –ธ.ค. พ.ศ. 2556 วางแผนการทดลองแบบRandomized Complete Block Design จำนวน 4 ซ้ำ ขนาดแปลงย่อย 4×6 เมตร มี 6 กรรมวิธี คือ 1) ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว 2) ปุ๋ยหมักมูลโค อัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ 3) ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน อัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ 4) ปุ๋ยเคมี ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ 5) ปุ๋ยหมักมูลโค ในอัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ และ 6) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ในอัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือนผลการทดลอง พบว่า ที่ระดับความลึกดิน 15-30 ซม. การใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวมีแนวโน้มให้ความหนาแน่นรวมสูงสุด (1.38 ก./ซม-3) รองลงมา ได้แก่ การใส่ปุ๋ยหมักมูลโค ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ และการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือน มีค่าความหนาแน่นรวม 1.41 และ 1.40ก./ซม-3 ตามลำดับ ส่ วนความชื้นของดิน (%) และค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำการใส่ปุ๋ยเคมีมีแนวโน้มให้ความชื้นของดิน (%) และค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ ต่ำสุด(0.25% และ 2.10 ซม./ชม.-1) ส่วนการใส่ปุ๋ยหมักมูลโค และการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ที่ระดับความลึกดิน 0-15 ซม. ให้ค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ มากที่สุด 2.37 และ 2.77 ซม./ชม.-1ตามลำดับผลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินที่มีต่อการเจริญเติบโตของข้าวหอมมะลิ 105 พบว่า การใส่ปุ๋ยเคมีและการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือน มีแนวโน้มให้ผลผลิตสูง 4,604 และ4,548 ก.ก./เฮกตาร์ ตามลำดับ และเพิ่มจำนวนหน่อต่อตารางเมตร ได้สูง 287 และ 276 หน่อ/ตารางเมตรตามลำดับ ดังนั้น การใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน ร่วมกับการฉีดน้ำหมัก สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้ใกล้เคียงกับการใส่ปุ๋ยเคมี และยังสามารถเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและปรับปรุงสภาพโครงสร้างของดินดีได้อีกด้วย
2557-01-01T00:00:00Zการเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2842
การเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน
มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้าที่เพาะด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD) ประกอบด้วย 6 สิ่งทดลองสิ่งทดลองละ 50 ก้อน ได้แก่ (T1) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ 100% (T2) ฟางข้าวแห้ง (T3) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่าอัตรา 50 : 50 (T4) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 (T5) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่า อัตรา 55 : 45 (T6) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่าอัตรา 70 : 30 บันทึกข้อมูลโดยการนับจำนวนดอกวัดความกว้าง (ซ.ม.) และ ชั่งน้าหนักสด (กรัม) ทุกวันจนครบ 2 เดือน วิเคราะห์ความแปรปรวนด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Duncan s Multiple Range Test (DMRT) ผลการทดลองพบว่า สิ่งทดลองทั้ง 6 สิ่งทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P ≤ 0.05) ด้านจำนวนดอก สิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 23.94 ดอก รองลงมาคือ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 23.47 ดอก และ (T5) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 55 : 45 คือ 21.75 ดอกตามลำดับ ด้านความกว้างสิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 11.00 ซ.ม รองลงมาคือ(T4) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 คือ 10.47 ซ.ม และ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 10.34 ซ.ม ตามลำดับและด้านน้ำหนักสดสิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ(T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 91.69 กรัม รองลงมาคือ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 84.26 กรัม และ(T4) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 คือ 72.09 กรัม ตามลาดับ ดังนั้นเกษตรกรสามารถที่จะนำสูตรขี้เลื่อยใหม่ : เก่าอัตรา 70 : 30 ไปใช้ในการเพาะเห็ดนางฟ้าเพื่อทดแทนสูตรขี้เลื่อยใหม่100% เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าได้เป็นอย่างดี
2557-07-01T00:00:00Zการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนที่ปลูกโดยใช้มูลไส้เดือนดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2768
การเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนที่ปลูกโดยใช้มูลไส้เดือนดิน
สานุสันต์, สุชาดา; ชุลีกรกูล, ศรายุทธ; มีแก้ว, ภิญโญ
ผลของปุ๋ยหมักไส้เดือนดินต่อการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีน ในสภาพโรงเรือนปลูกพืช โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 8 สิ่งทดลองจานวน 3 ซ้า ดังนี้ 1) วิธีควบคุม (ไม่ใส่ปุ๋ย : T1) 2) ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ 3) ใช้ปุ๋ยคอก (มูลวัวแห้ง) อัตราส่วน 1,600 กิโลกรัม/ไร่ 4) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากปุ๋ยคอกหมัก) 5) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน(วัสดุรองพื้นจากผักตบชวาหมัก) 6) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากขุยมะพร้าวหมัก) 7) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน(วัสดุรองพื้นจากหยวกกล้วยหมัก) และ 8) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากเศษผักหมัก) ส่วนที่ใส่ปุ๋ยไส้เดือนจะใส่ที่อัตรา 1,600 กิโลกรัม/ไร่ เท่ากันทุกกระถาง การใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินที่ผลิตมาจากวัสดุที่แตกต่างกันให้ความสูง จานวนใบและเส้นผ่าศูนย์กลางลาต้นของผักบุ้งจีนไม่แตกต่างกัน แต่จะพบว่าการใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินที่ผลิตจากเศษผักจะให้ความสูง จานวนใบและเส้นผ่าศูนย์กลางลาต้น ตลอดจนผลผลิต ได้เทียบเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินสามารถใช้ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้กับพืชที่มีอายุสั้นได้ เพราะว่าปุ๋ยมูลไส้เดือนจะค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชปลูก
2557-07-08T00:00:00Zการควบคุมสารละลายในการผลิตผักไร้ดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2765
การควบคุมสารละลายในการผลิตผักไร้ดิน
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การปลูกพืชไร้ดิน เป็นการปลูกพืชแบบหนึ่งซึ่่งเป็นที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน สามารถปลูกพืชได้ในทุกสถานที่โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะปลูกจำนวนน้อยหรือการปลูกแบบเศรษฐกิจเชิงการค้า สามารถใช้เทคนิคการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินกับพืชได้แทบทุกชนิด ตั้งแต่ผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชไม้เลื้อย จนถึงพืชยืนต้น แต่ส่วนมากนิยมปลูกกับพืชผัก ไม้ผลที่มีระยะเก็บเกี่ยวในช่วงอายุสั้น การปลูกพืชไร้ดินสามารถหลีกเลี่ยงสภาวะต่าง ๆ ที่ไม่อำนวยในสภาพการผลิตจากวิธีการปลูกพืชโดยทั่ว ๆ ไป อาทิเช่น สภาพดินที่ไม่เหมาะสม ดินเค็ม ดินเปรี้ยว สภาพอากาศ ฤดูกาล รวมถึงการขยายตัวของชุมชนทำให้พื้นที่ทาการเกษตรลดลง และราคาที่ดินสูงขึ้น นอกจากนี้การปลูกพืชไร้ดินยังสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างถูกต้องและแน่นอนจึงทาให้ผลผลิตและคุณภาพของพืชที่ปลูกแบบไร้ดินสูงกว่าการปลูกพืชในดิน ยิ่งไปกว่านั้นการปลูกพืช
ไร้ดินยังประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเตรียมดินและกาจัดวัชพืชก่อนการเพาะปลูกเกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ต่อเนื่องตลอดปีในพื้นที่เดิม โดยไม่มีปัญหาการทาลายสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินมาเกี่ยวข้อง ในเรื่องการตลาดเกษตรกรสามารถควบคุมคุณภาพ ปริมาณของผลผลิตให้ได้ตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวโน้มว่าการปลูกพืชไร้ดินจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรของประเทศไทย
2557-05-12T00:00:00Zผลของนํ้าส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุของข้าวหอมมะลิ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2729
ผลของนํ้าส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุของข้าวหอมมะลิ
วัฒนพายัพกลุ, วนิดา
ศึกษาการใช้น้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุข้าวหอมมะลิ2 พันธ์ุ ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 และ กข15 ทำการปลูกในเรือนทดลอง โดยทำการทดลอง 6 กรรมวิธี คือ 1. ไม่ใช้น้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอก (ควบคุม) 2. น้ำส้มควันไม้เจือจาง (300 เท่า) 3. มูลไก่ 300 กก. ไร่-1 4. มูลโค 1,000 กก. ไร่-1 5. น้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลไก่ 300 กก. ไร่-1 และ 6. น้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลโค 1,000 กก. ไร่-1 วางแผนการทดลองแบบ2x6 Factorial in randomized complete block design มี 4 ซ้ำ โดยศึกษาอิทธิพลของ 2 ปัจจัย ดังนี้ปัจจัยที่ 1 เป็นพันธ์ุข้าว และปัจจัยที่ 2 เป็นการจัดการปุ๋ยและน้ำ ส้มควันไม้ การพ่นน้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลโค 1,000 กก. ไร่-1 ทำให้ข้าวกข15 และขาวดอกมะลิ 105 มีความสูง จำนวนหน่อต่อกอ และน้ำหนักเมล็ดดีเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพ่นน้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลไก่ 300 กก. ไร่-1 ทำให้ข้าว กข15 และขาวดอกมะลิ 105 มีผลผลิตมากถึง 224.5 ก. กระถาง-1ซึ่งสูงกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพ่นน้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอกไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความงอกและความแข็งแรงของเมล็ดพันธ์ุ
2015-08-04T00:00:00Zผลของอัตราปุ๋ยซิลิกอนต่อการควบคุมโรคไหม้และผลผลิตข้าวอินทรีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2687
ผลของอัตราปุ๋ยซิลิกอนต่อการควบคุมโรคไหม้และผลผลิตข้าวอินทรีย์
สำราญรัมย์, วนิดา; พลธานี, อนันต์; ศิริ, บุญมี; ณ พัทลุง, นิจพร
โรคไหม้เป็นโรคที่สำคัญในข้าว เกิดการแพร่ระบาดกันอย่างรวดเร็ว วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาผลของการใส่ปุ๋ยซิลิกอนอัตราต่างกันที่มีต่อความสามารถต้านทานโรคไหม้และผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทำการทดลองที่เรือนทดลองโรคพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วางแผนการทดลองแบบ Factorial in Randomized Block Design จำนวน 4 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 ได้แก่ เนื้อดิน(soil texture) ต่างกันคือ ดินทรายและดินร่วนปนทราย ปัจจัยที่ 2 ได้แก่ อัตราการใส่ปุ๋ยซิลิกอน 0, 40, 80 และ 160 กิโลกรัมต่อไร่ ทุกกรรมวิธีใส่มูลวัวอัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทดสอบความต้านทานต่อโรคไหม้เมื่อข้าวอายุ 20 วัน โดยใช้ foggy sprayer พ่น inoculums ให้ทั่วใบข้าวและบ่มต้นข้าวในสภาพมืดที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง แล้วจึงย้ายต้นข้าวไปเก็บรักษาในโรงเรือนที่มีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 95 % เป็นเวลา 7 วันและดูแลรักษาในโรงเรือนระยะกล้าจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างกันของความต้านทานโรคไหม้ระหว่างเนื้อดินทรายและดินร่วนปนทราย การใส่ปุ๋ยซิลิกอนสามารถทำให้ข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีความต้านทานโรคใบไหม้และคอรวงไหม้ได้เมื่อเปรียบเทียบกับที่ไม่ใส่ปุ๋ยซิลิกอน การใส่ปุ๋ยซิลิกอนอัตรา 40, 80 และ 160 กิโลกรัมต่อไร่ไม่มีผลทำให้ค่า severity index (%) มีความแตกต่างกันทางสถิติ การใส่ปุ๋ยซิลิกอนทุกอัตราเพิ่มผลผลิตเมล็ดข้าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับไม่ใส่ปุ๋ยซิลิกอน การใส่อัตรา 160 กิโลกรัมต่อไร่ได้ผลผลิตเมล็ดสูงสุด การปลูกข้าวในดินร่วนปนทรายได้ผลผลิตสูงกว่าปลูกในดินทรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2554-01-02T00:00:00Zผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากกิ่งปักชามะนาว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2686
ผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากกิ่งปักชามะนาว
แก้วศรี, นิวัฒน์; แก้วมี, สุชาติ; รัตนวรรณ, คมสันต์; ณ พัทลุง, นิจพร
การศึกษาผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากของกิ่งปักชำมะนาว โดยการใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุปักชำ ดำเนินการวิจัยที่บ้านเลขที่ 435/48 หมู่บ้านจิระนคร ตำบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 31000 ระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม 2555 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2555 วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD : Completely Randomized Design) จำนวน 5 วิธีการทดลอง จำนวน 20 ซ้า ดังนี้ 1) วิตามินบี 1 ยี่ห้อ A 2) วิตามินบี 1 ยี่ห้อ B 3) เครื่องดื่มชูกำลัง (คาราบาวแดง) 4) การจุ่มในสารละลายกะปิ 5) การป้ายกะปิ บันทึกจำนวนรากและความยาวของราก หลังการปักชากิ่งมะนาว 30 วัน จากนั้นทำการวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยวิธี DMRT จากผลการทดลองพบว่าการใช้ วิตามินบี 1 ทั้งสองยี่ห้อ คาราบาวแดง และกะปิ ทาให้จำนวนรากและความยาวของรากของกิ่งปักชามะนาวแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญยิ่งทางสถิติ (p<0.01) โดยการใช้ วิตามินบี 1 ยี่ห้อ A ทำให้รากของกิ่งปักชำมะนาวมีการเจริญเติบโตดีที่สุด ทั้งจำนวนรากและความยาวราก รองลงมาได้แก่ วิตามินบี 1 ยี่ห้อ B, การป้ายกะปิ, สารละลายกะปิ และการใช้คาราบาวแดง ตามลาดับ อย่างไรก็ตามพบว่าการเจริญเติบโตของรากกิ่งปักชำมะนาวไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) เมื่อใช้ วิตามินบี 1 ทั้งสองยี่ห้อและการใช้กะปิโดยวิธีการป้ายที่กิ่งปักชำนั้น อาจกล่าวได้ว่าสามารถใช้กะปิซึ่งมีราคาถูกกว่าทดแทนการใช้วิตามินบี 1 ในการเร่งรากกิ่งปักชำมะนาวได้
2555-08-20T00:00:00Zผลของเชื้อราอัลบัสคูล่าร์ไมคอร์ไรซ่าต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปีย์สายพันธุ์ปากช่อง1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2616
ผลของเชื้อราอัลบัสคูล่าร์ไมคอร์ไรซ่าต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปีย์สายพันธุ์ปากช่อง1
Siriporn Sirichaiwetchakul, Siwaporn Paengkoum and Nidchaporn Nabhadalung
Study on arbuscular mycorrhizal fungi (AMF) to promote lrfyy cgy nutritive values zf Napier
grzgn kcP 1 (Pennisetum purpureum cv. pakchong 1). The experiment was conducted at Agricultural Research and Training Center 100 rai, Nakorn Rachasima Rajabhat University, Amper Muang, Nakorn Rachasima Province during November 2014 to March 2015. The pot experiment design was RCBD with four treatments and four replications namely 1) control (no AMF inoculated and no urea fertilizer applied) 2) commercial AMF inoculated 3) 20kg/rai urea applied and 4) combination between commercial AM fungi and 20kg/rai urea fertilizer application. The commercial AMF could promote number of tillers per plant (p<0.05) and dry matter (p<0.01), while plant height (P>0.05), the number of leaf per stem (P>0.05), fresh weight (P>0.05) and dry weight (P>0.05) were opposite comparing with control. For chemical composition, AMF decreased of NDF (P<0.05) and ADF (P<0.05). Using of AMF was not increase in crude protein of Napier Pak Chong 1 compared with control. Application of urea fertilizer was higher promote growth and yield of Napier Pak Chong 1 more than other treatment. However, commercial AMF used decreased in dry matter (p<0.01). In addition the combination of commercial AMF and urea fertilizer increased in crude protein of Napier Pak Chong 1. The result indicated that arbuscular mycorrhizal fungi possibly used as biofertilizer for Napier Pak Chong 1. And the more future work will needed
2016-09-28T00:00:00Zผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2615
ผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา
ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์, นิจพร ณ พัทลุง
ศึกษาผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา ทาการศึกษาระหว่างเดือนธันวาคม 2555 ถึงเดือนกรกฎาคม 2556 ณ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อ. เมือง จ. บุรีรัมย์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จานวน 6 วิธีการทดลอง 16 ซ้า ได้แก่ (1) Glomus sp.1+Glomus sp.2+ Glomus mosseae (2) Glomus sp.1 (3) Glomus sp.2 (4) Gloms mosseae (5) Acualospora sp. (6) Scutellospora sp. โดยปลูกกล้าเชียงดาจากการปักชา พบว่าเชื้อราต่างชนิดกันมีผลต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดาแตกต่างกันไป เมื่ออายุ 30 วันหลังปลูก การใส่ Scutellospora sp. ทาให้ผักเชียงดามีจานวนยอดมากที่สุดและการใส่ Acualospora sp.ทาให้ผักเชียงดามีความยาวยอดมากที่สุดเมื่ออายุ 120 วันหลังปลูก การใส่ Glomus sp.1 ทาให้ผักเชียงดามีจานวนยอดมากที่สุดแต่พบว่าการใช้Acualospora sp.มีแนวโน้มทาให้ผักเชียงดามีจานวนใบ ความยาวยอดเมื่ออายุ 120 วันหลังปลูก และน้าหนักยอด มากกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ ซึ่งเชื้อราแต่ละชนิดมีความสามารถในการเข้าอยู่อาศัยในรากผักเชียงดาได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญยิ่ง (p<0.01) โดย G. mosseae จะมีความสามารถในการเข้าอยู่ในรากของผักเชียงดามากที่สุด อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการเจริญเติบโตของผักเชียงดาไม่สัมพันธ์กับการเข้าอยู่อาศัยของเชื้อราในรากผักเชียงดาแต่อย่างใด
2559-09-23T00:00:00Z