รายงานการวิจัย (Research reports)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/334
2024-03-28T22:50:19Z
-
โครงการวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์มุ่งสู่ตลาดออนไลน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8726
โครงการวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือพื้นเมืองอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์มุ่งสู่ตลาดออนไลน์
สมบัติ, ประจญศานต์
จากแนวคิดในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคมและเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ ในจังหวัดบุรีรัมย์เป็นแหล่งสำคัญระดับประเทศที่มีภูมิปัญญาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผลิตเป็นผ้าทอมือที่มีคุณภาพมีชื่อเสียง ทั้งนี้ มีกลุ่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ส่งผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องแต่งกายเข้าคัดสรรโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ จำนวนมากกว่า 1,000 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผ้าทอมือซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการถ่ายทอดองค์ความรู้จากงานวิจัยเพื่อสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่ ให้มีความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอัตลักษณ์ และขยายช่องทางการตลาดสู่การตลาดออนไลน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มียุทธศาสตร์หลักเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น จึงสมควรที่ต้องนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยยกระดับสินค้าชุมชน OTOP ในพื้นที่อำเภอประโคนชัยซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 2) เพื่อพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่ผู้ประกอบการ อาศัยกระบวนงานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยใช้เทคนิคการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีขั้นตอนการวินิจฉัย ขั้นปฏิบัติการ ขั้นการวัดผล และขั้นผลสะท้อนที่เกิดขึ้น มีผลการวิจัยโดยสรุปดังนี้
ผลยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการฯ ได้ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับผลิตภัณฑ์ด้วยการออกแบบและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
1. ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมผืน ได้แก่ ผ้าไหมมัดหมี่ลายออกแบบใหม่ เช่น นกกระเรียนไทย จังหวัดบุรีรัมย์ ย้อมด้วยสีธรรมชาติ สารสนิมเป็นสารช่วยติด และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
2. ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมผืนลายสมอ ซึ่งเป็นผ้าดั้งเดิมทางวัฒนธรรมไทยเขมร ย้อมด้วยสีเคมี และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
3. ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายผืนและผ้าด้ายเรยอนผืน ได้แก่ ผ้าขาวม้าออกแบบโครงสร้างใหม่ ย้อมด้วยสีเคมี หรือสีธรรมชาติ และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 3 กลุ่ม
4. ผลิตภัณฑ์แปรรูปประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าด้าย ผ้าขาวม้าเป็นเสื้อผ้าสำหรับบุรุษ สตรี จำนวน 5 กลุ่ม กระเป๋าถือแปรรูปจากกกด้านในบุผ้าทอ กระเป๋าผ้าฝ้าย หมวก หมวกไหมพรมถัก จำนวน 3 กลุ่ม ผ้าพันคอฝ้าย จำนวน 2 กลุ่ม ผ้าพันคอไหมย้อมด้วยสีธรรมชาติ และตกแต่งสำเร็จให้ผ้านุ่มลื่นด้วยนาโนเทคโนโลยี จำนวน 1 กลุ่ม
5. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าด้ายประเภทของใช้ ของที่ระลึก เช่น พวงกุญแจนกกระเรียนไทย จังหวัดบุรีรัมย์ พวงกุญแจผ้า ที่ใส่กล่องทิชชู กระเป๋าใส่แก้วเก็บความเย็น หมอนรูปสุนัข จำนวน 2 กลุ่ม
ผลการพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่กลุ่มผู้ประกอบการ การดำเนินงานของโครงการส่งผลต่อการพัฒนาด้านการส่งเสริมทางการตลาดออนไลน์แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ซึ่งในระหว่างดำเนินโครงการประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยประสบสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม การอยู่บ้าน การทำงานที่บ้าน ฯลฯ เพื่อยับยั้งการแพร่การกระจายเชื้อ ทำให้มีการปิดสถานที่เสี่ยงชั่วคราว และห้ามจัดกิจกรรมชุมชนคน ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบ การได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากขาดแหล่งจำหน่ายสินค้า ตลาด งานออกร้าน งานเทศกาล การท่องเที่ยวโดยชุมชน การท่องเที่ยวในภาพรวม และที่สำคัญคือผลกระทบของโรคระบาดทำให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจในวงกว้างส่งผลต่อกำลังซื้อสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ
2563-05-01T00:00:00Z
-
โครงการวิจัยแนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในลำน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8620
โครงการวิจัยแนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในลำน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์
โครงการวิจัยแนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในลำน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลของผู้สูงอายุ เลือกสุ่มกรณีศึกษาจำนวน 136 คน ตามพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของลำน้ำห้วยจรเข้มาก ได้แก่ 1) บ้านบุขี้เหล็ก ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ 2) บ้านม่วงใต้ ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง 3) บ้านหนองหัวลิง ตำบลอิสาณ อำเภอเมือง และ 4) ชุมชนวัดอิสาณ เขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมือง ใช้การสัมภาษณ์เจาะลึก และสำรวจสภาพที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 3 ประการ ได้แก่ 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมของสถานที่สาธารณะในชุมชน 2) ศึกษาที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ และ 3) เสนอแนวทางการจัดสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ผู้วิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มีบ้านพักอาศัยที่สร้างมานานกว่า 30 ปี กรรมสิทธิ์เป็นของผู้สูงอายุและสร้างบนที่ดินของตนเอง ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว วัสดุครึ่งปูนครึ่งไม้ จำนวนชั้นเดียวสัดส่วนใกล้เคียงกับบ้านสองชั้น ช่วงกลางวันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่กับพื้นที่เฉลียงหน้าบ้านหรือใต้ถุนบ้าน นอนตอนกลางคืนที่ชั้นล่างของบ้าน สภาพบ้านมีความสัมพันธ์กับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังคงมีบ้านของผู้สูงอายุจำนวน 2 คน ไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 4 คน ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมใช้ ส่วนใหญ่ไม่มีการปรับปรุงสภาพเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้สอยได้สะดวก ปลอดภัย สอดคล้องกันทุกพื้นที่ โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่เรียกร้องให้มีการปรับปรุงบ้านเพื่อให้ตนเองอยู่อย่างสะดวก ปลอดภัย แต่อาศัยความเคยชิน การปรับตัว และการระมัดระวังตัวเอง สภาพแวดล้อมในชุมชนยังไม่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ผู้สูงอายุเท่าที่ควร วัดในชุมชนเป็นสถานที่ที่ผู้สูงอายุเดินทางไปทำกิจกรรมแล้วเห็นว่ามีสภาพเสี่ยงต่อการหกล้มเนื่องจากพื้นลื่นทำให้เข้าใช้สอยไม่สะดวก ไม่ปลอดภัย อุปสรรคสำคัญในการปรับปรุง คือ งบประมาณ ดังนั้น การปรับปรุงที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยต้องอาศัยองค์กรทางสังคม เช่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรการกุศล ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนดำเนินการเพื่อให้เป็นที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ รวมทั้งอาศัยคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแลผู้สูงอายุเพื่อก่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีร่วมกัน
2566-10-20T00:00:00Z
-
รายงานสังเคราะห์เอกสาร อัตลักษณ์ของผ้าทอพื้นเมืองบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8619
รายงานสังเคราะห์เอกสาร อัตลักษณ์ของผ้าทอพื้นเมืองบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์
อัตลักษณ์ของผ้าทอบุรีรัมย์
จากแนวคิดการพัฒนาบนฐานอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างที่ว่างแห่งตนในเวทีกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดการค้นหา ทำความเข้าใจ จำกัดอัตลักษณ์ให้ผ้าทอพื้นเมืองประจำจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีพัฒนาการของการกำหนด ดังนี้
ช่วงก่อนปี พ.ศ. 2545 จังหวัดได้ใช้ผ้ามัดหมี่ที่เรียกว่า ซิ่นตีนแดง ซึ่งเป็นผ้าประจำพื้นที่อำเภอนาโพธิ์ พุทไธสง เป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด แต่ด้วยข้อจำกัดของแบบที่เป็นผ้านุ่ง ที่มีหัวซิ่น และตีนซิ่นสีแดงสด และชื่อที่ใช้เรียกเป็นภาษาชาวบ้าน จึงยากต่อการนำไปประยุกต์ใช้
ช่วงปี พ.ศ.2547-2550 จังหวัดได้ใช้ผ้าหางกระรอกคู่ เรียกว่า ผ้าอัลลูเซียม เป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด หากพิจารณาในแง่การนำผ้าไปใช้เห็นว่าสามารถทำได้สะดวกกว่าผ้าซิ่นตีนแดง เนื่องจากลวดลายของผ้าเกิดการควบกันของเส้นไหม เป็นลวดลายทางตั้งขนาดเล็ก สามารถนำไปใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายได้ทั้งบุรุษและสตรี แต่หากพิจารณาในแง่ความน่าสนใจและจุดเด่นของลวดลายอาจพบว่าอาจสามารถสร้างจุดเด่นได้ไม่มาก
ช่วงปี พ.ศ.2553 จังหวัดโดยสำนักงานพัฒนาชุมชน ได้จัดโครงการค้นหาผ้าทอลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัด และสรุปได้ผ้ากระรอกหมี่ภูภิรมย์ (lava silk) เป็นผ้าทอพื้นเมืองลายเอกลักษณ์ประจำจังหวัด มีการประกวดผ้าลายเอกลักษณ์ แต่ลายดังกล่าวอาจยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของคนบุรีรัมย์ จึงยังไม่ได้มีการนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
2554-07-01T00:00:00Z
-
การออกแบบแปรรูปผ้ามัดหมี่ไทยเขมรอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8617
การออกแบบแปรรูปผ้ามัดหมี่ไทยเขมรอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์
สมบัติ, ประจญศานต์; พิพัฒน์, ประจญศานต์
บุรีรัมย์เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประชากรที่อาศัยในชุมชนบ้านหนองม่วง และบ้านโคกปราสาทพัฒนา อำเภอประโคนชัย ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเขมรที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงการผลิตผ้าทอมือด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ บุรีรัมย์เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประชากรที่อาศัยในชุมชนบ้านหนองม่วง และบ้านโคกปราสาทพัฒนา อำเภอประโคนชัย ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเขมรที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายแบบดั้งเดิม กลุ่มทอผ้าบ้านหนองม่วง หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์และกลุ่มทอผ้าบ้านโคกปราสาทพัฒนา หมู่ที่ 12 ตำบลละเวี้ย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์นี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายเขมรอพยพมาจากจังหวัดสุรินทร์ยังคงรักษาวัฒนธรรมของชาวไทยเขมรไว้อย่างเหนียวแน่นรวมถึงภูมิปัญญาการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายดั้งเดิม มากกว่า 20 ลาย เช่น ปะกาตร๊อบ (ดอกมะเขือ) กะแอกโกร (ฝูงลูกกา) โกนฮีง (ลูกอึ่งอ่าง) ปวงกระดามตูก (ไข่แมงดา) เนียะเดิมสรอล (นาคต้นสน) โฮล (น้ำไหล) กูมปรัม (โคมห้า) กะลาสะนัน (แห) ตะเกาะ (ตะขอ) ปะกาเอาะอันเดอร (ดอกกระเจียว) สรอล (ต้นสน) โกนกะแอก (ลูกกา) เนียะ (นาค) อันเนิกเมียส (แมลงเต่าทอง) ปะกาเมี๊ยะ (แหวนเพชร) กะบาลอันจุล (หัวเข็มขัด) กูม (โคม) กะลาสะนัน (แห) ตะเกาะ (ตะขอ) บายสไรย (บายศรี) และลายสกลนคร แต่พบว่าสินค้ามีราคาสูงและขาดการแปรรูปผลิตภัณฑ์ โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าด้วยการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้ามัดหมี่ไทยเขมร และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าด้วยการส่งเสริมตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการตั้งแต่ศึกษาความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม ออกแบบผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลิตต้นแบบ ติดตามการผลิต เพิ่มช่องทางการจำหน่ายด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และสรุปบทเรียน
ผลการวิจัยระบุว่า กลุ่มสามารถผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์เป็นย่าม กระเป๋าสะพาย เข็มกลัด ที่รัดผม พวงกุญแจ รวมจำนวน 30 ชิ้น จัดทำป้ายข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้า 6 แผ่นและมีส่งเสริมการตลาดโดยช่องทางการจำหน่ายด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับกลุ่มร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับก่อนมีโครงการ ข้อเสนอแนะให้ชุมชนควรเร่งขยายผลถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สมาชิกตัดเย็บแปรรูป ผู้ว่างงาน ผู้ที่ต้องการอาชีพเสริมในชุมชนเพื่อให้ทันความต้องการสินค้าของผู้บริโภค
2566-05-22T00:00:00Z
-
ผ้ามัดหมี่ลายผังพนม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8616
ผ้ามัดหมี่ลายผังพนม
สมบัติ, ประจญศานต์
แนวคิดในการออกแบบผ้ามัดหมี่ลายผังพนม
2556-08-01T00:00:00Z
-
แนวทางการจัดการสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8614
แนวทางการจัดการสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์
ปิยชนม์, สังข์ศักดา และคณะ
แนวทางการจัดการสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเพื่อการทองเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดบุรีรัมย มี
วัตถุประสงคในการทําวิจัย 3 ประการคือ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเปนมาของชุมชน และประวัติ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่น 2) เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพของสถาปตยกรรมพื้นถิ่น จัดทําแบบทาง
สถาปตยกรรมเพื่อการอนุรักษและนําเสนอตอชุมชน 3) เพื่อเสนอแนวทางการออกแบบภูมิสถาปตยกรรม
ทางการทองเที่ยวและนําเสนอตอชุมชน โดยดําเนินการในพื้นที่ 3แหง ดังนี้1)อุโบสถพื้นถิ่น วัดมณีจันทร
อําเภอพุทไธสง 2)อุโบสถพื้นถิ่น วัดบรมคงคา อําเภอพุทไธสง 3) อุโบสถพื้นถิ่น วัดทาเรียบ อําเภอ
นาโพธิ์ รวมกับชุมชนในการศึกษาประวัติชุมชนโดยใชวิธีการสัมภาษณ การสํารวจ รังวัดสถาปตยกรรมพื้น
ถิ่น เพื่อจัดทําแบบทางสถาปตยกรรมและนําเสนอตอชุมชน จากการสํารวจความเห็นชาวชุมชนจํานวน 84
คน พบวาผลการดําเนินการวิจัยในขั้นนี้ทําให1) ชุมชนเกิดความตระหนักในการอนุรักษสถาปตยกรรมพื้นถิ่น
2) ชุมชนใหความสําคัญกับสถาปตยกรรมพื้นถิ่น 3) ชุมชนเกิดแรงจูงใจในการอนุรักษสถาปตยกรรมพื้นถิ่น
4) ชุมชนมีแนวทางในการอนุรักษสถาปตยกรรมพื้นถิ่น 5) การวิจัยนี้ทําใหชุมชนมีสวนรวมในการอนุรักษ
สถาปตยกรรมพื้นถิ่น ทั้ง 5 ประเด็นอยูในระดับมากที่สุด และจากการสํารวจความเห็นของผูรวมกิจกรรม
ทัศนศึกษาสถาปตยกรรมพื้นถิ่น พบวาศักยภาพของสถาปตยกรรมพื้นถิ่นเพื่อจัดการเปนแหลงทองเที่ยว ทั้ง
3 แหงมีความดึงดูดใจ มีความสําคัญตอชุมชนและชุมชนมีสวนรวมในการอนุรักษและรักษาสถาปตยกรรม
พื้นถิ่น อยางไรก็ตามจากการสํารวจความเห็นผูตอบแบบสอบถามพบวาศักยภาพในดานกายภาพ ดานการ
รองรับนักทองเที่ยวมีประเด็นที่มีความเห็นดวยระดับนอยถึงระดับปานกลาง จึงดําเนินการออกแบบปรับปรุง
ภูมิทัศนประกอบดวยสิ่งอํานวยความสะดวก เชน ที่จอดรถ หองน้ําสาธารณะ ปายและการใหบริการขอมูล
แหลงทองเที่ยวเปนตน โดยมีแนวคิดในการออกแบบใหมีเอกลักษณของพื้นถิ่น การใชวัสดุในพื้นถิ่นการ
จัดการกอสรางไดโดยชุมชน และนําผลการออกแบบภูมิทัศนไปสอบถามชาวชุมชนจํานวน 53 คนพบวาผล
ของการออกแบบทําใหชุมชนมีแนวทางปรับปรุงภูมิทัศนรอบสถาปตยกรรมพื้นถิ่นใหสวยงาม ทําให
นักทองเที่ยวสามารถเที่ยวชมสถาปตยกรรมพื้นถิ่นไดโดยสะดวก มีสิ่งอํานวยความสะดวก เชน หองน้ํา
ที่จอดรถ มีกิจกรรมหลากหลาย มีความสะอาด นักทองเที่ยวรูขอมูลสถาปตยกรรมพื้นถิ่นและชุมชน ผลการ
ออกแบบมีสวนในการอนุรักษสถาปตยกรรมพื้นถิ่นและใชประโยชนสถาปตยกรรมพื้นถิ่น เพื่อการทองเที่ยว
โดยชุมชนได จึงมีขอเสนอแนะผูที่เกี่ยวของ เชน สถาบันการศึกษา หนวยงานดานการทองเที่ยว องคการ
บริหารทองถิ่น รวมมือกับชุมชนจึงจะทําใหชุมชนสามารถดําเนินการจัดการทองเที่ยวโดยชุมชนไดและการ
ดําเนินการปรับปรงุ ภมู ิทัศนใหรองรับการทองเที่ยวควรดําเนินการศึกษาและออกแบบเฉพาะแตละพื้นที่ โดย
ทําการศึกษาขอมูลเชิงลึก ทั้งในดานภูมิศาสตร สังคมและวัฒนธรรมเฉพาะพื้นที่ จึงจะทําใหไดภูมิทัศนที่
เฉพาะและเหมาะสมกับพื้นที่นั้น
2559-01-01T00:00:00Z
-
โครงการจัดทําฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษา ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงจําแนกตามกลุ่ม ชาติพันธุ์ในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8613
โครงการจัดทําฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษา ผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงจําแนกตามกลุ่ม ชาติพันธุ์ในจังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
การจัดทําฐานขอมูลภูมิปญญาทองถิ่น : กรณีศึกษาผลิตภัณฑผาทอพ
ื้
นบานที่มีชื่อเสียง
จําแนกตามกลมชาต ุ ิพันธุในจังหวดบั ุรีรัมย มีวัตถุประสงคของการวิจัย 2 ประการ ไดแก
1. จัดทําฐานขอมูลของผูทรงภูมิปญญาทองถ
ิ่
นดานการทอผาทอพ
ื้
นเมืองที่มีชื่อเสียง
จําแนกตามกลมชาต ุ ิพันธุในจังหวดบั ุรีรัมย
2. เพ
ื่
อศึกษาและบันทึกลวดลายของผาขิดและผามัดหม
ี่
ลงสื่อ
การวิจัยคร
ั้
งน
ี้เปนการวิจัยเชงคิ ุณภาพเพ
ื่อใหไดตรงตามวตถั ุประสงคของการวิจัยจึง
ดําเนินการวิจัยการศึกษาประชากรที่เปนบคคล ุ ไดแก ผูผลิตผาทอพ
ื้
นเมืองและประชากรที่เปน
ผลิตภัณฑไดแก ลวดลายของผาขิดและผาไหมมัดหม
ี่ในจังหวัดบุรีรัมยจําแนกตามกลุมชาติพันธุ
ไดดังน
ี้ กลุมไทยกวย จํานวน 20 คน จํานวน 15 ลาย กลุมไทยเขมร จํานวน 20 คน จํานวน
10 ลาย กลุมไทยโคราช จํานวน 20 คน จํานวน 12 ลาย และกลุมไทยลาว จํานวน 135 คน
จํานวน 59 ลาย รวมจํานวนท
ั้
งสิ้น 195 คน จํานวน 96 ลายโดยจดทั ําเปนทําเนยบรายช ี ื่อ
จากการศึกษาพบวา ภูมิปญญาทองถ
ิ่
นสวนใหญมีอาย 31 – 50 ุ ป (รอยละ 61.5) จบ
การศึกษาในระดับประถมศกษาตอนปลาย ึ (รอยละ 76.8) สืบเช
ื้
อสายมาจากกลุมชาติพันธุไทยลาว
(รอยละ 69.1) มีถิ่นฐานตามแหลงผลิตท
ี่
คณะวิจัยเขาศึกษาโดยไมมีการยายถิ่น (รอยละ 86.2)
ภูมิปญญาทองถ
ิ่
นสวนใหญมีอาชีพหลักในการทํานา (รอยละ 92.9) โดยมีรายไดเฉลี่ย 2,000 บาทตอ
เดือน (รอยละ 41.5)
ขอมูลของภูมิปญญาทองถ
ิ่
นเก
ี่
ยวกับการผลิตผาทอพ
ื้
นเมืองดานประสบการณทั่วไป
พบวา ภูมิปญญาทองถ
ิ่
นสวนใหญมีประสบการณการผลิตในขั้
นตอนการทอผา (รอยละ 25) และ
การฟอกยอมเสนใย (รอยละ 21.4) ซึ่งผลิตผาทอพ
ื้
นเมืองเพื่อเปนรายไดเสร ิม (รอยละ 51.4) โดยเริ่ม
เรียนรูการผลิตจากบรรพบุรุษ (รอยละ 85.8) ตั้งแตอายุ 16 – 20 ป (รอยละ 45.4) ซึ่งสวนใหญเริ่ม
เรียนรูจากขนตอนการปล ั้ ูกหมอน (รอยละ 29.7) เปนอันดับแรกโดยอาศัยเคร
ื่
องมือและอุปกรณใน
การผลิตท
ี่ใชตอจากบรรพบุรุษ (รอยละ 58.3) เม
ื่
อผลิตเปนผืนผาแลว สวนใหญจะจําหนายใหแก
กลุมอาชีพท
ี่ตนเปนสมาชิก (รอยละ 41.6) โดยกลุมจะเปนผ ูกําหนดราคาของสินคาและภูมิปญญา
ทองถ
ิ่
นสวนใหญไดรับการอบรมท
ี่
เก
ี่
ยวของกับการผลิตผาทอพ
ื้
นเมือง (รอยละ 59.9)
ความเช
ี่ยวชาญเฉพาะโดยภาพรวมภูมิปญญาทองถ
ิ่
นสวนใหญมีความเช
ี่
ยวชาญเฉพาะดานการทอผา
มากที่สุดรองลงมาคือการมัดหม
ี่การฟอกยอม การผลิตเสนใยและการขิด ตามลําดับ สวนใหญ
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
Buriram Rajabhat University
ค
ยังไมเคยไดรับรางวัลจากการประกวดผาทอพ
ื้
นเมืองยกเวนกล ุมไทยลาวที่เคยไดรับรางวัลจากการ
ประกวดในระดับจังหวัดและระดับภาค สวนใหญได ถายทอดความรและท ู ักษะการทอผาแกบุตรี
ในลักษณะฝกห ัดตามแบบเปนผูชวยในการผลิตของครัวเรือน โดยไมกําหนดระยะเวลาท
ี่
ตายตัว
ผูรับการถายทอดสวนใหญมีอายุประมาณ 10 – 12 ปขึ้นไป
ภูมิปญญาทองถ
ิ่
นสวนใหญประสบปญหาดานการตลาดมากที่สุดรองลงมาคือ ปญหา
วัตถุดิบมีราคาสูงหรือการขาดแคลนวัตถุดิบ และตองการความรูเพ
ิ่
มเตมเกิ ี่
ยวกับการมัดหม
ี่
และการ
ออกแบบลวดลายผาเน
ื่องจากปจจยดั านการตลาดในปจจุบันมีผลตอความเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ
ของผาทอพ
ื้
นเมือง เน
ื่
องจากแนวคดการผล ิ ิตเพ
ื่อใหตรงกบความต ั องการของผูบริโภคมิใชผลิตเพื่อ
ผูทอใชเองเหมือนในอดีต
กระบวนการผลิตผาทอพ
ื้
นเมืองของภูมิปญญาทองถ
ิ่
นที่ศึกษาคลายคลึงกับกระบวนการ
ผลิตท
ั่วไปในภาคอีสาน แตสถานะการณ ปญหาเรื่องวัตถุดิบมีแนวโนมส ูงขึ้น การนําเขาวัตถุดิบจาก
ภายนอกชุมชนมีปริมาณมาก โดยเฉพาะไหมพันธุผสมจากโรงงาน และย
ิ่
งชุมชนที่มีภูมิปญญา
ทองถ
ิ่
นที่มีความเช
ี่
ยวชาญดานการทอผ ามากเทาใดยิ่งมแนวโน ี มท
ี่
จะทําใหชุมชนเปนแหล งฟอก
ยอมทอผาอยางเดียว นอกจากนี้ยังพบปญหาการที่ผูผลิตขาดทักษะทางวิทยาศาสตรขั้นพ
ื้
นฐาน เชน
การชั่ง ตวง วัด และการจดบันทึกทําใหคุณภาพของผลิตภัณฑไมคงท
ี่ เปนการส
ิ้นเปลืองวัตถุดิบ
ในแงการผล ิต
ขอเสนอแนะ สําหรับนํางานวิจัยไปใชประโยชนอยางเต็มท
ี่
ควรขยายขอบเขตการศึกษา
และจัดทําใหครอบคลุมท
ั้
งจังหวัดบุรีรัมยเพอความสมบ
ื่ ูรณของขอมูลและเปนประโยชนตอการนํา
ขอมูลไปใชเพอการพ
ื่ ัฒนา ใหความสนใจตอกลุมผูผลิตที่มิไดถูกคัดเลอกเป ื นสุดยอดผลิตภัณฑและ
ควรสงเสริมใหเกิดนักออกแบบในชุมชนโดยประสานความรวมมือจากสถาบันการศึกษาในพื้นท
ี่
ในการฝกอบรม เรียนรูหลักสูตรระยะสั้น และการสนับสนุนใหสถาบนการศ ั ึกษาในชุมชนควรมี
สวนในการจัดเก็บรวบรวมลวดลายผาลงในตารางกริดใหครอบคลุมลวดลายด
ั้
งเดิมและตอเน
ื่
อง
ตามลวดลายผาท ี่ไดรับการออกแบบข
ึ้นใหมอยูตลอดเวลารวมถึงการสงเสริม สนับสนุนนักศกษา ึ
ของสถาบันราชภัฏบุรีรัมยใหมีสวนรวมในการว ิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสวนรวม เพ
ื่อเปนการรวม
แลกเปลี่ยนเรียนรูนํามาซ
ึ่
งความภาคภูมิใจในภูมิปญญาทองถ ิ่
นของตนอันเปนกลวิธีในการสืบสาน
ภูมิปญญาทองถ
ิ่
นอยางย
ั่
งยืน
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2546-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาแนวทางยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของอำเภอ นาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8612
การศึกษาแนวทางยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของอำเภอ นาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ ม
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
การศึกษาแนวทางยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น : กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของอำเภอ นาโพธิ์ จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการ ได้แก่
1. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการพัฒนายกระดับภูมิปัญญา ท้องถิ่น
2. เพื่อเสนอแนวทางการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในกระบวนการพัฒนา ยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของอำเภอนาโพธิ์ แต่ไม่ทำลายเอกลักษณ์ของ ภูมิปัญญา
3. เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมในการพัฒนา และสืบสานภูมิปัญญาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของอำเภอนาโพธิ์ โดยกระบวนการบันทึกลงสื่อ การตรวจสอบและพิสูจน์ การแพร่กระจาย และการพัฒนาการยกระดับ
ในการวิจัยพิจารณาเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคคล ประกอบด้วย ผู้ผลิต ผู้นำชุมชน คณะกรรมการบริหารกลุ่ม และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายในชุมชน แล้วทำการรวบรวมข้อมูล โดยการสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ที่มีการใช้แบบสัมภาษณ์ ซึ่งมีการเตรียม คำถามไว้ล่วงหน้าชนิดปลายเปิด แล้วบันทึกลงเทปและทำการถอดเทปต่อไป ส่วนกลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่ รวบรวมข้อมูล ลวดลาย โดยการบันทึกภาพจากผ้าชิ้นตัวอย่าง ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ โดยพิจารณาศึกษาเฉพาะลวดลายดั้งเดิม จำนวน 70 ลาย แล้วนำมาบันทึกลงสื่อ เพื่อการแพร่กระจายในโอกาสต่อไป
ข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์ นำมาวิเคราะห์เนื้อหา เพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้แก่ ปัจจัยที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการพัฒนายกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น ประกอบด้วยปัจจัยด้านชุมชน ปัจจัยด้านผู้ผลิต ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านการตลาด และปัจจัยภายนอก โดยทั้งห้าปัจจัยแบ่งเป็นปัจจัยทางด้านบวกและปัจจัยทางด้านลบ ในการพัฒนา ยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องอาศัยหลักการส่งเสริม สนับสนุนปัจจัยทางด้านบวก และแก้ไขปัจจัยทางด้านลบ ทั้งนี้ หากนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในกระบวนการพัฒนายกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีแนวทางดังนี้คือ การส่งเสริมกระบวนการคิดทางด้านวิทยาศาสตร์โดยการคำนวณ ชั่ง ตวง วัด จดบันทึกเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต การส่งเสริมสนับสนุนการใช้สารเคมีและสีย้อมทั้งธรรมชาติและสีแอสิค ด้วยกระบวนการที่ถูกต้อง การส่งเสริมให้มีการบันทึก ลวดลายมัดหมี่ลงสื่อ การพัฒนาระบบการจัดการที่สามารถใช้เป็นข้อมูลและตรวจสอบได้ การพัฒนาประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงเครื่องจักรกลในต้นทุนที่ประหยัด และการส่งเสริมการ ประชาสัมพันธ์และการตลาดด้วยการใช้เครื่องหมายการค้าของตนเอง ทั้งนี้กระบวนการพัฒนา และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยการบันทึกลงสื่อมีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความเหมาะสม อย่างมากในแง่ความเป็นไปได้ เนื่องจากผู้ผลิตในชุมชนให้ความร่วมมือและเห็นประโยชน์ ของการจดบันทึก
2545-09-30T00:00:00Z
-
การออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8610
การออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัย
สมบัติ, ประจญศานต์
โครงการวิจัยการออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัยครั้งนี้ เป็นงานวิจัยเชิงออกแบบสร้างสรรค์เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาวางแผนการผลิตและพัฒนาการออกแบบ โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อออกแบบจัดโครงสีสำหรับผ้าไหมมัดหมี่ และทดลองและติดตามผลการผลิตจากกลุ่มผู้ผลิตผ้าทอพื้นบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ กระบวนการทำงานมีวิธีดำเนินการวิจัย ตั้งแต่ออกแบบโครงสี และจัดทำแบบลายสำหรับการมัดหมี่เผยแพร่แบบสู่กลุ่มผู้ผลิตเพื่อคัดเลือกลายต้นแบบ จำนวน 1 ลาย แล้วนำแบบลายต้นแบบที่ได้รับการคัดเลือก นำมาทำการออกแบบจัดโครงสีตามทฤษฎีสี จำนวน 10 ชิ้นงาน นำไปให้ผู้ผลิตผ้าไหมมัดหมี่ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จากนั้นผู้วิจัยทำการติดตามผลระหว่างการผลิตขั้นการมัดหมี่และขั้นการทอการผลิต และทำการเปรียบเทียบผลงานผ้าไหมมัดหมี่กับแบบ
ผลการวิจัยปรากฏว่า ผู้ผลิตผลิตผ้าไหมมัดหมี่โดยได้ตามแบบ จำนวน 3 ชิ้นงาน ใกล้เคียงกับแบบ จำนวน 2 ชิ้นงาน และแตกต่างจากแบบ จำนวน 5 ชิ้นงาน ทั้งนี้เป็นผลมาจากเฉดสีย้อมที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดไม่มีเฉดสีตรงกับแบบ และการไม่ใช้สีย้อมตรงตามแบบ และพบว่าการจัดโครงสีที่เหมาะสมกับผ้าไหมมัดหมี่สามารถใช้โครงสีแบบสีเอกรงค์ (Monochrome) สีพหุรงค์แบบสีกลมกลืน (Harmony) โดยใช้สี 2 สีขนาบข้างในวงจรสี และสีพหุรงค์แบบสีตรงข้ามแท้ (Complementary Colors) ให้ผลงานที่ทำเกิดความงาม ร่วมสมัย และสะดวกต่อการผลิตเนื่องจากสีไม่มีค่าน้ำหนักของสีที่ใกล้กันตามวงจรสีเกินไป โดยเสนอให้มีการใช้ค่าน้ำหนักของสีตรงข้ามแท้ที่แตกต่างกันหรือการเพิ่มสีกลางเพื่อช่วยขับเน้นลวดลายบางส่วน หรือเพื่อเพิ่มมิติให้เกิดขึ้นกับลวดลาย เมื่อทดลองนำสีของลายผ้าไหมมัดหมี่ที่บรรพชนนิยมใช้ คือ สีน้ำเงิน เหลือง แดง เขียว มาจัดเรียงตามค่าน้ำหนักของสีในวงจรสีที่แบ่งค่าน้ำหนักจากน้ำหนักเข้มสุด คือ สีม่วง (ระดับ 1) ไปหาน้ำหนักเบาสุด คือ สีเหลือง (ระดับ 7) สามารถถอดรหัสภูมิปัญญาการเลือกใช้สีในงานมัดหมี่จะใช้สีลายมัดหมี่ที่มีค่าน้ำหนัก 3, 5 และ 7
2558-07-01T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายเรขศิลป์จากผังพื้นของปราสาทขอมในเขตอีสานใต้ ประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8609
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายเรขศิลป์จากผังพื้นของปราสาทขอมในเขตอีสานใต้ ประเทศไทย
สมบัติ, ประจญศานต์
ปราสาทขอมในเขตอีสานใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งแห่งมรดกทางวัฒนธรรมแห่ง อารยธรรมขอม ซึ่งการเขียนภาพผังพื้นเป็นการนำเสนอแบบทางสถาปัตยกรรมที่เป็นภาษาสากล แต่ยังไม่เคยมีการสร้างสรรค์เป็นลวดลายของผ้าไหมมัดหมี่ โครงการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบลวดลายเรขศิลป์สู่ลวดลายมัดหมี่โดยมีแรงบันดาลใจจากผังพื้นของปราสาทขอมในเขตอีสานใต้ และทดลองให้ช่างภูมิปัญญาท้องถิ่นผลิตผ้าไหมมัดหมี่ได้ผลงานต้นแบบจำนวน 2 ชิ้น โดยมีการอธิบายความรู้ทางวิชาการประกอบการออกแบบที่อาศัยกระบวนการแปรเปลี่ยนองค์ประกอบด้วยการลดรูป การจัดองค์ประกอบศิลป์และการจัดโครงสี ผนวกกับเทคนิคการสร้างสรรค์ผ้าไหมมัดหมี่ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ตั้งแต่การเตรียมเส้นไหม การคำนวณเส้นไหมเส้นยืนและเส้นพุ่ง การฟอก การย้อมสี การสร้างลายมัดหมี่ การมัดหมี่ โดยเสนอแนะให้เพิ่มเทคนิคอื่นบนงานมัดหมี่ การสร้างมิติของลายด้วยการให้ค่าน้ำหนักของสีที่แตกต่างกัน หรือการผสมผสานแรงบันดาลใจอื่นร่วมกับผังพื้นของปราสาทขอม ย่อมได้ผลงานที่หลากหลาย อาจแสดงออกจากภาพสัญลักษณ์ไปสู่ภาพนามธรรมต่อไป
2558-05-31T00:00:00Z
-
ภูมิปัญญาการวางทิศทางอาคารสิมอีสาน กรณีศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8608
ภูมิปัญญาการวางทิศทางอาคารสิมอีสาน กรณีศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติการสร้างสิมอีสาน หรืออุโบสถพื้นถิ่น ระบุคุณค่าที่มีต่อชุมชน สำรวจรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและอธิบายองค์ความรู้ของภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบการวางทิศทางอาคารที่สร้างสภาวะสบายแก่ผู้ใช้อาคาร ศึกษาจาก 3 กรณีศึกษา คือ สิมวัดมณีจันทร์ สิมวัดบรมคงคา อ.พุทไธสง และสิมวัดท่าเรียบ อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอาคารมีอายุ 76 ปี 106 ปี 126 ปี ตามลำดับ สรรค์สร้างโดยภูมิปัญญาช่างพื้นถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ บริบททางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ โดยผู้วิจัยได้วัดค่าอุณหภูมิของอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเร็วลม และอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยโดยรอบ ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ.2557 ถึง กรกฎาคม พ.ศ.2558 ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยได้ว่า จากคติความเชื่อทำให้การวางทิศทางของสิมให้ด้านหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นการวางด้านแคบของอาคารตั้งรับแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสภาวะสบายให้กับผู้ใช้อาคารเนื่องจากลดพื้นที่เปลือกอาคารที่สะสมความร้อน ลดปริมาณความร้อนจากแสงแดดที่ส่องผ่านเข้าภายในอาคารกว่าการวางด้านหน้าอาคารสิมไปทางแนวทิศเหนือ-ใต้ ตลอดทั้งวันทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝนภายในสิมทั้งสามหลังเกิดสภาวะสบายแก่ผู้ใช้อาคาร กล่าวคือ มีอุณหภูมิต่ำสุด-สูงสุดเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18.50 ˚c – 40.00 ˚c ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำสุด-สูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 27.00 – 99.00% ความเร็วลมต่ำสุด-สูงสุดเฉลี่ย 0.01 – 1.96 เมตรต่อวินาที แม้ว่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าแผนภูมิสภาวะสบายของ Victor Olgyay แต่สอดคล้องกับการศึกษาภาคสนามของนักวิชาการไทยที่ได้ข้อค้นพบว่าสภาวะสบายมีความสัมพันธ์อย่างมากกับสภาพอากาศในท้องถิ่น และสิ่งสำคัญที่สุด คือความสามารถในการปรับตัวของคนที่ทำให้ผู้ใช้อาคารยังคงรู้สึกสบายได้ตลอดเวลา ผลการวิจัยทำให้อธิบายภูมิปัญญาการออกแบบด้วยหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทำให้เกิดสภาวะสบายแก่ผู้เข้าใช้สอยอาคารอย่างมีเหตุมีผลตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ทั้งการวางผังอาคารการวางทิศทางของอาคาร การเลือกรูปทรงของหลังคาเป็นหลังคาทรงสูงสองชั้นมีที่ว่างช่วยดักความร้อน ชายคายื่นยาวช่วยบังแดดบังฝน การเลือกรูปทรงอาคารที่มีการระบายอากาศได้ดีโดยมีช่องเปิดทางด้านทิศเหนือ-ใต้ที่มีช่องให้ลมเข้าและออก ข้อมูลดังกล่าวสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของชุมชนยังผลให้เกิดการอนุรักษ์ ทำให้สถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าของชุมชนมิสูญสลายยังคงอยู่เป็นรากเหง้ามรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดการสืบสานต่อยอดวัฒนธรรมสร้างนวัตกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมสีเขียวที่สะท้อนอัตลักษณ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นสืบไป
2558-12-31T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่ลายเครื่องแขวนไทยดอกไม้สด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8606
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่ลายเครื่องแขวนไทยดอกไม้สด
สมบัติ, ประจญศานต์
เครื่องแขวนไทยดอกไม้สดเป็นส่วนหนึ่งแห่งมรดกทางวัฒนธรรมของไทย แต่ยังไม่เคยมีการสร้างสรรค์เป็นลวดลายของผ้าไหมมัดหมี่ โครงการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบลวดลายเรขศิลป์สู่ลวดลายมัดหมี่โดยมีแรงบันดาลใจจากเครื่องแขวนไทยดอกไม้สด และเพื่อทดลองนำลวดลายเรขศิลป์ต้นแบบสู่การผลิตผ้าไหมมัดหมี่ทอมือให้ช่างภูมิปัญญาท้องถิ่นผลิตผ้าไหมมัดหมี่ ได้ผลงานต้นแบบจำนวน 30 ชิ้น โดยมีการอธิบายความรู้ทางวิชาการประกอบการออกแบบที่อาศัยกระบวนการแปรเปลี่ยนองค์ประกอบด้วยการลดรูป การจัดองค์ประกอบศิลป์และการจัดโครงสี ผนวกกับเทคนิคการสร้างสรรค์ผ้าไหมมัดหมี่ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ตั้งแต่การเตรียมเส้นไหม การคำนวณเส้นไหมเส้นยืนและเส้นพุ่ง การฟอก การย้อมสี การสร้างลายมัดหมี่ การมัดหมี่ โดยเสนอแนะให้เพิ่มเทคนิคการสร้างมิติของลายด้วยการให้ค่าน้ำหนักของสีที่แตกต่างกัน
2561-07-01T00:00:00Z
-
ภูมิปัญญาการกำหนดพื้นที่ภายในสิมอีสาน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8605
ภูมิปัญญาการกำหนดพื้นที่ภายในสิมอีสาน
สมบัติ, ประจญศานต์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติของอาคาร และคุณค่าของสิม (อุโบสถ) ที่มีต่อชุมชนโดยสำรวจรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและวิเคราะห์พื้นที่ในการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในตามลักษณะการประกอบสังฆกรรม จาก 3 กรณีศึกษา คือ สิมวัดโคกพระ อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา สิมวัดสระแก อำเภอพุทไธสง และสิมวัดหลักศิลา อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่สรรค์สร้างโดยภูมิปัญญาช่างพื้นถิ่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ บริบททางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เมื่อวิเคราะห์กับข้อมูลสัดส่วนของภิกษุสงฆ์ที่ค่าเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 95 พบว่า พื้นที่นั่งของพระสงฆ์รวมพื้นที่กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ มีขนาดกว้าง 800 มิลลิเมตร ความยาว 1,067.5 มิลลิเมตร ระยะหัตถบาส 500 มิลลิเมตร จึงได้พื้นที่นั่งของพระสงฆ์ 1 รูป เท่ากับ กว้าง 1,300 มิลลิเมตร ความยาว 1,067.5 มิลลิเมตร คิดเป็น 1.38 ตารางเมตร ต่อรูป หรือ 1.794 ตารางเมตร ต่อรูป (รวมทางสัญจร ร้อยละ 30) เมื่อพิจารณาจากพุทธบัญญัติเกี่ยวกับสีมาที่พระสงฆ์จะพึงกระทำสังฆกรรมนั้นจะต้องกำหนดเขตสีมาห้ามไม่ให้สมมุติสีมาเล็กเกินไป จนไม่สามารถบรรจุภิกษุ 21 รูป นั่งหัตถบาสได้ แสดงถึงพื้นที่สังฆกรรมภายในสิม ต้องมีพื้นที่รวมระยะสัญจรไม่น้อยกว่า 38 ตารางเมตร จึงพบว่าสิมวัดสระแกมีพื้นที่ภายในเพียงพอต่อการประกอบสังฆกรรมโดยอนุโลม
2559-08-31T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้ามัดหมี่โดยการผสานสีด้วยสายตา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8604
ออกแบบผ้ามัดหมี่โดยการผสานสีด้วยสายตา
สมบัติ, ประจญศานต์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบสีสำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่โดยมีทดสอบการผสานสีทางสายตาเมื่อมีการทอขัดระหว่างไหมเส้นยืนกับไหมเส้นพุ่งสีต่างสีกัน โดยทำการทอผ้าไหมเป็นตาราง ใช้วิธีดำเนินการวิจัยตั้งแต่การออกแบบและทอผ้าตารางสีโดยใช้ไหมเส้นยืน 20 สี ทอขัดกันไหมเส้นพุ่ง 19 สี ได้ตัวอย่างคู่สีทั้งหมด 380 สี ทำการวัดค่าสีด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องวัดค่าสี (colour Reader) รุ่น CR-10 และนำไปออกแบบลายมัดหมี่ที่มีการจัดโครงสี 6 แบบ รวม 36 ชิ้นงาน ผลการวิจัยปรากฏว่า การผสานสีระหว่างไหมเส้นยืนกับไหมเส้นพุ่งสีต่างสีกันให้ผลต่างจากการผสมสี ทำให้ค่าความจัดของสี (Intensity) น้ำหนักของสี (Value) และทำให้ความเป็นสี (Hue) เปลี่ยนไป เด่นชัดกรณีใช้สีคู่ตรงข้ามกัน อีกทั้งทำให้เกิดประกายสี ขณะที่ผ้าต้องแสงเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทางของแสงจะสร้างความเลื่อมพรายให้เกิดกับผืนผ้าสามารถพัฒนาสู่งานออกแบบ 4 มิติต่อไป สามารถการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เปลี่ยนวิธีการผลิตแบบเดิมที่ช่างมัดหมี่จะทำการมัดหมี่เส้นพุ่งคราวเดียว จะแบ่งไปทอได้ผ้า 2 ผืน ที่มีแบบลายและสีสันของผ้าเหมือนกันทุกประการ แต่การผลิตตามการวิจัยเมื่อมัดหมี่เส้นพุ่งแล้วเสร็จ แบ่งเส้นพุ่งส่วนหนึ่งไปทอขัดกับเส้นยืนสีหนึ่ง และนำเส้นพุ่งส่วนที่เหลือไปทอขัดกับเส้นยืนอีกสีหนึ่ง ทำให้ได้ผลงานผ้าไหมมัดหมี่ 2 ผืนที่มีแบบสีคนละแบบสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าและลดต้นทุนในการผลิตสินค้า
2560-07-01T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่โดยการเปลี่ยนค่าน้ำหนักของสีด้วยเส้นยืนสีกลาง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8603
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่โดยการเปลี่ยนค่าน้ำหนักของสีด้วยเส้นยืนสีกลาง
สมบัติ, ประจญศานต์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบสีสำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่โดยมีการทดสอบผลของสีไหมเส้นยืนที่มีต่อสีของผ้า ทดลองผลิตต้นแบบและติดตามผลการผลิตจากกลุ่มผู้ผลิตผ้าทอพื้นบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ มีวิธีดำเนินการวิจัย ตั้งแต่การสำรวจเฉดสีเคมีที่กลุ่มตัวอย่างผู้ผลิตผ้าไหมมัดหมี่ในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 10 กลุ่มนิยมใช้โดยนำผลสำรวจมาออกแบบและจัดทำผ้าไหมตารางสีที่มีการใช้เส้นยืนสีกลางทอขัดกับเส้นพุ่งสีต่าง ๆ จำนวน 20 สี รวม 180 คู่สี และทำการวัดค่าสีด้วยเครื่องวัดค่าสี รุ่น CR-10 พบว่า สีไหมเส้นยืนมีผลต่อการผสานสี ทำให้ความจัดของสี และน้ำหนักของสี ของไหมเส้นพุ่งจะเปลี่ยนไป เมื่อทอขัดกับไหมเส้นยืนสีดำ ทำให้สีจะมีความจัดน้อยที่สุดและมีความสว่างลดลง แต่มีความจัดมากและมีความสว่างของสีมากขึ้นเมื่อทอกับเส้นยืนสีขาว โดยพิจารณาจากค่า L* แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะทอกับเส้นยืนสีกลางสีใด น้ำหนักของสีตามวงจรสียังคงเรียงลำดับตามเดิม จากนั้นทำการออกแบบลายมัดหมี่ และจัดทำผ้าไหมมัดหมี่จำนวน 18 ผืน ทดสอบเส้นยืนสีดำกับสีเทาอ่อน และเส้นยืนสีน้ำตาลแก่กับน้ำตาลอ่อน ผลทดสอบค่าความเป็นสีจากค่า a*, b* พบว่าความเป็นสีเปลี่ยนไปแต่ยังคงเฉดสีเดิม สามารถการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เปลี่ยนวิธีการผลิตแบบเดิมที่ช่างมัดหมี่จะทำการมัดหมี่เส้นพุ่งคราวเดียวจะแบ่งไปทอได้ผ้า 2 ผืน ที่มีแบบลายและสีสันของผ้าเหมือนกันทุกประการ แต่การผลิตตามการวิจัยเมื่อมัดหมี่เส้นพุ่งแล้วเสร็จ แบ่งเส้นพุ่งส่วนหนึ่งไปทอขัดกับเส้นยืนสีกลางสีหนึ่ง และนำเส้นพุ่งส่วนที่เหลือไปทอขัดกับเส้นยืนสีกลางอีกสีหนึ่ง ทำให้ได้ผลงานผ้าไหมมัดหมี่ 2 ผืนที่ต่างแบบสี สร้างความหลากหลายให้กับสินค้าได้ และช่วยลดต้นทุนในการผลิตสินค้า
2560-07-31T00:00:00Z
-
ผ้าพันคอไหมมัดหมี่ลายจำหลักจากปราสาทขอม พัฒนาสู่สินค้า ECO Premium OTOP
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8602
ผ้าพันคอไหมมัดหมี่ลายจำหลักจากปราสาทขอม พัฒนาสู่สินค้า ECO Premium OTOP
สมบัติ, ประจญศานต์
โครงการวิจัยผ้าพันคอไหมมัดหมี่ลายจำหลักจากปราสาทขอม พัฒนาสู่สินค้า ECO Premium OTOP เป็นงานวิจัยเชิงพาณิชย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบลายมัดหมี่ลายใหม่ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ผ้าพันคอไหมมัดหมี่ลายจำหลักจากปราสาทขอมทอมือ จำนวน 20 ลาย โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลในการออกแบบลาย และใช้นวัตกรรมการทำให้เส้นไหมย้อมด้วยสีธรรมชาติมีสีติดเข้มขึ้นด้วยเทคนิคการใช้สารเพิ่มประจุบวก (PD Starcat) และพัฒนาผ้าพันคอไหมมัดหมี่ลายสู่สินค้า ECO Premium OTOP ด้วยการออกแบบบรรจุภัณฑ์ แลป้ายตราสินค้า นำผลงานไปจัดแสดงนิทรรศการ และรับฟังทัศนวิจารณ์ในงานแสดงสินค้า พบว่า ลวดลาย สีสัน เนื้อผ้าเป็นจุดเด่นของผลงาน เมื่อแรกเห็นผลงานผู้ชมมีความรู้สึกชื่นชอบผ้าไหมมัดหมี่ลายใหม่ โดยมีความเห็นว่าลวดลายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้สีธรรมชาติที่มีสีสันที่สร้างความรู้สึกที่สื่อรสนิยมตลาดระดับบนได้ดี แต่การใช้ไหมน้อยจะทำให้ได้เนื้อผ้าที่นุ่ม พลิ้ว และแวววาวกว่าไหมเปลือกนอก เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตส่วนใหญ่มีสมาชิกเป็นผู้สูงอายุ จึงเป็นข้อจำกัดเรื่องกำลังการผลิต และความสม่ำเสมอของการผลิต ตลาดต้องมีความเข้าใจข้อจำกัดสำคัญนี้เป็นเบื้องต้น เพื่อจะทำให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการของผู้ซื้อ และความสามารถของผู้ผลิต ซึ่งในระยะยาวจำเป็นต้องหาแนวทางในการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการผลิตไหมทอมืออย่างเร่งด่วน
2561-07-01T00:00:00Z
-
รายงานกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย การถ่ายทอดความรู้เทคนิคออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัยเพื่อเป็น สินค้าทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8600
รายงานกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย การถ่ายทอดความรู้เทคนิคออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัยเพื่อเป็น สินค้าทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์
จังหวัดบุรีรัมย์เป็นแหล่งที่มีภูมิปัญญาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และผลิตเป็นผ้าไหมทอมือที่มีคุณภาพ แต่การพัฒนาสินค้าชุมชนประเภทผ้าไหมมัดหมี่ทอมือมีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากลวดลาย สีสัน และเนื้อผ้า โครงการนี้จึงได้นำองค์ความรู้จากโครงการวิจัยการออกแบบโครงสีในผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัย และโครงการวิจัยการพัฒนาสินค้าผ้าไหมมัดหมี่เพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ : อิทธิพลของสีไหมเส้นยืนในงานผ้าไหมมัดหมี่ โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อ 1) จัดทำคู่มือและอบรมขยายผลถ่ายทอดความรู้การออกแบบโครงสีในงานผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัยสู่กลุ่มอาชีพในชุมชน 2) ผลิตผ้าไหมมัดหมี่ทอมือตามเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทอด เป็นสินค้าและทดสอบการยอมรับผลิตภัณฑ์เมื่อแรกเห็นจากกลุ่มผู้บริโภค และ 3) เพื่อสรุปบทเรียนของการดำเนินการถ่ายทอดความรู้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 15 คนจาก 3 หมู่บ้าน และกลุ่มขยายผล จำนวน 15 คนจาก 3 หมู่บ้าน ดำเนินกิจกรรมสังเคราะห์ผลจากงานวิจัยโดยจัดทำเป็นคู่มือการออกแบบแล้วจัดอบรมเชิงปฏิบัติการการออกแบบโครงสี นำองค์ความรู้จากการอบรมไปสู่การปฏิบัติผลิตเป็นผืนผ้าไหมมัดหมี่ทอมือ นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบไปทดสอบการยอมรับเมื่อแรกเห็นของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 100 คน จัดเวทีสรุปบทเรียนและจัดประชุมถ่ายทอดความรู้ขยายผลไปยังกลุ่มขยายผล และมีการติดตามการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์จริง ผลการดำเนินโครงการทำให้ได้ผลผลิตเป็น 1. คู่มือการออกแบบโครงสีในงานไหมมัดหมี่ จำนวน 1,000 เล่ม 2. ต้นแบบผ้าไหมมัดหมี่ลายใหม่ จำนวน 24 ผืน หลังการดำเนินโครงการมีข้อเสนอแนะว่า การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ผลิตควรจำแนกกลุ่มผู้ผลิตตามศักยภาพเพราะแต่ละกลุ่มศักยภาพต้องการการสนับสนุนในประเด็นที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มที่มีศักยภาพค่อนข้างสูงมีความจำเป็นในการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการตลาด เช่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ แหล่งจำหน่าย ตลาดออนไลน์ เพื่อเป็นการพัฒนาสู่สินค้าทางวัฒนธรรมมูลค่าสูงต่อไป กลุ่มที่มีศักยภาพปานกลาง ต้องเน้นการติดตามการรักษาคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนด้านการตลาดและกลุ่มที่มีศักยภาพค่อนข้างน้อยยังคงต้องเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตให้สินค้าได้มาตรฐาน โดยมีเป้าหมายเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และควรเร่งหาแนวทางในการพัฒนาการตลาดมูลค่าสูงเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่เข้าสู่การสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาผ้ามัดหมี่ทอมือต่อไป
2564-03-31T00:00:00Z
-
ประเมินความสำเร็จของโครงการบูรณาการการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ของสาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีที่ 5
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8599
ประเมินความสำเร็จของโครงการบูรณาการการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ของสาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีที่ 5
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
โครงการประเมินความสำเร็จของโครงการบูรณาการการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการและการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของสาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์ในการประเมิน 2 ประการ คือ เพื่อประเมินผลความสำเร็จของโครงการตามตัวชี้วัดของโครงการ และเพื่อเสนอแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินโครงการในปีต่อไป ทำการประเมินโดยอาศัยแนวคิดการประเมินผลตาม CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม ทำการประเมินระหว่างโครงการและประเมินหลังสิ้นสุดโครงการ ซึ่งอาศัยเครื่องมือได้แก่ แบบสังเกต แบบประเมิน และประเด็นคำถามในการจัดเวทีสรุปบทเรียน โดยเทคนิค A.A.R. ทำการประเมินจากกลุ่มนักศึกษา จำนวน27 คน กลุ่มอาจารย์ผู้สอน จำนวน 5 คน และกลุ่มชุมชนเจ้าของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น จำนวน 123 คน ผลการประเมินสรุปได้ว่า โครงการมีความสอดคล้องตามเกณฑ์ของตัวบ่งชี้ที่ 5.2 ประเมินคุณภาพการศึกษาภายใน พ.ศ. 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จากตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการเชิงปริมาณ จำนวน 6 ตัว ผลการประเมิน บรรลุ 6 ตัว ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ จำนวน 8 ตัว ผลการประเมิน บรรลุ 8 ตัว เสนอให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนา
2562-05-08T00:00:00Z
-
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ชื่อโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชือกมัดฟาง ภายใต้โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8598
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ชื่อโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชือกมัดฟาง ภายใต้โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
สมบัติ, ประจญศานต์
กลุ่มสัมมาชีพบ้านห้วยยางใหญ่ ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิที่มีการรวมกลุ่มสมาชิกในชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐเดิมทีผลิตตะกร้าที่สานจากเส้นพลาสติก ต่อมาได้เรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้านในชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญผลิตตะกร้า กระเช้า กระเป๋าจากวัสดุเชือกมัดฟางที่มีจำหน่ายสำเร็จรูป โดยผลิตในหลากหลายรูปแบบและมีคุณภาพเป็นที่รู้จักในระดับจังหวัด แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังมีรูปแบบความเป็นไทยสูง เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคสูงวัย หรือประโยชน์ใช้สอยเฉพาะ เช่น ตะกร้าใส่ผลไม้ กระเช้าของขวัญ กระเป๋าถือออกงานกับชุดไทย และสินค้ามีรูปแบบซ้ำเหมือนกับคู่แข่ง จึงมีการพัฒนาด้านการออกแบบให้ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบที่ร่วมสมัยสามารถใช้สอยในชีวิตประจำวันที่หลากหลายในคนรุ่นใหม่โดยผู้วิจัยได้ออกแบบเป็นกระเป๋าถืออเนกประสงค์เชือกมัดฟางสำหรับใส่สมาร์ทโฟน อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์พกพา IPAD หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ ที่ต้องพกพาในชีวิตประจำวันหรือใส่อุปกรณ์เครื่องเขียน เป็นต้น โดยทำการผลิตต้นแบบใช้การถักสานเป็นแผ่นผืนแล้วนำมาตัดเย็บบุด้านในด้วยผ้าเพื่อให้เกิดความสวยงามของรูปทรง ความประณีตเรียบร้อยในการผลิต และความสะดวกในการใช้งาน
2564-04-30T00:00:00Z
-
รายงานเอกสารสรุปผลการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาสู่สากล (เฟส2)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8597
รายงานเอกสารสรุปผลการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาสู่สากล (เฟส2)
สมบัติ, ประจญศานต์
จากกระแสความชื่นชอบผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยนำทุนทางวัฒนธรรมผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี รังสรรค์เป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีคุณค่า มูลค่าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๖ จึงประสงค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยทุนทางวัฒนธรรมศิลปวัฒนธรรมลพบุรี ซึ่งในเขตอีสานใต้ของประเทศไทยปรากฏจากหลักฐานทางอารยธรรมหรือวัฒนธรรมที่เด่นชัดคือปราสาทหิน เทวาลัย และอโรคยาศาลในอารยธรรมขอมหรือเขมรเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-18 ที่ตั้งกระจายตัวครอบคลุมพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ โดยกำหนดแนวคิดในการออกแบบอารมณ์ของภาพและโทนสี (Mood and Tone) เป็นวัสดุในการสร้างปราสาททั้งหินทราย ศิลาแลง และอิฐ ซึ่งประกอบด้วยโทนสีหลักคือสีน้ำตาลเข้ม สีน้ำตาลแดง สีน้ำตาลทรายสีชมพู สีส้ม และสีน้ำเงินสื่อถึงน้ำในบาราย หรือแหล่งน้ำที่มีการสร้างเคียงข้างปราสาทเสมอ และนำลวดลายประดับบนปราสาทหินมีหลายลวดลายที่มีความงามและความหมายแฝงนัยยะแห่งความมงคลโดยเฉพาะลายบัวแปดกลีบ ซึ่งปรากฏที่พื้น ผนัง เพดาน มาประยุกต์ร่วมกับลายประจำยาม นำไปใช้เป็นลายมัดหมี่แปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้ามัดหมี่ลายใหม่นี้ ทำการคัดเลือกลายและแบบของผลิตภัณฑ์แปรรูปร่วมกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ 5 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มทอผ้าไหมบ้านตาลอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 2) กลุ่มผ้าฝ้ายปั้นเงิน อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 3) กลุ่มทอผ้าไหมบ้านสวายเจริญ อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ 4) กลุ่มทอผ้าไหมบ้านโพธิ์ไทร อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ และ 5) กลุ่มผ้าไหมทอมือบ้านหนองยาง อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ ผลการจัดทำต้นแบบได้คอลเลคชั่น บัวศิลารมย์ ซึ่งประกอบด้วยผ้าไหมมัดหมี่ เสื้อคลุมตัวยาว เสื้อผ้าคลุม เสื้อสตรีและกระเป๋าถือสตรีผ้าไหมมัดหมี่
2564-07-31T00:00:00Z
-
รายงานสรุปผล โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) (มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ) ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8595
รายงานสรุปผล โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) (มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ) ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
องค์การบริหารส่วนตำบลสายตะกู ได้รับการยกฐานะจากสภาตำบลมาเป็น องค์การบริหารส่วนตำบลตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่น รูปแบบหนึ่ง เพื่อเป็นการรองรับการกระจายอานาจในการดูแลทุกข์สุขของราษฎรส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งปัจจุบัน ตั้งอยู่เลขที่ 32 หมู่ที่ 4 ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ประกอบด้วย 16 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 2,426 ครัวเรือน และมีประชากรทั้งหมด 8,744 คน แบ่งเป็นชาย 4,391 คน และหญิง 4,353 คน อยู่ห่างจากอำเกอบ้านกรวดไปทางทิตตะวันออก ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 224 หรือเส้นทางสายบ้านกรวด – กาบเชิง ระยะห่างจากอำเภอบ้านกรวดประมาณ 15 กิโลเมตร มีเนื้อที่ ทั้งสิ้น 68.178 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 42,611.25 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปขององค์การบริหารส่วนตำบลสายตะกู แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่ดินคอน พื้นที่ดินราย พื้นที่เชิงเขา อาชีพหลัก ได้แก่ ทำนา,ทำไร่, ทำสวน, เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น อาชีพเสริม ได้แก่ งานด้านหัตถกรรมและอุตสาหกรรมครัวเรือน เช่น ทอเสื่อ ทอผ้าไหม ผ้าทอ จักสาน เป็นต้น การคมนาคมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 224 วิสาหกิจชุมชน ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนการทอผ้าไหม วิสาหกิจชุมชนการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม วิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวหอมมะลิ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงโค วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงสุกร วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทำปุ๋ยชีวภาพ
รายงานสรุปไตรมาสที่ 1 กิจกรรมยกระดับที่ดำเนินการกับศักยภาพของพื้นที่โครงการ ไตรมาสที่ 2 กิจกรรมการส่งเสริมมาตรฐานผลิตภัณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ และไตรมาสที่ 3 แผนพัฒนาศักยภาพต่อเนื่องของพื้นที่ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ) ของคณะผู้ปฏิบัติงานประจำตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งทางคณะปฏิบัติงานมีความสนใจที่จะส่งเสริมให้ชุมชนได้รับการพัฒนาทักษะในด้านการผลิตสินค้า สร้างอาชีพใหม่ให้กับชุมชน มีกลุ่มวิสาหกิจที่เข้มแข็งและสมาชิกเพิ่มขึ้น ยกระดับสินค้า OTOP และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยวัตถุประสงค์ของการทำโครงการนี้ มีดังนี้
1. เป็นการอบรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือโดยอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงนำนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีมาพัฒนาตกแต่งสำเร็จผ้าไหมทอมือ โดยใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีที่ใช้ในระบบอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งเป็นขั้นตอนการตกแต่งสำเร็จสิ่งทอ (Textile Finishing) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง หรือเพิ่มเติมคุณสมบัติบางอย่างให้กับผลิตภัณฑ์สิ่งทอเพื่อให้สิ่งทอนั้นมีคุณสมบัติในการใช้สอยที่ดีขึ้น และเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
2. เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักการผสมสีต่างๆในการทอผ้าไหม
3. เพื่อให้ประชาชนได้รู้วิธีการเลือกใช้สีในการทอผ้าไหม
4. เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการโดยมหาวิทยาลัยเป็น
System Integrator
5. เพื่อให้เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ และนักศึกษาให้มีงานทำและฟื้นฟู เศรษฐกิจชุมชน
6. เพื่อให้เกิดการพัฒนาตามปัญหาและความต้องการของชุมชน
7. เพื่อจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ของชุมชน (Community Big Data)
2564-12-14T00:00:00Z
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่สินค้าสร้างสรรค์เชิงนิเวศวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเขตชีวมณฑลภูเขาไฟทั้ง 6 ลูกในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8594
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่สินค้าสร้างสรรค์เชิงนิเวศวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเขตชีวมณฑลภูเขาไฟทั้ง 6 ลูกในจังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
บุรีรัมย์จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วพบมากถึง 6 ลูก สามารถเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวอารยธรรมขอม และความเป็นเมืองกีฬาระดับนานาชาติ ผลักดันให้ภูเขาไฟบุรีรัมย์เป็นหมุดหมายใหม่ทางการท่องเที่ยวร่วมกับ 6 ชุมชน ได้แก่ บ้านเขาคอก บ้านบุ บ้านโคกเมือง บ้านเจริญสุข บ้านถาวร และบ้านโคกใหญ่ ย่อมสร้างโอกาส สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยกระดับให้เกิดคุณค่าทางนิเวศวัฒนธรรมได้โดยพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ งานวิจัยนี้อาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมทั้งจากชุมชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องผ่านกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการ เวทีสนทนากลุ่ม อบรมเชิงปฏิบัติการ สำรวจความคิดเห็น ทดสอบเส้นทางและรายการท่องเที่ยว เวทีสรุปบทเรียน เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมเขตชีวมณฑลภูเขาไฟ 6 ลูกจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ผลการวิจัยระบุวิสัยทัศน์ของแผนว่า ภายในปี พ.ศ. 2569 ภูเขาไฟจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นแหล่งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมสร้างสรรค์โดยชุมชนท้องถิ่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวอารยธรรมขอมและการท่องเที่ยวเชิงกีฬามาตรฐานโลก และเตรียมพร้อมยกระดับสู่อุทยานธรณีประเทศไทยภูเขาไฟบุรีรัมย์ โดยมีพันธกิจ 4 ประการ นำไปสู่การกำหนด 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับสุนทรียภาพให้กับสิ่งอำนวยความสะดวกและการสื่อความหมายของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างการตระหนักรู้และรับรู้ตราสินค้าแหล่งท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเสริมพลังบุคลากรให้บริหารจัดการและการบริการทางการท่องเที่ยวเชิงบูรณาการเสริมสร้างให้เกิดคุณค่าและมูลค่าเพิ่มสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่เน้นการจัดการที่มีประสิทธิภาพของชุมชน การให้ผลประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ชุมชน มรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมและการลดผลกระทบทางลบ และยุทธศาสตร์ที่ 4 การเพิ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวและผลักดันสู่การอนุรักษ์ ฟื้นฟู รักษาทรัพยากรทางนิเวศวัฒนธรรม งานวิจัยให้ข้อเสนอแนะในการบูรณาการด้านบริหารจัดการพื้นที่ภูเขาไฟของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
2564-12-30T00:00:00Z
-
รายงานสรุปผล โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานราก หลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T For BCG) ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8593
รายงานสรุปผล โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานราก หลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T For BCG) ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์ และคณะ
โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG เป็นโครงการที่เล็งเห็นปัญหาของชุมชนที่มีสินค้าของดีประจำตำบล หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่แตกต่างของแต่ละชุมชนซึ่ง เป็นเอกลกัษณ์เฉพาะของชุมชนนั้น ๆ แต่ขาดนวัตกรรมใหม่ที่จะเข้าไปพัฒนาให้สิ่งที่มีอยู่แล้วสามารถก้าวกระโดดไปสู่ตลาดข้างนอกชุมชนได้ และยังได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับและยั่งยืนเพื่อใช้ในการพัฒนาในอนาคตได้ ทางโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG จึงได้ร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยทั่ว ประเทศเพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยได้จ้างงานบัณฑิตจบใหม่และประชาชนในเขตพื้นที่ชุมชนของตำบลนั้น ๆ ให้ร่วมกันทำงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับออกจำหน่ายสู่ตลาดชาวบ้านในชุมชนมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นสามารถนำรายได้ตรงนี้มาเลี้ยงดูครอบครัวได้และคนในชุมชนมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
2566-05-19T00:00:00Z
-
การฟื้นฟูผ้ามัดหมี่ไทยเขมรอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8591
การฟื้นฟูผ้ามัดหมี่ไทยเขมรอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์; พิพัฒน์, ประจญศานต์
บุรีรัมย์เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประชากรที่อาศัยในชุมชนบ้านหนองม่วง และบ้านโคกปราสาทพัฒนา อำเภอประโคนชัย ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเขมรที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่น รวมถึงการผลิตผ้าทอมือด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ แต่ในปัจจุบัน กลุ่มทอผ้านิยมผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายแบบไทยลาวเพื่อสนองความต้องการของตลาด และนโยบายส่งเสริมการใช้ผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด หากทิ้งไว้นานวันอาจทำให้เกิดการสูญหายของภูมิปัญญาการผลิตผ้าไหมมัดหมี่แบบไทยเขมร โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผู้สืบทอด ภูมิปัญญาการผลิตภายในชุมชน และเพื่อพัฒนาผ้ามัดหมี่แบบไทยเขมรดั้งเดิมสู่สินค้าทางวัฒนธรรมเชิงอนุรักษ์ โดยดำเนินการวิจัยถอดองค์ความรู้ ลวดลาย สีสันของผ้ามัดหมี่ดั้งเดิม บันทึกลายผ้า ปฏิบัติการฟื้นฟูการผลิต ติดตามการผลิตในพื้นที่ จัดเวทีสรุปบทเรียนโครงการ และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ผลการวิจัยระบุว่า ลวดลายมัดหมี่แบบไทยเขมรดั้งเดิมมีจำนวน 21 ลาย ชื่อลายมีไว้เป็นเสมือนรหัสใช้ในการสื่อสาร จดจำและถ่ายทอดการผลิตจากผู้ถ่ายทอดโดยไม่มีการบอกเล่าที่มาหรือความหมายของลายนั้นแก่ผู้รับการถ่ายทอด ส่วนการให้ลวดลายทำหน้าที่สื่อความหมายจะเริ่มคิดหาภายหลังตามหลักการสร้างเรื่องราวผลิตภัณฑ์เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค โครงสร้างของผ้ามัดหมี่แบ่งเป็นหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น วางลายมัดหมี่ใช้การซ้ำของลายเดียวกันหรือหลายลายจนเต็มผืนผ้าแทบจะไม่มีที่ว่างแสดงถึงความวิริยะอุตสาหะของช่างมัดหมี่สะท้อนถึงคุณสมบัติของผู้หญิงที่ควรแก่การออกเรือน ลายส่วนใหญ่เกิดจากการค้นหมี่แบบหมี่รวด (ตวงลด) ทำให้การก่อรูปของลายมีทิศทางแบบสะท้อนกลับในแต่ละซ้ำ โครงการนี้ทำการบันทึกลวดลายมัดหมี่ จำนวน 24 ลาย และฟื้นฟูการผลิตผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายแบบไทยเขมรดั้งเดิม จำนวน 11 ผืน และมีข้อเสนอแนะให้ชุมชนควรเร่งพัฒนามาตรฐานและคุณภาพของผ้า เพื่อยกระดับจากผลิตผลที่ใช้ในครัวเรือนไปสู่สินค้าทางวัฒนธรรม ทำให้เพิ่มความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของคนใน รวมถึงการสร้างการยอมรับและจดจำของคนนอก
2566-05-19T00:00:00Z
-
โครงการการเพิ่มมูลค่าผ้ามัดหมี่ทอมือของกลุ่มทอผ้าตำบลสายตะกู ชายแดนไทยกัมพูชาเพื่อพึ่งพาตนเอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8590
โครงการการเพิ่มมูลค่าผ้ามัดหมี่ทอมือของกลุ่มทอผ้าตำบลสายตะกู ชายแดนไทยกัมพูชาเพื่อพึ่งพาตนเอง
สมบัติ, ประจญศานต์
เป้าหมายหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) คือการเพิ่มศักยภาพชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ อันเป็นการสนองหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เรื่องการพึ่งพาตนเอง (Self-Reliance) ในพื้นที่ชนบทชายแดนไทยกัมพูชาคือตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่มันสำประหลัง สวนยางพารา และมีแรงงานนอกภาคเกษตรประกอบอาชีพเสริมด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตามภูมิปัญญาดั้งเดิม แต่การพัฒนาสินค้าชุมชนประเภทผ้าไหมมัดหมี่ทอมือมีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากลวดลาย สีสันและเนื้อผ้า โครงการนี้จึงได้นำองค์ความรู้จากโครงการวิจัยออกแบบผ้าไหมมัดหมี่ลายเครื่องแขวนไทยดอกไม้สด และโครงการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน กรณีศึกษา: ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อ 1) เพื่อสกัดองค์ความรู้เป็นคู่มือผลิตถ่ายทอดแก่แรงงานนอกภาคเกษตร 2) เพื่อพัฒนาทักษะการออกแบบ การผลิตผ้ามัดหมี่ทอมือและการตลาด และ 3) เพื่อวัดผลความสำเร็จของการดำเนินการร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 20 คน และกลุ่มขยายผล จำนวน 20 คน ดำเนินกิจกรรมสังเคราะห์ผลจากงานวิจัยโดยจัดทำเป็นคู่มือแล้วจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ นำองค์ความรู้จากการอบรมไปสู่การปฏิบัติผลิตเป็นผืนผ้าไหมมัดหมี่ทอมือ นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบไปขอรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จัดเวทีสรุปบทเรียนและจัดประชุมถ่ายทอดความรู้ขยายผลไปยังกลุ่มขยายผล และมีการติดตามการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์จริง ผลการดำเนินโครงการทำให้ได้ผลผลิตเป็น 1) คู่มือการถ่ายทอดองค์ความรู้ จำนวน 500 เล่ม 2) ต้นแบบผ้าคลุมไหล่ไหมมัดหมี่ จำนวน 32 ผืน หลังการดำเนินโครงการมีข้อเสนอแนะว่า การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้ผลิตควรจำแนกกลุ่มผู้ผลิตตามศักยภาพ ต้องเน้นการติดตามการรักษาคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนด้านการตลาด รวมถึงควรเร่งหาแนวทางในการพัฒนาการตลาดมูลค่าสูงเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่เข้าสู่การสืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาผ้ามัดหมี่ทอมือต่อไป
2566-05-19T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่โดยการเปลี่ยนค่าน้้าหนักของสีด้วยเส้นยืนสีกลาง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7905
ออกแบบผ้าไหมมัดหมี่โดยการเปลี่ยนค่าน้้าหนักของสีด้วยเส้นยืนสีกลาง
ประจญศานต์, สมบัติ
The objectives of this research were to design colours for Mudmee silk by using
colour test of warp threads which affected fabric colours, to trial to produce a model and to
follow up silk production from local producers (weavers) in Buriram Province. The research
methodology began with a survey of chemical colour shades which are normally used by 10
sample groups of producers in Buriram Province, using the survey result to design and create
silk colour table which wove neutral-colour warp threads with 20 different colours of weft
threads, 180 complementary colours in total and measuring colour values with the CR-10
Colour Reader. It was found that the colours of warp threads had an effect on colour
combination. It created a change of intensity and value of the weft threads. When weaving
with black warp threads, the intensity was at the least level and the brightness was reduced.
While it created more intensity and brighter colours when weaving with white warp threads.
This was considered from L* value. However, no matter what neutral-colour warp threads it
was woven with, the colour values on the colour wheel remained the same. Then designed
Mudmee silk patterns and produced 18 pieces of Mudmee silk, tested the black warp
threads with the light gray one, and brown warp threads were tested with the light brown
one. The colour values from a*, b* showed the change of colours, but the original colour
shades remained. This research results can be applied to change traditional production
methods which made a single bundle of weft threads to produce 2 pieces of Mudmee
fabrics with the same pattern and colour. However, according to the research, when the weft
threads were finished, they were divided into portions. The first portion was woven with one
neutral-colour warp threads, and the rest portion was woven with another neutral-colour
warp threads. This process made 2 different colour pieces of Mudmee fabrics which created
a variety of the products and reduced production cost.
2560-06-01T00:00:00Z
-
ออกแบบผ้ามัดหมี่โดยการผสานสีด้วยสายตา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7904
ออกแบบผ้ามัดหมี่โดยการผสานสีด้วยสายตา
ประจญศานต์, สมบัติ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบสีส าหรับผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมัดหมี่โดยมีทดสอบการ
ผสานสีทางสายตาเมื่อมีการทอขัดระหว่างไหมเส้นยืนกับไหมเส้นพุ่งสีต่างสีกัน โดยท าการทอผ้าไหมเป็น
ตาราง ใช้วิธีด าเนินการวิจัยตั้งแต่การออกแบบและทอผ้าตารางสีโดยใช้ไหมเส้นยืน 20 สี ทอขัดกันไหม
เส้นพุ่ง 19 สี ได้ตัวอย่างคู่สีทั้งหมด 380 สีท าการวัดค่าสีด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องวัดค่าสี
(colour Reader) รุ่น CR-10 และน าไปออกแบบลายมัดหมี่ที่มีการจัดโครงสี 6 แบบ รวม 36 ชิ้นงาน
ผลการวิจัยปรากฏว่า การผสานสีระหว่างไหมเส้นยืนกับไหมเส้นพุ่งสีต่างสีกันให้ผลต่างจากการผสมสี
ท าให้ค่าความจัดของสี (Intensity) น้ าหนักของสี (Value) และท าให้ความเป็นสี (Hue) เปลี่ยนไป
เด่นชัดกรณีใช้สีคู่ตรงข้ามกัน อีกทั้งท าให้เกิดประกายสีขณะที่ผ้าต้องแสงเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทางของ
แสงจะสร้างความเลื่อมพรายให้เกิดกับผืนผ้าสามารถพัฒนาสู่งานออกแบบ 4 มิติต่อไป สามารถการน า
ผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เปลี่ยนวิธีการผลิตแบบเดิมที่ช่างมัดหมี่จะท าการมัดหมี่เส้นพุ่งคราวเดียว จะแบ่ง
ไปทอได้ผ้า 2 ผืน ที่มีแบบลายและสีสันของผ้าเหมือนกันทุกประการ แต่การผลิตตามการวิจัยเมื่อ
มัดหมี่เส้นพุ่งแล้วเสร็จ แบ่งเส้นพุ่งส่วนหนึ่งไปทอขัดกับเส้นยืนสีหนึ่ง และน าเส้นพุ่งส่วนที่เหลือไปทอ
ขัดกับเส้นยืนอีกสีหนึ่ง ท าให้ได้ผลงานผ้าไหมมัดหมี่ 2 ผืนที่มีแบบสีคนละแบบสร้างความหลากหลาย
ให้กับสินค้าและลดต้นทุนในการผลิตสินค้า
2560-06-01T00:00:00Z
-
แนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรส าหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในล าน้ าห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7903
แนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรส าหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในล าน้ าห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย
ประจญศานต์, สมบัติ
โครงการวิจัยแนวทางจัดสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัยที่เป็นมิตรส าหรับผู้สูงอายุ พื้นที่ในล าน้ า
ห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลของผู้สูงอายุ เลือกสุ่มกรณีศึกษาจ านวน 136 คน
ตามพื้นที่ต้นน้ า กลางน้ า และปลายน้ าของล าน้ าห้วยจรเข้มาก ได้แก่ 1) บ้านบุขี้เหล็ก ต าบลแสลงพัน
อ าเภอล าปลายมาศ 2) บ้านม่วงใต้ ต าบลบ้านบัว อ าเภอเมือง 3) บ้านหนองหัวลิง ต าบลอิสาณ
อ าเภอเมือง และ 4) ชุมชนวัดอิสาณ เขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อ าเภอเมือง ใช้การสัมภาษณ์เจาะลึก
และส ารวจสภาพที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมในชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย 3 ประการ ได้แก่
1) ศึกษาสภาพแวดล้อมของสถานที่สาธารณะในชุมชน 2) ศึกษาที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุและ 3) เสนอ
แนวทางการจัดสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ผู้วิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มี
บ้านพักอาศัยที่สร้างมานานกว่า 30 ปี กรรมสิทธิ์เป็นของผู้สูงอายุและสร้างบนที่ดินของตนเอง ส่วน
ใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว วัสดุครึ่งปูนครึ่งไม้จ านวนชั้นเดียวสัดส่วนใกล้เคียงกับบ้านสองชั้น ช่วงกลางวัน
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่กับพื้นที่เฉลียงหน้าบ้านหรือใต้ถุนบ้าน นอนตอนกลางคืนที่ชั้นล่างของบ้าน
สภาพบ้านมีความสัมพันธ์กับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ยังคงมีบ้านของผู้สูงอายุจ านวน 2 คน
ไม่มีไฟฟ้าใช้ จ านวน 4 คน ไม่มีห้องน้ าห้องส้วมใช้ ส่วนใหญ่ไม่มีการปรับปรุงสภาพเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้
สอยได้สะดวก ปลอดภัย สอดคล้องกันทุกพื้นที่ โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่เรียกร้องให้มีการปรับปรุงบ้าน
เพื่อให้ตนเองอยู่อย่างสะดวก ปลอดภัย แต่อาศัยความเคยชิน การปรับตัว และการระมัดระวังตัวเอง
สภาพแวดล้อมในชุมชนยังไม่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ผู้สูงอายุเท่าที่ควร วัดในชุมชนเป็นสถานที่ที่
ผู้สูงอายุเดินทางไปท ากิจกรรมแล้วเห็นว่ามีสภาพเสี่ยงต่อการหกล้มเนื่องจากพื้นลื่นท าให้เข้าใช้สอยไม่
สะดวก ไม่ปลอดภัย อุปสรรคส าคัญในการปรับปรุง คือ งบประมาณ ดังนั้น การปรับปรุงที่อยู่อาศัย
ของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยต้องอาศัยองค์กรทางสังคม เช่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ส านักงาน
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ องค์กรการกุศล ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนด าเนินการเพื่อให้
เป็นที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ รวมทั้งอาศัยคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแล
ผู้สูงอายุเพื่อก่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีร่วมกัน
2556-10-30T00:00:00Z
-
สภาพการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่น ในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7902
สภาพการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่น ในจังหวัดบุรีรัมย์
ประจญศานต์, สมบัติ; ประจญศานต์, สมบัติ
การศึกษาสภาพการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่น ในจังหวัดบุรีรัมย์ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้แก่ เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ที่สำคัญในอำเภอ เมือง ห้วยราช สตึก นางรอง ประโคนชัย ประคำ จำนวน 13 อาคาร พบว่า อุโบสถส่วนใหญ่มีอายุของอาคารตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป โดยมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญ คือ เป็นอุโบสถพื้นบ้านชั้นเดียว ส่วนใหญ่เป็นอุโบสถทึบ มีผังพื้น 5 ลักษณะ ได้แก่ แบบทรงโรง แบบทรงโรงมีเสาร่วมใน แบบทรงโรงมีเสาร่วมในและระเบียง แบบทรงโรงมีเสาร่วมในและลานประทักษิณ รวมถึงแบบมีมุขหน้า มุขหลังและลานประทักษิณ โดยจะพบขนาด 5 ห้อง เป็นส่วนมาก นิยมยกพื้นอาคารสูงกว่าระดับดิน รูปทรงของหลังคามีความสัมพันธ์กับผังพื้นและขนาดของอาคารแต่ละหลังมีทั้งหลังคาทรงจั่วเปิด ทรงจั่วปิดมีปีกนก ทรงจั่วมีมุขประเจิด ทรงจั่วปิดมีปีกนก กันสาด และหลังคาคลุมระเบียง จากการศึกษาสามารถจำแนกสภาพของอุโบสถออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มหนึ่งมีสภาพทรุดโทรมมาก รอวันเสื่อมสภาพโดยผู้ดูแลรักษาหรือชุมชนเห็นว่าอุโบสถมีขนาดเล็กไม่พอเพียงต่อการใช้สอย จึงสร้างอุโบสถหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งส่วนใหญ่ลักษณะเป็นแบบอุโบสถภาคกลางที่ไม่ได้รักษาเอกลักษณ์ภูมิปัญญาอีสานดั้งเดิมของบรรพบุรุษ อีกกลุ่มสภาพอาคารชำรุดบางส่วน บางหลังยังไม่มีการซ่อมแซม แต่ก็ยังใช้ประกอบสังฆกรรม บางวัดเมื่อมีทุนทรัพย์ก็จะสร้างอุโบสถหลังใหม่เช่นเดียวกับกลุ่มแรก หากมีทุนทรัพย์เหลือจากการสร้างอุโบสถหลังใหม่ก็นำมาซ่อมแซมอุโบสถหลังเก่าด้วยช่างท้องถิ่น หรือผู้รับเหมาท้องถิ่นที่ขาดหลักวิชาการอนุรักษ์ บางหลังที่มีผู้นำในการอนุรักษ์เป็นผู้นำทางสังคมหรือการเมือง จะอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากกรมศิลปากรมาให้คำปรึกษาในการอนุรักษ์โดยทุกชุมชนล้วนประเมินคุณค่าอาคารว่ามีคุณค่าทางสังคม มีแรงจูงใจในการอนุรักษ์เพื่อพิทักษ์มรดกทางสังคม และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ชนรุ่นหลังได้รู้จักและเกิดความภาคภูมิใจ
ข้อเสนอแนะ ควรให้นายช่างหรือช่างที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นได้มีโอกาสถ่ายทอดและให้นักวิชาการสกัดภูมิปัญญาเชิงสถาปัตยกรรมวิศวกรรมจากอาคารพื้นถิ่นสู่ความรู้สากลที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นแบบเรียนหรือหลักสูตรการอบรม นำเสนอแก่คนทุกกลุ่มในสังคม และกระตุ้นชุมชนให้เข้ามาร่วมเป็นผู้กำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์ที่ชัดเจน ซึ่งคำนึงถึงวิถีชีวิตประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของอาคาร อันนำมาสู่การร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผนการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากอาคารร่วมกันต่อไปจนกลายเป็นการจัดตั้งองค์กรท้องถิ่น เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนา ขยายผลสู่การออกกฎข้อบังคับหรือมาตรการพิทักษ์รักษาที่ส่งผลต่อความสมดุลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมชุมชน
2549-12-15T00:00:00Z