บทความ (Articles)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/289
2024-03-28T10:45:05Z
-
การศึกษารูปแบบการออมเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณของประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4237
การศึกษารูปแบบการออมเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณของประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
เกษมะณี, การินทร์
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การออมเงินในปัจจุบันของประชากรในเขตอำเภอเมือง ตำบลในเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการออมเงินของประชาชนในเขตอำเภอเมืองตำบลในเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และ 3) เพื่อศึกษารูปแบบการออมเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณของประชากรในเขตอำเภอเมือง ตำบลในเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้แบบสอบถาม ที่มีอายุตั้งแต่ 20-59 ปี จำนวนทั้งสิ้น 389 คน ใช้วิธีการเลือกการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 และขนาดความคลาดเคลื่อนเป็นร้อยละ ±.5 สถิติที่ใช้ในการวิจัยพื้นฐาน ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้ T-test และ F-test และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี LSD โดยกำหนดการทดสอบนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสัมภาษณ์ จำนวน 30 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จากกลุ่มประชากร 6 กลุ่มๆ อาชีพๆ ละ 5 คน ได้แก่ 1) กลุ่มผู้มีอาชีพรับราชการ 2) กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน 3) กลุ่มพนักงานรัฐวิสากิจ 4) กลุ่มธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย 5) กลุ่มเกษตรกร และ 6) กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และนำเสนอโดยการพรรณนาเขิงวิเคราะห์
ผลการวิจัย พบว่า
1. สถานการณ์การออมเงินในปัจจุบันของกลุ่มประชากร พบว่า ประชากรโดยส่วนใหญ่มีการออมเงินตามช่วงโอกาสและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ จะจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งไว้ออม โดยเฉลี่ยแล้วประมาณร้อยละ 25 ของรายได้ เป็นเงินออมระยะสั้น ประชาชนโดยรวมมีความต้องการออมเงินในรูปแบบของการฝากออมทรัพย์ มากที่สุด รองลงมา คือ การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อประกัน การฝากประจำ กองทุนรวม และการซื้อสลากออมสิน ตามลำดับ
2. เปรียบเทียบรูปแบบการออมเงิน พบว่า 1) เพศที่ต่างกัน จะมีการออมเงินที่ต่างกันในรูปแบบของกองทุนรวม 2) ช่วงอายุที่แตกต่างกันจะมีรูปแบบการออมเงินที่ต่างกัน 3) ระดับการศึกษาที่ต่างกัน จะมีการออมเงินที่ต่างกันในรูปแบบของการฝากประจำและการฝากแบบออมทรัพย์ 4) อาชีพที่แตกต่างกัน จะมีการออมเงินที่ต่างกันในรูปแบบของการฝากประจำ และ 5) รายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน จะมีการออมเงินที่ต่างกันในรูปแบบของการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและการซื้อประกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
3. รูปแบบการออมเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณของประชากรในเขตอำเภอเมือง ตำบลในเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า ผู้ที่มีอาชีพรับราชการ งานรัฐวิสากิจ และกลุ่มธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย นิยมออมเงินในรูปแบบของการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ส่วนผู้ที่มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน เกษตรกร และนักเรียน/นักศึกษา นิยมออมเงินในรูปแบบของการฝากออมทรัพย์
คำสำคัญ : รูปแบบการออมเงิน, วัยเกษียณ, จังหวัดบุรีรัมย์
2018-07-19T00:00:00Z
-
การศึกษาต้นทุนที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหม ระดับ 5 ดาว ในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถสู่การ แข่งขันเชิงพาณิชย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4236
การศึกษาต้นทุนที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหม ระดับ 5 ดาว ในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถสู่การ แข่งขันเชิงพาณิชย์
เกษมะณี, การินทร์
บทคัดย่อ
การวิจัยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ต้นทุนที่แท้จริงใน ด้านการผลิต การตลาด และทางการเงินในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหม ระดับ 5 ดาว ในจังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) เพื่อหาแนวทางการควบคุมต้นทุนในกระบวนการการผลิต การตลาด และทางการเงิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าไหมระดับ 5 ดาว จำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มทอผ้าไหมพื้นเมืองบ้านสนวนนอก หมู่ที่ 2 อำเภอห้วยราช 2) กลุ่มทอผ้าไหมบ้านโคกกุง อำเภอนาโพธิ์ 3) กลุ่มทอผ้าบ้านนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ 4) กลุ่มทอผ้าไหมบ้านโคกเจริญ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และ 5) กลุ่มทอผ้าบ้านหนองเพชร อำเภอเมืองบุรีรัมย์ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 10 คน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มละ 2 คน โดยเป็นประธานกลุ่ม 1 คน และสมาชิกในกลุ่ม 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ การสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ นำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์
ผลการวิจัย พบว่า
1. สถานการณ์ต้นทุนที่แท้จริงใน ด้านการผลิต การตลาด และทางการเงิน พบว่า ด้านการผลิตมีต้นทุนที่สูง เฉลี่ยประมาณ 856.80 บาทต่อเมตร ส่วนด้านการตลาด จะเป็นในลักษณะของการทำบรรจุภัณฑ์ และการทำเอกสารเรื่องราวที่มาของผ้าไหม โดยต้นทุนต่อชิ้นเฉลี่ยแล้วประมาณ 15.20 บาท และต้นทุนทางการเงิน โดยเป็นการกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินกู้ยืมสำหรับการทำธุรกิจทอผ้าไหมของกลุ่มสมาชิก มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดทั่วไป
2. แนวทางการควบคุมต้นทุนในกระบวนการการผลิต การตลาด และทางการเงิน พบว่า 1)ด้านการผลิต ควรหาแหล่งผู้ผลิตเส้นไหมที่หลากหลาย เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต และการบริหารจัดการสินค้าให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาด การสั่งซื้อวัตถุดิบควรสั่งซื้อ ณ จุดปริมาณที่ประหยัด (EOQ) และรวมกลุ่มกันซื้อ 2) ด้านการตลาด ควรมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ควรหาแหล่งผลิตบรรจุภัณฑ์ และแหล่งพิมพ์เอกสารแผ่นพับที่หลากหลาย เพื่อเปรียบเทียบราคา อีกทั้งการขยายฐานลูกค้า โดยวิธีการขายสินค้าแบบออนไลน์ (E-commerce) และ 3) ด้านการเงิน ควรก่อตั้งกองทุนเพื่อการกู้ยืมเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าท้องตลาดให้แก่สมาชิกในกลุ่มได้กู้ยืม อีกทั้งควรมีการจัดสรรเงินรายได้จากการให้กู้ยืมคืนสู่สมาชิกในรูปแบบของเงินปันผล เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจของชุมชนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและ เข้มแข็งต่อไป
คำสำคัญ : ต้นทุนทางการเงินที่แท้จริง, วิสาหกิจชุมชนผ้าไหม, แข่งขันเชิงพาณิชย์
2018-07-19T00:00:00Z
-
การส่งเสริมอาชีพกลุ่มสตรีหมู่บ้านโคกเพชร ตำบลพรสำราญ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4232
การส่งเสริมอาชีพกลุ่มสตรีหมู่บ้านโคกเพชร ตำบลพรสำราญ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อาจารย์ณัฐวุฒิ, ชูขวัญ
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาการส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกสตรีในบ้านโคกเพชร ตำบลพร
สำราญ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการผลิตสินค้าชุมชนในเขตพื้นที่บ้านโคกเพชร ที่จะได้รับการยอมรับจากลูกค้า 3) เพื่อแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้าในชุมชนให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของลูกค้า อย่างไรก็ตามแนวคิด SWOT แนวคิดสมรรถนะและทฤษฏีมาสโลว์ สามารถอธิบายกรอบแนวคิดและผลการศึกษาในครั้งนี้
การศึกษาครั้งนี้ได้เก็บกลุ่มตัวอย่างจาก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ ตัวแทนกลุ่มสตรีที่ทำอาชีพเสริม จำนวน 3 กลุ่ม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพเสริมของกลุ่มสตรี และกลุ่มนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวตลาดเซราะกราว จำนวน 369 คน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตรี เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่การใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงคุณภาพ โดยการถอดคำสัมภาษณ์ และ focus group และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาคำตอบด้านศักยภาพ ปัญหาและอุปสรรคของสถานประกอบการเกี่ยวกับแรงงานระดับไร้ฝีมือ การศึกษานี้ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงปริมาณ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษาพบว่า 1) การส่งเสริมอาชีพสตรีนั้นมีปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ปัจจัยภายใน ประกอบด้วย ปัจจัยด้านผู้นำที่ดี ปัจจัยด้านการมีทรัพยากรในการผลิต ปัจจัยด้านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม ส่วนปัจจัยภายนอกได้แก่ ปัจจัยด้านการมีตลาดรองรับสินค้า ปัจจัยด้านการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นๆ 2) แนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตรี พบว่าปัจจุบันกลุ่มยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยังขาดความเป็นเอกลักษณ์ และความคิดสร้างสรรค์ของผลิตภัณฑ์ งานวิจัยในอนาคตควรศึกษาปัจจัยที่จะทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการยอมรับของตลาด
คำสำคัญ อาชีพเสริม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มสตรี
2018-07-20T00:00:00Z