บทความ (Articles)http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/40372024-03-29T05:14:31Z2024-03-29T05:14:31Zกลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์แกล้วกล้า, กนกเกล้าอุตรินทร์, รวีพรรณการินทร์, กานต์มณีเจตธำรง, นรินทร์รัตนา, ชนัดดาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87552024-03-07T09:26:06Z2566-01-01T00:00:00Zกลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Zกลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์แกล้วกล้า, กนกเกล้าอุตรินทร์, รวีพรรณการินทร์, กานต์มณีเจตธำรง, นรินทร์รัตนา, ชนัดดาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87222023-09-27T09:31:31Z2566-01-01T00:00:00Zกลยุทธ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ ตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
แกล้วกล้า, กนกเกล้า; อุตรินทร์, รวีพรรณ; การินทร์, กานต์มณี; เจตธำรง, นรินทร์; รัตนา, ชนัดดา
การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวในชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดแบบมีส่วนร่วมของคน
ในชุมชน
ผลการวิจัยพบว่า การวัดศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชน มีศักยภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยศักยภาพมากที่สุด คือ ด้านจริยธรรม รองลงมา คือ ด้านทักษะ ด้านทัศนคติ ด้านความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ด้านบุคลิกภาพ และด้านความรู้เกี่ยวกับภาษา ตามลำดับ และเมื่อทำการศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสถานที่ท่องเที่ยวตำบลสะแกโพรง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวและด้านโฆษณา ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมา คือ ด้านความปลอดภัย ด้านการคมนาคม และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ได้ลงพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวแล้วนั้น พบว่าได้กรอบแนวคิดสวายสอโมเดล 7 ด้าน เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับมาตรฐาน Organic Thailand เพื่อยกระดับสู่ความสามารถในการแข่งขันเชิงพาณิชย์ต่อไป
2566-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน ้าเขตพื้นที่ภัยแล้ง ในจังหวัดบุรีรัทะนันไธสง, ณัฐวุฒิวงษ์รัมย์, ณัฐพลรัตนา, ชนัดดาวัชรพงษ์เกษม, วรินทร์พิพัชรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86952023-09-17T06:32:19Z2565-07-20T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน ้าเขตพื้นที่ภัยแล้ง ในจังหวัดบุรีรั
ทะนันไธสง, ณัฐวุฒิ; วงษ์รัมย์, ณัฐพล; รัตนา, ชนัดดา; วัชรพงษ์เกษม, วรินทร์พิพัชร
จังหวัดบุรีรัมย์ประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานท าให้เกิดการขาดแคลนน้ า ในสภาวะอากาศที่
เปลี่ยนแปลง จ านวนประชากรเพิ่มมากขึ้นท าให้การบริหารจัดการน้ าในหลายพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
บททความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส ารวจแหล่งน้ าต้นทุน ความต้องการใช้น้ าอุปโภค บริโภคและการเกษตร จัดท า
ฐานข้อมูลในการบริหารจัดการน้ าและพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อเผยแพร่ข้อมูลการใช้น้ า พื้นที่ต าบลมะเฟือง
อ าเภอพุทไธสง ต าบลบ้านด่าน อ าเภอบ้านด่าน ต าบลโคกเหล็ก อ าเภอห้วยราชและต าบลเมืองฝาง อ าเภอเมือง
บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างจ านวน 61 คน ประกอบด้วย กรรมการกลุ่มบริหารจัดการบริหารจัดการน้ า
ระดับต าบล ส านักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ส านักงานทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมจังหวัดบุรีรัมย์ส านักงานสภาเกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ และสถานีพัฒนาที่ดินบุรีรัมย์การพัฒนาระบบ
โดยแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ วิธีด าเนินการวิจัยแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาความต้องการ 2) จัดท า
ฐานข้อมูลการใช้น้ าระดับต าบล 3) การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน 4) การทดลองประเมินประสิทธิภาพและความพึง
พอใจผู้ใช้ระบบ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบฐานข้อมูลประกอบไปด้วย 16 ตาราง ได้แก่ ค าแนะน า
หมู่บ้าน ต าบล อ าเภอ จังหวัด ข้อมูลติดต่อ ประเภทปศุสัตว์ จ านวนปศุสัตว์ ครัวเรือน ปริมาณพืช ประเภทพืช
ระบบสมาชิก แหล่งน้ า ประเภทแหล่งน้ า เจ้าของแหล่งน้ าและผู้ใช้แหล่งน้ า ระบบภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อ
การบริหารจัดการน้ าเขตพื้นที่ภัยแล้งประกอบด้วย 10 ส่วน ได้แก่ หน้าหลัก หมวดหมู่สัตว์ หมวดหมู่พื้นที่
การเกษตร การจัดการแหล่งน้ า การจัดการข้อมูลสมาชิก การจัดการหมู่บ้าน การบันทึกข้อมูล รายงาน
ค าแนะน า และการติดต่อเจ้าหน้าที่ และการน าเข้าข้อมูลความต้องการใช้น้ า ทั้งหมด 37 ชุมชน 2,714 ครัวเรือน
ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̅=4.70) ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้
ระบบในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̅= 4.76)
2565-07-20T00:00:00Zการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์เบญจพร ศรีสมบูรณ์ชนัดดา รัตนาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86852023-09-15T09:44:32Z2564-07-18T00:00:00Zการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์
เบญจพร ศรีสมบูรณ์; ชนัดดา รัตนา
มาลาเรียเป็นโรคที่ร้ายแรงที่พบบ่อยในพื้นที่เขตร้อน และเป็นปัญหาหลักของสาธารณสุขในประเทศไทย ปัญหาการแพร่เชื้อของโรคมาลาเรียจะมีสูงมากในพื้นที่บริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย วัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่ออุบัติการณ์โรคมาลาเรียในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสุรินทร์ ในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบัวเชด อำเภอสังขะ อำเภอกาบเชิง และอำเภอพนมดงรัก ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการซ้อนทับข้อมูล (Overlay) กำหนดค่าถ่วงน้ำหนัก (Weighting) และค่าคะแนนของแต่ละปัจจัย (Rating) ซึ่งกำหนด 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2) ความหนาแน่นของผู้ป่วยมาลาเรีย 3) ปริมาณน้ำฝน 4) ระยะการบินของยุงก้นปล่อง 5) อุณหภูมิ และ 6) ความชื้นสัมพัทธ์ ผลการศึกษาพบว่า สามารถจำแนกพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมาลาเรียได้ทั้งหมด 3 ระดับ คือ 1) พื้นที่เสี่ยงมากที่สุดมีเนื้อที่ 1,205.59 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 50.94 ของพื้นที่ทั้งหมด 2) พื้นที่เสี่ยงปานกลาง มีเนื้อที่ 965.85 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 40.80 ของพื้นที่ทั้งหมด และ 3) พื้นที่เสี่ยงน้อยมีเนื้อที่ 195.46 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 8.26 ของพื้นที่ทั้งหมด เมื่อจำแนกเป็นรายอำเภอ พบว่าอำเภอสังขะมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 458.88 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 19.38 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมาคือ อำเภอบัวเชดมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 356.89 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 15.08 ของพื้นที่ทั้งหมด อำเภอกาบเชิงมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 277.21 คิดเป็นร้อยละ 11.71 ของพื้นที่ทั้งหมด และอำเภอพนมดงรักมีพื้นที่เสี่ยงมากที่สุด 112.61 คิดเป็นร้อยละ 4.76 ของพื้นที่ทั้งหมด ตามลำดับ จำนวนผู้ป่วยปี พ.ศ.2557-2561 มีทั้งสิ้น 919 คน เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงมาก 727 คน คิดเป็นร้อยละ 79.10 อยู่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลาง 187 คน คิดเป็นร้อยละ 20.34 และอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้อย 5 คน คิดเป็นร้อยละ 0.54 ซึ่งพื้นที่เสี่ยงที่ได้จะเป็นข้อมูลในการสนับสนุนการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคมาลาเรียได้
2564-07-18T00:00:00Zการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์Tananthaisong, NattawutWongram, Nattaponhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86792023-09-15T03:57:25Z2023-06-30T00:00:00Zการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
Tananthaisong, Nattawut; Wongram, Nattapon
The purposes of this study Development of a Web Based GIS Application for Volcanic Rice
Group in Khok Muang Village, Chorakhemak Subdistrict, Prakhon Chai District, Buriram Province, were to conduct surveys and develop and display online geographic information system database for the volcano rice group in Khok Muang Village, Chorakhemak Subdistrict, PrakhonChai District, Buriram Province, utilizing the concept of System Development Life Cycle (SDLC).Research participants drawn by the purposive sampling technique were 15 members of the executive committee of the volcano rice group. Research findings revealed that there were nine databases developed, including data entry for officers, rice farming members, plantation, locations of farming plots, farming areas, type of products, distribution, and areas suitable for economic crops. Online geographic information system for the volcano rice group consists of six sections, namely main page, recorder data management, member data management, data management, areas suitable for economic crops, and data reporting. The data were obtained from a total of 176 members owning 228 plots with the total area used for growing volcano rice of 2621 rai, 3 ngan and 54 square wah. The overall system’s efficiency evaluation result was at a very good level (x̅=4.75). The results from the users’ satisfaction with the online geographic information system for the volcano rice group showed that the users’ satisfaction with the system was at the high level (x̅ = 4.23).
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อส ารวจและจัดทำฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และแสดงผลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ออนไลน์ กลุ่มข้าวภูเขาไฟบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้แนวคิดวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศแบบ SDLC กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็น
บุคลากรกรรมการบริหารกลุ่มข้าวภูเขาไฟ จำนวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
ประกอบไปด้วย 9 ตาราง ได้แก่ ตารางข้อมูลสำหรับเจ้าหน้าที่ข้อมูลสมาชิกปลูกข้าว ข้อมูลการเพาะปลูก
ข้อมูลตำแหน่งแปลงเพาะปลูก ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูก ข้อมูลประเภทผลผลิต ข้อมูลการจ าหน่ายและข้อมูลเขตความเหมาะสมพืชเศรษฐกิจ ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟออนไลน์ ประกอบไปด้วย 6 ส่วน ได้แก่ หน้าหลัก จัดการข้อมูลผู้บันทึก จัดการข้อมูลสมาชิก จัดการข้อมูล เขตความเหมาะสมพืชเศรษฐกิจและรายงานข้อมูลในการดำเนินการวิเคราะห์สามารถนำเข้าข้อมูลสมาชิกทั้งหมด 175 คน จำนวน 228 แปลง รวมพื้นที่การเพาะปลูกข้าวภูเขาไฟทั้งหมด 2,621 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา ผลการประเมิน
ประสิทธิภาพระบบภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̅=4.75) ผลการศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับกลุ่มข้าวภูเขาไฟในภาพรวม ผู้ใช้งานระบบมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
(x̅ = 4.23)
2023-06-30T00:00:00Zการวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง จังหวัดบุรีรัมย์วงษ์รัมย์, ณัฐพลพชสิทธิ์, สรรธารhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85312023-03-16T15:22:25Z2022-10-15T00:00:00Zการวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง จังหวัดบุรีรัมย์
วงษ์รัมย์, ณัฐพล; พชสิทธิ์, สรรธาร
การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ในพื้นที่ประสบภัยแล้งจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เทคนิค Potential Surface Analysis (PSA) เพื่อหาพื้นที่เหมาะสำหรับสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ ในพื้นที่ 4 ตำบล คือ ต.มะเฟือง อ.พุทไธสง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน ต.โคกเหล็ก อ.ห้วยราช และ ต.เมืองฝาง อ.เมืองบุรีรัมย์ โดยพิจารณาปัจจัยทางกายภาพ และ โดยกำหนดค่าน้ำหนัก (W) คือ 1) น้ำท่า 5 คะแนน 2) การระบายน้ำของดิน 4 คะแนน 3) ความลาดชัน 3 คะแนน 4) การใช้ประโยชน์ที่ดิน 2 คะแนน และ 5)ชนิดของหิน 1 คะแนน คูณค่าคะแนนปัจจัย (R) แล้วนำค่าคะแนนรวมศักยภาพของพื้นที่ (S) มาวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อจัดระดับศักยภาพพื้นที่ 3 ระดับคือ สูง ปานกลาง และต่ำ พบว่า ตำบลที่มีพื้นที่มีศักยภาพสูงสุด ตำบลมะเฟือง รองลงมาคือ ตำบลเมืองฝาง ตำบลบ้านด่าน และตำบลโคกเหล็กตามลำดับ เมื่อเทียบอัตราส่วนกับพื้นที่ตำบลพบว่า ต.เมืองฝาง มีสัดส่วนพื้นที่ศักยภาพสูงต่อมากที่สุด รองลงมาคือ ตำบลมะเฟือง ตำบลบ้านด่าน และโคกเหล็ก
2022-10-15T00:00:00Zการประมาณค่าอุณหภูมิพื้นผิวที่ดินภายในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์Pantip Piyatadsananon, Ekkaluk Salakkhamhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83312022-09-10T08:44:53Z2022-01-01T00:00:00Zการประมาณค่าอุณหภูมิพื้นผิวที่ดินภายในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
Pantip Piyatadsananon, Ekkaluk Salakkham
2022-01-01T00:00:00Zการสร้างแบบจำลองเพื่อประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางพาราด้วยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-2Aพัชรี เกษรบัว, อนุชสรา หงษ์แก้ว, เอกลักษณ์ สลักคำhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83302022-09-10T08:38:58Z2565-03-01T00:00:00Zการสร้างแบบจำลองเพื่อประมาณค่าการกักเก็บคาร์บอนในสวนยางพาราด้วยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Sentinel-2A
พัชรี เกษรบัว, อนุชสรา หงษ์แก้ว, เอกลักษณ์ สลักคำ
2565-03-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน้้าเขตพื้นที่ภัยแล้งในจังหวัดบุรีรัมย์Nattawut TananthaisongNattapon WongramChanadda RattanaWarinpipat Watcharapongkasemhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83132022-09-08T06:24:06Z2022-08-05T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศออนไลน์เพื่อการบริหารจัดการน้้าเขตพื้นที่ภัยแล้งในจังหวัดบุรีรัมย์
Nattawut Tananthaisong; Nattapon Wongram; Chanadda Rattana; Warinpipat Watcharapongkasem
Buriram province has faced drought because of long dry spells leading to water shortages. In
changing weather conditions, the increasing population makes water management in many areas
insufficient to meet the demand. This article aims to survey the water supply resources and the
water demands for consumption and agriculture, to develop a water management database
and a web application to publicize water usage data in Ma Feung sub-district area, Phutthaisong
district, Ban Dan sub-district, Ban Dan district, Khok Lek sub-district, Huai Rat district and Mueang
Fang sub-district Mueang Buriram district, Buriram province. The sample group consisted of 61
participants, comprising members of the water management committee at the sub-district level,
representatives of Buriram Provincial Office for Disaster Prevention and Mitigation, Buriram
Provincial Office for Natural Resources and Environment, Farmers Council Office of Buriram
Province, and Buriram Land Development Station. The concept of System Development Life
Cycle (SDLC) was adopted in the system development. Research methods are divided into 4
phases, namely 1) the study of the needs, 2) water usage database development at the sub district level, 3) the web application development, and 4) An experiment to assess the system’s
efficiency and satisfaction of the system users. The results of the research showed that database
system development consists of 16 tables: advice, villages, sub-districts, districts, provinces,
contact information, cattle type, cattle by household, households, plants by household, plants
type, membership system, water resources, a record of water resources, villages responsible for
water resources, and villages utilizing water resources.The online geographic information system
for water management in drought-affected areas consists of 10 sections, including the main
page, classification of animals, agricultural areas, water management, member data
management, village management, data entry, issuance of reports, suggestions, and information
on how to contact officers. Information on water demand was collected from 2,714 households
in 37 communities. The overall system’s efficiency evaluation result was at a very good level
(x̅=4.70). The results from the users’ satisfaction with the online geoinformatics database system
for water management in drought-affected areas showed that in the overall aspect, the users’
satisfaction with the system was at the highest level (x̅=4.76).
2022-08-05T00:00:00Zการเปลี่ยนแปลงของป่าบุ่งป่าทามบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่างรัศมี สุวรรณวีระกำธร, อธิรัช ราชเจริญ, เอกลักษณ์ สลักคำhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81272022-03-16T09:25:30Z2550-01-01T00:00:00Zการเปลี่ยนแปลงของป่าบุ่งป่าทามบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง
รัศมี สุวรรณวีระกำธร, อธิรัช ราชเจริญ, เอกลักษณ์ สลักคำ
2550-01-01T00:00:00Zประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุมเอกลักษณ์ สลักคำhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81142022-03-16T07:43:06Z2558-01-01T00:00:00Zประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุม
เอกลักษณ์ สลักคำ
แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนเพื่อบริหารและจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ ในอดีตการจัดทำแผนที่การใช้ประโยชน์อาศัยการแปลตีความข้อมูลภาพถ่ายด้วยสายตา แต่ปัจจุบันมีการนำวิธีการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมไปใช้อย่างแพร่หลาย วิธีการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีด้วยกันหลายวิธี การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยวิธีการจำแนกข้อมูลแบบควบคุมและไม่ควบคุมและทดสอบสอบประสิทธิภาพของวิธีการจำแนกประเภทข้อมูลแต่ละวิธี โดยทำการเปรียบเทียบผลการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยวิธีวิธีการจำแนกแบบจัดกลุ่มโดยเรียงลำดับ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันแบบทำซ้ำ การประยุกต์ทฤษฎีฟัซซีเซต วิธีการจำแนกแบบระยะทางสั้นที่สุด วิธีการจำแนกแบบสี่เหลี่ยมคู่ขนาน วิธีการจำแนกแบบความน่าจะเป็นสูงสุดและวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียม เทียบกับผลจากการจำแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตา ผลการวิจัย พบว่า ผลจากการจำแนกประเภทข้อมูลด้วยวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียมมีความใกล้เคียงกับผลผลจากการจำแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตามากที่สุด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แคปปาเท่ากับ 0.27
2558-01-01T00:00:00Zการจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ณัฐวุฒิ ทะนันไธสงอาลัย จันทร์พาณิชย์ชลาวัล วรรณทองชนัดา รัตนาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/72492020-12-22T07:18:15Z2563-06-01T00:00:00Zการจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง; อาลัย จันทร์พาณิชย์; ชลาวัล วรรณทอง; ชนัดา รัตนา
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์และแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้วิธีการศึกษาแบบมีส่วนร่วม การสังเกต สัมภาษณ์และการจัดเวทีชุมชน พบว่า ภูมิปัญญาที่พบในชุมชนบ้านคลองโป่งและบ้านคลองหิน สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านความเชื่อพิธีกรรมและด้านวิถีชีวิตวิทยาการ ซึ่งด้าน ความเชื่อและพิธีกรรมพบภูมิปัญญาทั้งหมด 4 ภูมิปัญญา ได้แก่ พิธีกรรมการบวชป่า การปลูกต้นไม้ในช่วงปริวาสกรรม ความเชื่อด้านเจ้าป่าและความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ส่วนด้านวิถีชีวิตและวิทยาการพบภูมิปัญญาในการอนุรักษ์ทั้งหมด 7 ภูมิปัญญา ได้แก่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปลูกพืชและพื้นที่อนุรักษ์ ปลูกพืชไว้เป็นอาหารสัตว์ เพาะชำต้นกล้าไม้คืนสู่ป่า ตั้งชมรมอาสาพิทักษ์ป่า กิจกรรมร่วมกันดับไฟป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติไว้เป็นแหล่งน้ำดื่มของสัตว์ป่าและการประยุกต์ทำเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อขับไล่สัตว์ป่า มีแนวทางการจัดการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ การจุดประกายพลังชุมชน การสร้างเครือข่าย การพัฒนาแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติชุมชน การสร้างการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเยาวชน การบูรณาการร่วมกับหลักศาสนาและการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาในการอนุรักษ์
2563-06-01T00:00:00Zการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ไวรัสโควิดไนน์ทีน ในประเทศไทยณัฐวุฒิ ทะนันไธสงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70802020-09-16T02:09:05Z2563-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ไวรัสโควิดไนน์ทีน ในประเทศไทย
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
โลกได้รับรู้เรื่องโรคระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ปริศนา หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนยืนยันเมื่อ 31 ธันวาคม 2019 เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น โดยหลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้นำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ในเวลาต่อมาสาธารณรัฐประชาชนจีนและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้คือ เชื้อไวรัสโคโรนา ก่อนหน้านี้ พบไวรัสโคโรนามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยเกิดการระบาดในมนุษย์ สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดเป็นสายพันธุ์ที่ 7 ไวรัสในตระกูลนี้มาแล้ว จากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงหรือโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) โดยพบการระบาดครั้งแรกปลายปี 2002 เริ่มจากพื้นที่มณฑลกวางตุ้งของจีน ก่อนที่จะแพร่กระจายไปในหลายประเทศ จนมีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน และคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ 800 คนทั่วโลก องค์การอนามัยโลก เรียกโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า โควิดไนน์ทีน (Covid-19) ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น การระบาดใหญ่ หรือ pandemic หลังจากเชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก (บีบีซี, 2563) ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปัจจุบันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดไปแล้วใน 203 ประเทศและดินแดนทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 826,250 คน ทั้งได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 40,712 คน (Johns Hopkins University, 2020)
สถานการณ์โควิดไนน์ทีนในประเทศไทย จากรายงานสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด ไนน์ทีน ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน วันที่ 1 มีนาคม 2563 มีการพบผู้ป่วยที่มีอาการตามนิยามเฝ้าระวังโรครายใหม่ 134 ราย และในวันที่ 24 มีนาคม 2563 สำนักงานนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดไนน์ทีนแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและไทยได้รับผลกระทบ รัฐบาลไทยจึงได้ใช้มาตรการป้องกัน สกัดกั้น ชะลอการแพร่ระบาดของโรค (ราชกิจจานุเบกษา, 2563) ในสถานการณ์ล่าสุด 31 มีนาคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโควิดไนน์ทีน จำนวน 1,651 ราย รักษาหายและแพทย์ให้กลับบ้าน 416 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิต 10 ราย ผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีสัญชาติไทย 1,407 ราย สัญชาติอื่น ๆ 244 ราย จำนวนผู้ป่วยจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพฯ-นนทบุรี 869 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 77 ราย ภาคเหนือ 55 ราย ภาคกลาง 172 ราย ภาคใต้ 206 ราย (กรมควบคุมโรค, 2563)
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ใช้ในการศึกษาการระบาดในเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดไนน์ทีน มาวิเคราะห์เชิงพื้นที่พิจารณาถึงปัจจัยตั้งและเวลาพร้อมกัน แสดงสถานการณ์การเกิดโรคระบาดเชิงพื้นที่ ระบุพื้นที่ที่มีการกลุ่มผู้ป่วยหรือโรคระบาด ประเมินพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ทำให้สามารถทราบถึงการกระจายเชิงพื้นที่ของอุบัติการณ์สะสมไวรัสโควิดไนน์ทีน มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจในการบริหาร วางแผนด้านทรัพยากรและมาตรการในการดำเนินป้องกันควบคุมโรคระบาดและนโยบายทางสังคมของปะเทศไทย
2563-01-01T00:00:00Zการจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์รัตนา, ชนัดดาทะนันไธสง, ณัฐวุฒิจันทร์พาณิชย์, อาลัยวรรณทอง, ชลาวัลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70742020-09-15T09:14:44Z2563-05-29T00:00:00Zการจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์
รัตนา, ชนัดดา; ทะนันไธสง, ณัฐวุฒิ; จันทร์พาณิชย์, อาลัย; วรรณทอง, ชลาวัล
การจัดการองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ด้านอนุรักษ์และแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้วิธีการศึกษาแบบมีส่วนร่วม การสังเกต สัมภาษณ์และการจัดเวทีชุมชน พบว่า ภูมิปัญญาของชุมชนบ้านคลองโป่งและบ้านคลองหิน แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านความเชื่อพิธีกรรมและด้านวิถีชีวิตวิทยาการ ซึ่งภูมิปัญญาด้านความเชื่อและพิธีกรรมมีทั้งหมด 4 ภูมิปัญญา ได้แก่ พิธีกรรมการบวชป่า การปลูกต้นไม้ในช่วงปริวาสกรรม ความเชื่อด้านเจ้าป่าและความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ส่วนภูมิปัญญาด้านวิถีชีวิตและวิทยาการในการอนุรักษ์มีทั้งหมด 7 ภูมิปัญญา ได้แก่ การแบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่ปลูกพืชและพื้นที่อนุรักษ์ ปลูกพืชไว้เป็นอาหารสัตว์ เพาะชำต้นกล้าไม้คืนสู่ป่า ตั้งชมรมอาสาพิทักษ์ป่า กิจกรรมร่วมกันดับไฟป่า อนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติไว้เป็นแหล่งน้ำดื่มของสัตว์ป่าและการประยุกต์ทำเครื่องส่งสัญญาณเสียงเพื่อขับไล่สัตว์ป่า มีแนวทางการจัดการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด 6 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ การจุดประกายพลังชุมชน การสร้างเครือข่าย การพัฒนาแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติชุมชน การสร้างการเรียนรู้และมีส่วนร่วมของเยาวชน การบูรณาการร่วมกับหลักศาสนาและการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ; The objective of the study entitled “Body of Knowledge on Natural Resources and Environment Conservation in Dong Yai Wildlife Sanctuary, Buriram Province” is to explore body of knowledge on natural resources and environment conservation including conservation approaches. Participatory action research method, observations, interviews, and community forum were used in the study. It was found that the body of knowledge of the Klong Pong village and Klong Hin village communities can be divided into 2 types: 1) beliefs and rituals and 2) lifestyles and disciplinary. The body of knowledge in terms of beliefs and rituals included 4 aspects: forest ordination, planting during parish period, forest lord belief, and ancestor spirits belief. The body of knowledge in terms of lifestyles and disciplinary in conservation consisted of 7 aspects: planting area and conservation area division, planting for animal food, making a plant nursery for planting in forest, establishing a forest protection volunteering club, forest fire suppression activities, natural drinking water resources conservation for wild animals, and wild animal ultrasonic repellent application. There were 6 conservation approaches in total: community power igniting, networking, developing community natural resources management plans, creating learning and participation in the youth, and integrating religion disciplines into education institute curriculum development regarding natural resources conservation.
2563-05-29T00:00:00Zการพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ณัฐวุฒิ ทะนันไธสงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/58032019-11-12T04:11:57Z2015-08-01T00:00:00Zการพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อช่วย บริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลภาพจากดาวเทียม ฐานข้อมูลสารสนเทศ ภูมิศาสตร์อาคาร การใช้ประโยชน์ที่ดิน และสร้างแบบจําลองรูปทรง 3 มิติ อาคาร ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เป็นการประยุกต์ใช้ระบบ ภูมิสารสนเทศ โดย ใช้ภาพจากดาวเทียม Quickbird 2 ถ่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ด้วย กระบวนการจําแนกด้วยสายตา จากนั้นทําการสํารวจข้อมูลกายภาพ นําเข้าข้อมูล เชิงพื้นที่และข้อมูล เชิงคุณลักษณะ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคาร ความ กว้างยาวอาคาร อายุการใช้งานอาคาร ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบทําความเย็น ภายในอาคาร และระบบขนส่งในแนวดิ่ง เมื่อจัดทําข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เรียบร้อย จึงจําลองอาคารและสภาพแวดล้อมในรูปทรง 3 มิติ ผลการศึกษาสามารถนําฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ไปใช้เพื่อ บริหารจัดการทรัพยากรอาคารทั้งการซ่อมบํารุงและการติดตั้งระบบสาธารณูปโภค ของมหาวิทยาลัย เช่น ตําแหน่งหัวจ่ายนํ้าดับเพลิง ทางระบายนํ้า ไฟฟ้า ไฟส่องสว่าง ระบบท่อประปา รวมไปถึงการวางแผนในการสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค นับเป็นการบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่แบบ 2 มิติและข้อมูลแบบ 3 มิติ เพื่อใช้เป็นสื่อ ประกอบในการวางแผนและตัดสินใจได้เป็นอย่างดี
2015-08-01T00:00:00Zการประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ในจังหวัดบุรีรัมย์ชลาวัล วรรณทองณัฐพล วงษ์รัมย์ณัฐวุฒิ ทะนันไธสงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/58022019-11-12T04:06:18Z2019-06-03T00:00:00Zการประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ในจังหวัดบุรีรัมย์
ชลาวัล วรรณทอง; ณัฐพล วงษ์รัมย์; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง
The objectives of this research were 1) to create tourist attractions database; and 2) to create web application for promoting tourist attractions in Buriram province. Twenty two tourist attractions were selected and the System Development Life Cycle (SDLC) was used to create da-tabase and web application to promote tourism. By applying Geo-information technology to collect and manage tourist attractions and facilities information, the web application was created to ef-fectively integrate tourism information. The result of this study was that Buriram tourism database that comes from the needs of tourists was created. The database included 22 tourist attractions description, dimensional pho-tos and video clips and also information about accommodations from 120 restaurants, 93 hotels and 113 petrol stations was also included. Then, web application that meets the needs of tourists was developed. This application can be used via Web Browser in a computer and smartphone. The information in the Web application comprised photos and description of tourist attractions, map webpage of tourist attractions’ and facilities’ location from Google Map that can identify location of the users, radius distance and navigate to the desired location. The satisfaction of 30 tourists who used the web application was at the highest level
2019-06-03T00:00:00Zรูปแบบการบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตเทศบาลตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ณัฐพล วงษ์รัมย์ณัฐวุฒิ ทะนันไธสงชลาวัล วรรณทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/58012019-11-12T03:58:31Z2018-12-12T00:00:00Zรูปแบบการบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในเขตเทศบาลตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
ณัฐพล วงษ์รัมย์; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง; ชลาวัล วรรณทอง
This research aimed to 1) Investigate context and participation of community forest management 2) Survey physical and biological features and 3) Establish model of participatory forest management. The studied areas included National Reserved Forests at Kok Yai Forest, Nong Mee Forest, and Nong Pra Suan Forest within the jurisdiction of Pakham Subdistrict Municipality. Study of information was conducted from documents, textbooks, and relevant research works,
in-depth interviews, brainstorming sessions of stakeholders, survey of context and forest information with geographical and geo-informatics tools. The research findings revealed that the forest areas under the study covered in total 6.78 square kilometers, with elevation from surrounding areas, slope to the east and the west, and source of tributaries of the Mun River namely Lam Nang Rong and Lam Nam Mat. In the forest areas, firebreak roads were built. The forest areas were found to be encroached by villagers engaged in agriculture. According to the meetings attended by Community Forest Committee, community leaders, monks, and villagers, it was found that there was the need to set up clear forest boundary map to prevent encroachment, guideline to monitor forestation, firebreaks, and database of resources of community forests. It was also found that the abbot of Wat Pa Pakham Dhamma Samaggi was the leader of preservation of forest eco-system.
2018-12-12T00:00:00Zคุณภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้จุรีพร จันทร์พาณิชย์, อาลัย จันทร์พาณิชย์, วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57102019-09-13T05:28:31Z2550-01-01T00:00:00Zคุณภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้
จุรีพร จันทร์พาณิชย์, อาลัย จันทร์พาณิชย์, วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์
2550-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศวริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57092019-09-13T05:20:21Z2557-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทอง
2557-01-01T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นวริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57082019-09-13T05:14:09Z2557-01-01T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำหรับระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, แก้ว นวลฉวี, สุพรรณ กาญจนสุธรรม, เชาวลิต ศิลปทอง
2557-01-01T00:00:00Zการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการจัดทำระบบงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน กรณีศึกษา : เทศบาลตำบลบ้านกรวดปัญญาภิวัฒน์ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, อาลัย จันทร์พาณิชย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57072019-09-13T05:05:33Z2554-01-01T00:00:00Zการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการจัดทำระบบงานแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน กรณีศึกษา : เทศบาลตำบลบ้านกรวดปัญญาภิวัฒน์ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, อาลัย จันทร์พาณิชย์
2554-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาวริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57062019-09-13T05:03:00Z2551-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์
2551-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาวริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, ชลาวัล วรรณทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57052019-09-13T04:52:44Z2561-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา
วริษฐ์ กิตติ์ธนารุจน์, ชลาวัล วรรณทอง
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บเพื่อสนับสนุนการนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ของตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ประเทศไทย และบ้านจุ๊บโกกี อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บในการนำสนอฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ของพื้นที่ศึกษา สำหรับวิธีดำเนินการวิจัยได้ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการสำรวจข้อมูล ประกอบด้วย แหล่งท่องเที่ยว โรงแรม สถานีบริการน้ำมันร้านอาหารผลิตภัณฑ์ชุมชน สถานที่ราชการ วัด โรงเรียน และสถานที่อื่นๆ จากนั้นสร้าง โปรแกรมประยุกต์บนเว็บโดยใช้ภาษา PHP JavaScriptและ SQL เป็นภาษาหลักสำหรับการจัดทำระบบฐานข้อมูลแผนที่บนเว็บ ผลการวิจัยพบว่า เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศสามารถนำมาใช้ในการจัดทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี มีข้อมูลดังนี้ แหล่งท่องเที่ยวจำนวน 3 แห่ง โรงแรมจำนวน 1 แห่ง สถานีบริการน้ำมันจำนวน 6 แห่ง ร้านอาหารจำนวน 71 แห่งผลิตภัณฑ์ชุมชนจำนวน2 แห่ง สถานที่ราชการจำนวน 7 แห่ง วัดจำนวน 12 แห่ง โรงเรียนจำนวน 8 แห่ง และสถานที่อื่นๆ จำนวน 29 แห่ง สำหรับโปรแกรมโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้งานได้ทันที ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเพิ่มข้อมูล แก้ไขข้อมูล ลบข้อมูล ได้อย่างอิสระ โดยผลการประเมินความพึงพอใจของโปรแกรมประยุกต์บนเว็บทุกประเด็นอยู่ในระดับมากและมากที่สุด
2561-01-01T00:00:00Zการสร้างแผนที่ภูมิประเทศสามมิติณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisonghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/55542019-09-10T06:38:22Z2561-01-01T00:00:00Zการสร้างแผนที่ภูมิประเทศสามมิติ
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Zระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่งณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisongณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisonghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/55532019-09-10T06:33:56Z2561-01-01T00:00:00Zระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่ง
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong; ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, Natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Zภาพตัดขวางณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, natthawut Tananthaisonghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/55522019-09-10T06:30:02Z2561-01-01T00:00:00Zภาพตัดขวาง
ณัฐวุฒิ ทะนันไธสง, natthawut Tananthaisong
2561-01-01T00:00:00Zการแปลภาพดาวเทียมด้วยสายตารัตนา, ชนัดดาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/47142019-06-14T08:54:37Z2019-06-14T00:00:00Zการแปลภาพดาวเทียมด้วยสายตา
รัตนา, ชนัดดา
2019-06-14T00:00:00Z