งานวิจัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/383
2024-03-29T15:32:17Z
2024-03-29T15:32:17Z
การศึกษาแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ
ทิิพยรัตน์, กัลยพฤกษ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3442
2017-12-04T15:29:37Z
2555-01-01T00:00:00Z
การศึกษาแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ; ทิิพยรัตน์, กัลยพฤกษ
การวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพือศึกษาข้อมูลในการปลูกยางพารา ปัญหาการปลูก
ยางพาราและแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้ เป็ นการศึกษา
ข้อมูลการปลูกยางพารา และปัญหาจากเกษตรกรในภาคอีสานตอนใต้ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
ครังนี ได้มาโดยการแบ่งกลุ่มเกษตรกรตามพืนทีปลูกและใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random
Sampling) จํานวน คน จาก จังหวัด อําเภอ การวิจัยครังนีเป็ นการวิจัยแบบ Mixed
Method โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากเกษตรกร คน และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอําเภอละ
คน เพือเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In Depth Interview : IDI)
การสังเกต แบบมีส่วนร่วม (Participatory Observation) การสนทนากลุ่ม (Focus Group
Discussion : FGD) และการศึกษาเอกสารงานวิจัยและการจัดการความรู้ แล้วนําข้อมูลทีได้กลับคืน
สู่เกษตรกร เพือตรวจสอบแล้วนํามาวิเคราะห์เนือหา (Content Analysis) การสังเคราะห์เนือหา
(Content Synthesis) เพือให้ข้อมูลเชิงลึกทําการวิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี และร้อยละ
2555-01-01T00:00:00Z
ความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืนใน แมน้ําโขงตอนลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย
พยอม, รอตมงคลดี
เมธาวี, รอตมงคลดี
งามตา, โอกาสดี
จำนงค์, รอตมงคลดี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3441
2018-01-09T09:56:47Z
2555-01-01T00:00:00Z
ความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืนใน แมน้ําโขงตอนลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย
พยอม, รอตมงคลดี; เมธาวี, รอตมงคลดี; งามตา, โอกาสดี; จำนงค์, รอตมงคลดี
การศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืน
ในแมน้ําโขง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ
มุกดาหาร และนครพนม โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาบริบทชุมชน ความหลากหลายและ
การแพรกระจายของทรัพยากรชีวภาพพวกปลาน้ําจืด ระบบนิเวศและการใชประโยชน บริเวณแมน้ํา
โขงตอนลาง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร และนครพนม และเพื่อพัฒนา
การเรียนรูดวยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เพื่อใหไดองคความรูใหมโดยการมีสวนรวมของ
ภูมิปญญาทองถิ่น ตลอดจนเพื่อจัดทําฐานขอมูลทรัพยากรชีวภาพและสิ่งแวดลอมในแมน้ําโขง
โดยกระบวนการปฏิบัติการแบบมีสวนรวม โดยใชวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลจากเอกสาร การซักถาม
การสนทนากลุมและการทําเวทีประชาคม กระบวนการเรียนรูรวมกันระหวางผูวิจัย ครู นักเรียนและ
ชาวบานในชุมชน การเก็บและวิเคราะหคุณภาพน้ํา (อุณหภูมิ ความโปรงแสง คา pH และคา DO)
และการศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด โดยการเก็บตัวอยางและนํามาจําแนกชนิด
ในระหวางเดือนตุลาคม 2554 ถึงกันยายน 2555
ผลการศึกษาบริบทชุมชนบานเวินบึก ตําบลโขงเจียม อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
และบานไชยบุรี ตําบลไชยบุรี อําเภอทาอุเทน จังหวัดนครพนม พบวาชุมชนบานเวินบึกเปนชุมชน
ชนบท ที่ประชาชนใชชีวิตอยูอยางมีความสุข สวนใหญประกอบอาชีพการทําประมงในแมน้ําโขงเปน
อาชีพหลัก ชุมชนบานไชยบุรีเปนชุมชนชนบท ประชากรมีฐานะความเปนอยูคอนขางดี มีอาชีพ
การงานที่มั่นคง เชนรับราชการ พนักงาน ทํานา เลี้ยงปลา คาขายและการแปรรูปสัตวน้ํา
จากการศึกษาพบวาชุมชนบานเวินบึก ไมมีปญหาสาธารณสุขที่สําคัญ สวนชุมชนบานไชยบุรี
จากการศึกษาพบวาชาวบานมีปญหาดานสาธารณสุขที่พบ คือ โรคเบาหวาน
การศึกษาระบบนิเวศของแมน้ําโขง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร และ
นครพนม พบวาน้ํามีคุณภาพดี และลําน้ํามีความหลากหลายของระบบนิเวศสูง ทั้งในลําน้ําและ
บริเวณริมฝงแมน้ํา ทําใหมีทรัพยากรสัตวน้ําชุกชุม ทั้งกุง หอย ปู ปลา มีที่สาธารณะประโยชน
ลําหวย และบุงหลายแหงที่ชาวบานไดใชประโยชนรวมกัน แตปจจุบันพบวาบางบริเวณมีการบุกรุก
ทําลายพื้นที่สาธารณะ ทําใหลําหวยแคบลง ตื้นเขินและบางแหงหมดสภาพไป เนื่องจากมีการถมดิน
รุกล้ําลําน้ําทําใหลําน้ําเปลี่ยนสภาพไป นอกจากนี้ปริมาณน้ําและการไหลของน้ําในแมน้ําโขงก็มี
การเปลี่ยนแปลงไปไมมีความแนนอน โดยเฉพาะในฤดูแลง
การใชประโยชนจากแมน้ําโขง พบวาชาวบานที่อาศัยอยูบริเวณริมฝงแมน้ําโขงและหมูบาน
ใกลเคียงไดใชประโยชนจากแมน้ําโขง โดยใชน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค เพื่อการเพาะปลูกและเลี้ยง
สัตว ใชไมบริเวณริมฝง เพื่อการสรางเครื่องมือประมง เครื่องใชและใชเปนเชื้อเพลิง ใชพื้นที่
สาธารณะประโยชนบริเวณริมฝงแมน้ําเปนที่ทําเลเลี้ยงสัตวและเก็บหาของปา ใชแหลงน้ําเพื่อ
การคมนาคมและการทองเที่ยว เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่แปลกและสวยงาม นอกจากนี้
ชาวบานจํานวนมากยังจับสัตวน้ําไดตลอดทั้งป ทั้งเพื่อการบริโภคในครัวเรือน เพื่อจําหนายและเพื่อ
การแปรรูป ทําใหเกิดความมั่นคงดานอาหารในทองถิ่นไดมีการฝกปฏิบัติ เรียนรูรวมกันของนักเรียน ครู ชาวบานและผูวิจัย ในเรื่องการสํารวจ
ทรัพยากรชีวภาพ การวิเคราะหคุณภาพน้ํา การเฝาระวังปญหาสิ่งแวดลอม รวมทั้งการอนุรักษและ
พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติบริเวณแมน้ําโขง เพื่อการใชประโยชนอยางยั่งยืน ซึ่งกอใหเกิดผลดังนี้
1. กลุมนักเรียนไดจัดตั้งกลุม เพื่อพัฒนาเครือขายการอนุรักษแมน้ําโขง
2. กลุมชาวบานในชุมชนมีการดําเนินการรวมกัน เพื่อเฝาระวังการทําลายทรัพยากรสัตวน้ํา
ระบบนิเวศและหาแนวทางการเพิ่มผลผลิตจากแหลงน้ํา โดยการหาพันธุสัตวน้ํามาปลอยลงสูแหลงน้ํา
กําหนดเขตอนุรักษและกําหนดเครื่องมือจับสัตวน้ํา
ผลการศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืดในแมน้ําโขง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี
อํานาจเจริญ มุกดาหารและนครพนม พบปลาน้ําจืดจํานวน 32 วงศ 97 สกุล 164 ชนิด คือ
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนผสมผสานการใช ภูมิปญญาทองถิ่น กรณีศึกษา กลุมผูเลี้ยงโคขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ ตําบลแสลงพัน อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
จรัส, สว่างทัพ
ดำรง, กิตติชัยศรี
นฤมล, สมคุณา
รังสิมา, สว่างทัพ
เอกสิทธิ์, สมคุณา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3440
2017-12-04T15:14:09Z
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนผสมผสานการใช ภูมิปญญาทองถิ่น กรณีศึกษา กลุมผูเลี้ยงโคขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ ตําบลแสลงพัน อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
จรัส, สว่างทัพ; ดำรง, กิตติชัยศรี; นฤมล, สมคุณา; รังสิมา, สว่างทัพ; เอกสิทธิ์, สมคุณา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อไดแก (1) การศึกษาสภาพการประกอบการเลี้ยงโคเนื้อของกลุม
ผูเลี้ยงโคเนื้อขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ (2) การศึกษาองคความรูภูมิปญญาพื้นบานดานการคัดเลือกโค
อาหาร การจัดการเลี้ยงดู และการปองกันรักษาโรคของผูรูภูมิปญญาทองถิ่น (3) ศึกษาคุณคาของ
ภูมิปญญาทองถิ่นที่พัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อขุนของเกษตรกร และสรางบทเรียนภูมิปญญาดานการเลี้ยงดูโค
เนื้อขุนสําหรับเกษตรกร กลุมเปาหมายที่ใชในการวิจัย ประกอบดวย ผูรูภูมิปญญาทองถิ่นดานการเลี้ยง
โค-กระบือ ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย จํานวน 34 คน หมอสมุนไพรและปราชญภูมิปญญาเชี่ยวชาญ จํานวน
5 คน และเกษตรกรผูเลี้ยงโคเนื้อขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ จํานวน 12 คน ไดมาโดยวิธีการเลือกอยาง
เจาะจง การดําเนินการวิจัย ไดแก 1) การศึกษาสภาพการประกอบการเลี้ยงโคเนื้อ 2) การศึกษาองค
ความรูภูมิปญญาพื้นบานในการเลี้ยงโคเนื้อ และ 3) ศึกษาคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นที่พัฒนาการเลี้ยง
โคเนื้อขุนของเกษตรกร โดยการตรวจสอบขอมูลภูมิปญญาพื้นบานโดยหมอสมุนไพรและปราชญ
ภูมิปญญาเชี่ยวชาญ และใชหลักการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีอธิบายคุณคาพืชสมุนไพรตํารับยา
เครื่องมือที่ใชไดแกแบบสัมภาษณและเทคนิคการเก็บรวบรวมขอมูลโดยวิธีการสัมภาษณเจาะลึกและการ
อภิปรายกลุม วิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณดวยสถิติ ความถี่ รอยละคาเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ขอมูลเชิงคุณภาพดวยการวิเคราะหเนื้อหาพบวาเกษตรกรผูเลี้ยงโคเนื้อขุนมีอาชีพทํานา และเลี้ยงโคขุน
เปนอาชีพรอง มีโคขุนเปนลูกผสมชาโรเลสการเลี้ยงโคจะอาศัยภูมิปญญาที่สืบทอดกัน เพิ่มจํานวนโคโดย
การผสมเทียม ใชอาหารธรรมชาติและเสริมอาหารขนนานๆ ครั้ง และปองกันโรคดวยวัคซีน การจําหนาย
ผานพอคาคนกลาง โดยการประมาณน้ําหนัก และรูปรางโคดวยสายตา และมีการใชสมุนไพรในการรักษา
โรค การสืบคนภูมิปญญาดานสมุนไพรและผานการตรวจสอบจากหมอสมุนไพรและปราชญภูมิปญญา
เชี่ยวชาญและหลักการทางวิทยาศาสตร ไดตํารับยาสมุนไพรถายพยาธิในลูกโคและกําจัดเห็บโค
ขอคนพบไดรูปแบบการเลี้ยงโคโดยอาศัยภูมิปญญาไทย และสามารถนํามาสรางบทเรียน ภูมิปญญาดาน
การเลี้ยงดูโคเนื้อขุนสําหรับเกษตรกรตอไป
2555-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรม ความรู้ และความเสี่ยงในการใช้้น้้ามันทอดซ้้าของผู้ประกอบ อาหารและผู้จ้าหน่ายอาหารในโรงเรียนเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
วารี, ว่องโชติกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3439
2017-12-04T09:51:15Z
2558-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรม ความรู้ และความเสี่ยงในการใช้้น้้ามันทอดซ้้าของผู้ประกอบ อาหารและผู้จ้าหน่ายอาหารในโรงเรียนเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
วารี, ว่องโชติกุล
งานวิจัยฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเพราะได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงต้องขอขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ที่ได้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยาภรณ์ ศิริภานุมาศ อาจารย์รัชนีกร ทบประดิษฐ์ และอาจารย์เสกสิทธิ์ ดวงคํา ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 3 ท่าน ที่ช่วยตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของแบบสอบถาม
2558-01-01T00:00:00Z
โครงการบริหารจัดการชุดโครงการการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์และการประยุกต์ใช้ข้าวเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
เทวิกา, กีรติบูรณะ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3438
2017-12-04T09:49:20Z
2558-01-01T00:00:00Z
โครงการบริหารจัดการชุดโครงการการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์และการประยุกต์ใช้ข้าวเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
เทวิกา, กีรติบูรณะ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมในการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น (ข้าวจิ๊บ หอมมะลิแดง เหลืองประทิว และขาวตาแห้ง) และน าข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์อาหาร (เส้นก๋วยเตี๋ยวและขนมน้ าดอกไม้) การเร่งความเก่าใช้วิธีอบลมร้อนที่อุณหภูมิ 80 90 และ 100 องศาเซลเซียส นาน 3 5 และ 7 ชั่วโมง
2558-01-01T00:00:00Z
เรื่องการเร่งความเก่าของข้าวเปลือกพันธุ์ท้องถิ่น ด้วยวิธีอบลมร้อน
เทวิกา, กีรติบูรณะ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3437
2017-12-04T09:46:53Z
2558-01-01T00:00:00Z
เรื่องการเร่งความเก่าของข้าวเปลือกพันธุ์ท้องถิ่น ด้วยวิธีอบลมร้อน
เทวิกา, กีรติบูรณะ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสภาวะเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่นด้วยวิธีอบลมร้อน โดยใช้ข้าว 4 สายพันธุ์ (ข้าวจิ๊บ หอมมะลิแดง เหลืองประทิว และขาวตาแห้ง) และเปรียบเทียบ คุณสมบัติด้านเคมีกายภาพและลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวอายุ 6 เดือน 3 เดือน
2558-01-01T00:00:00Z
การตรวจวัดหาปริมาณโลหะหนัก (ซีลีเนียม ตะกวั่ และโครเมียม) ในผักพื้นบ้าน ด้วยวิธีแกรไฟต์เฟอร์เนสอะตอมมิกแอบซอร์ปชันสเปกโตรเมตรี (GFAAS)
ศรัญญา, มณีทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3436
2017-12-04T09:44:13Z
2558-01-01T00:00:00Z
การตรวจวัดหาปริมาณโลหะหนัก (ซีลีเนียม ตะกวั่ และโครเมียม) ในผักพื้นบ้าน ด้วยวิธีแกรไฟต์เฟอร์เนสอะตอมมิกแอบซอร์ปชันสเปกโตรเมตรี (GFAAS)
ศรัญญา, มณีทอง
ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ ซีลีเนียม ตะกั่ว และ โครเมียม ในผักพื้นบ้าน (ผักโขม ผักปลัง ผักแขยง และผักชีฝรั่ง) ในเขตต าบลชุมเห็ด ต าบลในเมือง และต าบลหลักเขต อ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งท าการทดลอง
2558-01-01T00:00:00Z
การประยุกต์ใช้ข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
ชุลีพร, บุ้งทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3435
2017-12-04T09:40:59Z
2558-01-01T00:00:00Z
การประยุกต์ใช้ข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
ชุลีพร, บุ้งทอง
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปรรูปข้าวพันธุ์ท้องถิ่น (ข้าวจิ๊บ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวเหลือง ประทิว และข้าวขาวตาแห้ง) ที่ผ่านการเร่งความเก่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร 2 ชนิด
2558-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS เพื่อการวิจัย
จรัส, สวางทัพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3434
2017-12-04T05:55:35Z
2550-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS เพื่อการวิจัย
จรัส, สวางทัพ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค (1) เพื่อพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป
SPSS เพื่อการวิจัย ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนกอนและหลังเรียนรูดวยชุดการสอน (3) เพื่อหาคาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนของนักศึกษา
(4) เพื่อประเมินทัศนคติความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีตอชุดการสอน (5) เพื่อประเมินคุณภาพ
ปญหาพิเศษของนักศึกษาภายหลังการเรียนรูจากชุดการสอน
2550-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
มิตรธิศาล, อื้อเพชรพงษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3433
2018-01-03T09:47:19Z
2551-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
มิตรธิศาล, อื้อเพชรพงษ์
ความพึงพอใจของผู้ ปฏิบัติงานที่ใช้ ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS)
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อการศึกษาความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี ้ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ใช้ระบบในคณะวิชา สำนักและสถาบันในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2551 จำนวน 31 คน ประกอบด้วยคณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะครุศาสตร์ คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย ส านักงานอธิการบดี สำนักศิลปะและวัฒนธรรม สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน สถาบันวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความ พึงพอใจของ
ผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี ้ จากผลการวิจัยเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมาก ( X =79.06) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากจ านวน 4 ด้าน คือ ด้านการสืบค้นข้อมูล ด้านการติดต่อผู้ใช้ คู่มือการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) และด้านลักษณะโดยรวมของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีความพึงพอใจในการออกแบบหน้าจอมีความสวยงาม และภาษาที่ใช้ในการกำหนดคำสั่งเมนูมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ในระดับปานกลาง
2551-01-01T00:00:00Z
สำรวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วราลี, โกศัย
นิตยา, บรรณประสิทธ์
วิไลวรรณ, ศิริเมฆา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3432
2018-01-03T09:41:00Z
2551-01-01T00:00:00Z
สำรวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วราลี, โกศัย; นิตยา, บรรณประสิทธ์; วิไลวรรณ, ศิริเมฆา
การศึกษาวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีได้แก่ นักศึกษาภาคปกติสาขาวิชาการศึกษาปฐมวย ั คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่กาลังศึกษาในปี การศึกษา 2550 จ านวน 240 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม
(Questionnaire) ความมีคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาภาคปกติ แบ่งออกเป็ น 3 ตอน ไดแ ้ ก่ ขอ ้ มูล ส่วนตัว ขอ ้ มูลดา ้ นคุณธรรมจริยธรรม และอุปสรรคและปัญหาในการนาคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบัติ
และขอ ้ เสนอแนะ การวเิ คราะห์ขอ ้ มูลใช้ ค่าร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (Mean)
ผลการวจ ิ ย ั พบวา ่ การตอบแบบสอบถามของนักศึกษาภาคปกติ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย
คณะครุศาสตร์ มหาวท ิ ยาลย ั ราชภฏ ั บุรีรัมย์ มีดง ั น้ี
แบบสอบถามตอนที่ 1 ขอ ้ มูลส่วนตัว เพศหญิงคิดเป็ นร้อยละ 96.25 และนักศึกษาเพศชายคิด
เป็ น ร้อยละ 3.75 อายุ 19 ปี คิดเป็ นร้อยละ 25.42 อายุ 20 ปี คิดเป็ นร้อยละ 19.17 อายุ 24 ปี ข้ึนไป
คิดเป็ นร้อยละ 4.58
แบบสอบถามตอนที่ 2 นก ั ศึกษามีการเรียนรู้เรื่องคุณธรรมจริยธรรมจากอาจารยม ์ ีค่าเฉลี่ย
สูงสุดอยใ ู่ นระดบ ั มาก X = 4.26 และการเรียนรู้จากเทป / CD มีค่าเฉลี่ยต่าสุด X = 2.90
แบบสอบถามตอนที่ 3 อุปสรรคและปัญหาในการนาคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบต ั ิที่พบมีดง ั น้ี
3.1 ปัญหาในการน าคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบัติ
3.1.1 นก ั ศึกษามีปัญหาที่ตว ั บุคคล มีความเขินอายในการทาความดี ไม่ตรงต่อเวลา ไม่
รู้
จก ั ประหยด ั ไม่มีความซื่อสัตย์ ขาดแรงจูงใจ เป็ นตน ้
3.1.2 นก ั ศึกษามีปัญหาในการทางานกลุ่ม ไม่ช่วยงานเพื่อน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่
สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็ นตน; The purpose of this study was to survey Early Childhood Education students’ morals and
ethics. The sample in this research was 240 Early Childhood Education students, Faculty of
Education, Buriram Rajabhat University during the 2007 academic year. The instrument was
questionnaire consisting of 3 parts; (1) personal information, (2) questions of morals and ethics and
(3) problems and obstacles of morals and ethics application and recommendation. The statistics used
in this study were percentage and mean.
The results of the study were as follows:
Part 1of the questionnaire revealed that among 240 participants, 96.25% were female students
and 3.75% were male students. There was 25.42% of the participants who were at age 19, 19.17% at
age 20 and 4.58% over 24 years old.
Part 2 of the questionnaire revealed that the students learned morals and ethics from their
teachers at high rank for a score of 4.26. The students learned from cassette tapes and CDs at the
lowest rank for a score of 2.90.
Part 3 of the questionnaire revealed students’ problems and obstacles on morals and ethics as
follows:
3.1 problems and obstacles of morals and ethics application
3.1.1 For individual student problems, the students were shy to behave in good ways,
so they were not being on time, not being honest, not spending reasonably, and they also stated that
they lack the motivation, etc.
3.1.2 For group-work problems, the students did not help their groups; they were not
responsible for their work, etc.
3.2 Recommendation on morals and ethics application in everyday life
3.2.1 Students recommended that every student should follow social rules, do good
things, and not cause anybody’s trouble, etc.
3.2.2 Students also give other suggestions, for example, supporting and praising good
people as a model, setting up project of bringing the students to temples, listening to others’
comments, being true to themselves and others, etc.
2551-01-01T00:00:00Z
สภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย
เอมอร, แสวงวโรตม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3431
2018-01-03T09:45:20Z
2551-01-01T00:00:00Z
สภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย
เอมอร, แสวงวโรตม
การวิจัยเรื่อง สภาพปัญหาการจัดทาบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์คร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลบางประการที่มีอิทธิพลต่อสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือน และเพื่อศึกษาแนวทางหรือรูปแบบการแก้ไขปัญหาของการจัดทำบัญชีครัวเรือน โดยการศึกษาคร้ังน้ีใช้วิธีออกแบบ
สอบถามไปยังเกษตรกรที่เป็ นลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรี รัมย์ มีประชากรรวมท้ง ั สิ้น 1,090 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีได้มาจากการสุ่ มตัวอย่างกลุ่มประชากรข้างต้นโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของยามาเน (Yamane) ที่ระดับความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 สุ่มตัวแย่างโดยการหาสัดส่วน
ของกลุ่มตัวอย่างกับประชากร จำแนกตามหมู่บ้าน คือ หมู่ 1 – 14 แล้วจึงทำการสุ่มตัวอย่าง (Simple random sampling) ในแต่ละหมู่บ้านได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 293 คน ประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ค่าสถิติที่ใชคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รายงาน ผลการศึกษาโดยวิธีบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่าประชากรส่วนใหญ่ของตาบลปังกูเป็นเพศชาย ประกอบอาชีพเกษตรกรระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยูในระดับชั้นประถมศึกษา รายไดภ ้ ายในครัวเรือนในการประกอบอาชีพของเกษตรกร (ทานา) รายไดต ้ ่ากวา ่ 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่เกษตรกรไดร ้ ับการ
สนับสนุนในเรื่องของการจัดท าบัญชีครัวเรือนจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
เนื่องจากเป็ นนโยบายอยา ่ งหน่ึงที่ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไดก ้ าหนดให้ผู้
ที่เขา ้ กูเ้ งินจากธนาคารหรือสมาชิกของธนาคารจะตอ ้ งมีการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือนและมีกาหนดให้
นาส่งบญ ั ชีครัวเรือนก่อนดว ้ ยถึงจะมีสิทธิในการทานิติกรรมต่าง ๆ กบ ั ทางธนาคาร สภาพปัญหา
ในการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือนของเกษตรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อาเภอประโคนชย ั จง ั หวดบุรีรัมย์ ั
ดา ้ นความรู้และความเขา ้ ใจ ดา ้ นการจด ั ทาบญ ั ชี ดา ้ นหน่วยงานสนบ ั สนุน พบวา ่ ผต ู้ อบแบบ ประเมินมีปัญหาในทุกดา ้ นโดยรวมอยใ ู่ นระดบ ั ปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.57 ดังน้น ั จึงควรที่จะมีการ
ส่งเสริมหรือสนบ ั สนุนใหม ้ ีความต่อเนื่องในด้านการให้ความรู้ความเข้าใจมากกวา ่ น้ี เพื่อที่จะให้
เกษตรกรในตาบลปังกูน้น ั รู้ถึงประโยชน์ที่แทจ ้ ริงในการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือน
2551-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาแบบบูรณาการเพ่ื่อแก้ปัญหาความยากจน
พิศมัย, ประชานันท์
กิ่งแก้ว, ปะติตังโข
สมศักดิ์, จีวัฒนา
บุณย์เสนอ, ตรีวิเศษ
กระพัน, ศรีงาน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3430
2018-01-03T09:49:01Z
2551-07-01T00:00:00Z
การพัฒนาแบบบูรณาการเพ่ื่อแก้ปัญหาความยากจน
พิศมัย, ประชานันท์; กิ่งแก้ว, ปะติตังโข; สมศักดิ์, จีวัฒนา; บุณย์เสนอ, ตรีวิเศษ; กระพัน, ศรีงาน
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของหมู่บ้านเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะความยากจน กล่าวคือ บริบทชุมชน โครงสร้ างพื ้นฐานของหมู่บ้าน ลักษณะการดำรงชีวิต การกระจายรายได้ การประกอบอาชีพ ปัจจัยสี่ หนี ้สิน วิธีการจัดการเกี่ยวกับรายได้ การกู้ยืมเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น เพื่อศึกษาหาสาเหตุความยากจนที่เกิดขึ ้นกับประชาชนในหมู่บ้าน และ
เพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการในการแก้ปัญหาสภาพความยากจนและประยุกต์ให้เข้ากับการเป็นอยู่ของประชาชนในหมู่บ้าน โดยมีกลุ่มประชากรที่จะศึกษาคือ กลุ่มชาวบ้าน, กลุ่มผู้นำชุมชน และ เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องในหมู่บ้านหมู่บ้านบัว หมู่ 18 ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ผลการศึกษา
2551-07-01T00:00:00Z
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ดอกไม้ประดษฐ์จากดิน
ธัญรัศม์ิ, ยุทธสารเสนีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3429
2017-12-03T12:00:47Z
2557-01-01T00:00:00Z
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ดอกไม้ประดษฐ์จากดิน
ธัญรัศม์ิ, ยุทธสารเสนีย์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สําหรับดอกไม้ประดิษฐ์จากดิน
กลุ่มปั้นดินดอกไม้หอมบ้านง้าง ตําบลบ้านยาง อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และประเมินความพึงพอใจ
การออกแบบบรรจุภัณฑ์สําหรับดอกไม้ประดิษฐ์จากดิน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกกลุ่มปั้นดินดอกไม้หอมผู้จําหน่ายดอกไม้
ประดิษฐ์ และผู้ซื้อ จํานวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้เก็บข้อมูลสภาพปัญหา
ด้านบรรจุภัณฑ์ ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มและผู้จําหน่ายดอกไม้ประดิษฐ์ แบบประเมินความพึงพอใจ ใช้เก็บ
ข้อมูลประเมินผลการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า(Logo) และกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์การ
วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ใช้วิธีบรรยายและสรุปข้อมูลแนวทางการออกแบบ ส่วนการวิเคราะห์
แบบสอบถามความพึงพอใจใช้ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย
ผลการวิจัยสรุปว่า
1. ผลการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์มีขนาด กว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 21
เซนติเมตร และสูง 25 เซนติเมตร รูปแบบที่ได้ คือ แบบที่ 13 มีคะแนนเฉลี่ย 4.22
2. ผลการออกแบบตราสินค้า ได้แบบที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ย 4.32
3. ผลการออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ และคุณภาพการออกแบบบรรจุภัณฑ์ จากการ
ประเมินความพึงพอใจ ได้แบบที่ 3 มีค่าเฉลี่ย 4.10 มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
4. วัสดุจะใช้กระดาษแข็งเคลือบ เพราะมีความแข็งแรง รับน้ําหนักได้ดี และพิมพ์สีได้
สวยงาม; The objective of this research is to study and develop packaging of artificial soil
flowers. The products of artificial flower are based on Pundindokmaihom Group in area
of Ban Ngang Tambon Ban Yang Amphoe Mueang Buriram province. and This research
also assess the satisfaction packaging design.
In this research, the number of sample was 20 persons including to experts,
members of Pundindokmaihom Group, Vendors and consumers. To discover the
problem data, interview was used. Questionnaires was instrument to assess the
satisfaction of packaging design in topics of packing structure, product logo and graphic.
Level of assessment was based on percentage of satisfaction and mean.
The conclusion of this research were as the followings
1. Achievement results of structural packaging design, Packaging size was
15x21x25 cm. This research also found that trend of Packaging was 13th pattern with
mean of 4.22
2. Achievement results of logo design was 2nd pattern with mean of 4.32
3. Achievement results of graphic design and quality of packaging design was 3th
pattern with mean of 4.10
4. Finally, good material of packing product was cardboard coating because this
material has high strength and good printing.
2557-01-01T00:00:00Z
การใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จารินี, ม้าแก้ว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3428
2017-12-03T11:54:19Z
2557-01-01T00:00:00Z
การใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จารินี, ม้าแก้ว
งานวิจัยเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้
พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3) หาแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานของมหาวิทยาลัย
ราชภัฏบุรีรัมย์ ท าการเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และอาคาร
กลุ่มตัวอย่างจ านวน 23 อาคาร โดยใช้เครื่องมือวัดพลังงานไฟฟ้า (Kilowatt-hour Meter) ชนิด
3 เฟส 4 สาย ผลการวิจัยพบว่าอาคารกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อพื้นที่อยู่ระหว่าง
0.27 – 6.51 kWh/m2 อาคารที่มีการใช้พลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่เป็นอาคารขนาดใหญ่และ
อาคารเฉพาะ อาคารที่มีการใช้พลังงานต่ ากว่าค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่เป็นอาคารเรียนที่มีขนาดเล็ก
โดยรวมทุกอาคารในปี พ.ศ.2554 ใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงจากปี พ.ศ.2553 คิดเป็น 30.97% การใช้
พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลา P คือ 9.00 – 22.00 น. ของ
วันจันทร์ – ศุกร์ มีการคิดค่าไฟฟ้าแบบ TOU ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ต้องจ่ายเงินค่าไฟฟ้า
เพิ่มจากแบบปกติในปี พ.ศ.2553 เป็นจ านวน 3,032,276.51 บาท และในปี พ.ศ.2554 เป็นจ านวน
3,056,007.68 บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่ใน พ.ศ.2554
ลดลงกว่าปี พ.ศ.2553 คิดเป็น 16.32% ช่วงเดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากคือเดือนพฤษภาคม –
กันยายน เดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดคือเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2553 มีค่าการใช้พลังงานต่อ
พื้นที่ 3.99 kWh/m2 และช่วงเดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่น้อยคือเดือนธันวาคม – เมษายน
เดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่ าสุดคือเดือนมกราคม พ.ศ.2554 มีค่าการใช้พลังงานต่อพื้นที่
1.85 kWh/m2 ค่าไฟฟ้าปี พ.ศ.2554 น้อยกว่าปี พ.ศ.2553 เป็นเงิน 105,031.44 บาท หรือคิดเป็น
19.63% เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายค่าไฟฟ้าปี พ.ศ.2554 น้อยกว่าปี พ.ศ.2553 เป็นเงิน 8,752.62 บาท/
เดือน คิดเป็น 1.64% ต่อเดือน เดือนที่มีการจ่ายค่าไฟฟ้าสูงที่สุดคือเดือนมิถุนายน พ.ศ.2554 เท่ากับ
1,405,210.57 บาท และเดือนที่มีการจ่ายค่าไฟฟ้าต่ าที่สุดคือเดือนมกราคม พ.ศ.2554 เท่ากับ
672,765.15 บาท พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์เริ่มมีการใช้
พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. โดยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลาประมาณ12.00 น. ค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าจะลดลง กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.
และเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. หลังจากนั้นค่าการใช้พลังงานจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ
จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. คงที่ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลา 8.00 น. ของวันถัดไป ค่าการใช้พลังงาน
ไฟฟ้า (kWh) ในช่วงเวลาตอนกลางคืน คือ ช่วงเวลาประมาณ 17.00 – 8.00 น. ใกล้เคียงกันทุกเดือน
คือประมาณ 50 kWh คิดเป็น 36,000 kWhต่อเดือน หรือคิดเป็น 134,640 บาทต่อเดือน
แนวทางการอนุรักษ์พลังงานควรเน้นการก าหนดมาตรการประหยัดพลังงานไปที่อาคารเรียนขนาด
ใหญ่ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อพื้นที่มาก โดยมาตรการที่ควรเน้นคือมาตรการเกี่ยวกับระบบ
ปรับอากาศซึ่งเป็นระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุด และควรเน้นมาตรการที่ลดการใช้พลังงาน
พร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดคือช่วงเวลา 14.00 น. ควรก าหนดมาตรการเปิด
ใช้เครื่องปรับอากาศในช่วงเวลา 9.30 – 11.30 น. และ 13.00 – 15.30 น. เพื่อลดช่วงเวลาของการ
ใช้พลังงานไฟฟ้าลง ส าหรับอาคารที่มีการใช้งานเฉพาะแต่มีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อพื้นที่สูง
ควรเน้นมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรประสิทธิภาพสูง การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบ
มอเตอร์ การติดตั้งอุปกรณ์ปรับค่าตัวประกอบก าลัง การเลือกใช้อุปกรณ์ชนิด 3 เฟสเพื่อรักษาสมดุล
ไฟฟ้า; This research aims to : 1) to study the electric power of Buriram Rajabhat
University. 2) to study behavior of the power of Buriram Rajabhat University.
3) to find ways to conserve energy Buriram Rajabhat University. Data was collected
using the power of Buriram Rajabhat University and Building sample of 23 buildings.
The tool used Kilowatt-hour Meter 3 phase 4 wires type. The results showed that
Building the sample average energy per area between 0.27 - 6.51 kWh/m2. Buildings
with energy higher than average, mainly large buildings and building specific
applications. Buildings with energy below average mostly smaller buildings. In 2011,
every building had a power consumption reduced by 30.97% from 2010.
Electrification of Buriram Rajabhat University, mainly in the period P is 9:00 to 22:00
am Monday - Friday. The electric charge causes the TOU Buriram Rajabhat University
had to pay for electricity in 2010, up from the normal amount of 3,032,276.51 baht
and in 2011 in the amount of 3,056,007.68 baht. Buriram Rajabhat University in 2011
with the use of electricity per area in 2010, representing a decrease of 16.32%. During
the months from May to September with the use of high power. Month with the
highest power in July 2010, with the energy per area 3.99 kWh/m2. And the month
with the least energy per area is December - April. Month with the lowest power
consumption in January 2011 with the energy per area of 1.85 kWh/m2. In 2011,
electricity costs less than the year 2010 in the amount of 105,031.44 baht or 19.63%.
In 2011, the average electricity cost per month is less than the year 2010 in the
amount of 8,752.62 baht / month or 1.64% per month. Month with the highest pay
electricity June 2011 was 1,405,210.57 baht and the month with the lowest
electricity bills for January 2011 were 672,765.15 baht. Behavior electrification ofBuriram Rajabhat University began to use more and more power at approximately
8:00 pm by increasing until approximately 12:00 pm, the energy consumption is
reduced and increase again at about 13:00 pm, the highest increase at about 14.00
pm after which the energy is gradually reduced until it is fixed to approximately
17.00 until 8.00 am the next day. During 17:00 to 8:00 pm, the electricity
consumption is almost the same every month, about 50 kWh or about 36,000 kWh
per month or 134,640 baht per month. The energy conservation determine measures
should focus on energy savings to large buildings. Air conditioning is a system that
uses the most energy should be focused on defining clause. Should reduce the
energy consumption in the range of 14.00 which is the highest power, determine
measures should enable the air conditioning during 9.30 - 11.30 and 13.00 - 15.30.
For buildings with specific applications and use the average energy per area is high
should focus measures on change machine performance, install motor speed control
devices, equipment installation adjustment power factor, selection of equipment to
maintain balanced 3-phase power.
2557-01-01T00:00:00Z
การใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ อําเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์
กุลธิดา, ธรรมรัตน์
แสงดาว, นพพิทักษ์
กนกเกลา, แกวกลา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3427
2017-12-03T11:47:13Z
2557-01-01T00:00:00Z
การใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ อําเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์
กุลธิดา, ธรรมรัตน์; แสงดาว, นพพิทักษ์; กนกเกลา, แกวกลา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อตรวจสอบการใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิ
สารสนเทศในเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ จังหวัดบุรีรัมยซึ่งมีพื้นที่ 195,486 ไร รวบรวมขอมูลชั้น
แนวเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ จากขอมูลภาพถายดาวเทียม Landsat 8 โดยการหาคา
Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) ดวยโปรแกรม Quantum Geographic
Information System (QGIS) จากนั้นทําการสํารวจภาคสนามโดยเลือกชวงเวลาที่ใกลเคียงกับ
ภาพถายดาวเทียม กําหนดจุดตัวอยางโดยการสุมแบบจําแนกชั้น (Stratified Random Sampling)
ผลที่ไดจากการสํารวจนํามาเปรียบเทียบคาการสะทอนของวัตถุ ณ ตําแหนงของภาพถายดาวเทียม
การทดสอบคาการปะปนกันระหวางขอมูลพบวามีความถูกตองรวมทั้งหมดเทากับรอยละ 85.7
ผลการวิจัยพบวา
1) มีพื้นที่ปาไม 143,561 ไร พื้นที่โลง 41,297 ไร พื้นที่ชุมชน / เกษตรกรรม 9,624 ไร และ
พื้นที่แหลงน้ํา 1,004 ไร
2) มีการบุกรุกพื้นที่ปาไปเปนพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อปลูกยางพาราเปนพืชหลักและปลูก
มันสําปะหลังเปนพืชรอง; Dong-Yai wildlife sanctuary, Buriram province has covering an area of 195,486
hectares. The purpose of this research was to survey the land use of forest area in
this wildlife sanctuary. The information technology used in the present work was the
satellite data in term of Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) values which
were accomplished by using a Quantum Geographic Information System (QGIS). Field
surveys were done at the time match with the satellite data. Stratified random
samplings were performed according to the sample collection sites designed by QGIS
program. The reflection values of real object locations versus satellite data were
used in comparison and interpretation for its accuracy. It exhibited that an overview
of accuracy value is of 85.7 percent.
The results of the study were as follow
1) There are a proportion of 143,561: 41,297: 9,624: 1,004 hectares for
forest area: open spaces: community area/agricultural lands: water area, respectively.
2) Forest encroachment into agricultural areas was found, rubber is the
main crop and cassava crop is the second place.
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย
นพพล, เชาวนกุล
นิธินันท, มาตา
ศุภชัย, ชัยชุมพล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3426
2017-12-03T10:41:03Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย
นพพล, เชาวนกุล; นิธินันท, มาตา; ศุภชัย, ชัยชุมพล
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ํา
โครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัด
บุรีรัมย และพัฒนาเครื่องตรวจวัดระดับน้ําของระบบรายงานน้ํา สําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการ
ชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) ใหไดขอมูลระดับน้ํารายวัน และระดับน้ําที่
เปลี่ยนแปลงของโครงกาชลประทาน บุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ของผูใชงานระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวย
จระเขมาก)
เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ประกอบดวยการสํารวจ สัมภาษณและการสนทนากับผูใชงาน
ระบบ และผูที่เกียวของกับระบบงานเดิม และใชแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบวา 1) พบวาการเก็บ
ระดับน้ํารายวันของโครงการชลประทานบุรีรัมยนั้นมีขั้นตอนคือใหบุคลากรฝายที่เกี่ยวของไปจดบันทึก
ระดับน้ําจากแผนวัดระดับน้ํา (แบบไม) ทุกวันและไมมีเวลาที่แนนอนในการจดบันทึกขอมูล เมื่อได
ขอมูลระดับน้ําในแตละวันแลวบุคลากรจะนําขอมูลที่ไดมาบันทึกลงฐานขอมูลที่มีอยู (Excel) และเมื่อ
ตองการใชขอมูลระดับน้ําเพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ํา (ระบาย – กักเก็บ) ของ
ผูบริหารหรือผูที่เกี่ยวของตองมาคนหาขอมูลที่ฐานขอมูล 2) การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการ
บริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) ผลการใชงานระบบพบวา
ระบบที่ไดพัฒนามีสวนชวยลดปญหาที่เกิดขึ้น ไดแก การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การสืบคน คนหา
ขอมูล และเรียกใชขอมูลตาง ๆ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเรียกดู สืบคน และปรับปรุงขอมูลได
เปนอยางดี 3) การประเมินผลความพึงพอใจผูใชงานในภาพรวมตอการใชงานระบบรายงานน้ําเพื่อ
การบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว
อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย อยูในระดับมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.78; The objectives of this research were to developed system of water report
for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir)
Bantonphueng Srabua District, Muang Province, Buriram and developed water level
monitoring for water report system to give the water daily level data and water
change level data of Buriram Irrigation schemes water management. And to the
satisfaction of the users that use system of water report for Buriram Irrigation
schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir).
The instrument used in this study consisted of survey, interviews and
conversations with users of system and who those related to legacy systems and
used a questionnaire to determine their satisfaction with the system.The results
showed that 1) the collection of water daily level used personnel concern to note
the water level of the sheet water level every day and there is no exact time. When
get level of water each day, the staff will lead the data save to a database that is
available (Excel) and to use for decision making on water management (drainage -
retention) of those management by search on database. 2) The development of
system of water report for Buriram Irrigation schemes water management
(Huayjorakheamak Reservoir), use of the system that developed has helped reduce
the problem, including reducing the operational searched for information and run
various add convenience to browse, search and update information as well. 3)
evaluation of satisfaction for the overall system to use system of water report for
Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir) in the
most level has average point = 4.78.
2557-01-01T00:00:00Z
ศึกษาความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์, พัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาต่อการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กรณีในเขตพื นทีชุมชนเมืองจังหวัดบุรีรัมย์
ทศพร แก้วขวัญไกร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3425
2017-12-03T06:37:27Z
2558-01-01T00:00:00Z
ศึกษาความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์, พัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาต่อการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กรณีในเขตพื นทีชุมชนเมืองจังหวัดบุรีรัมย์
ทศพร แก้วขวัญไกร
การศึกษานีมีวัตถุประสงค์เพือทดสอบสมมติฐานถึงความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์,
พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาการศึกษาต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั งเพือหาแนวทาง
และข้อเสนอแนะในการพัฒนาทุนมนุษย์ในพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์
การศึกษาครั งนี ได้ทําการศึกษาในพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์ทีมีจํานวน ชุมชน โดยการ
คัดเลือกตัวอย่างจํานวนทั งสิ น คน มาศึกษาความสัมพันธ์ของทุนมนุษย์, การพัฒนา
เศรษฐกิจและการพัฒนาการศึกษาต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึงเป็นการจัดเก็บข้อมูลเชิง
ปริมาณแบบมีโครงสร้างแล้วนํามาวิเคราะห์ข้อมูลสรุปผลด้วยการใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ
ค่าเฉลีย ส่วนเบียงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบการวิเคราะห์แบบถดถอย ผล
การศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีระดับอายุอยู่ระหว่าง - ปี
สถานภาพมีการสมรสเกินครึงหนึง ระดับการศึกษาส่วนมากจบปริญญาตรี ขณะทีการประกอบ
อาชีพส่วนมากเป็นทําอาชีพค้าขายระดับรายได้ส่วนมากอยู่ระหว่าง , - , บาทต่อเดือน
การได้รับข่าวสารของชุมชนท้องถินเมืองบุรีรัมย์ส่วนใหญ่ครึงหนึงได้รับฟังข่าวสารทางวิทยุ ส่วน
การทดสอบสมมติฐานความสัมพันธ์แต่ละตัวแปรความสัมพันธ์ พบว่า การเพิมทุนมนุษย์, การ
พัฒนาการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกต่อการเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญ กล่าวได้ว่า เมือมีการเพิมทุนมนุษย์ การพัฒนาการศึกษาและการ
พัฒนาเศรษฐกิจเพิมขึ นทําให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามมา ขณะทีเมือมีการวิเคราะห์
ข้อมูลทั งหมด กลับพบว่า การพัฒนาเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์ทิศทางลบต่อการเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญ ซึงอาจกล่าวได้ว่าเมือมีการพัฒนาเศรษฐกิจเพิมขึ นก็มิได้ส่งผลให้เกิด
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทียังยืนต่อการพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์เสมอไปแต่อย่างใด
2558-01-01T00:00:00Z
ภาวะการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2556
รังสิมา สว่างทัพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3424
2017-12-03T06:34:10Z
2557-01-01T00:00:00Z
ภาวะการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2556
รังสิมา สว่างทัพ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ( 1) เพื่อติดตามผลการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษา
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2556 และ (2) เพื่อ
ศึกษาความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาการบริหารทรัพยากร
มนุษย์ จากบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปี
การศึกษา 2556 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาจากหลักสูตรบริหารธุรกิจ
บัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทั้งภาคปกติและภาค กศ.บป. ปีการศึกษา 2556
จ านวน 45 คน โดยใช้ทั้งประชากร ใช้แบบสอบถามที่ปรับปรุงจากแบบสอบถามการติดตามภาวะการ
มีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2556 เป็น
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเก็บข้อมูลได้ 45 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูล
ด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นหญิง ส าเร็จการศึกษาจากโครงการศึกษาภาคปกติ
มีงานท า คิดเป็นร้อยละ 62.20 โดยท างานเป็นพนักงานบริษัทหรือองค์กรธุรกิจ เอกชนคิดเป็นร้อยละ
53.40 มีเงินเดือนเฉลี่ยน้อยกว่า 12,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ได้งานท าภายใน1-3
เดือนหลังส าเร็จการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 22.30 ความรู้ความสามารถ พิเศษที่ช่วยให้ได้งานท าคือความรู้
ความสามารถพิเศษทางคอมพิวเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 55.60 และสามารถน าความรู้จาก สาขาวิชาที่เรียน
มาใช้ในหน้าที่การงานได้ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 28.90 ความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะ
ของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานท าในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X=3.61 จากคะแนนเต็ม 4)
โดยความคิดเห็น ใน 3 ล าดับแรก ได้แก่ การมีทัศนคติเชิงบวกับชีวิตการท างานผู้ร่วมงานและวัฒนธรรม
องค์กร, การมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น มั่นใจแน่วแน่และมี สมาธิในการท างาน และการสร้างประสบการณ์
ตรงและประสบการณ์เสมือน จากการเรียนการสอน ทั้งในหลักสูตรกิจกรรมและ การอบรม การมีคุณลักษณะ
ของความเป็นไทย มีค่านิยมที่ดีงามกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะมีคุณธรรมมีความซื่อสัตย์เอื้อเฟื้อมีน้ าใจ
มีความพอเพียงความเกรงใจอ่อนน้อมถ่อมตน และสามารถบริหารจัดการเวลาของตน แบ่งเวลาให้กับ
ความสุขของชีวิต (2) บัณฑิตมีความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชา
ในภาพรวมในระดับมากที่สุด (X = 3.69 จากคะแนนเต็ม 4) โดยความพึงพอใจ 3 ล าดับแรก ได้แก่
ด้านการให้ค าแนะน าปรึกษาการใช้ชีวิตและหรือการเรียนในระหว่างการศึกษาตลอดหลักสูตร กับด้าน
นักศึกษาสามารถเข้าพบอาจารย์ประจ าหลักสูตรได้ทุกเวลา ด้านความเหมาะสมของหลักสูตรที่ใช้ใน
กระบวนการเรียนการสอน และด้านสื่อการเรียนการสอนที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2557-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ประชัน คะเนวัน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3423
2017-12-03T06:31:10Z
2557-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ประชัน คะเนวัน
ารศึกษาครั้งนี้มีความมุงหมาย เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐ
ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ใน 4 ดาน คือ ดานการบริหาร
จัดการหลักสูตร ดานวิชาเฉพาะดาน ดานวิชาสัมพันธ และดานวิชาเสริม กลุมตัวอยาง ไดแก
ศิษยปจจุบันและศิษยเกาของหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย
จํานวน 32 คน เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวมขอมูลเปนแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ
แบบตรวจสอบรายการ (Check List) แบบมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ
และแบบปลายเปด (Open-ended Form) ไดคาความเชื่อมั่น (Reliability) เทากับ 0.8806
สถิติพื้นฐานที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก รอยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบวา :
1. แนวทางในภาพรวมในการพัฒนาตามความคิดเห็นของศิษยปจจุบันและศิษยเกาของ
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมยโดยภาพรวม อยูในระดับมาก
(X = 4.13) เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ดานวิชาเฉพาะดานอยูในระดับปานกลาง
(X = 3.25) นอกนั้น อยูในระดับมาก โดยดานที่มีคาเฉลี่ยสูงสุด คือ ดานการบริหารจัดการ
หลักสูตร (X = 4.31) รองลงมา คือ ดานวิชาเสริม (X = 4.25) สวนดานที่มีคาเฉลี่ยต่ําสุด
คือ ดานวิชาเฉพาะดาน (X = 4.25)
2. ความคิดเห็นและขอเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจํานวนมากที่สุด คือ ควรมีการจัดหลักสูตร
ไดเหมาะสม นักศึกษามีเวลาในการศึกษาไมมากหรือนอยเกินไป รองลงมา คือ ควรจัดเนื้อหา
แตละวิชาใหมีความเหมาะสม และจัดอาจารยมีความรูความสามารถสอนที่จะทําใหนักศึกษาไดรับ
ความรูอยางแทจริง และควรลดวิชาที่เรียนเกี่ยวกับเนื้อหา และควรเพิ่มวิชา ที่เรียนเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติใหมากที่สุด
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื้นทีตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
จารินี ม้าแก้ว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3422
2017-12-03T06:26:00Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื้นทีตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
จารินี ม้าแก้ว
งานวิจัยเรือง การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื นทีชุมชนตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ
จังหวัดบุรีรัมย์นี มีวัตถุประสงค์เพือค้นหาปัญหาในพื นทีป่ าชุมชนและชุมชนรอบพื นทีชุมชน
ตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และเพื อพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื นที
กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนของผู้นําชุมชน เจ้าหน้าทีหน่วยงานภาครัฐ ผู้สูงอายุ เยาวชน และ
ประชาชนทัวไป ของหมู่บ้ านรอบป่ า จํานวน หมู่บ้ าน ประกอบไปด้ วย บ้านโกรกประดู่
บ้านหนองโดนน้อย บ้านไทรงาม และบ้านร่มเย็น โดยทําการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) และนอกจากนี ยังใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบการเลือก
อาสาสมัคร (Volunteer Sampling)
ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาของตําบลโคกกลางทีชุมชนไม่สามารถแก้ ไขได้เองต้อง
พึงภาครัฐมาช่วยเหลือ คือ ปัญหาการจัดการนํ า และปัญหาทีชุมชนสามารถแก้ไขได้เอง ได้แก่
ปัญหาการบุกรุกทําลายป่ าไม้ ปัญหายาเสพติด ปัญหาหนี สิน ปัญหาทีชุมชนเลือกทีจะดําเนินการ
คือปัญหาการบุกรุกทําลายป่ าไม้โดยต้องการเพิมจิตสํานึกรักษ์ป่ าให้กับคนในชุมชน กระบวนการ
ทํางานจึงจะเป็นการยกระดับจิตสํานึกในการฟื นฟูป่ าให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ทีสุดตามกําลังที
พอจะทําได้ โดยผ่านตัวกิจกรรมต่าง ๆ ทีชุมชนร่วมกันคิดและร่วมกันทดลองปฏิบัติ และสุดท้ายมี
เวทีแลกเปลียนเรียนรู้ จากชุมชนใกล้เคียงและเครือข่ายทีประสบความสําเร็จเพือวางแผนในการ
ขยายผลต่อไป
2557-01-01T00:00:00Z
ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จุรีพร จันทร์พาณิชย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3421
2017-12-03T06:21:27Z
2557-01-01T00:00:00Z
ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จุรีพร จันทร์พาณิชย
การวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพือ ศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจในบริบทอาเซียนของ
นักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ศึกษาระดับ
ความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
ประชากรได้แก่ นักศึกษาสาวิชาการจัดการ ชันปี ที 3 และชันปี ที 4 คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ จํานวน 147 คน การศึกษาครังนีใช้ประชากรเป็ นกลุ่มตัวอย่าง
การศึกษาใช้แบบสอบถามซึ งแบ่งเป็ น ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามเกียวกับข้อมูลทัวไปของ
นักศึกษา ส่วนที แบบสอบถามเกียวกับความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาเกียวกับบริบทอาเซียน
ส่วนที ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะ
วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย และส่วน
เบียงเบนมาตรฐาน
2557-01-01T00:00:00Z
ความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อรรถกร จัตุกูล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3420
2017-12-03T06:15:57Z
2557-01-01T00:00:00Z
ความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อรรถกร จัตุกูล
การวิจัยความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาความพรอมในการเขาสู
ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด ตามคุณลักษณะของเยาวชนไทยในประชาคม
อาเซียนมี 3 ลักษณะ ไดแก 1. ความพรอมดานความรู 2. ความพรอมดานทักษะ/กระบวนการ
3. ความพรอมดานเจตคติ กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาสาขาวิชาการตลาด คณะ
วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ทุกชั้นป จํานวน 136 ราย สําหรับสถิติที่ใชในการ
วิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณใชคารอยละ คาเฉลี่ย วิเคราะหการแปรปรวนทางเดียว (One-way
ANOVA) และทดสอบความแตกตางรายคูดวยวิธีการของ LSD. (least-Significant Different)
ผลการวิจัย พบวา ขอมูลทั่วไปของผูตอบแบบสอบถามรอยละ 100 จําแนก ตามเพศ
เพศหญิง รอยละ 86.8 เพศชาย รอยละ 13.2 ระดับการศึกษา ชั้นปที่ 1 รอยละ 42.6 ชั้นปที่ 2
รอยละ25.0 ชั้นปที่ 3 รอยละ 22.8 ชั้นปที่ 4 รอยละ 9.6 ความคิดเห็นเรื่องความพรอมในการเขาสู
ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏบุรีรัมย ในภาพรวมอยูในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ดานความรู
ดานทักษะกระบวนการ ดานเจตคติ อยูในระดับปานกลาง ผลการทดสอบความแตกตางของนักศึกษา
ที่ระดับการศึกษาตางกัน มีความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียนแตกตางกัน แตเมื่อพิจารณาเปน
รายดานพบวา นักศึกษาระดับการศึกษาตางกันมีความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียน ดาน
ความรู ดานทักษะกระบวนการ ดานเจตคติ แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน
อรรถกร, จัตุกูล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3419
2017-12-03T05:58:39Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน
อรรถกร, จัตุกูล
การวิจัยการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เพื่อรองรับการเขาสูประชาคมเศรษฐกิจ
อาเซียนโดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษา เพื่อศึกษาปญหาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เพื่อศึกษา
ความตองการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาตลาดการ
ทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผูที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยวจังหวัด
บุรีรัมย จํานวน 26 ราย ประชาชนในแหลงทองเที่ยว นักทองเที่ยวชาวไทย และนักทองเที่ยว
ชาวตางชาติ จํานวน 400 ราย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณและแบบสอบถาม แบบ
สัมภาษณใชสัมภาษณผูที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย โดยเปนการสัมภาษณเชิงลึก
แบบสอบถามใชสอบถามประชาชนในแหลงทองเที่ยว นักทองเที่ยวชาวไทย และนักทองเที่ยว
ชาวตางชาติ ในดานปญหาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย ความตองการพัฒนาตลาดการทองเที่ยว
จังหวัดบุรีรัมย และขอเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย
สําหรับสถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณใชคารอยละ คาเฉลี่ย วิเคราะหการแปรปรวนทาง
เดียว (One-way ANOVA) แนวทางในการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เปนคําถาม
ปลายเปด วิเคราะหขอมูลเชิงคุณภาพ และนําเสนอโดยการพรรณนาเชิงวิเคราะห (Analytical
Description)
2557-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ ๓ ศึกษาและพัฒนาป้ายและแผ่นพับประชาสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวที่ปราสาทพนมรุ้ง และ ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์
พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3418
2017-12-03T05:37:56Z
2556-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ ๓ ศึกษาและพัฒนาป้ายและแผ่นพับประชาสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวที่ปราสาทพนมรุ้ง และ ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์
พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพ่อืศกึษาสภาพปัญหาและความต้องการ จา เป็นด้านการพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่ือการท่องเที่ยวของ ผู้ประกอบการรา้นขายของท่รีะลกึและรา้นอาหารและเคร่อืงด่มืท่ปีราสาทพนมรุง้และปราสาท เมอืงต่ า จงัหวดับุรรีมัย์ 2) เพ่อืพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่อืการ ท่องเที่ยวฯ และ 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ประกอบการร้านขายของท่ีระลึกและ รา้นอาหารและเคร่อืงด่มืต่อการพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่อืการ ท่องเท่ยีวฯ ประชากรในการวิจัยครัง้น้ีประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่ 1) เจ้าหน้าท่ีอุทยาน ประวตัศิาสตรพ์นมรงุ้ และปราสาทเมอืงต่ า ผู้ประกอบการรา้นขายของท่รีะลกึ และรา้นอาหาร และเคร่อืงด่มืท่ปีราสาทพนมรงุ้และปราสาทเมอืงต่ า และนักท่องเท่ยีวชาวต่างชาตทิ่ไีปเท่ยีวท่ี ปราสาทพนมรงุ้และปราสาทเมอืงต่า ส่วนกลุ่มตวัอยา่งไดแ้ก่ผปู้ระกอบการรา้นขายของทร่ีะลกึท่ี ปราสาทพนมรงุ้ และปราสาทเมอืงต่ า จา นวน 40 คน และรา้นอาหารและเคร่อืงด่มื จ านวน 10 คน รวมเป็น 50 คน และนักท่องเทย่ีวชาวต่างชาตจิ านวน 15 คน นอกจากนนั้ ยงัคดัเลอืกจาก กลุ่มตวัอย่างผปู้ระกอบการ 50 คนเพ่อืมาสนทนากลุ่มอกีจา นวน 15 คน โดยใชว้ธิกีารเลอืกแบบ เจาะจง และ 2) ป้ายรา้นขายสนิคา้และป้ายประชาสมัพนัธ์ทวั่ไป จา นวน 35 ป้าย รายการสนิคา้ ประเภทของท่ีระลึกและประเภทอาหารและเคร่ืองด่ืมจ านวน 316 รายการ แผ่นพับ ประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษของปราสาทพนมรุ้งและปราสาทเมอืงต่ า อ าเภอเฉลมิพระ เกียรติ และอ าเภอประโคนชยั จงัหวดับุรรีมัย์ภาคภาษาองักฤษจา นวน 2 ชุด เคร่อืงมอืท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการจ าเป็น 2) แบบ บนัทกึการสนทนากลุ่ม 3) แบบเก็บข้อมูลภาษาต้นฉบบัและภาษาแปล และ 4) แบบประเมนิ ความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา
2556-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท จังหวัดสุรินทร์
พิชชาณัฐ ตู้จินดา
จริานุวัฒน์ ขันธจันทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3417
2017-12-03T05:31:29Z
2556-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท จังหวัดสุรินทร์
พิชชาณัฐ ตู้จินดา; จริานุวัฒน์ ขันธจันทร์
การวิจัยครัง้นีเ้ป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวมรวบมาทงั้หมดได้จากการเก็บ ข้อมูลโดยการลงพืน้ที่ภาคสนาม แล้วน ามาท าการศกึษาวิเคราะห์และเรียบเรียงความส าคญั โดย มีวัตถุประสงค์ดงันี ้๑. ศึกษาความเป็นมาและบริบทที่เกี่ยวข้องวงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรี สวาท ๒. ศึกษาประวัติชีวิตนายเผย ศรีสวาท และ ๓. ศึกษาการถ่ายทอดความรู้วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท ผลการวิจัยพบว่า วงมโหรีอีสานเป็นวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงของเครื่องดนตรี พืน้บ้านหลายชนิด เครื่องดนตรีหลกัได้แก่ปี่สไล ตรัว กลองสองหน้า และกลองกันตรึม โดยมีฉิ่ง ฉาบ และกรับไม้เป็นเครื่องประกอบจังหวะ วงมโหรีอีสาน บ้านระไซร์ ต าบลเฉนียง อ าเภอเมือง จังหวดัสุรินทร์ เกิดจากการรวมตัวของศิลปินพืน้บ้านในชุมชนและเขตพืน้ที่ใกล้เคียง โดยผู้ที่มี ความรู้ความสามารถด้านวงมโหรีอีสาน คือ นายเผย ศรีสวาท อายุ ๘๓ ปี ศิลปินอาวุโสพืน้บ้าน อีสานใต้เป็นผ้ถู่ายทอดความรู้ บทเพลงที่ใช้บรรเลงสามารถแบง่ออกได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ เพลงครู เพลงแห ่และเพลง ส าหรับบรรเลงทวั่ไป ส าหรับการไหว้ครูสามารถแบง่ออกได้ ๓ ลกัษณะ คือ การไหว้ครูก่อนเริ่มต้น เรียนดนตรี การไหว้ครูก่อนการบรรเลง และการไหว้ครูเมื่อนกัดนตรีผิดครู การถ่ายทอดความรู้วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท มีการถ่ายทอดทงั้บคุคลภายใน ครอบครัว เครือญาติ และบุคคลภายนอก โดยผ้มูีอาวุโสและมีความรู้ความสามารถด้านวงมโหรี อีสาน ได้แก่ นายเผย ศรีสวาท ทงั้นีจ้ะยึดแนวทางและระเบียบแบบแผนที่โบราณจารย์ได้ก าหนด ไว้อย่างเคร่งครัด วิธีการถ่ายทอดจะเป็นวิธีการแบบมขุปาฐะ คือการถ่ายทอดด้วยระบบความทรง จ าแบบปากตอ่ปาก ไร้ลายลกัษณ์ โดยครูผ้สูอนจะปฏิบตัใิห้ศิษย์ดเูป็นแบบอย่างก่อน เพื่อให้ศิษย์ สงัเกตวิธีการและจดจ าท่วงท านอง จากนนั้ศิษย์จึงปฏิบตัิตาม และฝึกซ้อมจนกระทั่งเกิดความ ช านาญ
2556-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติของบัณฑิตสาขาวิชาการบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนที่มีต่อคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผกามาศ มูลวันดี
ฐิติพร วรฤทธิ์
เกษมะณี การินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3416
2017-12-03T05:23:14Z
2556-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติของบัณฑิตสาขาวิชาการบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนที่มีต่อคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผกามาศ มูลวันดี; ฐิติพร วรฤทธิ์; เกษมะณี การินทร์
การวิจยัครัง้นี ้มีวตัถปุระสงค์เพื่อศกึษาคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชี คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี ความสมัพนัธ์ระหวา่งคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชีกบั คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี ผลกระทบของคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชีที่มีตอ่ คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี เปรียบเทียบความคดิเห็นเกี่ยวกบัคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชา การบญัชีเพื่อเตรียมความพร้อมสปู่ระชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเปรียบเทียบความคดิเห็น เกี่ยวกบัคณุภาพข้อมลูทางการบญัชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกัทรัพย์แหง่ประเทศไทย จ าแนกตามกลมุ่อตุสาหกรรม ทนุจดทะเบียน จ านวนพนกังาน และระยะเวลาในการด าเนินงาน แตกตา่งกนั ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกัทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลลพัธ์ที่ได้จากการวิจยั สามารถน ามาใช้ประกอบการพฒันาศกัยภาพของบณัฑิต เพื่อยกระดบัมาตรฐานการศกึษาของ บณัฑิตให้มีความทดัเทียมกบัสากล พร้อมทงั้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการผลิตบณัฑิต ปรับปรุง ประสิทธิภาพการผลิตบณัฑิต ให้สอดคล้องกบัความต้องการของตลาดแรงงาน และใช้เป็น แนวทางส าหรับการวางแผนผลิตบณัฑิต สาขาวิชาการบญัชี คณะวิทยาการจดัการ มหาวิทยาลยั ราชภฏับรุีรัมย์ ในอนาคตตอ่ไป ซงึ่เก็บรวบรวมข้อมลูจากผ้บูริหารฝ่ายบญัชี บริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลกัทรัพย์แหง่ประเทศไทย จ านวน 214 คน และได้รับแบบสอบถามกลบัมา จ านวน 61 ฉบบั คดิเป็นร้อยละ 28.51 ของกลมุ่ตวัอยา่ง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิตทิี่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมลู ได้แก่ สถิตพิืน้ฐาน ประกอบด้วย คา่ร้อยละ คา่เฉลี่ย และสว่นเบี่ยงเบน มาตรฐาน สถิตทิี่ใช้ทดสอบคณุลกัษณะตวัแปร ประกอบด้วย การทดสอบความสัมพนัธ์ระหวา่ง ตวัแปรอิสระ (Multicollinearity Test) โดยใช้ Variance Inflation Factors (VIFs) และสถิติทดสอบสมมตฐิาน ประกอบด้วย F-test (ANOVA and MANOVA) การวิเคราะห์สหสมัพนัธ์ แบบพหคุณู และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหคุณู
2556-01-01T00:00:00Z
ชีววิทยาของสัตว์อันดับค้างคาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
นฤมล ประครองรักษ์
สิริณี ยอดเมือง
ประภาพันธ์ ศริิขันธ์แสง
สมศักดิ์ จีวัฒนา
ณปภัช วรรณตรง
พชิาภพ กะรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3415
2017-12-03T05:12:39Z
2556-01-01T00:00:00Z
ชีววิทยาของสัตว์อันดับค้างคาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
นฤมล ประครองรักษ์; สิริณี ยอดเมือง; ประภาพันธ์ ศริิขันธ์แสง; สมศักดิ์ จีวัฒนา; ณปภัช วรรณตรง; พชิาภพ กะรัมย์
การวิจัยในครัง:นีม:ุ่งศึกษาชีววิทยาในด้านพันธุศาสตร์เซลล์และชีววิทยาโมเลกุล ของสตัว์อนัดบัค้างคาว (Order Chiroptera) จํานวน 5 ชนิดในพืน:ที/ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ได้แก่ (A) ค้างคาวหูหนูตีนโตเล็ก (Myotis horsfiledii) (B) ค้างคาวเพดานเล็ก (Scotophilus kuhlii) (C) ค้างคาวปีกถุงเคราดํา (Taphozous melanopogon) (D) ค้างคาว มงกุฎเล็ก (Rhinolophus pusillus) และ (E) ค้างคาวหน้ายักษ์สามหลืบ (Hipposideros larvatus) เพื/อสร้างระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยการศึกษาพันธุศาสตร์เซลล์พบว่า สตัว์ดงักล่าวมีจํานวนโครโมโซมดิพลอยด์ (2n) เท่ากบั 44 36 42 62 และ 32 มีจํานวนโครโมโซม พืน:ฐาน (NF) เท่ากบั 52 72 72 64 และ 62 ตามลําดบั การศกึษาลกัษณะเฉพาะของเอนไซม์ แอลฟา-แอล-ฟูโคซิเดสโดยใช้วิธี SDS-PAGE พบว่าค้างคาวทัง: 5 ชนิดมีแบบแผนโปรตีนที/ คล้ายคลึงกัน ส่วนการศกึ ษาด้วยวิธี Western analysis พบว่ามีเอนไซม์แอลฟา-แอล-ฟูโคซิเดส ที/มีนํา:หนกัโมเลกลุเท่ากบั (A) 66 (B) 69 และ 57 (C) 66 และ 45 (D) 66 51 และ 37 (E) 67 kDa จากการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที/สร้างขึน:พบว่า มีความพงึพอใจในทกุด้านอยใู่นระดบัมาก
2556-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยทสี่่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เมษยา บุญสีลา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3414
2017-12-03T04:51:36Z
2556-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยทสี่่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เมษยา บุญสีลา
การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภฏับุรีรัมย์ โดยมีวตัถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียน ของนกัศึกษาระดบัปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ และเพื่อ เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวทิยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ โดยจ าแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ผลการศึกษาด้าน ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า นกัศึกษาภาคปกติ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภัฏบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาย รองลงมา เป็นนกัศึกษาหญิง เมื่อจ าแนกตามอายุ ส่วนใหญ่มีอายุ 21 – 24 ปี รองลงมา คือ อายุ 17 – 20 ปี และมีระดบัการศึกษาที่ไดร้ับก่อนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ศึกษาในระดบั มธัยมศึกษาตอนปลาย รองลงมาคือ ระดบัประกาศนียบตัรวิชาชีพ (ปวช.) ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ส่วนใหญ่ศึกษาในสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ อุตสาหกรรม รองลงมา คือ สาขาวิชาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผลการเรียน(เกรดเฉลี่ย) ถึง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 อยู่ระดับ 2.50 – 2.99 รองลงมาคือ ระดบั 2.00 – 2.49 ส่วนใหญ่พัก อาศัยในลักษณะเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อน โดยมีระยะทางจากที่พกัไปยงัมหาวิทยาลยั 1 - 10 กม. รองลงมาคือ ระยะทาง 11 – 20 กม. ตามลา ดบั ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก ( = 3.68 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า เกือบทุกด้านเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนมาก โดยด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านหลักสูตรเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนมากที่สุด ( = 3.95) รองลงมาคือ ดา้นนโยบายของมหาวิทยาลยั ( = 3.82) และด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนน้อย ที่สุด ( = 3.38) ตามลา ดบั
(3)
ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาภาคปกติ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีระดับความ คิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 (P < .05) มีจา นวน 2 ดา้น คือ ด้านชั้นปีที่ก าลัง ศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และด้านสาขาวิชาที่ศึกษาในคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ส่วนปัจจัยส่วน บุคคลด้านอื่นๆ มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน
2556-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3413
2017-12-02T15:28:35Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จำนวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอ
นางรอง อุโบสถวัดหนองบัวเจ้าป่า อำเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชัย จังหวัด
บุรีรัมย์งานวิจัยมีกลุ่มเป้าหมายในการใช้สารสารสนเทศเป็นนักท่องเที่ยวที่มีการใช้อุปกรณ์สื่อสาร
พกพาในการเข้าเยี่ยมชมอุโบสถ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาแนวความคิดการสร้างสื่อสารสนเทศที่
เป็นตัวอย่างของการเก็บข้อมูลและเผยแพร่ในรูปแบบสารสนเทศส าหรับใช้ประกอบการเยี่ยมชม
อุโบสถ โดยกระบวนการวิจัยเป็นการวิเคราะห์สรุปแนวความคิดหารูปแบบในการสร้างสรรค์สื่อที่
มีความเหมาะสมและจัดสร้างสื่อสารสนเทศจ านวน 3 ชุดความรู้ ได้แก่ การสร้างสื่อชุดความรู้ตาม
กรอบการสารวจสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นการสร้างสื่อชุดความรู้การแสดงแบบทางสถาปัตยกรรม
การสร้างสื่อชุดความรู้ที่อธิบายความถึงหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมทที่สร้างสภาวะน่าสบาย
จากนั้นจึงเผยแพรข้อมูลผ่านแบบเว็บไซต์จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ วัดหนองบัวเจ้าป่า
www.wnbcp.archbru.com วัดขุนก้อง www.wkk.archbru.com วัดชัยมงคล
www.wcmk.archbru.com และจัดทำป้ายข้อมูลสรุปชุดความรู้พร้อมการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านรหัส
คิวอาร์ (QR Code) เพื่อนำไปขยายผลสู่อุโบสถกรณีศึกษาทั้ง 3 แห่ง พร้อมทั้งทดสอบการ
แสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารพกพาผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) ที่สามารถแสดงผลปกติใน
ทุกขนาดหน้าจอแสดงผลที่น ามาทดสอบ เนื่องจากในขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ได้ใช้ระบบการ
แสดงผลแบบ Responsive ผลการวิจัยท าให้ได้ตัวอย่างแนวทางการสร้างสื่อสารสนเทศ
ภูมิปัญญาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและตัวอย่างการสร้างว็บไซต์ส าหรับวัดอื่นๆ ที่มีรูปแบบการ
จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัดและอุโบสถรวมถึงการน าเสนอข้อมูลส าหรับการท่องเที่ยวและใช้ในการ
อนุรักษ์สถาปัตกรรมพื้นถิ่นสืบไป
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3412
2017-12-02T15:13:09Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรเู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จำนวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอ
นางรอง อุโบสถวัดหนองบัว เจ้าป่า อำเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชัย จั
หวัดบุรีรัมย์
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภม ู ิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พืน ้ ถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3411
2017-12-02T14:56:57Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภม ู ิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พืน ้ ถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จ านวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอนางรอง อุโบสถวัดหนองบัว เจ้าป่าป่า อาเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชย จังหวัดบุรีรัมย์
งานวิจัยมีกลุ่มเป้าหมายในการใชส ้ ่อ ื สารสนเทศเป็นนก ั ท่องเทย ่ี วทม ่ี ก ี ารใชอ ้ ุปกรณ์ส่อ ื สารพกพาในการเข้าเยี่ยมชมอุโบสถ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาแนวความคิดการสร้างสื่อสารสนเทศที่
เป็นตัวอย่างของการเก็บข้อมูลและเผยแพร่ในรูปแบบสารสนเทศส าหรับใช้ประกอบการเยี่ยมชม
อุโบสถ โดยกระบวนการวิจัยเป็นการวิเคราะห์สรุปแนวความคิดหารูปแบบในการสร้างสรรค์สื่อที่
มีความเหมาะสมและจัดสร้างสื่อสารสนเทศจ านวน 3 ชุดความรู้ ได้แก่ การสร้างสื่อชุดความรู้ตาม
กรอบการสารวจสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น การสร้างสื่อชุดความรู้การแสดงแบบทางสถาปัตยกรรม
การสร้างสื่อชุดความรู้ธธิายความถึงหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมทสร้างสภาวะน่าสบาย
จากนั้นจึงเผยแพรข้อมูล ผ่านรูปแบบเว็บไซต์จานวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ วัดหนองบัวเจ้าป่า
www.wnbcp.archbru.com วัดขุนก้อง www.wkk.archbru.com วัดชัยมงคล
www.wcmk.archbru.com และจัดทำป้ายข้อมูลสรป ุ ชุดความรู้พร้อมมการเชื่อมโยงข้อมูล ผ่านรหัส
คิวอาร์ (QR Code) เพื่อนำไปขยายผลสู่อุโบสถกรณีศึกษาทั้ง 3 แห่ง พร้อมทั้งทดสอบการ
แสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารพกพาผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) ที่สามารถแสดงผลปกติใน
ทุกขนาดหน้าจอแสดงผลที่น ามาทดสอบ เนื่องจากในขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ได้ใช้ระบบการ
แสดงผลแบบ Responsive ผลการวิจัยท าให้ได้ตัวอย่างแนวทางการสร้างสื่อสารสนเทศ
ภูมิปัญญาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและตัวอย่างการสร้างเว็บไซต์ส าหรับวัดอื่นๆ ที่มีรูปแบบการ
จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัดและอุโบสถรวมถึงการนำเสนอข้อมูลส าหรับการท่องเที่ยวและใช้ในการ
อนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นต่อไป
2557-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาโจทยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
อุทิศ ทาหอม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3410
2017-12-02T14:46:57Z
2557-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาโจทยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
อุทิศ ทาหอม
การวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาโจทยวิจัยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบล
หนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย มีวัตถุประสงคของการวิจัย คือ 1. เพื่อศึกษาความตองการใน
การแกไขปญหาของชุมชนบานเสม็ดผานกระบวนการพัฒนาโจทยวิจัยระหวางนักวิชาการกับคนในชุมชน2. เพื่อคนหาเทคนิควิธีการใหไดมาซึ่งโจทยวิจัยระหวางนักวิชาการและคนในชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย 3. เพื่อพัฒนาโจทยวิจัยใหเปนขอเสนอโครงการวิจัยรวมกับชุมชนบานเสม็ด อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมยคณะผูศึกษาใชวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลโดยทําการเก็บรวบรวมขอมูลจากกลุมตัวอยางแบบเจาะจง (Purposive sampling) และใชวิธีการสุมตัวอยางแบบการเลือกแบบอาสาสมัคร (Volunteer Sampling) เก็บขอมูลผูที่เขามาเปนอาสาสมัครนักวิจัยชุมชน พรอมทั้งเขารวมเวทีพัฒนาโจทยวิจัยของชุมชน พรอมทั้งเปนผูรูดานการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชน โดยมี กลุมเปาหมายหลัก และ กลุมเปาหมายรอง ประกอบดวย ผูนําชุมชน ผูอาวุโส ประชาชนบานเสม็ด และนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย รวมทั้งสิ้น 210 คนผลการศึกษา พบวา การพัฒนาโจทยวิจัยแบงออกเปน 3 ขั้นตอน ไดแก 1. กอนลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัยกอนจะลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัย 2. การจัดเวทีรวมกับชุมชน 3. การประเมินสรุปผล ดังนั้นกอนลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัยทีมวิจัยมีการวางแผนกอนทุกครั้ง โดยเปนการเตรียมคําถามในการพัฒนาโจทยวิจัย เทคนิควิธีการคนหาโจทยวิจัยที่มาจากความตองการของชุมชน การลงพื้นที่พัฒนาโครงการวิจัยรวมกับชุมชนในอันดับแรกทีมวิจัยจะศึกษาขอมูล บริบทชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมริมแมน้ําชีที่เกิดปญหาการบุกรุก และการใชประโยชนในเชิงทําลาย พรอมทั้งปญหาการนําขยะเขาไปทิ้งภายในปาชุมชนริแมน้ําชี การจัดเวทีพัฒนาโจทยวิจัยครั้งที่ 1 “ชวนคิด ชวนคุย” คนหาประเด็นวิจัย ทีมวิจัยใชเครื่องมือการสนทนาพูดคุย การแลกเปลี่ยนเรียนรู โดยตั้งคําถามวา สิ่งดี ๆ ที่มีอยูในชุมชน โดยเขียนการแผนที่ความคิด (Mind Map) เปนการวาดแผนฝงเชื่อมโยงความคิด และมีการแยกยอยของแตละสถานการณปญหา เพื่อทําใหคนในชุมชนมองเห็นการเชื่อมโยงของแตละประเด็น พบวา ภายในชุมชนบานเสม็ดมีกลุมอาชีพตาง ๆ หลากหลาย หลังฤดูกาลทํานา ไดแก กลุมทํากระถางตนไม กลุมทําปุย กลุมทําเกษตร กลุมเลี้ยงปลา กลุมเลี้ยงกบ และเพาะปลูกพืชผักสวนครัว เมื่อประชาชนปลูกผักมากขึ้น สงผลใหผลผลิตลนตลาด และประสบปญหาวัชพืชทําลายผลผลิตทางการเกษตร ในที่สุดประชาชนจํานวนมากตัดสินใจเลิกทำเนื่องจากขาดความรูในการจัดการเรื่องผลผลิตและการกําจัดวัชพืช
2557-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ 1 ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดของสารสกัดจากเห็ดพื้นบ้านที่พบ บริเวณพื้นที่วนอุทยาน ภูเขาไฟกระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สันธยา บุญรุ่ง, เทพอัปสร แสนสุข
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3409
2017-12-02T14:43:26Z
2558-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ 1 ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดของสารสกัดจากเห็ดพื้นบ้านที่พบ บริเวณพื้นที่วนอุทยาน ภูเขาไฟกระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สันธยา บุญรุ่ง, เทพอัปสร แสนสุข
จากงานวิจัยเรื่องการสารวจความหลากหลายทางชีวภาพของเห็ดพื้นบ้านที่รับประทานได้ใน
เขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ของ เทพอัปสรและคณะ (2558) พบว่าที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงมี
เห็ดพื้นบ้านรับประทานได้หลากหลายสายพันธุ์ จึงทาให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่
เข้ามาเก็บเพื่อการบริโภคและจาหน่าย โดยการนาเห็ดมารับประทานนั้นเพื่อเป็นแหล่งโปรตีน และ
เป็นยาสมุนไพร ซึ่งการใช้เห็ดพื้นบ้านเป็นยาสมุนไพรนั้นมีสืบทอดกันมาอย่างช้านาน ไม่ว่าจะเป็นใน
ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีหรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง เห็ดที่นิยมนามาใช้เป็นสมุนไพรได้แก่ เห็ดหอม
เห็ดฟาง เห็ดแครง เป็นต้น สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของเห็ดส่วนใหญ่ถูกนามาใช้ในการช่วยเสริมและ
เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้หรือป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน
พบว่าเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในขณะนี้
ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการสกัดสารสกัดทางชีวภาพจากเห็ดป่าบางชนิดในเขตวน
อุทยานภูเขาไฟกระโดงด้วยตัวทาละลายต่างๆ ได้แก่ เอทานอล น้าอุณหภูมิห้อง และน้าร้อนที่
อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส และเพื่อศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากเห็ดป่าทั้ง 3 ชนิด คือ
เห็ดระโงกขาว เห็ดน้าหมาก และเห็ดเผาะ พบว่าสารสกัดที่สกัดได้จากเห็ดป่านี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ
จุลินทรีย์ที่นามาใช้ในการทดสอบออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้คือ 1) กลุ่มแบคทีเรียแกรมบวก (B. cereus, S.
aureus) 2) กลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ (E. coli) และ 3) กลุ่มยีสต์ (C. albicans) พบว่าสารสกัดหยาบ
ของเห็ดแบบสดและแบบแห้งนั้นมีผลการยับยั้งการเจริญของเชื้อเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยพบว่า
สารสกัดหยาบจากเห็ดระโงกขาในสารละลายเอทานอลสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อในลุ่ม
แบคทีเรียแกรมบวก (B. cereus, S. aureus) ได้ดีที่สุด ส่วนสารสกัดหยาบจากเห็ดน้าหมากในตัวทา
ละลายน้าร้อนจะยับยั้งการเจริญของเชื้อกลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ (E. coli) ได้ดีและในกลุ่มยีสต์ (C.
ค
albicans) นั้นจะถูกยับยั้งโดยสารสกัดหยาบจากเห็ดเผาะในตัวทาละลายน้าร้อนยับยั้งได้ดี จากผล
การศึกษานี้ควรนาไปทดลองในตัวสัตว์และส่งเสริมการนาเห็ดสมุนไพรเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการ
รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ในทางคลินิกต่อไป
2558-01-01T00:00:00Z
การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้ว
ภัทรพงศ์ ข้าคม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3408
2017-12-02T14:42:05Z
2557-01-01T00:00:00Z
การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้ว
ภัทรพงศ์ ข้าคม
การศึกษาครั งนี มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาขั นตอนการผลิตน ้ามันไบโอดีเซล เพื่อออกแบบและ
สร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชใช้แล้ว เพื่อหาค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความหนาแน่นค่าความเป็นกรด ค่าจุดไหลเท และค่าความหนืดของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ เพื่อน้าค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความเป็นกรด และค่าจุดไหลเทของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้เปรียบเทียบกับ
คุณสมบัติไบโอดีเซลของส้านักวิชาการพลังงานภาค 1 กระทรวงพลังงาน และเพื่อน้าค่าความ
หนาแน่นของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานน ้ามันไบโอดีเซลส้าหรับเครื่องยนต์การเกษตร (ไบโอดีเซลชุมชน) ของกรมธุรกิจพลังงาน การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ซึ่งประกอบด้วย 4 ถัง ได้แก่ ถังผสมโซเดียมไฮดรอกไซด์กับเมทานอล ถังส้าหรับต้มน้ำมัน ถังแยกชั นกลีเซอรีนกับไบโอดีเซล และถังล้างน ้ามันไบโอดีเซล ผู้วิจัยท้าการทดลองโดยใช้น ้ามันพืชที่ใช้แล้ว ปริมาตร 5 ลิตร เมทานอล (CH3OH) ปริมาตร 1.25 ลิตร โซเดียมไฮดรอก-ไซด์ (NaOH) ปริมาณ 50 กรัม จ้านวน 5 ชุดการผลิต และเวลาการผลิตในแต่ละครั ง 11ชั่วโมงจากการวิจัยพบว่า ค่าความถ่วงจ้าเพาะที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าความถ่วงจ้าเพาะที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ยมีค่า 0.8766 ค่าความหนาแน่นที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ โดยเฉลี่ยจะมีค่าความหนาแน่น 876.6 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร ค่าความเป็นกรดที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน
น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ จะมีค่าความเป็นกรดโดยเฉลี่ยมีค่า 7 ค่าจุดไหลเทที่วัดได้จากน ้ามัน
ไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าจุดไหลเทโดยเฉลี่ยมีค่า 1.532 องศาเซลเซียส และค่าความหนืดที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้โดยเฉลี่ยมีค่า 0.0198 นิวตันวินาทีต่อตารางเมตร
ดังนัน เครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้วเครื่องนี สามารถใช้ผลิตน ้ามัน
ไบโอดีเซลได้ และน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความหนาแน่น ค่าความเป็น
กรด ค่าจุดไหลเท และค่าความหนืดที่ใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานน ้ามันไบโอดีเซล ตามวัตถุประสงค์
และสมมติฐานของการวิจัย
2557-01-01T00:00:00Z
กระบวนการคนโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมสรางเสริมสุขภาวะชุมชนดวยภูมิปญญาทองถิ่น บานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
คคนางค ชอชู
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3406
2017-12-02T14:34:55Z
2557-01-01T00:00:00Z
กระบวนการคนโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมสรางเสริมสุขภาวะชุมชนดวยภูมิปญญาทองถิ่น บานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
คคนางค ชอชู
กระบวนการคนหาโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมการจัดการภูมิปญญาทองถิ่นเพื่อสรางเสริมสุขภาวะ
ชุมชนบานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย มีวัตถุประสงค 2 ประการ คือ 1) เพื่อ
ศึกษาบริบทชุมชนบานหวา 2) เพื่อศึกษากระบวนการมีสวนรวมของคนหาประเด็นภูมิปญญาทองถิ่นที่
ใชในการสรางเสริมสุขภาวะชุมชนบานหวา กลุมตัวอยางที่เปนตัวแทนชุมชนบานหวา ประกอบดวย หมู 5 หมู 9 และหมู 15 ไดแก ผูนําชุมชน ผูอาวุโส ปราชญชาวบาน อสม. ชาวบาน ดวยการวิจัยเชิงพื้นที่(Community-based Research : CBR) ใชกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสวนรวม
(Participatory Action Research : PAR) ผลการวิจัยพบวา บริบทชุมชนบานหวาเปนกลุมชนชาติพันธุเขมรที่อพยพมาจากจังหวัดสุรินทรกอตั้งชุมชนมายาวนานกวา 111 ป กลุมชาติพันธุเขมรจะมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ การเคารพบรรพบุรุษยึดมั่นในขนบ ธรรมเนียม ประเพณีดั้งเดิม มีผลตอ
ความสัมพันธทางสังคมที่ดี และเอื้ออาทรตอกันมี สถานที่สําคัญที่เชื่อมโยงผูคน ไดแก วัดบานหวา
วัดทุงตะวัน ศาลเจาพอโพธิ์ทอง โรงเรียน แหลงน้ําหนองหวา เปนศูนยรวมกิจกรรมของคนในชุมชน
การคนหาประเด็นภูมิปญญาเพื่อการสรางเสริมสุขภาวะดวยกระบวนการมีสวนรวมเริ่มจากการ
หาทีมนักวิจัยที่เปนคนที่อยูในชุมชน ใชเวทีการประขุมแลกเปลี่ยนสนทนากลุมรวมกันในประเด็นนิยาม
สุขภาวะ บริบทชุมชน ภูมิปญญาทองถิ่นชุมชนบานหวา การคัดเลือกภูมิปญญาเพื่อสรางเสริมสุขภาวะ
ชุมชน ดวยการพิจารณาภูมิปญญาที่เปนภูมิปญญาชุมชนมากกวาภูมิปญญาระดับปจเจก การหารือ
รวมกันของคนในชุมชนจนสามารถเลือกภูมิปญญาที่นานําไปสงเสริมสุขภาวะชุมชน คือ 1) ดนตรี
พื้นบานดวยมีเหตุผลรวมกันที่วาดนตรีสามารถเชื่อมโยงคนหลายวัย หลายกิจกรรมของชุมชน ดนตรีไดนั้นตองใชความสัมพันธเปนกลุมที่สงผลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสังคม นอกจากนี้ดนตรียังเปนสามารถบําบัดรักษาในพิธีกรรม “รํามะมวด” ที่เปนความเชื่อตอการทํานายตามความเชื่อของชาวเขมรเปนการรักษาผูที่เจ็บปวยอันเนื่องมาจากการทําผิดผีบรรพบุรุษ 2) ประเพณีทองถิ่น เชน แซนโดนตาตามความเชื่อเคารพบรรพบุรุษ ชวงเทศกาลแซนโดนตาชาวบานจะไปทําบุญที่วัด สะทอนใหเห็นวาการไปวัดนั้นมีผลตอจิตใจไปแลวสบายใจโดยเฉพาะการไดทําบุญใหตายายที่เปนบรรพบุรุษ ไดรวมญาติ ยิ่งทําใหมีความสุข เทศกาลออกพรรษา สงกรานต เปนตน
2557-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อราของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3404
2017-12-02T14:30:01Z
2558-01-01T00:00:00Z
โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อราของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
แก่นครี้เป็นสมุนไพรไทยที่มีสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์หลากหลายชนิด การศึกษาครั้งนี้จึงใช้สารสกัดหยาบจากแก่นครี้ที่สกัดด้วยเมทานอลมาทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อราชนิดต่างๆ 4 สายพันธุ์ (Alternaria brassicicola, Candida albicans, Curvularia lunata และ Magnaporthe grisea) การทดสอบใช้เทคนิควิธีทางสเปกโตรฟลูออโรเมตรี ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากแก่นครี้มีผลยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Magnaporthe grisea ได้เพียงเล็กน้อย โดยมีค่า IC50 เป็น 91.31 μg/mL ซึ่งยังถือมีประสิทธิภาพต่ากว่ายาปฏิชีวนะ Amphotericin B ที่ใช้เป็นเป็นชุดการทดลองควบคุมผลบวก ในขณะเดียวกันผลการศึกษาการยับยั้งการเจริญในเชื้อราชนิดอื่นๆ พบว่าสารสกัดไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญได้เลยในความเข้มข้นสูงสุดของสารสกัดที่ใช้ในการทดลองนี้
2558-01-01T00:00:00Z
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3403
2017-12-02T14:19:32Z
2558-01-01T00:00:00Z
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
งานวิจัยนีม้ ุ่งหาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่พืชสมุนไพรที่มีการใช้อยู่ทวั่ ไป พร้อมทัง้
ตรวจสอบหาสารต้านจุลชีพชนิดใหม่ แก่นครีเ้ ป็นสมุนไพรไทยที่มีสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์
หลากหลายชนิด การศึกษาครัง้ นีจึ้งใช้สารสกัดหยาบจากแก่นครีที้่สกัดด้วยเมทานอลมาทดสอบ
ประสิทธิภาพการยับยัง้ จุลชีพชนิดต่างๆ โดยเป็นแบคทีเรียแกรมบวก 2 สายพันธ์ุ (Bacillus
cereus แ ล ะ Enterococcus faecium) แบค ที เรี ย แก รม ลบ 4 ส ายพัน ธ์ุ (Acenetobactor
baumannii ATCC 19606, Escherichia coli ATCC 25922, Klebsiella pneumoniae ATCC
70 0 6 03 แ ล ะ Pseudomonsa aeruginosa PAO1 ) ก ลุ่ม เชื ้อ รา 4 ส ายพั น ธ์ุ (Alternaria
brassicicola, Candida albicans, Curvularia lunata และ Magnaporthe grisea) การทดสอบ
ใช้เทคนิควิธีทางสเปกโตรโฟโตรเมตรีและสเปกโตรฟลูออโรเมตรี และรายงานค่าความเข้มข้นที่
น้อยที่สุดของสารสกัดที่สามารถยับยัง้ การเจริญของจุลชีพได้ที่ร้อยละ 90 (MIC90) ผลการทดสอบ
พบว่าสารสกัดจากแก่นครีมี้ผลยับยัง้ การเจริญของเชือ้ B. cereus ได้ดีที่สุด โดยมีค่าและมีค่า
MIC90 เป็น 12.5 μg/mL และสามารถยับยัง้ การเจริญเติบโตได้ถึง 99.85% และ 100% ที่ความ
เข้มข้น 25 และ 50 μg/mL ตามลาดับ ศักยภาพในการยับยัง้ เชือ้ B. Cereus ของสารสกัดจาก
แก่นครีจ้ ะสามารถนาไปพัฒนาเป็นสารป้องกันการบูดเน่าของอาหารประเภทแป้งได้ ในขณะที่การ
ทดสอบฤทธิ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ เมื่อใช้สารสกัดจากแก่นครีที้่ความเข้มข้นสูงสุดในการทดลอง (50
μg/mL) พบว่ายังไม่สามารถยับยัง้ การเจริญได้ ดังนัน้ จึงประเมินได้ว่าสารสกัดจากแก่นครียั้งไม่มี
ประสิทธิภาพพอที่จะนามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ ยกเว้น B. cereus
2558-01-01T00:00:00Z
กลไกการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ กรณีศึกษา พื้นที่ชุมชน เทศบาลตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
สมมาตร์ ผลเกิด
สมมาตร์ ผลเกิด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3402
2017-12-02T14:13:10Z
2557-01-01T00:00:00Z
กลไกการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ กรณีศึกษา พื้นที่ชุมชน เทศบาลตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
สมมาตร์ ผลเกิด; สมมาตร์ ผลเกิด
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยให้มีคุณภาพสามารถ
สนับสนุนการด าเนินงานวิจัยเชิงพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและคล่องตัวสูง โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้
เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ภายใต้บริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการ
วิจัยเชิงพื้นที่ให้เหมาะสมกับบริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาประเด็นโจทย์วิจัยเชิงพื้นที่บนพื้นฐานการ
มีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนด้วยวิธีการ สร้างความร่วมมือกับส านักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายชุมชน ค้าหานักวิจัยร่วมกัน (ทีมนักวิชาการและทีมชาวบ้าน)
พัฒนาโจทย์วิจัยโดยลงไปพื้นที่เป้าหมายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมสังเคราะห์ประเด็ นกับพื้นที่
เป้าหมายและผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมวิพากษ์ประเด็นกับชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบจาก
การด าเนินงานวิจัย เป็นต้น ผลการด าเนินงาน ท าให้ได้งานวิจัยเชิงพื้นที่ที่ คาดว่าจะสามารถน าไป
ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และเป็นความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของชาวบ้านให้สามารถน าไป
ด าเนินการให้ประสบความส าเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนได้
อย่างเป็นรูปธรรมประกอบด้วย 3 โครงการคือ โครงการยกระดับจิตส านึกท้องถิ่นเพื่อการฟื้นฟูป่าชุมชน
อย่างยั่งยืน ต าบลโคกกลาง อ าเภอล าปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะ
ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนบ้านหว้า ต าบลหนองเต็ง อ าเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และโครงการ
กระบวนการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน
บ้านเสม็ดต าบลหนองเต็ง อ าเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย; งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยให้มีคุณภาพสามารถ
สนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเชิงพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและคล่องตัวสูง โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้ เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ภายใต้บริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการ วิจัยเชิงพื้นที่ให้เหมาะสมกับบริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาประเด็นโจทย์วิจัยเชิงพื้นที่บนพื้นฐานการ มีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนด้วยวิธีการ สร้างความร่วมมือกับส านักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายชุมชน ค้าหานักวิจัยร่วมกัน (ทีมนักวิชาการและทีมชาวบ้าน) พัฒนาโจทย์วิจัยโดยลงไปพื้นที่เป้าหมายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมสังเคราะห์ประเด็ นกับพื้นที่ เป้าหมายและผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมวิพากษ์ประเด็นกับชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบจาก การดำเนินงานวิจัย เป็นต้น ผลการดำเนินงาน ทำให้ได้งานวิจัยเชิงพื้นที่ที่ คาดว่าจะสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และเป็นความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของชาวบ้านให้สามารถนำไป ดำเนินการให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนได้ อย่างเป็นรูปธรรมประกอบด้วย 3 โครงการคือ โครงการยกระดับจิตสำนึกท้องถิ่นเพื่อการฟื้นฟูป่าชุมชนอย่างยั่งยืน ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนบ้านหว้า ตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และโครงการ กระบวนการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน บ้านเสม็ดตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
2557-01-01T00:00:00Z
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรูปตลอดชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง
เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3401
2017-12-02T13:49:56Z
2555-01-01T00:00:00Z
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรูปตลอดชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง; เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านภูมิหลังและลักษณะส่วนตัว และด้านสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนกับศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา และเพื่อสร้างสมการพยากรณ์
ศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน
410 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
2555-01-01T00:00:00Z
สมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เบญจพร, วรรณูปถัมภ์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3400
2017-12-02T13:42:51Z
2555-01-01T00:00:00Z
สมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เบญจพร, วรรณูปถัมภ์; บุญเลี้ยง, ทุมทอง
โครงการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อประเมินระดับสมรรถนะของบุคลากรใน
มหาวิทยาลัย และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การเสริมพลังอํานาจในงาน
บรรยากาศองค์กรกับสมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากร
ที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้นจํานวน 72 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบ
สอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
แบบเพียร์สัน
2555-01-01T00:00:00Z
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง
เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3399
2017-12-02T13:29:45Z
2555-01-01T00:00:00Z
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง; เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านภูมิหลังและลักษณะส่วนตัว และด้านสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนกับศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา และเพื่อสร้างสมการพยากรณ์
ศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน
410 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่เหมาะสมกับชุมชนเลี้ยงช้าง บ้านตากลาง ตา บลกระโพ อา เภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
วชิรภัทรกลุ, วัชระ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3398
2017-12-02T13:03:05Z
2553-01-01T00:00:00Z
การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่เหมาะสมกับชุมชนเลี้ยงช้าง บ้านตากลาง ตา บลกระโพ อา เภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
วชิรภัทรกลุ, วัชระ
โครงการวิจัยเรืองการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครืองปันดินเผาทีเหมาะสมกับชุมชน
เลียงช้าง บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพือศึกษา
แนวทางและความเป็นไปได้ ของเนือดินบริเวณในพืนทีทำการศึกษาหาอัตราส่วนผสมของวัตถุดิบ
ในท้องถิน ทีเหมาะสมในการผลิตเครืองปันดินเผา และทำการออกแบบผลิตภัณฑ์เครืองปันดินเผา
ให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิน และเหมาะสมกับการผลิตโดยใช้วัตถุดิบในท้องถินเป็น
วัตถุดิบหลัก
2553-01-01T00:00:00Z
การแยกและคัดเลือกจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มเซลลูโลติก
ภักดีเดชาเกียรติ, วรนุช
ศิริขันธ์แสง, ประภาพันธ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3397
2017-12-02T13:00:16Z
2553-01-01T00:00:00Z
การแยกและคัดเลือกจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มเซลลูโลติก
ภักดีเดชาเกียรติ, วรนุช; ศิริขันธ์แสง, ประภาพันธ์
เซลลูเลสเป็นเอนไซม์ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและการย่อยสลายวัสดุ
เหลือทิ้งทางการเกษตร การวิจัยในครั้งนี้สามารถแยกจุลินทรีย์ที่มีกิจกรรมเซลลูเลสได้จากมูลสัตว์ในเขต
อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้อาหาร CMC agar ได้จำนวน 31 ไอโซเลท ผลการย้อมสีคองโก เรด
พบว่าจุลินทรีย์จำนวน 23 ไอโซเลทที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของโซนใสในช่วง 0.5-1 เซนติเมตร สำหรับ
8 ไอโซเลท ซึ่งได้แก่AF1 ED1 EF1 EC1 GC1 GC3 ID2 และ IC3 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของโซนใส
เท่ากับ 1.2 1.54 1.21 1.29 1.33 1.33 1.28 และ 1.23 เซนติเมตร ตามลำดับ ผลการเพาะเลี้ยงในอาหาร
CMC broth ที่ไม่มีสารสกัดจากยีสต์แสดงให้เห็นว่าจุลินทรีย์ทั้ง 8 ไอโซเลท ดังกล่าวไม่มีกิจกรรมของ
เอนไซม์คาร์บอกซีเมทธิลเซลลูเลส นอกจากนี้ยังพบว่าที่อุณหภูมิ45 องศาเซลเซียส พีเอช 7.0 โดยบ่ม
ร่วมกับสารตั้งต้น CMC เป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตได้จากไอโซเลท GC1
2553-01-01T00:00:00Z
การจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรี ในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์
ธิติ, ปัญญาอินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3396
2018-01-04T03:14:06Z
2553-01-01T00:00:00Z
การจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรี ในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์
ธิติ, ปัญญาอินทร์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนและปัญหาการเรียนการสอนวิชาทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรีในโรงเรียนมัธยมจังหวัดบุรีรัมย์ ประชากร คือครูผู้สอนดนตรีในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์ จา นวน50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
2553-01-01T00:00:00Z
การศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เวียงวิเศษ, ฐิตาภรณ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3395
2017-12-02T12:54:51Z
2553-01-01T00:00:00Z
การศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เวียงวิเศษ, ฐิตาภรณ์
ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาทังของรัฐและเอกชนมีอยู่ ประการ คือ
การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และการทำนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรม นอกจากภารกิจหลักทัง ประการ ทีทุกมหาวิทยาลัยต้องยึดถือปฏิบัติแล้ว
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังมีภารกิจทีต้องปฏิบัติเพิมเติมตามสภาพแวดล้อมความพร้อมและจุดเน้น
ของมหาวิทยาลัยแตกต่างกันไป เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีภารกิจอยู่ ประการ ได้แก่
ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษา ประการ และเพิมเติมภารกิจปรับปรุงถ่ายทอดและพัฒนา
เทคโนโลยี ผลิตครูและส่งเสริมวิทยฐานะครู และส่งเสริมสืบสานโครงการอันเนืองมาจาก
พระราชดำริ ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้จัดการเรียนการสอนตังแต่ระดับปริญญาตรี
ถึงระดับปริญญาเอก รวมทังสิน สาขา มีนักศึกษารวม , คน แยกเป็นระดับปริญญาตรี
, คน ปริญญาโท คน และปริญญาเอก คน
2553-01-01T00:00:00Z
Vocabulary Learning Strategies Buriram Rajabhat University Students Use to Deal with New Words in their English Lessons
Prachanant, Nawamin
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3394
2017-12-02T12:52:51Z
2553-01-01T00:00:00Z
Vocabulary Learning Strategies Buriram Rajabhat University Students Use to Deal with New Words in their English Lessons
Prachanant, Nawamin
This study aimed to investigate and compare vocabulary learning strategies
use by Buriram Rajabhat university students in their English lessons. The subjects
were 300 students who enrolled in the course “English for communication and study
skills (1500103)” for the 2nd semester in academic year 2006, Buriram Rajabhat
University. These subjects were randomly selected from each faculty using the 20%
technique developed by Krejcie & Morgan. The collected data were analyzed by
using percentage, means, standard deviation, t-test and one way ANOVA.
2553-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
จรัส, สว่างทัพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3393
2018-01-03T09:07:43Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
จรัส, สว่างทัพ
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย ์ เป็นการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเลี้ยงโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดบุรีรัมย์
2) เพื่อพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยวิธีการจัดการ
ความรู้ 3) เพื่อศึกษาการพัฒนาการของการประกอบอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้ดัชนีชี้วัดในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสี่เหลี่ยมเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 12 ราย
เกษตรกรสมาชิกกลุ่ม ผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านโนนสว่าง หมู่ที่ 12 ตำบลด้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 24 ราย บ้านหนองตะเคียน หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านกรวด อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 29 ราย เกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ และเกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสองห้อง หมู่ที่ 1 ตำบลสองห้อง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 17 ราย รวมทั้งสิ้น 82 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถาม แบบตรวจสอบรายการ การสังเกต การอภิปรายกลุ่มและการจัดการความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการใช้แผนที่ความคิด ผลการศึกษา พบว่ากลุ่ม ผู้เลี้ยงโค มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 5 คน มีจำนวน
สมาชิกในครัวเรือน ที่ใช้แรงงานเฉลี่ย 3 คน ประกอบทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลักและเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้สูงสุด เลี้ยงโคเป็นอาชีพรองอันดับหนึ่ง และรับจ้างเป็นอาชีพรองอันดับสอง มีรายได้ต่อเดือนต่อครัวเรือนเฉลี่ย 12,600 บาท มีรายได้จากการเลี้ยงโคเนื้อต่อปีเฉลี่ย 15,012.20 บาท เพิ่มจำนวนโคโดยการผสมเทียม เกษตรกรทุกคนรู้จักการสังเกตสัดแม่โค เกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ไม่ปัญหาที่ประสบจากการได้ลูกที่เกิดจากการผสมเทียม ส่วนน้อยที่พบว่าลูกที่เกิดมาได้แต่ลูกเพศผู้และแม่โคคลอดลูกยาก ลูกโคส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ที่ได้มีความแตกต่างจากเดิมโดยมีขนาดใหญ่กว่ามีสายเลือดชาโรเลส์ ปัญหาการผสมเทียมส่วนใหญ่ร้อยละ 72 มีปัญหาการผสมติดยาก ผสมซ้ำ จำนวนเฉลี่ย 3 ครั้งจึงจะผสมติด เกษตรกรสมาชิก ร้อยละ 69.5 ไม่ให้อาหารข้นแก่โค แหล่งน้ำของโคได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เกษตรกรสมาชิกร้อยละ 62.2 ไม่ให้อาหารแร่ธาตุแก่โค เกษตรกรสมาชิกให้วัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย ให้ยาถ่ายพยาธิไอเวอร์เม็ก-เอฟ และพ่นยาเห็บด้วยยาอาซุนโทล ใช้สมุนไพรบางชนิด เช่น สมุนไพรรักษาแผล กีบ-เท้าเป็นแผล สมุนไพรถ่ายพยาธิ สมุนไพรรักษา
ท้องอืด เป็นต้น และฉีดไวตามินและยาบำรุงหรือยาเพิ่มประสิทธิภาพสมบูรณ์พันธุ์
2549-01-01T00:00:00Z
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหาร ของนักศึกษาวิชาทหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
ธงรบ, ขุนสงคราม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3392
2018-01-03T09:12:28Z
2549-01-01T00:00:00Z
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหาร ของนักศึกษาวิชาทหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
ธงรบ, ขุนสงคราม
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหารและความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกกับความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันภายหลังจากเข้ารับการฝึกวิชาทหารของนักศึกษาวิชาทหารมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
2549-01-01T00:00:00Z
ทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน
ธิติ, ปัญญาอินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3391
2018-01-03T09:12:18Z
2549-01-01T00:00:00Z
ทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน
ธิติ, ปัญญาอินทร์
การวิจัยครั้งนีมี้จุดประสงค์ศึกษาและเปรียบเทียบทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน ประชากร คือ ผู้ปกครองที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน ซงึ่ กาลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาขัน้ พืน้ ฐานครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ระดับช่วงชั้นที่ 3-4 จานวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยทดสอบค่าที
(t-test) ค่าความแปรปรวน แบบทางเดียว (One – Way ANOVA) ดังนี้
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ
สุธามาศ, คชรัตน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3390
2018-01-03T09:10:00Z
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ
สุธามาศ, คชรัตน์
งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ และเพื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชา โดยแยกตามชั้นปีและสาขาวิชาที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ – ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษธุรกิจ ชั้นปีที่ 2, 3 และ 4 จานวน 121 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ F - test
2549-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงาน สรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา, รักการศิลป์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3389
2018-01-03T09:09:09Z
2549-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงาน สรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา, รักการศิลป์
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จา นวนประชากรจา นวนทั้งสิ้น 951 ราย ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งชั้น ได้กลุ่มตัวอย่างจา นวน 149 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบสร้างมาตรวัดทัศนคติตามเทคนิคการวัดของลิเกริต์ แบ่งเป็น
5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สาหรับสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเพื่อหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 กลุ่มโดยใช้สถิติ F-test (One-Way Analysis of Variance) ผลการศึกษา พบว่า
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการในการฝึกซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์
สุภาพ, สมศรี
บุญเลี้ยง, ศรีสุข
สราวุธ, ทัศนาวิวัฒน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3388
2018-01-03T08:58:09Z
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการในการฝึกซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์
สุภาพ, สมศรี; บุญเลี้ยง, ศรีสุข; สราวุธ, ทัศนาวิวัฒน์
การวิจัย ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการในการฝึ กซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้จัดการค่ายผู้ฝึกสอน และนักกีฬามวยไทยอาชีพ รวมทั้งหมด จำนวน 298 คนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยาง ระยะที่ 1 กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3387
2018-01-03T08:56:50Z
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยาง ระยะที่ 1 กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย เพื่อศึกษาความพึงพอใจและต้องการของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางพารา เพื่อศึกษาถึงปัญหาการปฏิบัติงานของโครงการปลูกยางพารา เพื่อนำข้อเสนอแนะไปพัฒนาประสิทธิภาพของการดาเนินงานโครงการปลูกยางพารา
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ต่อการจัดสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัย
สมบัติ, พลแย้ม
อุษณีย์, มาลี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3386
2018-01-03T08:54:50Z
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ต่อการจัดสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัย
สมบัติ, พลแย้ม; อุษณีย์, มาลี
การศึกษาความพึงพอใจเกี่ยวกับจัดสภาพแวดล้อมภายใน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจความพึงพอใจของนักศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยทั้งบริเวณภายในอาคารและบริเวณภายนอก ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปี การศึกษา 2549 จำนวน 400 คน
2549-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกศึกษาต่อ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
พวงเพชร, ราชประโคน
สุบิน, อารมณ์
ดวงหทัย, รัตนอารียกรณ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3385
2018-01-03T08:48:02Z
2549-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกศึกษาต่อ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
พวงเพชร, ราชประโคน; สุบิน, อารมณ์; ดวงหทัย, รัตนอารียกรณ์
การศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกศึกษาต่อคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศึกษาภูมิหลังของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาต่อปี ที่ 6 2) เพื่อศึกษาทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อคณะวิทยาศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งเสริมและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเลือกและไม่เลือกศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อคณะวิทยาศาสตร์ของนักศึกษา ตัวอย่างในการศึกษาจำ นวน 320 คน ผลการศึกษามีดังนี้
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการบุคลากรทางการกีฬา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์
พรพรรณ, คำเมือง
เชิดศักด์ิ, แก้วแกมดา
กริชเพชร, นนทโคตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3384
2018-01-03T08:49:26Z
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการบุคลากรทางการกีฬา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์
พรพรรณ, คำเมือง; เชิดศักด์ิ, แก้วแกมดา; กริชเพชร, นนทโคตร
จุดมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการบุคลากรทางการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 300 คน ประกอบด้วย ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล จำนวน 100 คน นายกองค์การบริหารส่วนตาบล จำนวน 100 คน และปลัดองค์การบริหารส่วนตาบล จานวน
100 คน การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามปัญหาและความต้องการบุคลากรทางการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการแจกแจงความถี่และหาค่าร้อยละกำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ดังนี้
2549-01-01T00:00:00Z
วิถีชีวิตกับภูมิปัญญาในการสร้างสุขภาพตนเอง
ปิยาภรณ์, ศิริภานุมาศ
สาธิต, ผลเจริญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3383
2018-01-03T09:04:46Z
2549-01-01T00:00:00Z
วิถีชีวิตกับภูมิปัญญาในการสร้างสุขภาพตนเอง
ปิยาภรณ์, ศิริภานุมาศ; สาธิต, ผลเจริญ
การวิจัยวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในการสร้างสุขภาพตนเอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทของชุมชน รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีของเทศบาลตา บลกระสัง อ.กระสัง จ. บุรีรัมย์ และเพื่อศึกษาวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในการสร้างสุขภาพของผู้มีสุขภาพดีในพื้นที่ดังกล่าว โดยศึกษาจากผู้ที่มีสุขภาพดีที่มีอายุ 40 ปี ขึ้นไป จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต เอกสารและคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูล
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการผลการใช้กากมะพร้าวคั้นกะทิตากแห้งในอาหารต่อ สมรรถภาพการผลิตของไก่กระทง
นฤมล, สมคุณา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3382
2018-01-03T08:53:44Z
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการผลการใช้กากมะพร้าวคั้นกะทิตากแห้งในอาหารต่อ สมรรถภาพการผลิตของไก่กระทง
นฤมล, สมคุณา
คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาผลกำรใช้กำกมะพร้าวคั้นกะทิตำกแห้งในอาหารไก่เนื้อต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตและกำรเปลี่ยนแปลงของท่อทางเดินอาหาร โดยกากมะพร้าวตากแห้งที่ใช้ในสูตรอาหารทดลองเป็นกำกมะพร้าวที่ได้เหลือจำกการคั้นน้ำกะทิที่หาซือได้ง่ายในตลาดสดในท้องถิ่นซึ่งพบว่าจะมีปริมาณของความชืนอยู่มากกว่าการนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์จะต้องตากให้แห้งเพื่อยืดอายุกำรเก็บรักษา ผลการศึกษาพบว่ากากมะพร้าวตากแห้งนั้นสามารถนำมาใช้เป็นอาหารไก่เนื้อได้ที่ระดับไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
นับว่ำเป็นกำรนำใช้ประโยชน์ของวัตถุดิบอำหำรสัตว์ที่หำได้ในท้องถิ่นและมีรำคำถูกมำเป็นอำหำรสัตว์ปีก
ซงึ่ กำรศึกษำนีเ้ป็นประโยชน์ในกำรนำไปเป็นข้อมูลในกำรศึกษำวิจัยด้ำนอำหำรสัตว์กับสัตว์ปีกหรือสัตว์
กระเพำะเดี่ยวชนิดอื่นๆ ต่อไป
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
มัลลิกา, เจริญพจน์
นิตยา, บรรณประสิทธ์ิ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3381
2018-01-03T09:13:36Z
2549-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
มัลลิกา, เจริญพจน์; นิตยา, บรรณประสิทธ์ิ
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการสา รวจความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจา ปี การศึกษา 2549 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย 5 ด้านคือ ความพึงพอใจด้านกายภาพความพึงพอใจด้านความมั่นคง / ความปลอดภัย ความพึงพอใจด้านสังคม ความพึงพอใจด้านการยกย่อง/
ยอมรับนับถือ และความพึงพอใจด้านการประจักษ์ในตัวเอง
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการใช้หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน : กรณีศึกษาโรงเรียนในฝันจังหวัดบุรีรัมย์
โกวิทย์, ไกยสิทธ์ิ
โกวิท, วัชรินทรางกูร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3380
2018-01-03T08:59:46Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการใช้หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน : กรณีศึกษาโรงเรียนในฝันจังหวัดบุรีรัมย์
โกวิทย์, ไกยสิทธ์ิ; โกวิท, วัชรินทรางกูร
การวิจัยครัง้ นีเ้ป็นการวิจัยเชิงบรรยาย( Descriptive reserch) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้หลักสูตรสถานศึกษาขัน้ พืน้ ฐานโรงเรียนในฝันจังหวัดบุรีรัมย์ ในความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ของโรงเรียนในฝันจังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 6 ด้าน คือ
1) การวางแผนการใช้หลักสูตรสถานศึกษาขัั้นพื้นฐาน 2) ด้านการใช้หลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 3) ด้านการวางแผนบริหารหลักสูตร 4) ด้านการนิเทศ กากับติดตาม 5) ด้านการสรุปผลการดาเนินงาน และ 6) ด้านการปรับปรุงพัฒนา
2549-01-01T00:00:00Z
กระบวนการเสริมสรางศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย
ทาหอม, อุทิศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3379
2017-12-02T12:18:45Z
2559-01-01T00:00:00Z
กระบวนการเสริมสรางศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย
ทาหอม, อุทิศ
บทคัดยอ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค คือ 1. เพื่อศึกษาสถานการณปญหาการจัดการตนเองบนฐาน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัด
บุรีรัมย 2. เพื่อวิเคราะหสาเหตุแนวทางการเสริมสรางศักยภาพในการจัดการตนเองบนฐาน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัด
บุรีรัมย 3. เพื่อพัฒนาแนวทางการเสริมสรางศักยภาพในการจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย โดยใช
กระบวนการงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (Community - Base Research: CBR) คณะผูวิจัยทําการเก็บ
รวบรวมขอมูลโดยใชวิธีการสัมภาษณเจาะลึก การสนทนากลุม การจัดเวทีวิเคราะหปญหา การสังเกต
แบบมีสวนรวมและไมมีสวนรวม การเดินสํารวจ การศึกษาขอมูลจากเอกสารตาง ๆ รวมถึงการสืบคน
ขอมูลจากระบบสารสนเทศ ผลการวิจัยพบวา ปาชุมชนริมลําน้ําชีมีปญหาถูกบุกรุก และการใช
ประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ที่ผานมายังไมกฎกติกา ขอหาม ในการอนุรักษ
ฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมปาชุมชนริมลําชี้ จึงเกิดแผนปฏิบัติการในการแกไขปญหา 4
แผนงาน ไดแก 1. แผนการพัฒนากลไกการจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม
ของชุมชนบานเสม็ด ประกอบดวย ตั้งกฎ กติกา ขอหาม แตงตั้งคณะกรรมการ ตั้งกองทุน และจัดทํา
แนวเขตพื้นที่อนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมปาชุมชนริมลําน้ําชี จํานวน 551.74 ไร 2.
แผนการปลูกฝงจิตสํานึกการอนุรักษฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด
ประกอบดวย การจัดกิจกรรมการปลูกปา บวชปา ในวันอาสาฬหบูชาของทุกป และแตงเพลงที่มี
เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติหมูบาน การอนุรักษฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม เพื่อกระตุนและ
ปลูกฝงจิตสํานึกใหกับประชาชนบานเสม็ด 3. แผนประชาสัมพันธเผยแพรขอมูลการอนุรักษฟนฟู
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชนบานเสม็ด ประกอบดวย การจัดทําหนังสือแจงกติกา
การใชประโยชนทั้งในและนอกชุมชน เพื่อใหทราบกฎ กติกา ขอหาม ของชุมชนบานเสม็ด และจัดทํา
ปายประชาสัมพันธกติกาการใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม 4. แผนการสราง
แหลงเรียนรูทองถิ่น โดยจัดทําฐานการเรียนรู 5 ฐาน ไดแก ฐานการเรียนรูธรรมะกับการดูแลรักษาปา
ฐานการเรียนรูตนไมนานาพันธุกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ฐานการเรียนรูมันปากับการพัฒนาที่ยั่งยืน ฐาน
การเรียนรูเห็ดปากับการพัฒนาที่ยั่งยืน และฐานการเรียนรูบรรยากาศปากับการพัฒนาที่ยั่งยืน
2559-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2546 – 2548
ขนิษฐา, ศรีตะวัน
วราลี, โกศัย
วิไลวรรณ, วิไลวรรณ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3378
2018-01-03T08:37:26Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2546 – 2548
ขนิษฐา, ศรีตะวัน; วราลี, โกศัย; วิไลวรรณ, วิไลวรรณ
การศึกษาครั้งนีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2546 – 2548 ต่อการปฏิบัติงานและคุณลักษณะของบัณฑิตในด้านความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม และบุคลิกภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใช้บัณฑิต ได้แก่ หัวหน้าหน่วยงาน นายจ้าง หรือผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมการทางานของบัณฑิตสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้
วิธีส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ และฝากไปกับบัณฑิตที่เข้าร่วมพิธีการซ้อมรับปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในเดือนเมษายน 2550 จานวน 60 ชุด แล้ วให้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่งแบบสอบถามกลับคืนทางไปรษณีย์ ได้รับแบบสอบถามกลับคืนจานวน 44 ชุด คิดเป็นร้อยละ 73.33 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2549-01-01T00:00:00Z
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชา การท่องเที่ยวและการโรงแรมที่เข้าท างานในสถานประกอบการตามทัศนคติ ของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย
หัตถกรรม, รุ่งรัตน์
หัตถกรรม, รุ่งรัตน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3377
2017-12-02T12:15:11Z
2559-01-01T00:00:00Z
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชา การท่องเที่ยวและการโรงแรมที่เข้าท างานในสถานประกอบการตามทัศนคติ ของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย
หัตถกรรม, รุ่งรัตน์; หัตถกรรม, รุ่งรัตน์
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาการท่องเที่ยว
และการโรงแรมที่เข้าท างานในสถานประกอบการตามทัศนคติของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เข้า
ท างานในสถานประกอบการตามทัศนคติของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเปรียบเทียบ
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เข้าท างานในสถานประกอบการตามทัศนคติ
ของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์ และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตร
ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าของกิจการ ผู้จัดการหรือแผนกบุคคล/ฝุายทรัพยากรมนุษย์ของหน่วยงานและสถานประกอบการ
ในจังหวัดบุรีรัมย์ที่รับบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาในปี 2556-2557 จากสาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรมเข้า
ท างาน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ผลการวิจัย พบว่า
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เข้าท างานในสถานประกอบการ
ตามทัศนคติของผู้บริหารสถานประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์
1.ด้านคุณธรรมและจริยธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพ ผู้บริหารสถานประกอบการมี
ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวมคือ 4.14 ในระดับมาก ประกอบด้วยมีความซื่อสัตย์สุจริต และซื่อตรงต่อหน้าที่ที่
ได้รับมอบหมาย ค่าเฉลี่ย 4.16 มีระเบียบวินัยในการท างาน และปฏิบัติงานตามกฎระเบียบข้อบังคับของ
องค์กรและสังคม ค่าเฉลี่ย 4.16 ความตรงต่อเวลาค่าเฉลี่ย 3.83 ความรับผิดชอบในหน้าที่ค่าเฉลี่ย 4.33 ความ
ขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติงาน ค่าเฉลี่ย 4.16 มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ค่าเฉลี่ย 4.16 ความมีน้ าใจ เสียสละ
และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นค่าเฉลี่ย 4.33 มีคุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงานและการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น
อย่างสม่ าเสมอค่าเฉลี่ย 4.00ค
2. ด้านความรู้ความสามารถพื้นฐานที่ส่งผลต่อการท างาน มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวม คือ
4.12 ในระดับมาก ประกอบด้วยการมีทักษะในการสื่อสาร (พูด) แสดงออกต่อหน้าผู้ร่วมงานได้อย่างเหมาะสม
มีค่าเฉลี่ย 4.16 มีการคิดริเริ่มสร้างสรรค์และเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ มีค่าเฉลี่ย 4.00 มีความสามารถในการ
จัดระบบงานและควบคุมงานมีค่าเฉลี่ย 4.16 มีความสามารถในการบริหารงานค่าเฉลี่ย 4.16 การมีทักษะ
ความสามารถในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายค่าเฉลี่ย 4.16
3. ด้านทักษะทางปัญญามีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวมคือ 4.12 ในระดับมาก ประกอบด้วย
สามารถแสดงความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ถูกต้องและรวดเร็ว ค่าเฉลี่ย 4.16 มีความสามารถ
ประยุกต์ใช้ทรัพยากรในหน่วยงานอย่างคุ้มค่าค่าเฉลี่ย 4.33 สามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาความขัดแย้ง
รวมทั้งหาแนวทางปูองกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องค่าเฉลี่ย 3.83 มีการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง
อยู่เสมอค่าเฉลี่ย 4.16
4. ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวม
คือ 4.12 ในระดับมาก ประกอบด้วย ภาวะความเป็นผู้น าค่าเฉลี่ย 4.00 การปรับตัวให้เข้ากับหน่วยงานและ
เพื่อนร่วมงานค่าเฉลี่ย 4.33 การควบคุมอารมณ์ของตนเอง ค่าเฉลี่ย 4.00 ความสามารถในการปฏิบัติงาน
ร่วมกับผู้อื่นค่าเฉลี่ย 4.16
5. ด้านทักษะการสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจรวมคือ
4.12 ในระดับมาก ประกอบด้วยความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร ส่งแฟกซ์ เครื่องคิดเงิน และอื่นๆ) ค่าเฉลี่ย 4.33 ความสามารถในใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงาน หรือองค์กร ในการติดต่อสื่อสาร และการน าเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ค่าเฉลี่ย 4.33 ความสามารถในการใช้เทคนิคพื้นฐานในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการน าเสนอค่าเฉลี่ย
4.16 มีความสามารถในการสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ค่าเฉลี่ย 3.66
แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 แนวทางการพัฒนาผลการ
เรียนรู้ในแต่ละด้านตามกรอบมาตรฐาน ได้แก่ 1. ด้านคุณธรรม จริยธรรม 2. ด้านความรู้ 3. ด้านทักษะทาง
ปัญญา 4. ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5. ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข
การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยปรับกลยุทธ์การสอนและกลยุทธ์การประเมินผลการเรียนรู้ด้าน
นี้โดยการเพิ่มค่าคะแนนการตรงต่อเวลาในการนัดหมาย การส่งงาน และการท ากิจกรรมอื่นๆ ในรายวิชานั้น
ทุกรายวิชาที่มีสอนในแต่ละภาคการศึกษา โดยต้องมีการชี้แจงความส าคัญของการตรงต่อเวลาให้ผู้เรียนได้
ทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักให้ความส าคัญต่อเรื่องของเวลาให้สอดคล้องกับการท างานใน
อนาคต แนวทางที่ 2 แนวทางการบริหารทรัพยากรการเรียนการสอน โดยการจัดหาสถานที่ หรือ แหล่งเรียนรู้
เพื่อฝึกปฏิบัติมากขึ้น ทั้งบุคลากรผู้สอน ผู้เชี่ยวชาญ และ ห้องปฏิบัติการ และแนวทางที่ 3 การเพิ่ม
รายละเอียดเนื้อหาในค าอธิบายรายวิชาในประเด็นการฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น
ค าส าคัญ : คุณลักษณะที่พึงประสงค์, ผู้ส าเร็จการศึกษา, ทัศนคติของผู้บริหารสถานประกอบการ
2559-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจมโนทัศน์เรื่องฟังก์ชันกับ เรื่องอนุพันธ์ ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา กรณีศึกษา : นักศึกษาชั้นปี ที่ 2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เกษสุดา, บูรณพันศักด์ิ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3376
2018-01-03T08:44:28Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจมโนทัศน์เรื่องฟังก์ชันกับ เรื่องอนุพันธ์ ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา กรณีศึกษา : นักศึกษาชั้นปี ที่ 2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เกษสุดา, บูรณพันศักด์ิ
เพื่อศึกษาความเข้าใจมโนทัศน์เรื่องฟังก์ชันของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาความเข้าใจมโนทัศน์เรื่องอนุพันธ์ของนักศึกษาชั้นปี ที่ 2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเข้าใจมโนทัศน์เรื่องฟังก์ชันกับเรื่องอนุพันธ์ของนักศึกษาชั้นปี ที่ 2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของ คณะวิทยาการจัดการ
จันทิราพร, ศิรินนท์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3375
2018-01-04T05:00:32Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของ คณะวิทยาการจัดการ
จันทิราพร, ศิรินนท์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการที่มีต่อ
ระบบการเรียนการสอน และเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการ
สอนของคณะวิทยาการจัดการ จา แนกตามเพศ ระดับการศึกษา ชั้นปี ที่ศึกษา และสาขาวิชา
ประชากรในการวิจัยประกอบด้วย นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการภาคปกติทุกชั้นปี จา นวน 8
สาขาวิชาที่กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1/2550 ประกอบด้วย สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ (การบัญชี)
สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ (การตลาด) สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ (การบริหารทรัพยากรมนุษย์)
สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ (คอมพิวเตอร์ธุรกิจ) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สาขาวิชานิเทศศาสตร์
สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสาขาวิชาการจัดการทั่วไป เป็นจา นวนทั้งสิ้น 1,851 คนโดย
การใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) และกา หนดกลุ่มตัวอย่างจา นวน 333 คน
เครื่องมือในการวิจัยใช้แบบสอบถามโดยแบ่งปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอน
ออกเป็น 4 ด้านคือ ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านบุคลากร (ผู้สอน) ด้านสื่อการเรียนการสอน
ด้านสภาพแวดล้อม อาคาร สถานที่ และนา แบบสอบถามที่ได้มาทา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม
สาเร็จรูป SPSS for Windows เพื่อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
การทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการ
ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยรายคู่โดยวิธีการทดสอบแบบเชฟเฟ่ (Scheffe’ method)
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษากระบวนการคิดเชิงมโนทัศน์เพื่อ บูรณาการวิธีคิดของเด็กไทย : กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
ดวงใจ, ลิ้มอำไพ
เกษสุดา, บูรณพันศักด์ิ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3374
2018-01-03T08:46:37Z
2549-01-01T00:00:00Z
การศึกษากระบวนการคิดเชิงมโนทัศน์เพื่อ บูรณาการวิธีคิดของเด็กไทย : กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
ดวงใจ, ลิ้มอำไพ; เกษสุดา, บูรณพันศักด์ิ
กำรวิจัยครั้งนีมี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการคิดเชิงมโนทัศน์ของครู – อาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ ตำมกระบวนกำรคิดเชิงมโนทัศน์ ของครู – อำจำรย์ กลุ่มสำระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในจังหวัดบุรีรัมย์ นำไปสู่กำรบูรณาการ วิธีคิดของเด็กไทย
2549-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติที่จำเป็นของนักบัญชีในการให้บริการของสำนักงานบัญชี ในจังหวัดบุรีรัมย์
ดาระณี, สุรินทรเสรี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3373
2018-01-03T08:43:21Z
2549-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติที่จำเป็นของนักบัญชีในการให้บริการของสำนักงานบัญชี ในจังหวัดบุรีรัมย์
ดาระณี, สุรินทรเสรี
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการดำเนินธุรกิจของสำนักงานบัญชี ในจังหวัดบุรีรัมย์ และศึกษาคุณสมบัติที่จำเป็นของนักบัญชีในการให้บริการของสำนักงานบัญชี ในจังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรในการศึกษา ประกอบด้วย สำนักงานบัญชีทั้งหมดในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 10 สำนักงาน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย และนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ เพื่อหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows ผลการวิจัยพบว่า
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการบุคลากรทางพลศึกษาของสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา บุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ศรีสุข
คาเมือง, พรพรรณ
รุ่งเรืองศิลป์, พรพิมล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3372
2017-12-02T12:01:19Z
2549-01-01T00:00:00Z
ปัญหาและความต้องการบุคลากรทางพลศึกษาของสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา บุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ศรีสุข; คาเมือง, พรพรรณ; รุ่งเรืองศิลป์, พรพิมล
การวิจัย ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการบุคลากรทางพลศึกษา
ของสถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ บุรีรัมย์ เพื่อนา ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย
ไปพัฒนาหลักสูตรสาขาวิชาพลศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น ประชากรและกลุ่ม
ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
บุรีรัมย์ ทั้งหมด จา นวน 67 โรงเรียน ๆ ละ 2 คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา จา นวน
1 คน และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา จานวน 1 คน สังกัดสานักงานเขต
พื้นที่การศึกษา บุรีรัมย์ รวมทั้งหมด 134 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวม ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้
คือ แบบสอบถามปัญหาและความต้องการบุคลากรทางพลศึกษาของ สถานศึกษา ระดับมัธยมศึกษา
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา บุรีรัมย์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจง
ความถี่และหาค่าร้อยละ
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้ใบไมยราบยักษ์ในอาหารปลาดุกลูกผสม
บรรเจิด, สอนสุภาพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3371
2017-12-02T11:58:22Z
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้ใบไมยราบยักษ์ในอาหารปลาดุกลูกผสม
บรรเจิด, สอนสุภาพ
การศึกษาเรื่องผลของการใช้ใบไมยราบยักษ์ในอาหารปลาดุกลูกผสม ได้ดาเนินการทดลอง
โดยใช้ใบไมยราบยักษ์ผสมในสูตรอาหารต่างกัน 3 ระดับ (0, 10 และ 20 เปอร์เซ็นต์) จานวน 3 ซา้
และวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ ทาการเลีย้ งเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ในบ่อซีเมนต์กลม ขนาด
ความจุ 0.34 ลูกบาศก์เมตร จานวน 50 ตัวต่อบ่อ พบว่าปลาดุกลูกผสมที่ได้รับอาหารที่ผสมใบไมยราบ
ยักษ์ 20 เปอร์เซ็นต์ มีค่าสูงสุด เท่ากับ 27.22 5.25 กรัม ความยาวเฉลี่ยเท่ากับ 15.54 0.60
เซนติเมตร และนา้ หนักเฉลี่ยที่เพิ่มขึน้ ต่อวันเท่ากับ 0.26 0.60 กรัมต่อตัวต่อวัน แต่ไม่มีความ
แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ซึ่งมีอัตราการรอดตายเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการเปลี่ยน
อาหารเป็นเนือ้ เท่ากับ 1.67 0.21ต่างจากปลาดุกลูกผสมที่ได้รับอาหารที่ผสมใบไมยราบยักษ์ 10
เปอร์เซ็นต์ อย่างเห็นได้ชัด (p<0.05)
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการฝึกทักษะของนักศึกษา คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อุษณีย์, มาลี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3370
2017-12-22T05:17:27Z
2549-01-01T00:00:00Z
โครงการวิจัยการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการฝึกทักษะของนักศึกษา คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อุษณีย์, มาลี
การศึกษาความพึงพอใจเกี่ยวกับจัดสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการฝึกทักษะของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจความพึงพอใจของนักศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการในการฝึกทักษะของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
ได้แก่นักศึกษาคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปี การศึกษา 2549 จา นวน
300 คน
2549-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อรรณพ, แสงภู
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3369
2018-01-03T09:01:44Z
2549-01-01T00:00:00Z
พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อรรณพ, แสงภู
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิ ดรับข่าวสาร เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประชาชนในเขต อา เภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และเพื่อศึกษารูปแบบการนาเสนอข่าวสาร เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย
2549-01-01T00:00:00Z
กลวิธีการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อนุ, ยอดพรหมมินทร์
นวมินทร์, ประชานันท์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3368
2017-12-02T11:51:09Z
2549-01-01T00:00:00Z
กลวิธีการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อนุ, ยอดพรหมมินทร์; นวมินทร์, ประชานันท์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรี ยบเทียบการใช้กลวิธีการเรี ยน
ภาษาอังกฤษของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประชากรและ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปี ที่ 1-4 ภาคเรียน
ที่ 1 ปีการศึกษา 2550 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จาก 4 แขนงวิชา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ค.บ.
ภาษาอังกฤษ ศศ.บ. ภาษาอังกฤษธุรกิจ และภาษาอังกฤษ-วิชาโทภาษาญี่ปุ่น โดยวิธีการสุ่ม
อย่าง่าย จานวน 193 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้นามา
วิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป SPSS เพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน t-test และ one-way ANOVA
2549-01-01T00:00:00Z
ทัศนคติของนักศึกษาโปรแกรมวิชาศิลปกรรมที่มีต่อ การจัดการเรียนการสอน ในโปรแกรมวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อโนทัย, ประสาน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3367
2017-12-02T11:47:16Z
2549-01-01T00:00:00Z
ทัศนคติของนักศึกษาโปรแกรมวิชาศิลปกรรมที่มีต่อ การจัดการเรียนการสอน ในโปรแกรมวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อโนทัย, ประสาน
ทัศนคติของนักศึกษาในโปรแกรมวิชาศิลปกรรมที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนใน
โปรแกรมวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
ครั้งนี้ได้แก่ นักศึกษาโปรแกรมวิชาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปี การศึกษา 2549
จา นวน 97 คน
2549-01-01T00:00:00Z
การคัดแยกแบคทีเรียกรดแลคติกโปรไบโอติกในการยับยั้งการเจริญ แบคทีเรียก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร
Sansuk, Tepupsorn
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3366
2017-12-01T09:42:46Z
2555-01-01T00:00:00Z
การคัดแยกแบคทีเรียกรดแลคติกโปรไบโอติกในการยับยั้งการเจริญ แบคทีเรียก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร
Sansuk, Tepupsorn
แบคทีเรียกรดแลคติกมีความสำคัญในแง่การรักษา และแปรรูปอาหาร สารที่ผลิตได้จากแบคทีเรีย
กรดแลคติกมีหลายชนิดที่สามารถยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในอาหารที่เป็นสาเหตุการเน่าเสีย
ของอาหารได้ การวิจัยนี้มีการนำตัวอย่างอาหารหมักดองที่มีวัตถุดิบจากพืช
2555-01-01T00:00:00Z
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3365
2017-12-01T09:32:37Z
2558-01-01T00:00:00Z
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
งานวิจัยนีม้ ุ่งหาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่พืชสมุนไพรที่มีการใช้อยู่ทวั่ ไป พร้อมทัง้
ตรวจสอบหาสารต้านจุลชีพชนิดใหม่ แก่นครีเ้ ป็นสมุนไพรไทยที่มีสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์
หลากหลายชนิด การศึกษาครัง้ นีจึ้งใช้สารสกัดหยาบจากแก่นครีที้่สกัดด้วยเมทานอลมาทดสอบ
ประสิทธิภาพการยับยัง้ จุลชีพชนิดต่างๆ โดยเป็นแบคทีเรียแกรมบวก 2 สายพันธ์ุ (Bacillus
cereus แ ล ะ Enterococcus faecium) แบค ที เรี ย แก รม ลบ 4 ส ายพัน ธ์ุ (Acenetobactor
baumannii ATCC 19606, Escherichia coli ATCC 25922, Klebsiella pneumoniae ATCC
70 0 6 03 แ ล ะ Pseudomonsa aeruginosa PAO1 ) ก ลุ่ม เชื ้อ รา 4 ส ายพั น ธ์ุ (Alternaria
brassicicola, Candida albicans, Curvularia lunata และ Magnaporthe grisea) การทดสอบ
ใช้เทคนิควิธีทางสเปกโตรโฟโตรเมตรีและสเปกโตรฟลูออโรเมตรี และรายงานค่าความเข้มข้นที่
น้อยที่สุดของสารสกัดที่สามารถยับยัง้ การเจริญของจุลชีพได้ที่ร้อยละ 90 (MIC90) ผลการทดสอบ
พบว่าสารสกัดจากแก่นครีมี้ผลยับยัง้ การเจริญของเชือ้ B. cereus ได้ดีที่สุด โดยมีค่าและมีค่า
MIC90 เป็น 12.5 μg/mL และสามารถยับยัง้ การเจริญเติบโตได้ถึง 99.85% และ 100% ที่ความ
เข้มข้น 25 และ 50 μg/mL ตามลาดับ ศักยภาพในการยับยัง้ เชือ้ B. Cereus ของสารสกัดจาก
แก่นครีจ้ ะสามารถนาไปพัฒนาเป็นสารป้องกันการบูดเน่าของอาหารประเภทแป้งได้ ในขณะที่การ
ทดสอบฤทธิ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ เมื่อใช้สารสกัดจากแก่นครีที้่ความเข้มข้นสูงสุดในการทดลอง (50
μg/mL) พบว่ายังไม่สามารถยับยัง้ การเจริญได้ ดังนัน้ จึงประเมินได้ว่าสารสกัดจากแก่นครียั้งไม่มี
ประสิทธิภาพพอที่จะนามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ ยกเว้น B. cereus
2558-01-01T00:00:00Z
ภาวะการมีงานทำและความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สุชาดา สานุสันต์, นิจพร ณ พัทลุง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3364
2018-01-08T08:58:17Z
2556-01-01T00:00:00Z
ภาวะการมีงานทำและความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สุชาดา สานุสันต์, นิจพร ณ พัทลุง
2554 ซึ่งคณะฯ ได้ดำเนินการการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตโดยการกรอกแบบสอบถามและการ
สัมภาษณ์ผู้ใช้บัณฑิต ได้แก่ นายจ้าง/หัวหน้า/ผู้บังคับบัญชาของบัณฑิต ทั้งนี้การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการ
ตั้งแต่วันที่30 เมษายน – 12 กรกฎาคมคม 2555 สรุปประเด็นที่สำคัญได้ ดังนี้
ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต ซึ่งประกอบด้วย ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านความรู้ ด้าน
ทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิง
ตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ
5 ด้าน เท่ากับ 4.50 จัดอยู่ในระดับดี และคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตตามอัตลักษณ์ (สำนึกดี มี
คุณธรรม) เท่ากับ 4.35 จัดอยู่ในระดับดี
การติดตามผลผู้สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี จากคณะเทคโนโลยีการเกษตรมหาวิทยาลัยราชภัฏ
บุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2554 (ปีงบประมาณ 2555) มีเป้าหมายสำคัญเพื่อศึกษาภาวะการมีงานทำของ
ผู้สำเร็จการศึกษา เพื่อนำผลที่ได้มาใช้สำหรับการวางแผนรองรับและเปิดสอนในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความ
ต้องการ ของชุมชนท้องถิ่น การเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ผู้วิจัยทำการเก็บรวมรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม
ภาวะการมีงานทำของบัณฑิตและการโทรศัพท์สัมภาษณ์นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ในปีการศึกษา 2554 มี
จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาทั้งสิ้น 50 คน สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้จำนวน 39 คิดเป็นร้อยละ 78 ของ
ผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ข้อมูลเบื้องต้นของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า บัณฑิตที่ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ส่วน
ใหญ่ที่สำเร็จการศึกษาในการเรียนภาคปกติ สาขาวิชาที่บัณฑิตสำเร็จการศึกษามากที่สุด คือ สาขาวิชา
เกษตรศาสตร์ รองลงมา สาขาวิชาประมง สาขาสัตวศาสตร์
2. ภาวการณ์มีงานทำของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราช
ภัฏบุรีรัมย์ พบว่าร้อยละ 56.41 ของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาได้ทำงานแล้ว (เป็นข้อมูลหลังจากบัณฑิตจบการศึกษาแล้ว 2 เดือน) ลักษณะงานที่ทำส่วนใหญ่ไม่ตรงสาขา โดยได้รับเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยสูงกว่าวุฒิ
การศึกษา
3. ผลการวิเคราะห์ภาวะการมีงานทำของบัณฑิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏ
บุรีรัมย์ ร้อยละของบัณฑิตระดับปริญญาตรีที่ได้งานทำหรือประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 1 ปี (เป็น
ข้อมูลหลังจากบัณฑิตจบการศึกษาแล้ว 2 เดือน) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ประจำ ปีงบประมาณ 2554 คิด
เป็นร้อยละ 56.41
ร้อยละของบัณฑิตระดับปริญญาตรีที่ได้งานทำตรงสาขาที่สำเร็จการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
บุรีรัมย์ ประจำปี2554 คิดเป็นร้อยละ 50
คำสำคัญ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ภาวะการมีงานทำ ความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต
คณะเทคโนโลยีการเกษตร
2556-01-01T00:00:00Z
ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสาหรับผู้ให้บริการสนับสนุนการท่องเที่ยว จังหวัดบุรีรัมย์
นรินทร์, เจตธำรง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3363
2018-01-09T09:25:47Z
2557-01-01T00:00:00Z
ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสาหรับผู้ให้บริการสนับสนุนการท่องเที่ยว จังหวัดบุรีรัมย์
นรินทร์, เจตธำรง
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีเพื่อ 1) เพื่อสร้างชุดความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสาหรับผู้ให้บริการสนับสนุนการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ โดยการจัดทาชุดการสอนความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสาหรับผู้ให้บริการสนับสนุนการท่องเที่ยว ในจังหวัดบุรีรัมย์ และทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการสอน กับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ หลังจากการเรียนรู้ด้วยชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม จานวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) ชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน และหลังเรียนด้วยชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อชุดการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านการท่องเที่ยว ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D.; The objective of this study is 1) to create a series of Communicative English for Tourism Service Providers in Buriram. By preparing a set of teaching of Communicative English for Tourism Service Providers in Buriram and tryout to determine the effectiveness of teaching with students of Buriram Rajabhat University, criteria 80/80 2) to compare the results between the pretest and posttest with a series of Communicative English for Tourism 3) to assess the satisfaction of Buriram Rajabhat University’s students. After learning a set of teaching English for communication in tourism, the sample used in this study include 20 students of Hotel and Tourism Program. The instruments used in the study are 1) a teaching set of Communicative English for Tourism 2) pretest and posttest with a series of Communicative English for Tourism 3) satisfaction with the set of teaching English for communication in tourism. In terms of data analysis, the data was analyzed using statistical averages and standard deviation SD.
2557-01-01T00:00:00Z
ความพึงพอใจเกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้อง ตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เอมอร, แสวงวโรตม์
รุ่งรัตน์, โสภา
สายใจ, ทันการ
ผกามาศ, มูลวันดี
แก้วมณี, อุทิรัมย์
ยุพิน, คาใจ
พรพิมล, ระตาภรณ์
รัฐเขต, ปัญญาสิทธิ์
พรพรรรณ, แสงแก้ว
สายทอง, เปลินศิริ
ธงชัย, ชวดรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3362
2017-12-01T09:29:37Z
2558-08-26T00:00:00Z
ความพึงพอใจเกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้อง ตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เอมอร, แสวงวโรตม์; รุ่งรัตน์, โสภา; สายใจ, ทันการ; ผกามาศ, มูลวันดี; แก้วมณี, อุทิรัมย์; ยุพิน, คาใจ; พรพิมล, ระตาภรณ์; รัฐเขต, ปัญญาสิทธิ์; พรพรรรณ, แสงแก้ว; สายทอง, เปลินศิริ; ธงชัย, ชวดรัมย์
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพ อใจเกี่ยวกับการดาเนินงาน ของ
คณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ และเปรียบเทียบความพึงพอใจ
เกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จาแนกตามเพศ ประเภทบุคลากร สาขาวิชา
แ ล ะ อ า ยุแ ต ก ต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้สามารถนาไป พัฒ น าก ระ บ ว น ก าร ดา เนิน งาน ข อ ง
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรัมย์ ให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ของ
คณ ะฯ และมหาวิทยาลัยต่อไป ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากอาจารย์ และพนักงานเจ้าหน้าที่
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จานวน 51 คน และนักศึกษา คณะวิทยาการ
จัดการ จานวน 469 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
สถิติพื้นฐาน ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน และสถิติทดสอบสมมติฐาน
ประกอบด้วย t-test และ F-test
ผลกำรวิจัย พบว่ำ
1. อาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ และนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ประเภท
บุคลากรเป็นนักศึกษา สาขาวิชาสาขาวิชาการบัญชี และอายุ 21 - 25 ปี
2. ความพึงพอใจเกี่ยวกับการ ดาเนินงานของคณ ะวิทยาการจัดการที่
สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สิ่งที่ค้นพบจากการวิจัย ด้านอัตลักษณ์คือ คณะวิทยาการจัดการมีการกาหนดคุณลักษณะ “บัณฑิตมี
สานึกดี มีความรู้คู่คุณธรรม นาชุมชนพัฒนา” ให้เป็นอัตลักษณ์ของนักศึกษาและเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อ
สังคม และมีการผลิตบัณฑิตให้มีความรู้คู่คุณธรรมเพื่อนาไปสู่การพัฒนาท้องถิ่น มีการจัดหลักสูตร
ที่เน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์นักศึกษา
และคณะฯ ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานักศึกษาให้ “บัณฑิตมีสานึกดี มีความรู้คู่คุณธรรม นาชุมชนพัฒนา” ด้านเอกลักษณ์ คือมีการสนับสนุนให้นักศึกษาและบุคลากรเข้าร่วมกิจกรรม/การประกวด/
การแข่งขัน ที่จัดโดยหน่วยงานภายนอกในระดับชาติและนานาชาติ มีการบริหารจัดการโดยยึดหลัก
ธรรมาภิบาล และมีการส่งเสริมและเปิดโอกาสให้อาจารย์ และบุคลากรมีส่วนร่วมในการสะท้อนที่เน้น
การจัดการเรียนการสอนและพัฒนาท้องถิ่นที่เป็นที่พึ่งของสังคม และด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ
เป้าประสงค์ คณะวิทยาการจัดการมีการดาเนินงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาบัณฑิตให้มีคุณธรรม
จริยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพต่าง ๆ มีการดาเนินงานที่ส่งผลต่อการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรม
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่น และมีการดาเนินงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาบัณฑิตให้
เป็นบัณฑิตที่มีความรู้ดี ทักษะเด่น เน้นคุณธรรม นาสังคม
3. การเปรียบเทียบความพึงพอใจเกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะวิทยาการ-
จัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
บุรีรัมย์ จาแนกตามสาขาวิชา พบว่า อาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ และนักศึกษา สาขาวิชาการ
ท่องเที่ยวและการโรงแรม สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร สาขาวิชาการ
จัดการ และสาขาวิชาการตลาด มีความพึงพอใจเกี่ยวกับการดาเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ
ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ด้านอัตลักษณ์ ด้านเอกลักษณ์ และด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ มากกว่า อาจารย์ และ
นักศึกษา สาขาวิชาการบัญชี
2558-08-26T00:00:00Z
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของภรรยาไทยกับสามีชาวต่างชาติในจังหวัดบุรีรัมย์
Sisopon, Thong-Chai
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3361
2017-12-01T09:29:14Z
2555-01-01T00:00:00Z
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของภรรยาไทยกับสามีชาวต่างชาติในจังหวัดบุรีรัมย์
Sisopon, Thong-Chai
การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของภรรยาไทยกับสามีชาวต่างชาติในจังหวัดบุรีรัมย์ 4 ด้าน ผลการศึกษา0
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย
อุภาวัณณ์, นามหิรัญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3359
2017-12-01T09:28:18Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย
อุภาวัณณ์, นามหิรัญ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย 2) สร้างแบบประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย 3) หาดัชนีความสอดคล้องของกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้เฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย จานวน 78 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาได้มาจากการเลือกสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เป็นนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย จานวน 30 คน ในกิจกรรมการเตรียมความพร้อมด้านการสอนด้วยการทดลองสอนแบบจุลภาคใช้เวลาเรียนต่อเนื่อง 15 สัปดาห์ ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558–มีนาคม พ.ศ. 2559; The purpose of this research was to (1) develop framework of competency assessment on learning management and specific content knowledge for Thai student teachers, (2) develop competency assessment form on learning management and specific content knowledge of Thai student teachers (3) investigate the Rater Agreement Index (RAI) of framework of competency assessment on learning management and achievement of specific content knowledge of Thai student teachers. The population in this research was 78 student teachers in the Thai program, Faculty of Education and Sample was 30 Thai student teachers in the Thai Program, Faculty of Education, who were obtained by Simple Random Sampling, whose activity of preparation in micro-teaching instruction was undertaken across 15 weeks during August 2015 to March 2016
2557-01-01T00:00:00Z
ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
เบญจพร, วรรณูปถัมภ์
บุญเลี้ยง ทุมทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3358
2017-12-01T09:28:12Z
2555-01-01T00:00:00Z
ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
เบญจพร, วรรณูปถัมภ์; บุญเลี้ยง ทุมทอง
บทคัดย่อ
โครงการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อประเมินระดับสมรรถนะของบุคลากรใน
มหาวิทยาลัย และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การเสริมพลังอำนาจในงาน
บรรยากาศองค์กรกับสมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากร
ที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้นจำนวน 72 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบ
สอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยเป็นดังนี้
1. ระดับสมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มากที่สุด 3 ลำดับแรกคือ ด้าน
การมุ่งเน้นการให้บริการ( X =3.63) ด้านการทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์( X =3.58) และด้านคุณธรรม
และจริยธรรม( X =3.55) โดยลำดับแรกของแต่ละด้านได้แก่ การให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจน
และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ตามที่ผู้รับบริการต้องการ( X =3.70) ความขยัน อดทน เอาใจใส่งานใน
หน้าที่รับผิดชอบ( X =3.61) มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน( X =3.69)
การสืบค้นข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพตนเองและองค์กร( X =3.59) ความสามารถในการกล้าคิด
กล้าตัดสินใจและให้คำแนะนำ ปรึกษาได้( X =3.61) ความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น( X =3.57) การพูด
อย่างสร้างสรรค์และพัฒนา( X =3.57) งานที่รับผิดชอบสามารถกำหนดเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดได้
อย่างเป็นรูปธรรม( X =3.55) การคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ คิดในเชิงบูรณาการ( X =3.51) การตัดสินใจแก้
ปัญหาได้อย่างมีขั้นตอน ถูกต้องและเหมาะสม( X =3.48) และการดูแลและรักษาเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์
อย่างสม่ำเสมอ( X =3.36)
2555-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติการศึกษาในระดับปริญญาตรีของนักศึกษา สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม
กนกเกล้า, แกล้วกล้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3357
2017-12-01T09:26:56Z
2556-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติการศึกษาในระดับปริญญาตรีของนักศึกษา สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม
กนกเกล้า, แกล้วกล้า
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อเจตคติการศึกษาในระดับปริญญาตรีของนักศึกษา สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม จานวน 175 คน วิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่และหาค่าร้อยละ ตามลาดับ ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 18–20 ปี กาลังศึกษาอยู่ในระดับการศึกษาชั้นปีที่ 1จานวน 67 คน มีเกรดเฉลี่ยสะสม 2.51 – 3.00 อาชีพบิดามารดาของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของบิดามารดารวมกัน ส่วนใหญ่มีรายได้ 10,000 – 20,000 บาท และมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จานวน 2 คน
2556-01-01T00:00:00Z
ผลของการใช้ปุ๋ยคอกมูลไก่ และปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร ในระบบการผลิตข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่
วนิดา วัฒนพายัพกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3355
2017-12-01T09:26:02Z
2558-01-01T00:00:00Z
ผลของการใช้ปุ๋ยคอกมูลไก่ และปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร ในระบบการผลิตข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่
วนิดา วัฒนพายัพกุล
ท้าการวิจัยที่แปลงนาทดลอง ของสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และแปลงนาเกษตรกร อ้าเภอล้าปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยคอกมูลไก่ และปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร ในระบบการผลิตข้าวพันธุ์ไรซ์เบอรี่เก็บ
ตัวอย่างดินก่อนและหลังหว่านปอเทือง ปักด้าข้าวไรซ์เบอรี่วางแผนการทดลองแบบ Completely
randomized design (CRD) กรรมวิธีการใส่ปุ๋ย ได้แก่ 1. ไม่ใส่ปุ๋ยใด ๆ (ควบคุม) 2. ปุ๋ยคอกมูลไก่ อัตรา
300 กิโลกรัมต่อไร่ 3. ปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร อัตรา 1 ต่อน้า 20 ลิตร 4. ปุ๋ยคอกมูลไก่ อัตรา 300 กิโลกรัมต่อ
ไร่ ร่วมกับปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร อัตรา 1 ต่อน้า 20 ลิตร กรรมวิธีละ 3 ซ้า ผลการทดลองพบว่ากรรมวิธีการ
ใส่ปุ๋ย และไม่ใส่ปุ๋ยพบว่า ไม่มีผลท้าให้น้าหนักแห้งของล้าต้น จ้านวนรวงต่อกอ และจ้านวนเมล็ดดีต่อรวง
มีความแตกต่างทางสถิติ แต่มีผลท้าให้จ้านวนหน่อต่อกอ จ้านวนเมล็ดลีบ คุณภาพการขัดสี น้าหนัก 100
เมล็ด และผลผลิตมีความแตกต่างอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ โดยกรรมวิธีใส่ปุ๋ยคอกมูล ไก่ อัตรา 300
กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยน้าหมักมูลสุกร อัตรา 1 ต่อน้า 20 ลิตร มีผลผลิตสูงสุดถึง 820 กิโลกรัมต่อไร่
และคุณสมบัติทางเคมีดินก่อนหว่านปอเทืองของชุดดินสตึกมีค่าอินทรียวัตถุ โพแทสเซียมที่สกัดได้และ
ปริมาณไนโตรเจนทั งหมดสูงกว่าชุดดินชุมพวง คุณสมบัติของดินก่อนและหลังหว่านปอเทืองพบว่า ชุดดิน
สตึกมีค่าความเป็นกรด-ด่าง ค่าการน้าไฟฟ้า ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์สูงกว่าชุดดินชุมพวง
ในขณะที่หลังจากหว่านปอเทืองในชุดดินชุมพวงมีปริมาณไนโตรเจนทั งหมด โพแทสเซียมที่สกัดได้ และ
ปริมาณอินทรียวัตถุของชุดดินชุมพวงมีค่ามากกว่าชุดดินสตึก ส่วนชุดดินทั งสองชุดหลังปลูกข้าวไรซ์เบอรี่
ไม่มีผลท้าให้ค่าความเป็นกรด-ด่าง ค่าการน้าไฟฟ้า ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณไนโตรเจนทั งหมด
ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และโพแทสเซียมที่สกัดได้มีความแตกต่างทางสถิติ
2558-01-01T00:00:00Z
วัสดุกันกระแทกจากไฟเบอร์กลาสผสมยางพารา
อุกฤษฎ์, นาจาปา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3354
2017-12-01T09:25:57Z
2558-01-01T00:00:00Z
วัสดุกันกระแทกจากไฟเบอร์กลาสผสมยางพารา
อุกฤษฎ์, นาจาปา
งานวิจัยการผลิตแผ่นวัสดุกันกระแทกจากไฟเบอร์กลาสผสมยางพารา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิธีการผลิตแผ่นวัสดุกันกระแทกจากไฟเบอร์กลาสผสมน้้ายางพารา ในอัตราส่วนที่เหมาะสมในการประยุกต์ในระดับอุตสาหกรรม และศึกษาคุณสมบัติ การกระแทก การทนความร้อน ความยืดหยุ่นของแผ่นวัสดุที่ผลิตขึ้น เปรียบเทียบกับแผ่นทดสอบกันชนหน้ารถยนต์ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยได้เลือกใช้อัตราส่วนผสมน้้ายางพาราข้น ผสมกับเรซิ่น สารลดแรงตึงผิว (Triton X-100) ตัวท้าแข็ง(Hardener) และตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา (Cobalt) ในอัตราส่วน 10: 100 : 10 : 0.2 : 0.2 และใช้แผ่นใยแก้วชนิดผืนเส้นสั้น (Chopped strands mat) เบอร์ 600 กรัม /ตารางเมตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนผสมน้้ายางพาราและเรซิ่นผสมเข้ากันได้เป็นอย่างดี การขึ้นรูปในบล็อกโลหะขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร ยาว 25 เซนติเมตร และมีความหนา 3.2 มิลลิเมตร ทดสอบการรับแรงกระแทก โดยใช้เครื่องทดสอบแรงกระแทก (Impact Testing) วิเคราะห์ผลจากการเปรียบเทียบค่าการดูดซับพลังงาน (การรับแรงกระแทก) และศึกษาคุณสมบัติความยืดหยุ่นของวัสดุ โดยใช้เครื่องทดสอบ Universal Testing Machine และเครื่องทดสอบการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ Dynamic Extensometer วิเคราะห์ค่าความเค้น ความเครียด หาค่ามอดูลัสความยืดหยุ่น โดยวิธีทดสอบแรงดึง(Tensile Test) และ วิธีทดสอบแรงดัด (Flexural Test) โดยใช้มาตรฐานการทดสอบแรงดึงของพลาสติกแข็ง
2558-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา
กรนาลิน, สาริยา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3353
2017-12-01T09:25:35Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา
กรนาลิน, สาริยา
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อสร้างกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการ
เรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา 2) เพื่อสร้างแบบ
ประเมินสมรรถนะด้าน การจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบการรู้วิชาเฉพาะด้านสำหรับนักศึกษาครู
เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา และ 3) เพื่อวิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้องของกรอบการประเมิน
สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครูเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา ประชากรเป็น
นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 150 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีและ
นวัตกรรมการศึกษา ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 32 คน ในกิจกรรมการเตรียมความพร้อมด้าน
การสอนด้วยการทดลองสอนแบบจุลภาคใช้เวลาเรียนต่อเนื่อง 15 สัปดาห์ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.
2557-กุมภาพันธ์ พ.ศ.25578; The purpose of this research was to (1) develop assessment framework for
student teachers’ learning management and specific content knowledge in the field
of Technology and Innovation Education, (2) develop assessment observational
record according to the assessment framework with 4 levels of rubric scoring criteria
and construct achievement test for assessing specific content knowledge in the field
of technology and innovation education according to implement micro-teaching
lessons, (3) investigate the Rater Agreement Index (RAI) of the rubric scoring criteria in
the assessment observational record assessed by 3 supervisors to evaluate student
teachers’ teaching performance in technology and innovation education lesson. The
population in this research was the fourth year 150 student' teachers in Technology
and Innovation Education Program at Buriram Ratchabhat University, Faculty of
Education. Teacher preparation in micro-teaching instruction was undertaken across
15 weeks during October 2014 through February 2015 for the fourth year 38 student'
teachers
2557-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจรับบัณฑิตบริหารธุรกจิ สาขาวิชาการเงิน และการธนาคารเข้าปฏิบัติงานของสถาบันการเงินในจังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา, รักการศิลป์
รัชนีกร, รัชนีกร
เกษมะณี, การินทร์
ณัฐวุฒิ, ชูขวัญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3352
2018-01-08T08:42:17Z
2556-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจรับบัณฑิตบริหารธุรกจิ สาขาวิชาการเงิน และการธนาคารเข้าปฏิบัติงานของสถาบันการเงินในจังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา, รักการศิลป์; รัชนีกร, รัชนีกร; เกษมะณี, การินทร์; ณัฐวุฒิ, ชูขวัญ
การวิจัยครัั้งนี มีวัตถุประสงค์เพื่อปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจรับบัณฑิต
บริหารธุรกิจสาขาวิชาการเงินและการธนาคารเข้าปฏิบัติงานของสถาบันการเงินในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และโดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับ
กระบวนการสรรหาบุคลากรเข้าปฏิบัติงานในสถาบันการเงินของธนาคารพาณิชย์ ในเขตจังหวัด
บุรีรัมย์ จานวน 16 คน ประกอบด้วยผู้มีอานาจในการสรรหาพนักงานของสาขาในเขตอาเภอเมือง
และศูนย์ธุรกิจของจังหวัดทีมีการจัดส่งพนักงานไปประจานอกเขตอาเภอเมือง ในช่วงระยะเวลา
พฤศจิกายน 2555 - มีนาคม 2556
2556-01-01T00:00:00Z
กระบวนการสร้างยุทธศาสตร์งานพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์
ยางนอก, สุจิตรา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3351
2018-01-08T08:49:24Z
2556-01-01T00:00:00Z
กระบวนการสร้างยุทธศาสตร์งานพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์
ยางนอก, สุจิตรา
การวิจัยในครั้งนี้ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการที่มีต่อ
ระเบียบการแต่งกายที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์กา หนด และเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา
2556-01-01T00:00:00Z
ความต้องการตลาดแรงงานเพื่อปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต ความต้องการตลาดแรงงานเพื่อปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
Sopha, RungRat
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3350
2017-12-01T09:24:46Z
2555-01-01T00:00:00Z
ความต้องการตลาดแรงงานเพื่อปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต ความต้องการตลาดแรงงานเพื่อปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
Sopha, RungRat
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความต้องการด้านทักษะแรงงานที่พึงประสงค์ของ
สถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง
เพื่อสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตในสาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และเพื่อ
เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ
โรงแรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของสถานประกอบการหรือตัวแทน จาก
จำนวนทั้งหมด 17 แห่ง เป็น 17 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
2555-01-01T00:00:00Z
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้า
ภูริชญ์, งามคง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3349
2017-12-01T09:24:43Z
2558-01-01T00:00:00Z
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้า
ภูริชญ์, งามคง
งานวิจัยนี้นาเสนอการหาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้าใช้
วิธีค่าเฉลี่ยปริภูมิสถานะทั่วไป โดยระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้ามีแหล่งพลังงานของระบบเป็น
แบตเตอรีที่ต่อพ่วงกับวงจรแปลงผันแบบชอบเปอร์ และมอเตอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถโกคาร์ท
ไฟฟ้า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบแม่เหล็กถาวร ผลการหาแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของระบบ
ขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้าโดยวิธีค่าเฉลี่ยปริภูมิสถานะทั่วไปได้ตามสมการที่ (3-28) ถึง (3-33) และ
นาสมการดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับการจาลองสถานการณ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลการ
จาลองสถานการณ์การทางานของระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้าทั้ง 2 จุดการทางาน แสดงได้
ดังรูปที่ 4.1 ถึงรูปที่ 4.8 พบว่าผลของการจาลองสถานการณ์นั้นมีความคล้ายคลึงกันทั้งสภาวะชั่วครู่
และสถานะคงตัว แสดงว่าแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบขับเคลื่อนรถโกคาร์ทไฟฟ้าที่ได้
ดำเนินการหาด้วยวิธีค่าเฉลี่ยปริภูมิสถานะทั่วไปนั้นมีความถูกต้อง
2558-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์หาปริมาณไนไตรท์และไนเตรทด้วยวิธีสเปกโทรโฟโตมีทรี
ประสิทธิ์, มุกดา
วิริญรัชญ์, สื่อออก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3348
2017-12-01T09:24:05Z
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์หาปริมาณไนไตรท์และไนเตรทด้วยวิธีสเปกโทรโฟโตมีทรี
ประสิทธิ์, มุกดา; วิริญรัชญ์, สื่อออก
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์พัฒนาวิธีการวิเคราะห์หาปริมาณของไนไตรท์ และไนเตรท จากสารตัวอย่างน้าที่ง่าย สะดวกและลดมลภาวะที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ปริมาณ ไนไตรท์ อาศัยปฏิกิริยาคู่ควบระหว่างกรดซัลฟานิลิกกับเมธิลแอนทรานิเลต ในขณะที่การวิเคราะห์หาปริมาณไนเตรทจะรีดิวส์ไนเตรท เป็นไนไตรท์ด้วยสังกะสี ก่อนทาการวิเคราะห์หา ไนเตรทในรูปของไนไตรท์ต่อไป การวิเคราะห์หาปริมาณไนไตรท์อาศัยปฏิกิริยาไดอะโซไทเซชันของกรดซัลฟานิลิกได้เกลือไดอะโซเนียม จากนั้นนาไปทาปฏิกิริยาคู่ควบกับเมธิลแอนทรานิเลตเกิดสีย้อมไดอะโซ สีย้อมไดอะโซที่ได้ นาไปสแกนความยาวคลื่นที่ให้ค่าดูดกลืนสูงสุดที่ 538 นาโนเมตร ความเข้มข้นของกรดซัลฟานิลิกและเมธิลแอนทรานิเลตที่เหมาะสมคือ 0.4 %(w/v) และ 0.6 %(w/v) เมื่อนาวิธีที่ศึกษาไปวิเคราะห์หาปริมาณไนไตรท์จากสารตัวอย่างน้าจากแหล่ง A B C D E และ F เทียบกับการวิเคราะห์วิธีมาตรฐานได้ผลดังนี้ วิธีที่ศึกษา 0.0515 ± 0.00197, 0.0390 ± 0.00245, 0.0387 ± 0.00279, 0.0397 ± 0.00281, 0.0397 ± 0.00280 และ 0.0375 ± 0.00232 mg/L ตามลาดับ วิธีมาตรฐาน 0.0520 ± 0.00063, 0.0393 ± 0.00117, 0.0387 ± 0.00279, 0.0398 ± 0.00281, 0.0406 ± 0.00342 และ0.0380 ± 0.00172 mg/L ตามลาดับ ส่วนการวิเคราะห์หาไนเตรทในรูปของไนไตรท์สารตัวอย่างน้าจากทุกแหล่งไม่มีปริมาณไนเตรทเจือปน
2555-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้าน ของนักศึกษาครูการศึกษาปฐมวัย
พัชนี, กุลฑานันท์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3345
2017-12-01T09:21:39Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้าน ของนักศึกษาครูการศึกษาปฐมวัย
พัชนี, กุลฑานันท์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ 2) เพื่อหาคุณภาพของกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูการศึกษาปฐมวัยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประชากรเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ซึ่งมีนักศึกษาทั้งหมด จานวน 70 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย 30 คน รวมเป็นจานวนนักศึกษาทั้งหมด 30 คน
การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยสังเคราะห์กรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านปฐมวัย ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และครูผู้สอนในระดับปฐมวัย จานวน 11 คน จากการสนทนากลุ่ม เพื่อสังเคราะห์และออกแบบกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ 5 องค์ประกอบ; The purposes of this research were to construct the assessment frameworks for assessing competencies of learning management and specific content knowledge of teacher students in early childhood education program and to determine the quality the assessment forms for assessing competencies of learning management and specific content knowledge of teacher students in early childhood education program. The population were 70 teacher students in early childhood Education program. The sample of 30 teacher students in early childhood Education were simple randomly selected. The samples of each program were 30 teacher students.
The research and development were used to construct the assessment frameworks for assessing competencies of learning management and specific content knowledge of teacher students in early childhood Education program. The data were analyzed by using Item Analysis of 10 experts opinion from focus group method.
The research instruments were assessment frameworks for assessing
2557-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน
พิชชาณัฐ, ตู้จินดา
จิรานุวัฒน์, ขันธจันทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3344
2017-12-01T09:20:54Z
2556-01-01T00:00:00Z
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน
พิชชาณัฐ, ตู้จินดา; จิรานุวัฒน์, ขันธจันทร์
การวิจัยครัง้ นีเ้ ป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวมรวบมาทัง้ หมดได้จากการเก็บ
ข้อมูลโดยการลงพืน้ ที่ภาคสนาม แล้วนามาทาการศึกษาวิเคราะห์และเรียบเรียงความสาคัญ โดย
มีวัตถุประสงค์ดังนี ้๑. ศึกษาความเป็นมาและบริบทที่เกี่ยวข้องวงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรี
สวาท ๒. ศึกษาประวัติชีวิตนายเผย ศรีสวาท และ ๓. ศึกษาการถ่ายทอดความรู้วงมโหรีอีสาน
บ้านนายเผย ศรีสวาท
ผลการวิจัยพบว่า วงมโหรีอีสานเป็นวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงของเครื่องดนตรี
พืน้ บ้านหลายชนิด เครื่องดนตรีหลักได้แก่ปี่สไล ตรัว กลองสองหน้า และกลองกันตรึม โดยมีฉิ่ง
ฉาบ และกรับไม้เป็นเครื่องประกอบจังหวะ วงมโหรีอีสาน บ้านระไซร์ ตาบลเฉนียง อาเภอเมือง
จังหวัดสุรินทร์ เกิดจากการรวมตัวของศิลปินพืน้ บ้านในชุมชนและเขตพืน้ ที่ใกล้เคียง โดยผู้ที่มี
ความรู้ความสามารถด้านวงมโหรีอีสาน คือ นายเผย ศรีสวาท อายุ ๘๓ ปี ศิลปินอาวุโสพืน้ บ้าน
อีสานใต้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้
2556-01-01T00:00:00Z
แนวทางการจัดทำฐานข้อมูลภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความ สมบูรณ์ของเมล็ดข้าวหอมมะลิในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กุลกันยา, ศรีสุข
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3343
2018-01-04T09:06:11Z
2558-01-01T00:00:00Z
แนวทางการจัดทำฐานข้อมูลภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความ สมบูรณ์ของเมล็ดข้าวหอมมะลิในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กุลกันยา, ศรีสุข
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนการปลูกโดยใช้ภูมิปัญญาตั้งแต่เตรียมแปลง
จนถึงการเก็บเกี่ยวแล้วจาหน่ายของเกษตรกรกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่จังหวัด
บุรีรัมย์ และเพื่อศึกษาถึงแนวทางการจัดทาฐานข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกข้าวหอมมะลิของเกษตรกรกลุ่ม
ชาติพันธุ์ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มประชากรที่ศึกษาได้แก่ กลุ่มเกษตรกรผู้มี
แนวคิดในการปลูกข้าวโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จานวน 50 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) เครื่องมือในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า
เกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง มีการใช้ภูมิปัญญาในการปลูกข้าว คือ การปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เกิดจากภูมิ
ปัญญาและมีการควบคุณคุณภาพการปลูกได้เป็นอย่างดี ส่วนแนวทางในการจัดทาฐานข้อมูลนั้น ควรมี
การสร้างฐานข้อมูลเป็นเว็บไซด์และมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ โดยสิ่งที่ควรพัฒนา คือ 1) ด้านการ
ออกแบบจอภาพและรูปแบบของเว็บไซด์ ได้แก่ ข่าวสารการประชาสัมพันธ์ มีความเหมาะสม น่าสนใจ
(3.82) 2) ด้านสิ่งที่ควรจะต้องเพิ่มเติมในด้านเนื้อหาภายในเว็บไซด์ ได้แก่ มีเนื้อหาที่ทันสมัยทันต่อ
เหตุการณ์ (4.18) ด้านความเร็ว ประโยชน์ และการนาไปใช้ของอินเทอร์เน็ต ได้แก่ การได้รับความรู้
ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น (4.28)
2558-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติการต้านแรงอัดของคอนกรีตผสมกากใยอ้อยในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3342
2017-12-01T09:19:37Z
2555-01-01T00:00:00Z
คุณสมบัติการต้านแรงอัดของคอนกรีตผสมกากใยอ้อยในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
บทคัดย่อ
คอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์เป็นวัสดุที่นิยมใช้งานในหลายรูปแบบเนื่องจากเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการต้านทานแรงอัดและสามารถหล่อให้มีรูปร่างตามที่ต้องการได้ง่าย ทั้งนี้คอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์มีข้อจ่ากัดคือ ก่าลังรับแรงดึงต่่า น้่าหนักต่อหน่วยปริมาตรหรือความหนาแน่นมาก เกิดการแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวได้ง่าย เป็นต้น การปรับปรุงข้อด้อยด้านต่าง ๆ ของคอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากการใช้งานร่วมกับเหล็กในการเพิ่มก่าลังรับแรงดึงให้กับคอนกรีตแล้วยังมีการน่าวัสดุเส้นใยมาผสม เส้นใยที่น่ามาผสมในคอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ เส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยธรรมชาติ ส่าหรับการลดความหนาแน่นของคอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์สามารถท่าได้โดยการผสมวัสดุมวลเบา นักวิจัยหลายท่านประสบผลส่าเร็จในการพัฒนาคุณสมบัติของคอนกรีตและผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์เสริมเส้นใยต่าง ๆ เมื่อพิจารณาในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์มีโรงงานน้่าตาลขนาดใหญ่ที่มีกากใยอ้อยที่เหลือจากขบวนการผลิตเป็นจ่านวนมาก ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นการน่ากากใยอ้อยมาเป็นส่วนผสมในคอนกรีตและซีเมนต์มอร์ต้าเพื่อศึกษาคุณสมบัติและพฤติกรรมภายใต้แรงอัด ตลอดจนศึกษาความหนาแน่นที่เปลี่ยนแปลงไปของคอนกรีตและซีเมนต์มอร์ต้าผสมเส้นใย ซึ่งเส้นใยธรรมชาติที่ใช้ทดสอบนี้เป็นกากใยอ้อยที่เป็นวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่นตลอดจนเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้อีกแนวทางหนึ่ง โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทโรงงานน้่าตาลบุรีรัมย์จ่ากัด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ่าเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่อนุเคราะห์กากใยอ้อยที่เหลือจากขบวนการผลิตเพื่อศึกษาการเพิ่มมูลค่า
2555-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาเชิงบูรณาการร่วมกับชุมชนและการจัดทำฐานข้อมูลแหล่งท่องเทียวในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์
กุลกันยา, ศรีสุข
นิธิโรจน์, ศุภกฤษสุวรรณกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3341
2017-12-01T09:17:49Z
2554-01-01T00:00:00Z
แนวทางการพัฒนาเชิงบูรณาการร่วมกับชุมชนและการจัดทำฐานข้อมูลแหล่งท่องเทียวในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์
กุลกันยา, ศรีสุข; นิธิโรจน์, ศุภกฤษสุวรรณกุล
งานวิจัยนีมีวัตถุประสงค์เพือศึกษาสภาพความเสือมโทรมของแหล่งท่องเทียว ศึกษาบูรณา
การแบบมีส่วนร่วมกับชุมชนและเจ้าหน้าทีทีเกียวข้องเพือสังเคราะห์เป็นแผนพัฒนาแหล่งท่องเทียวที
เสือมโทรม และศึกษาแนวทางในการจัดทำเป็นฐานข้อมูลทางอิเล็คทรอนิกส์เพือรวบรวม ข้อมูลที
สำคัญต่าง ๆ ของแหล่งท่องเทียว กลุ่มตัวอย่างทีใช้ในการดำเนินการวิจัย ประกอบไปด้วย 1. แหล่ง
ท่องเทียวจำนวน 10 แห่ง 2. กลุ่มประชากรทีใช้ในการสำรวจข้อมูลจำนวนทังหมด 800 คน โดย
กระจายไปในแหล่งท่องเทียวทัง 10 แห่ง ซึงประกอบไปด้วยชาวบ้านแหล่งท่องเทียวละ 30 คน
นักท่องเทียวแห่งละ 30 คน ผู้นำชุมชนแห่ง ละ10 คน และเจ้าหน้าทีรัฐแห่งละ 10 คน สถิติทีใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย และส่วนเบียงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ความเสือมโทรมของแหล่งท่องเทียวแบ่งเป็นด้าน ๆ ได้ ดังนีด้านคุณค่า
ทางชีวภาพ ได้แก่บารายเมืองตำ พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน ครัวเชิงเกษตร บ้านโคกเมือง กุฏิฤาษีเมือง
ตำ พนมรุ้ง เขาปลายบัด วัดปราสาทบูรพาราม และแหล่งผลิตผ้าไหมตามลำดับ ด้านคุณค่าทาง
กายภาพ ได้แก่ กุฏิฤาษี บ้านโคกเมือง บารายเมืองตำ วัดปราสาทบูรพาราม พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน
แหล่งผลิตผ้าไหม ครัวเชิงเกษตร เขาปลายบัด และพนมรุ้งตามลำดับ ด้านคุณค่าทางสังคม ได้แก่
หมู่บ้านโคกเมือง กุฏิฤาษี วัดปราสาทบูรพาราม เมืองตำ ครัวเชิงเกษตร พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน เขา
ปลายบัด แหล่งผลิตผ้าไหม บาราย และพนมรุ้งตามลำดับ ด้านความสะอาด ได้แก่บารายเมืองตำ กุฏิ
ฤาษี วัดปราสาทบูรพาราม ปราสาทเมืองตำ เขาปลายบัด พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน แหล่งผลิตผ้าไหม
ครัวเชิงเกษตร บ้านโคกเมือง และพนมรุ้งตามลำดับ ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่บาราย กุฏิฤาษีเขา
ปลายบัด เมืองตำ วัดปราสาทบูรพาราม พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน แหล่งผลิตผ้าไหม ครัวเชิงเกษตร
บ้านโคกเมือง และพนมรุ้งตามลำดับ ด้านการจัดการการท่องเทียว ได้แก่บารายเมืองตำ พนมรุ้ง
ปราสาทเมืองตำ กุฏิฤาษี เขาปลายบัด พิพิธภัณฑ์โบราณสถาน แหล่งผลิตผ้าไหม ครัวเชิงเกษตร บ้าน
โคกเมือง และวัดปราสาทบูรพารามตามลำดับ และควรมีแผนในการพัฒนาแหล่งท่องเทียวทีเสือม
โทรม ได้แก่แผนจัดการด้านแหล่งท่องเทียวทางชีวภาพ ด้านคุณค่าทางสังคม ด้านความสะอาด ด้าน
การบริหารจัดการ ด้านการจัดการการท่องเทียว และแผนงานด้านสิงอำนวยความสะดวก ส่วน
แนวทางในการจัดทำฐานข้อมูล ควรมีดังนี1) เน้นด้านการบริหาร 2) เน้นระดับปฏิบัติการ 3) เน้น
ด้านบริหารวิชาการ 4) เน้นการวางแผน และ 5) เน้นการบริหารจัดการ
2554-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูกลุ่มภาษา และสังคมศาสตร์
พัชนี, กุลฑานันท์
ทรรศนันท์, ชินศิริพันธุ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3340
2017-12-01T09:17:15Z
2557-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูกลุ่มภาษา และสังคมศาสตร์
พัชนี, กุลฑานันท์; ทรรศนันท์, ชินศิริพันธุ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อสร้างกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูกลุ่มภาษาและสังคมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ 2) เพื่อหาคุณภาพของกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และการ รู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูกลุ่มภาษา และสังคมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประชากรเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จานวน 3 สาขาวิชา ได้แก่ ภาษาไทยสังคมศึกษา และการศึกษาปฐมวัย ซึ่งมีนักศึกษาทั้งหมดจานวน 248 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายสาขาวิชาละ 30 คน รวมเป็นจานวนนักศึกษาทั้งหมด 90 คน; The purposes of this research were to construct the assessment frameworks for assessing competencies of learning management and specific content knowledge of teacher students in the field of Language and Social Science and to determine the quality the assessment forms for assessing competencies of learning management and specific content knowledge of teacher students in the field of Language and Social Science. The population were 248 teacher students in the field of Language and Social Science from three programs : Thai language, Social study and earlychildhood Education. The sample of 90 teacher students were simple randomly selected from three programs. The samples of each program were 30 teacher students.
2557-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษา
บุญเลี้ยง, ทุมทอง
เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3339
2018-01-08T08:55:39Z
2556-01-01T00:00:00Z
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษา
บุญเลี้ยง, ทุมทอง; เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
การดำเนินโครงการนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อประสิทธิภาพการฝึกประสบการณ วิชาชีพครู และเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษา จำนวน 207 คน โดยการสุ%มอย%างง%าย เครื่องมือที่ใช(คือ
แบบสอบถามมีค%าความเชื่อมั่นอยู%ระหว%าง .79-.96 วิเคราะห ข(อมูลโดยหาค%าความถี่ ค%าร(อยละ
ค%าเฉลี่ย ส%วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห ถดถอยพหุคูณแบบขั้นขั้นตอน ผลการวิจัยเป นดังนี้
1. ค%าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ ภายในตัวแปรกับประสิทธิภาพการฝ>กประสบการณ วิชาชีพครู
มีความสัมพันธ กันสูงสุดคือ บุคลิกภาพของนักศึกษาในการออกฝ>กประสบการณ วิชาชีพครู
คุณลักษณะที่พึงประสงค ของนักศึกษาในการออกฝ>กประสบการณ วิชาชีพครู แรงจูงใจในการฝ>ก
ประสบการณ วิชาชีพครู ความสัมพันธ ระหว%างอาจารย นิเทศกับนักศึกษา การเอาใจใส%ของที่ปรึกษา
ประจำหน%วยงาน กระบวนการฝ>กประสบการณ วิชาชีพครูของคณะครุศาสตร และการเอาใจใส%ของ
อาจารย นิเทศก
2556-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นสิ่งแวดล้อมศึกษาที่เสริมสร้างการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนรอบเขตอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
เผ่าพงษ์พัฒน์, บุญกะนันท์
กระพัน, ศรีงาน
ศรีเพ็ญ, พลเดช
บุญเลี้ยง, ทุมทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3338
2017-12-01T09:15:27Z
2556-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นสิ่งแวดล้อมศึกษาที่เสริมสร้างการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนรอบเขตอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
เผ่าพงษ์พัฒน์, บุญกะนันท์; กระพัน, ศรีงาน; ศรีเพ็ญ, พลเดช; บุญเลี้ยง, ทุมทอง
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค เพื่อพัฒนาหลักสูตรท(องถิ่นสิ่งแวดล(อมศึกษาที่เสริมสร(างการ
เรียนรู(ของนักเรียนในโรงเรียนรอบเขตอ%างเก็บน้ำห(วยจรเข(มาก และเพื่อขยายผลการพัฒนาหลักสูตร
ท(องถิ่นสิ่งแวดล(อมศึกษาที่เสริมสร(างการเรียนรู(ของนักเรียนในโรงเรียนรอบเขตอ%างเก็บน้ำห(วยจรเข(
มาก กลุ%มตัวอย%างคือ ครูผู(สอน 30 คน และนักเรียน จำนวน 266 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง
เครื่องมือที่ใช(คือ แบบสัมภาษณ แบบบันทึกพฤติกรรม แบบประเมินความรู( แบบสอบถาม สถิติที่ใช(
ในการวิเคราะห ข(อมูลได(แก% ร(อยละ ค%าเฉลี่ย ส%วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบที ผลการวิจัยเป น
ดังนี้
1. ระดับสภาพปDจจุบันของการจัดการเรียนรู(เพื่อพัฒนาหลักสูตรท(องถิ่นสิ่งแวดล(อมศึกษา
ของครูอยู%ในระดับปานกลาง ส%วนระดับสภาพปDจจุบันของการจัดการเรียนรู(เพื่อหลักสูตรท(องถิ่น
สิ่งแวดล(อมศึกษาของนักเรียนอยู%ในระดับมาก
จากการสังเคราะห และพัฒนาหลักสูตรท(องถิ่นสิ่งแวดล(อมศึกษาพบว%า มี 6 องค ประกอบ
ได(แก% จุดประสงค การเรียนรู( ผู(เรียนและผู(สอน สภาพแวดล(อมในการเรียน การเตรียมการเรียนรู( การ
ดำเนินการจัดการเรียนรู( และการประเมินผลการเรียนรู( โดยขั้นตอนการจัดการเรียนรู(ตามหลักสูตรมี
5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 กระตุ(นให(เกิดปDญหา/ให(สถานการณ
ขั้นที่ 2 ขั้นทำความเข(าใจกับปDญหาและแสวงหาข(อมูลหรือขั้นจัดระเบียบปDญหา
ขั้นที่ 3 ขั้นพัฒนาความคิด
ขั้นที่ 4 ขั้นนำเสนอผลการคิด
ขั้นที่ 5 ขั้นอภิปรายผลการคิด
2. ผลการจัดเรียนรู(ตามหลักสูตรปรากฏดังนี้
2.1 คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร เพิ่มเติมของผู(เรียนในแต%
โรงเรียนพบว%า ผู(เรียนได(คะแนนเฉลี่ยต่ำสุดคิดเป นร(อยละ 69.21, 69.31 และ 78.21 ได(คะแนนเฉลี่ย
สูงสุด คิดเป นร(อยละ 89.05, 86.63 และ 82.59 โดยผู(เรียนทุกคนสามารถผ%านเกณฑ ที่กำหนดไว(
2.2 คะแนนเฉลี่ยความรู(ทางสิ่งแวดล(อมศึกษาในการจัดการเรียนรู(ที่ส%งเสริมความรู(ทาง
สิ่งแวดล(อมศึกษาหลังเรียนในแต%ละโรงเรียนสูงกว%าก%อนเรียนอย%างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2556-01-01T00:00:00Z