รายงานการประชุม/สัมมนา (Conferences/Proceedings)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/362
2024-03-29T15:34:06Z
2024-03-29T15:34:06Z
การใช้ใบกล้วยน้าว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่
ที่รัก, วิณากร
อิสรรักษ์, รัญจวน
ศรีขวัญ, ธนศักดิ์
ชมเชย, อภิวัฒน์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4197
2018-05-30T09:23:21Z
2017-12-25T00:00:00Z
การใช้ใบกล้วยน้าว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่
ที่รัก, วิณากร; อิสรรักษ์, รัญจวน; ศรีขวัญ, ธนศักดิ์; ชมเชย, อภิวัฒน์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ใบกล้วยน้ำว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) ทดลองกับไก่ไข่พันธุ์ผสมทางการค้าเพศเมียอายุ 21 สัปดาห์ จำนวน 40 ตัว ใช้ระยะเวลาการทดลอง 8 สัปดาห์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ชุดทดลองๆ ละ 5 ซ้าๆ ละ 2 ตัว แต่ละชุดทดลองผสมใบกล้วยน้ำว้าในสูตรอาหาร 0, 4, 6 และ 8 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ผลการทดลองพบว่าน้ำหนักตัวไก่ไข่เมื่อสิ้นสุดการทดลอง น้าหนักตัวไก่ไข่ที่เพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นต์ผลผลิตไข่ น้ำหนักไข่ น้าหนักเนื้อไข่ ความหนาเปลือกไข่ และ ค่า Yolk index แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p>0.05) แต่ปริมาณอาหารที่กินชุดทดลองที่ผสมใบกล้วยน้าว้า 8 เปอร์เซ็นต์กินอาหารน้อยที่สุด รองลงมาคือที่ผสมใบกล้วยน้าว้า 4 และ 6 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ ส่วนที่ไม่ผสมใบกล้วยน้ำว้า (กลุ่มควบคุม) กินอาหารมากที่สุด โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนสีไข่แดง พบว่าการผสมใบกล้วยน้ำว้า 6 และ 8 เปอร์เซ็นต์ สีไข่แดงเข้มกว่าการผสมใบกล้วยน้ำว้า 4 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าใบกล้วยน้ำว้าสามารถผสมในสูตรอาหารไก่ไข่ได้โดยไม่กระทบกับสมรรถภาพการผลิตไข่
2017-12-25T00:00:00Z
สภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ประสงค์สุข, โกศล
ณ พัทลุง, นิจพร
จุโฑปะมา, ศิราณี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2689
2017-10-01T03:29:34Z
2559-06-17T00:00:00Z
สภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ประสงค์สุข, โกศล; ณ พัทลุง, นิจพร; จุโฑปะมา, ศิราณี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหาร และครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ปีการศึกษา 2558 โดยแยกเป็น ผู้บริหาร จำนวน 140 คน และครูวิชาการ จำนวน 140 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 280 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน แล้วใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่น 0.920 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในแต่ละด้านจะทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ โดยกำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05ผลการวิจัย พบว่า
1. ผู้บริหารและครูวิชาการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดผล ประเมินผล รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการวิจัย ด้านการนิเทศและการแนะแนวการศึกษา และด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้ ตามลำดับ
2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง พบว่าความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนากระบวน การเรียนรู้และการวิจัย ด้านการวัดผล ประเมินผล และด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่าโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกัน
2559-06-17T00:00:00Z
การใช้กะปิเป็นสารเร่งรากในการตัดชากิ่งเข็ม ชาดัด และเทียนทอง
หอมจันทร์, ธเนศ
โกเมน, อนุสรณ์
แก้วประสงค์, คารน
ณ พัทลุง, นิจพร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2681
2017-09-30T06:45:39Z
2545-07-22T00:00:00Z
การใช้กะปิเป็นสารเร่งรากในการตัดชากิ่งเข็ม ชาดัด และเทียนทอง
หอมจันทร์, ธเนศ; โกเมน, อนุสรณ์; แก้วประสงค์, คารน; ณ พัทลุง, นิจพร
ศึกษาการใช้กะปิเป็นสารเร่งในการปักชำกิ่งเข็ม ชาดัดและเทียนทอง เพื่อหาความเข้มข้นที่เหมาะสมของกะปิต่อความยาวและจำนวนของรากพืชดังกล่าว ทำการปักชำเข็มาดัด และเทียนทอง ที่โรงเรือนเพาะชำ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2554 ในแกลบดำผสมกับดินในอัตราส่วน3:1 วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์(CRD) 5 วิธีการทดลอง 40 ซ้ำ ได้แก่ 1) น้ำเปล่า 2) สารเร่งNAA1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร 3) กะปิ 2 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร 4)สารละลายกระปิ 4 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร และ 5) สารละลายกะปิ 6 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร จากนั้นวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยวิธี DMRT ของความยาวรากและจำนวนรากเมื่ออายุ 30 วันและ 35 วัน หลังจากปักชำ จากผลการทดลองพบว่า การใช้สารละลายกะปิมีผลต่อความยาวของรากกิ่งชำเข็ม กิ่งชำชาดัด และจำนวนรากของกิ่งชำเทียนทองอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (p<0.01) ขณะที่การใช้สารละลายกะปิไม่มีผลต่อความยาวรากของกิ่งชำเทียนทอง(p>0.05) โดยการใช้กะปิ 6 กรัม ต่อน้ำ 1ลิตร จำทำให้ความยาวและจำนวนรากเข็ม รวมทั้งจำนวนรากเทียนทองมากที่สุด ขณะที่การใช้สารเร่ง NAA จะทำให้จำนวนรากเทียนทองและชาดัดมากที่สุดสำหรับการใช้น้ำเปล่านั้นจำทำให้ชาดัดมีความยาวรากมากที่สุด จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่าสามารถใช่สารละลายกะปิทดแทนสารเร่ง NAA ในการปักชำรากเข็ม ชาดัดและเทียนทองได้
2545-07-22T00:00:00Z