สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2952024-03-28T09:29:08Z2024-03-28T09:29:08Zแนวทางการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธ์ 19 ของหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ฮวดศรี, กิตติกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83142022-09-08T06:58:14Z0016-11-03T00:00:00Zแนวทางการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธ์ 19 ของหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
ฮวดศรี, กิตติกร
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธ์ 19 ของหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประกอบด้วยการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิจัยสนาม (Field Research) ทฤษฏีที่ใช้ในการศึกษาได้แก่แนวคิด SWOT และ PDCA กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน พัฒนาชุมชน ตัวแทนผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ควาญช้าง ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ จำนวน 30 คนโดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง
( Purposive sampling )เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการตีความและพรรณนาเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธ์ 19 ของหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ผลการวิเคราะห์ SWOT ได้ผลการวิจัยดังนี้ จุดแข็ง มีวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตช้างมาตั้งแต่สมัยก่อนหลายร้อยปี ชุมชนมีทรัพยากร ปราชญ์ชาวบ้านที่มีวัฒนธรรมความเชื่อที่เกี่ยวกับช้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน จุดอ่อน การขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และการขาดกำลังใจ โอกาส มีเวลาปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว หรือปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอนการต้อนรับนักท่องเที่ยว และอุปสรรค การเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ส่งผลต่อการงดกิจกรรมต่างๆ ภายในชุมชน ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้ามาเที่ยวในชุมชนหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ทำให้ขาดรายได้ สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ผลการศึกษาตามกรอบแนวคิด โดยนำแนวคิด PDCA พบว่า ชุมชนมีการสร้างการรับรู้และการตระหนักต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสพันธ์ 19 นำไปสู่การพัฒนาสภาพพื้นที่ และปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถจำหน่ายได้ในรูปแบบอื่นๆและปัจจัยหนุนเสริมจากส่วนราชการจากการเขียนแผนเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับทุกสภาพการณ์
0016-11-03T00:00:00ZFactors Affecting the Success of the Sufficiency Economy Model Community. Case Study: Sai Yao Community Thalung-lek Subdistrict, Mueang District, Buriram ProvinceRangsima Sawangtap, Chaninart Thipaksorn, Kittikorn Huadsri.http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77652021-09-21T16:11:58Z2021-04-27T00:00:00ZFactors Affecting the Success of the Sufficiency Economy Model Community. Case Study: Sai Yao Community Thalung-lek Subdistrict, Mueang District, Buriram Province
Rangsima Sawangtap, Chaninart Thipaksorn, Kittikorn Huadsri.
The application of Sufficiency Economy Philosophy drove a community to strengthen the economy and society. Studying Sufficiency Economy Model Community revealed the success factors to use in community development for well-being. The objectives of this study were to find out the factors affecting the success of Sufficiency Economy Model Community, Sai Yao Community, Thalung-lek Subdistrict, Mueang District, Buriram Province.The study was quantitative research. The population sample size was 1,421 Sai Yao Community members and the sample size was 302, obtained by simple random sampling. The research tool used for data collection was a questionnaire which it indicated reliability of 0.8622. The statistics used for data analysis were percentage (percentage), mean (standard deviation), and confirmatory factor Analysis. Findings from the research showed that the mean and standard deviation of factors affecting the success of Sufficiency Economy Model Community at the high-level, there were leadership (4.350.301), budget (4.170.425), management (4.140.335), and participation (4.040.451), respectively. By the confirmatory factor analysis, variables consisted of four factors. In a sequence of factor loadings, they were participation, leadership, management, and budget. The model in accordance was fit with the empirical data with chi-square = 2.94, df = 2, p-value = 0.022990, RMSEA = 0.040, RMR = 0.003, CFI = 0.997, GFI = 0.995, AGFI = 0.976.
2021-04-27T00:00:00Zความคาดหวังของครูที่มตี่อคุณลักษณะของผู้บรหิารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 มหาวิทยาลยัราชภัฏบรุีรมัย์ยุพยงค์ สุรักษา, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75872021-06-25T13:32:21Z2016-08-01T00:00:00Zความคาดหวังของครูที่มตี่อคุณลักษณะของผู้บรหิารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 26 มหาวิทยาลยัราชภัฏบรุีรมัย์
ยุพยงค์ สุรักษา, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและ เปรียบเทียบความคาดหวังของครูที่มีต่อคุณลักษณะของ ผู้บริหารสถานศึกษา ตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา จำแนกตามเพศ ประสบการณ์การ ทำงาน และขนาด โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูจำนวน 317 คน โดยการสุ่ม แบบแบ่งชั้นอย่างเป็น สัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถามจำ นวน 3 ตอน มีลักษณะเป็นแบบ ตรวจสอบ รายการ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสอบถาม ปลายเปิด สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมติฐานโดยใช้ค่าที (t–test) และ one–way ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคาดหวังของครูที่มีต่อคุณลักษณะของผู้บริหารสถาน ศึกษา ตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภาโดยรวมอยู่ในระดับ มาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้าน คุณลักษณะตาม มาตรฐานการปฏิบัติตน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านคุณลักษณะตาม มาตรฐานความรู้และประสบการณ์และ วิชาชีพ 2) การเปรียบเทียบความคาดหวังของครูที่มีต่อ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา ตามมาตรฐานวิชาชีพ ของคุรุสภา จำแนกตามเพศ โดยรวม และรายด้านไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์ทำ งานโดยรวมไม่ แตกต่างกัน และจำแนก ตามขนาดโรงเรียนโดยรวมแตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2016-08-01T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษา ร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมยรพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ทศพร แก้วขวัญไกร,รัชนีกร บวรชาติ,อัจฉรา หลาว,ิติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒนนินาถ ทิพย์อักษร,กิตติกร ฮวดศรี,จตุพร จันทารัมย์,http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75712021-06-20T03:41:08Z2020-12-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษา ร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย
รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ทศพร แก้วขวัญไกร,รัชนีกร บวรชาติ,อัจฉรา หลาว,ิติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒนนินาถ ทิพย์อักษร,กิตติกร ฮวดศรี,จตุพร จันทารัมย์,
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาคุณลักษณะผู้ประกอบการเชิงรุกที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขาย
ของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) ศึกษา
เครือข่ายผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0
กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3) เพื่อศึกษาช่องทางการจัดจำหน่ายที่ส่งผลต่อ
การเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่ง
รัฐ กลุ่มตัวอย่าง .คือ ผู้ประกอบร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 320 คน
การศึกษาใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือในการทำวิจัยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน การวิเคราะห์การถดถอย ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะ
ผู้ประกอบการเชิงรุกส่งผลเชิงลบต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้า
ประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้พบว่าเครือข่ายผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ส่งผล
ต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการ
แห่งรัฐ และสุดท้ายช่องทางการจัดจำหน่ายส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0
กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ; The research aimed to study the entrepreneurs’’ proactive characteristics that
affected an increase of the overall sales of the retail shops in Thailand 4.0 : a case study
of the state financed shops , to examine the network of the state-financed shops, and
to explore the distribution channels that could affect the overall sale of the retail shops in
the study. The samples were 320 entrepreneurs of the state-supported shops in Buriram
Province. They were derived by a convenient random sampling. The research instrument
was a questionnaire. Data were analyzed by means of a descriptive and inferential
statistics, and regression analysis.
The study found that the entrepreneurs’ proactive characteristics had a negative
impact on an increase of the overall sales of the retail shops under study. It was also
found that the network of entrepreneurs who ran the state financed shops had no
effect on an increase of the overall sale of the state financed shops.
2020-12-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้าท่องเที่ยว กรณีศึกษาบ้านสนวนนอกตำบลสนวน อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์จินดารัตน์ ทรัพย์เจริญ, ธนพร สุขแก้ว, นริศรา ชะระตะคุ, นารีรัตน์ สบายดี, บัวชมพู เกตชิด, พรทิพย์ วังสันต์,รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ชนินาถ ทิพย์อักษร, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75702021-06-19T15:06:51Z2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้าท่องเที่ยว กรณีศึกษาบ้านสนวนนอกตำบลสนวน อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์
จินดารัตน์ ทรัพย์เจริญ, ธนพร สุขแก้ว, นริศรา ชะระตะคุ, นารีรัตน์ สบายดี, บัวชมพู เกตชิด, พรทิพย์ วังสันต์,รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ชนินาถ ทิพย์อักษร, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์
การศึกษาวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านผู้นำที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว
2) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว 3) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรมต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว คือ สมาชิกหมู่บ้าน บ้านสนวนนอก จำนวน 638 คน และผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างข้อมูลจำนวน 234 คน เก็บข้อมูลในการใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ( Percentage ) ค่าเฉลี่ย ( Mean ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation ) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน ( Pearson Correlation Coefficientหรือ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient ) และการวิเคราะห์สมการถดถอย(Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว บ้านสนวนนอก มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วม และปัจจัยด้านสังคมละวัฒนธรรม โดยมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.1 ส่วนปัจจัยด้านผู้นำ ไม่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามในการศึกษา ผลการวิจัยในอนาคตสามารถศึกษาในปัจจัยอื่นๆ หรือในบริบทต่างไปจากเดิมหรือจะศึกษาในตัวแปรอื่นๆ ต่อไป
2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) กรณีศึกษา ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์คมกฤษ ม่วงมงคล, นาถภูมิ ฮุยปาอาจ, สุชา ฉลาด, จิราวรรณ บุญหลัง, ชิดชนก เจริญผล,รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,ชนินาถ ทิพย์อักษร ,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75692021-06-19T14:54:34Z2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) กรณีศึกษา ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
คมกฤษ ม่วงมงคล, นาถภูมิ ฮุยปาอาจ, สุชา ฉลาด, จิราวรรณ บุญหลัง, ชิดชนก เจริญผล,รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,ชนินาถ ทิพย์อักษร ,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์
การศึกษาวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.)มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการฝึกอบรมของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน 2)เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการติดต่อสื่อสารหรือประชาสัมพันธ์ ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน 3)เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความพร้อมของอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน คือ สมาชิกเจ้าหน้า อปพร. ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 170 คน จำนวน 170 ชุด เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ( Percentage ) ค่าเฉลี่ย( Mean ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation ) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน( Pearson Correlation Coefficient® หรือ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient )
ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มี 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านการฝึกอบรม ปัจจัยด้านการติดต่อสื่อสารหรือประชาสัมพันธ์และปัจจัยด้านความพร้อมของอุปกรณ์ โดยภาพรวมมีเพียงปัจจัยด้านการฝึกอบรม และปัจจัยด้านความพร้อมของอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.00 และพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกมากที่สุด คือปัจจัยด้านความพร้อมของอุปกรณ์ในการปฎิบัติงาน อย่างไรก็ตามในการศึกษาในอนาคตสามารถศึกษาในปัจจัยอื่นๆ หรือในบริบทต่างไปจากเดิมหรือจะศึกษาในตัวแปรอื่นๆต่อไป
2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัด บุรีรัมย์ณัฏฐธิดา เทวอนรัมย์, ชลธิชา จีนเกา, นัฐชา คดรัมย์, บุตรศราภรณ์ กองสะอาด, บุษผา เรียนไธสง, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์,ชนินาถ ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75682021-06-19T14:46:46Z2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัด บุรีรัมย์
ณัฏฐธิดา เทวอนรัมย์, ชลธิชา จีนเกา, นัฐชา คดรัมย์, บุตรศราภรณ์ กองสะอาด, บุษผา เรียนไธสง, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์,ชนินาถ ทิพย์อักษร
การศึกษาวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1)เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการทำงานเป็นทีมที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2)เพื่อศึกษาปัจจัยด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 3)เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านทักษะและด้านการอบรมที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ คือ สมาชิกในชุมชนพื้นที่เขตชุมชนตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 650 คน และผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างข้อมูลจำนวน 221 คน เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ( Percentage ) ค่าเฉลี่ย ( Mean ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation ) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน ( Pearson Correlation Coefficient หรือ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient ) และการวิเคราะห์สมการถดถอย (Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน ของตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มี 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านการทำงานเป็นทีม ปัจจัยด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น และปัจจัยด้านทักษะและการด้านอบรม โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.01
2021-06-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด กรณีศึกษาหมู่บ้านบัวทอง ตำบลพรสำราญ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ชลธิชา แก้วธานี, ณัฐฐินันท์ นาดี, ธิภาภรณ์ ยาตา, ธีรรัตน์ สอนน้อย, นิภาพร สีสว่าง, ประภาพร บวรรัมย์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, อาจารย์ชนินาถ ทิพย์อักษร, อาจารย์กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75672021-06-19T09:18:33Z2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด กรณีศึกษาหมู่บ้านบัวทอง ตำบลพรสำราญ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ชลธิชา แก้วธานี, ณัฐฐินันท์ นาดี, ธิภาภรณ์ ยาตา, ธีรรัตน์ สอนน้อย, นิภาพร สีสว่าง, ประภาพร บวรรัมย์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, อาจารย์ชนินาถ ทิพย์อักษร, อาจารย์กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยะวัฒน์
การศึกษาวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านบุคคลที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านผู้นำที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด คือ สมาชิกหมู่บ้าน บ้านบัวทอง จำนวน 470 คน และผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างข้อมูลจำนวน 222 คน เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ( Percentage ) ค่าเฉลี่ย ( Mean ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation ) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน ( Pearson Correlation Coefficient หรือ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient ) และการวิเคราะห์สมการถดถอย (Regression Analysis)
ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด ของหมู่บ้าน บ้านบัวทอง มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคคล และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมของชุมชน ส่วนปัจจัยด้านผู้นำไม่ส่งผลเชิงบวกต่อการเป็นหมู่บ้านที่มีการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด โดยภาพรวมทั้ง 2 ปัจจัยจะพบว่าปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมของชุมชนและปัจจัยด้านบุคคลส่งผลเชิงบวกต่อ ความสำเร็จในการเป็นหมู่บ้านที่มีการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขเมื่อเกิดโรค โควิด 19 ระบาด โดยมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.1 และพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกมากที่สุด คือปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมของชุมชน อย่างไรก็ตามในการศึกษาผลการวิจัยในอนาคตสามารถศึกษาในปัจจัยอื่นๆ หรือในบริบทต่างไปจากเดิมหรือจะศึกษาในตัวแปรอื่นๆต่อไป
2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งเสริม เพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว กรณีศึกษาหมู่บ้านสนวนใน ตำบลสนวน อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ภัทรพงศ์ ทวีสุข, วรวุฒิ สีลาอ, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน, ปภาวี พวงพันธ์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ , กิตติกร ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75662021-06-19T09:14:17Z2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งเสริม เพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว กรณีศึกษาหมู่บ้านสนวนใน ตำบลสนวน อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์
ภัทรพงศ์ ทวีสุข, วรวุฒิ สีลาอ, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน, ปภาวี พวงพันธ์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ , กิตติกร ฮวดศรี
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยด้านผู้นำที่ส่งผลต่อการส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว 2) ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว 3) ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรมชุมชนที่ส่งผลต่อการส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวคือสมาชิกหมู่บ้าน บ้านสนวนใน จำนวน 948 คน จำนวน 270 ชุด เก็บข้อมูลในการใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Persentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation Coefficient หรือ Pearson’s Product Moment Correlation) และวิเคราะห์สมการถดถอย (Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งเสริม เพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวของหมู่บ้านสนวนใน มี 3 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยด้านผู้นำ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วม ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยภาพรวมทั้ง 3 ปัจจัยมีเพียงปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวโดยมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 อย่างไรก็ตามผลการวิจัยในอนาคตควรนำตัวแปรไปทดสอบในบริบทอื่นๆ
2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวกรณีศึกษา ชุมชนโคกใหญ่ (เขากระโดง) ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์จินตนา ไชยศรีรัมย์, จุฑารัตน์ สาลี, ชฏาทิพย์ ฉ่องงูเหลือม, ณัฐฐินันท์ วัชระวรพันธ์, นพรัตน์ โสรเนตร, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75652021-06-19T09:08:47Z2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวกรณีศึกษา ชุมชนโคกใหญ่ (เขากระโดง) ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
จินตนา ไชยศรีรัมย์, จุฑารัตน์ สาลี, ชฏาทิพย์ ฉ่องงูเหลือม, ณัฐฐินันท์ วัชระวรพันธ์, นพรัตน์ โสรเนตร, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี
การศึกษาวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว กรณีศึกษาชุมชนโคกใหญ่
(เขากระโดง) ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านผู้นำที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว 2) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านการมีส่วนร่วมที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว 3) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว คือ สมาชิกชุมชนโคกใหญ่ จำนวน 450 จำนวน 200 เก็บข้อมูลโดยการ
ใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean)
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เพียร์สัน(Pearson Correlation Coefficient หรือ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient )
ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว กรณีศึกษาชุมชนโคกใหญ่
(เขากระโดง) ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยทางด้านผู้นำที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว และ ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยทางด้านการมีส่วนร่วมไม่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว
โดยภาพรวมทั้ง 2 ปัจจัยมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการเป็นชุมชนท่องเที่ยวโคกใหญ่
(เขากระโดง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ทั้งสองด้านและพบว่าปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมไม่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยวและปัจจัยด้านผู้นำที่ส่งเสริมเพื่อเป็นชุมชนท่องเที่ยว รองลงมาตามลำดับ อย่างไรก็ตามในการศึกษาผลการวิจัยในอนาคตสามารถศึกษาในปัจจัยอื่นๆ หรือในบริบทต่างไปจากเดิมหรือจะศึกษาในตัวแปรอื่นๆต่อไป
2021-06-03T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของแรงงานผู้สูงอายุ กรณีศึกษาชุมชนบ้านยาง ตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี,ชนินาถ ทิพย์อักษร,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์,รังสิมา สว่างทัพ,ทศพร แก้วขวัญไกร,รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี,ชนินาถ ทิพย์อักษร,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์,รังสิมา สว่างทัพ,ทศพร แก้วขวัญไกร,http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75642021-09-12T08:50:05Z2020-01-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขของแรงงานผู้สูงอายุ กรณีศึกษาชุมชนบ้านยาง ตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี,ชนินาถ ทิพย์อักษร,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์,รังสิมา สว่างทัพ,ทศพร แก้วขวัญไกร,; รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี,ชนินาถ ทิพย์อักษร,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์,รังสิมา สว่างทัพ,ทศพร แก้วขวัญไกร,
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการเป็นบุคคลที่มีคุณค่าในสังคม ปัจจัยด้านสุขภาพอนามัย และปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการมีความสุขของแรงงานผู้สูงอายุ กรณีศึกษาชุมชนบ้านยาง ตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือแรงงานผู้สูงอายุ 316 คน การศึกษาใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือในการทำวิจัยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอย ผลการศึกษาพบว่า การเป็นบุคคลที่มีคุณค่าในสังคม ปัจจัยด้านสุขภาพอนามัย และปัจจัยด้านเศรษฐกิจส่งผลต่อการมีความสุขของแรงงานผู้สูงอายุ การศึกษานี้พบว่าปัจจัยด้านการสุขภาพอนามัยเป็นปัจจัยที่สำคัญแรงงานผู้สูงอายุควรดูแลสุขภาพร่างกายและใช้หลักธรรมในการดำรงชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงด้านการเจ็บป่วย การวิจัยนี้ทำให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพการเกษตร เช่นเดิม ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเรียบง่ายและพึ่งพาตนเองถึงแม้สภาพแวดล้อมทางสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป; This research aimed to study the factors of being a valuable person in society, health factors and, economic factors affecting the happiness of elderly workers case study of Bann Yang community, Bann Yang Sub-district, Mueang District, Buriram Province. The sample of 316 elderly workers. The study used a random sampling method. Research tools used to collect data by questionnaire and data analysis using regression analysis. The study indicated that being a valuable person in society, healthy factors and, economic factors affecting the happiness of elderly workers. This study found that healthy factors are important factors for elderly workers to take care of their physical health and use the principles of living to reduce the risk of illness. This research gave rise to knowledge about the implementation of the sufficiency economy as a concept of living in rural society, where members of the community had a farmer career happy in the old age and have the principles of living by being self-reliant in the changing social environment from the past.
2020-01-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษา ร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ทศพร แก้วขวัญไกร, รัชนีกร บวรชาติ,อัจฉรา หลาว,ชนินาถ ทิพย์อักษร,,กิตติกร ฮวดศรีทอง,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75632021-06-19T08:15:44Z2020-12-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษา ร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, ทศพร แก้วขวัญไกร, รัชนีกร บวรชาติ,อัจฉรา หลาว,ชนินาถ ทิพย์อักษร,,กิตติกร ฮวดศรีทอง,จตุพร จันทารัมย์,กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาคุณลักษณะผู้ประกอบการเชิงรุกที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) ศึกษาเครือข่ายผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3) เพื่อศึกษาช่องทางการจัดจำหน่ายที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 320 คน การศึกษาใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือในการทำวิจัยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน การวิเคราะห์การถดถอย ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะผู้ประกอบการเชิงรุกส่งผลเชิงลบต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้พบว่าเครือข่ายผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และสุดท้ายช่องทางการจัดจำหน่ายส่งผลต่อการเพิ่มยอดขายของร้านค้าปลีก ยุคไทยแลนด์ 4.0 กรณีศึกษาร้านธงฟ้าประชารัฐบริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ; The purposes of this research were 1) to study the proactive entrepreneurship affecting increasing sales of retailers in Thailand 4.0 era under a case study of Blue Flag (Thong Fah Pracharat) shops providing state welfare smartcard, 2) to study the Thong Fah Pracharat entrepreneurial network affecting increasing sales of retailers in Thailand 4.0 era under a case study of Blue Flag (Thong Fah Pracharat) shops providing state welfare smartcard, 3) to study distribution channels (place) affecting increasing sales of retailers in Thailand 4.0 era under a case study of Blue Flag (Thong Fah Pracharat) shops providing state welfare smartcard. The sample of this study consisted of 320 entrepreneurs in Thong Fah Pracharat project in Buriram Province. The sample was selected based on a convenience sampling. A questionnaire was used as a research instrument. Data collected were then analyzed using descriptive and inferential statistics, and regression analysis. The results of this study indicated that the proactive entrepreneurship to increase retail sales of Blue Flag (Thong Blue Flag Pracharat) retailers associated with providing state welfare smartcard, a case study in Thailand 4.0, is negative. Also, the entrepreneurial network does not affect increase retailer sales of Blue Flag (Thong Fah Pracharat) retailers with providing state welfare smartcard. Eventually, distribution channels (place) affected increasing sales of retailers in Thailand 4.0 era under a case study of Blue Flag (Thong Fah Pracharat) shops providing state welfare smartcard.
2020-12-18T00:00:00Zปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ต าบลสวายจีก อ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมยกิตติกร ฮวดศรี, พงษ์ศักดิ์ จงกรด, จิตติมา หาญยิ่ง, ลักษณาวดี มุ้งบ้ง, รังสิมา สว่างทัพ, ชนินาถ ทิพย์อักษร ุ, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ และ รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75622021-06-19T07:54:38Z2021-05-21T00:00:00Zปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ต าบลสวายจีก อ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย
กิตติกร ฮวดศรี, พงษ์ศักดิ์ จงกรด, จิตติมา หาญยิ่ง, ลักษณาวดี มุ้งบ้ง, รังสิมา สว่างทัพ, ชนินาถ ทิพย์อักษร ุ, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ และ รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนต าบลสวายจีกอ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้กลุ่มประชากรในการศึกษาได้แก่ ผู้น ากลุ่ม หัวหน้า สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านใหม่ จ านวน 42 คน เครื่องมือทีใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการตีความเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านทุนมนุษย์ ส่งผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ต าบลสวายจีก อ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์โดยทุนมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ด้านได้แก่ ทุนทางปัญญาและทุนทางแรงงาน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทุนทางปัญญา และด้านทุนทางแรงงาน มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนต าบลสวายจีกอ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์อยู่ในระดับปานกลาง และผลการสัมภาษณ์ ผู้น า หัวหน้าและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จ านวน 42 คนพบว่าด้านทุนทางปัญญาสมาชิกวิสาหกิจชุมชนต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาอบรมพัฒนา เพิ่มเติมความรู้ เพิ่มทักษะในด้านต่างๆ เช่น ด้านเทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร หรือความคิดสร้างสรรค์ ส่วนด้านทุนทางแรงงาน ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพัฒนาความเชี่ยวชาญเพื่อให้แรงงานมีศักยภาพ หาตลาดเพื่อจ าหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม
2021-05-21T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์เสื่อกก อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์Kittikorn Huadsri, Suphasan Petlerd Chawanluk Songkramrod Natthawut Detchkulram Natcha Wongsongchan Rapheephan Phonginwong, Tossaporn Kaewkaunkhaihttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75612021-06-19T07:48:20Z2021-05-21T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์เสื่อกก อำเภอแคนดง จังหวัดบุรีรัมย์
Kittikorn Huadsri, Suphasan Petlerd Chawanluk Songkramrod Natthawut Detchkulram Natcha Wongsongchan Rapheephan Phonginwong, Tossaporn Kaewkaunkhai
This research aimed to study guidelines for community product development a case
study of reed mat products, Khan Dong District, Buriram Province. This research is a mixed method research. Theories adopted include the concept of business condition analysis (SWOT ANALYSIS) and and business model canvans (BMC model). The sample groups were 15 members of the reed mats product group and 50 people in the Buriram walking street. The participatory action research methodology (Participatory Action Research: PAR) and the research instruments were observational interviews and small group chat setting up a community forum and satisfaction assessments of the customer. The results of the research were as follows: guidelines for community product development: case studies of reed products which consists of guidelines for the accounting system management, product identity and diversity product. This research has made reed mat products to be accepted and become a product in the Provincial Government GSB Yuwaphat Project.
2021-05-21T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษา ตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์อารีญา พันธ์สุวรรณ, เปมณีย์ ฉวีวงษ์, ธนกฤต พินัยรัมย์ ,ณัชชา วงษ์สองชั้น, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, ชนินาถ ทิพย์อักษร,ธีรรัตน์ สอนน้อยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75602021-06-19T07:30:56Z2021-01-07T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษา ตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
อารีญา พันธ์สุวรรณ, เปมณีย์ ฉวีวงษ์, ธนกฤต พินัยรัมย์ ,ณัชชา วงษ์สองชั้น, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, ชนินาถ ทิพย์อักษร,ธีรรัตน์ สอนน้อย
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยด้านความรู้และทักษะการทำงาน ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษาตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ปัจจัยด้านการติดต่อสื่อสารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษาตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จำนวน 170 คน เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติพรรณนาวิเคราะห์เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ค่าถดถอย ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความรู้และทักษะการทำงาน และปัจจัยด้านการติดต่อสื่อสาร ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษาตำบลหินโคน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ 0.01; This research aimed to study 1) factors of knowledge and working skills affecting the performance of the village health volunteers case Study of Hin Khon Subdistrict, Lam Plai Mat District Buriram Province 2) Communication factor affecting performance of village health volunteers case study of Hin Khon Subdistrict, Lam Plai Mat District, Buriram Province. This research is a quantitative research. The sample group was 170 community health volunteers of Hin Khon Subdistrict, Lam Plai Mat District. The research tool was a questionnaire using descriptive statistics to analyze percentage, mean, standard deviation, and the regression analysis.
The research results were found that factors of knowledge and work skills and communication factors affecting the performance of the village health volunteers case study of Hin Khon Subdistrict Lam Plai Mat District, Buriram Province with statistical significance at the level of 0.01.
2021-01-07T00:00:00Zคุณลักษณะนักทรัพยากรมนุษย์ในยุค 2020 ตามความต้องการของตลาดแรงงาน กรณีศึกษา นักศึกษาสาขาวิชาทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ธนิดา นันกวน, วรวุฒิ สีลา, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน,ธีรรัตน์ สอนน้อย, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ธนิดา นันกวน, วรวุฒิ สีลา, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน,ธีรรัตน์ สอนน้อย, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75592021-06-19T07:23:40Z2021-01-07T00:00:00Zคุณลักษณะนักทรัพยากรมนุษย์ในยุค 2020 ตามความต้องการของตลาดแรงงาน กรณีศึกษา นักศึกษาสาขาวิชาทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
ธนิดา นันกวน, วรวุฒิ สีลา, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน,ธีรรัตน์ สอนน้อย, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์; ธนิดา นันกวน, วรวุฒิ สีลา, สุมนัสชัย สมานทอง, ฐิติพร สุขประโคน,ธีรรัตน์ สอนน้อย, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, กิตติกร ฮวดศรี, กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะนักทรัพยากรมนุษย์ตามความต้องการของตลาดแรงงาน ในยุค 2020 กรณีศึกษานักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) เพื่อได้แนวทางในการพัฒนาคุณลักษณะนักสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุค 2020 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน กรณีศึกษานักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ จำนวน 140 คน และ ผู้ประกอบการในเขตพื้นที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะของนักทรัพยากรมนุษย์ในยุค 2020 ประกอบด้วยทุนทางปัญญา ทุนทางสังคมและทุนทางอารมณ์ ตามความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ 0.01; The purposes of this research is to 1) study the characteristics of human resource workers according to the needs of the labor market in the 2020 case study of students in human resource management program 2) To guide line on developing human resource characteristics in the 2020 to meet the needs of the labor market. This research is the mix method research. The sample were students in human resource management program, faculty of management science 140 people and 10 entrepreneurs in the area of Muang Buriram district, The research tool was a questionnaire.
The research using descriptive statistics to analyze the percentage, mean and standard deviation. and analyze the regression. The results were found that the 2020 human resource attributes include intellectual capital, social capital and emotional capital according to the needs of the labor market with statistical significance at the level of 0.01
2021-01-07T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กรณีศึกษาเขตพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์สุพัตรา หงส์ลอยลม, อารีญา พันธ์สุวรรณ อิศริยา ดีอ้อม รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ กิตติกร ฮวดศรี และธนิดา นันกวนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75582021-06-19T06:55:53Z2020-09-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กรณีศึกษาเขตพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา หงส์ลอยลม, อารีญา พันธ์สุวรรณ อิศริยา ดีอ้อม รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ กิตติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์ กิตติกร ฮวดศรี และธนิดา นันกวน
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความภูมิใจที่ส่งผลต่อการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับงานอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือนที่ส่งผลต่อการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน จำนวน 160 คนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณ 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านความภูมิใจและด้านความรู้เกี่ยวกับงานอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือนที่ส่งผลเชิงบวกต่อการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ 0.01; The objectives of this research were : 1) To study the factors of pride that affect the disaster prevention and mitigation performance in the situation of the COVID 19 outbreak, a case study of the Sawai Jeek Subdistrict administrative organization, Muang district, Buriram province ; and to study the factors of knowledge about civil defence volunteer work affecting the disaster prevention and mitigation performance in the situation of the COVID-19 outbreak, a case study of Sawai Jeek Subdistrict administrative organization, Muang district, Buriram province. This research is a quantitative research. Sample group these included 160 civilian defence volunteers in the area responsible for the Sawai Jeek Subdistrict administrative organization. The instrument used to collect data was approximately 5 scale questionnaires. The statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation and multiple regression. The study found that factors of pride and knowledge of civil defence volunteer work that affects disaster prevention and mitigation performance in the situation of the COVID 19 a case study of Swai Jeek Subdistrict administrative organization, Muang district, Buriram province, statistically significant at a level of 0.01
2020-09-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์รวิฐา ทวีพร้อม, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์,ชนินาถ ทิพย์อักษร, กิติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, และ กิตติกร ฮวดศรี และอัจฉรา หลาวทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75572021-06-19T06:51:24Z2020-09-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
รวิฐา ทวีพร้อม, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์,ชนินาถ ทิพย์อักษร, กิติกวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, และ กิตติกร ฮวดศรี และอัจฉรา หลาวทอง
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการเป็นชุมชนต้นแบบด้านวิสาหกิจชุมชนที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านความปรองดองส่งผลต่อการเป็นชุมชนยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่สมาชิกบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณ 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านการเป็นชุมชนต้นแบบด้านวิสาหกิจชุมชนและปัจจัยด้านความปรองดองที่ส่งผลเชิงบวกต่อการเป็นชุมชนยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านใหม่ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ 0.01; The objective of this research is 1) to study the factors of be a model of a community enterprise that affect be a sustainable community case study of Ban Mai, Sawai jeek subdistrict, Mueang district, Buriram province. 2) To study the factors of reconciliation affecting the sustainable community case Study of Ban Mai, Sawai jeek subdistrict, Mueang district, Buriram province. This research is a quantitative research. Sample group Including members of the new house 201, Sawai jeek sub-district, Mueang district, Buriram province. The data collection tool was approximately five scale questionnaires. The statistics used in data analysis were percentage, mean, standard deviation and multiple regression. The study found that factors of be a model of a community enterprise and a factor of reconciliation positive affecting a sustainable community case study of Ban Mai, Sawai jeek subdistrict, Mueang district, Buriram province statistically significant at a level of 0.01
2020-09-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทขนมจีน กรณีศึกษาชุมชนสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์รวิฐา ทวีพร้อม, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, อัจฉรา หลาวทอง, กานต์มณี การินทร์, กิตติกร ฮวดศรี, ชนินาถ ทิพย์อักษรุ,และกิตติกวินทร์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75562021-06-19T06:46:42Z2020-09-18T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทขนมจีน กรณีศึกษาชุมชนสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
รวิฐา ทวีพร้อม, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์, อัจฉรา หลาวทอง, กานต์มณี การินทร์, กิตติกร ฮวดศรี, ชนินาถ ทิพย์อักษรุ,และกิตติกวินทร์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนของหน่วยงานรัฐ การตลาดออนไลน์ ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทขนมจีน กรณีศึกษาชุมชนสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคลากรทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนที่เป็นคณะกรรมการโครงการ RISMEP และผู้ประกอบการผลิตขนมจีน รวมทั้งหมด 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตีความและสรุปความเรียง ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทขนมจีน กรณีศึกษาชุมชนสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์นั้นได้แก่ อัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนของหน่วยงานรัฐ การตลาดออนไลน์ ส่งผลต่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทขนมจีน
The purpose of this research is to study the factors identity, government support, online marketing affecting the enhancement of community products of the Thai rice flour noodle a case study of Sawai jeek community, Muang district, buriram province. This research is a qualitative research. The sample 15 groups were Small and Medium Business network committee. The tools used in the study were structured interviews and data collection by in-depth interviews. Analyze data by interpreting and summarizing essays. The research results were found that factors affecting the upgrading of community products, Thai rice flour noodle a case study of the Sawai jeek community, Muang district, Buriram province are as follows: product identity, government support, online marketing affecting the enhancement of community products of thai rice flour noodle.
2020-09-18T00:00:00Zการส่งเสริมโรงเรียนสุขภาพผู้สูงอายุที่เหมาะสมแบบมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นด้วยการขับเคลื่อนตามฐานคิดการพัฒนาศัตวรรษที่ 21 ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์รวิฐา ทวีพร้อม, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,กิตติกร ฮวดศรีรวิฐา ทวีพร้อม, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,กิตติกร ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/75552021-06-19T05:30:39Z2020-09-03T00:00:00Zการส่งเสริมโรงเรียนสุขภาพผู้สูงอายุที่เหมาะสมแบบมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นด้วยการขับเคลื่อนตามฐานคิดการพัฒนาศัตวรรษที่ 21 ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
รวิฐา ทวีพร้อม, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,กิตติกร ฮวดศรี; รวิฐา ทวีพร้อม, กิตติวินท์ เอี่ยมวิริยาวัฒน์, รพีพรรณ พงษ์อินทร์วงศ์ ,กิตติกร ฮวดศรี
A study on the promotion of the potential of suitable elderly school participation. Of the local community With the development of the 21st century development, Sawaijeek Sub-district, Muang District, Buriram Province. 1. To analyze the potential of the elderly school in Sawaijeek Sub-district, Muang District, Buriram Province. 2. To study the needs of elderly students in Sawaijeek Sub-district, Muang District, Buriram Province. 3. To find ways to promote the capacity of the elderly school That is appropriate with the participation of local communities in Sawaijeek Sub-district, Muang District, Buriram Province. The participatory action research method was used as a participatory action research project Qualitative Research and Quantitative Research and Development Using both research tools. Observation, Questionnaire, Indepth Interview, and Focus Group to collect data. It was analyzed by descriptive briefing as a point to promote and find ways to promote the potential of the elderly. Appropriate participation of local communities. The main target groups are related to research issues. There are 3 groups: 1. Representatives from the group who initiated the establishment of the Elderly School 1 person. 2. Elderly students in Sawaijeek Sub-district 42 person. 3. Representatives from various groups in the community. The potential of the Elderly School 35 person. The results of the research were as follows: 1. The elderly school in Sawaijeek Sub-district Have the potential to be developed to upgrade to a model elderly school This is due to the strong leadership potential, suitable location, continuous budget support, volunteer lecturer from various sectors, the elderly in the community themselves who are in harmony with each other. Regularly interested in participating in school activities for the elderly. 2. Most of the elderly students demand a form of learning activities that are consistent with the 21st century development thinking, except for foreign languages. And the use of technology in daily life 3. Promoting the potential of schools for the elderly in Sawaijeek Sub-district To have more potential Must begin with the establishment of a steering committee Including Advisory Committee, Operational Support Committee, Executive Committee And volunteer lecturer To come together to define courses, activities, regulations And image of the elderly school.
2020-09-03T00:00:00Zการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ชนินาถ, ทิพย์อักษรรังสิมา, สว่างทัพกิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์กิตติกร, ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/71422020-09-17T04:53:23Z2020-08-02T00:00:00Zการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ชนินาถ, ทิพย์อักษร; รังสิมา, สว่างทัพ; กิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; กิตติกร, ฮวดศรี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนารูปแบบการสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) ของนักศึกษาสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (2) ศึกษาคุณลักษณะผู้สอนในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning (3) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการกรเรียนการสอนแบบ Active Learning ผลการจัดการเรียนการสอน รายวิชาเทคนิคการนำเสนองาน (3511402) โดยใช้การสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning); The purposes of this research study were: (1) to develop the participative teaching model (Active Learning) for the students of Human Resource Management Department, Faculty of Management Sciences, Buriram Rajabhat University; (2) to investigate the characteristics of teachers in Active Learning management; and (3) to evaluate students' satisfaction towards Active Learning management.
2020-08-02T00:00:00Zบทความวิจัยเรื่อง ปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์กิตติกร, ฮวดศรีกิตติกวินต์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์รังสิมา, สว่างทัพรพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์ชนินาถ, ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60672020-03-23T06:40:50Z2561-12-01T00:00:00Zบทความวิจัยเรื่อง ปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กิตติกร, ฮวดศรี; กิตติกวินต์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; รังสิมา, สว่างทัพ; รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์; ชนินาถ, ทิพย์อักษร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การศึกษาครั้งนี้สามารถนำผลการศึกษามาใช้เป็นเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อประยุกต์ใช้ในการวางแผนการการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้นำกลุ่มหรือหัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือทีใช้ในการเก็บแบบสอบถามได้แก่แบบสอบถาม สัมภาษณ์ และทำการวิเคราะห์ผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation)
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้นำหรือหัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน ด้านเพศพบว่า ผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ด้านอายุพบว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านทุนทางปัญญาพบว่าภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.40 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ท่านมีความสามารถในการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดจากการทำงานในอาชีพของตนได้ ท่านมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในอาชีพ ท่านมีโอกาสแสวงหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอๆอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.00 รองลงมา ท่านสามารถนำความรู้จากการศึกษา เล่าเรียนมาประยุกต์ใช้กับงานปัจจุบันของตนเองได้ สามารถถ่ายทอด หรือให้คำแนะนำเพื่อนร่วมงานหรือบุคคลที่มาขอคำแนะนำได้อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.44 ท่านมีทักษะการสื่อสารที่รวดเร็ว เข้าใจง่ายอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.22 ท่านมีทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขที่แม่นยำ ไม่ผิดพลาดอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.11 และท่านมีทักษะการใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารเพื่อลดขั้นตอนในการทำงานได้อยู่ในระดับน้อย มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 2.00 ตามลำดับ
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านทุนทางแรงงานพบว่าภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ปานกลางมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.05 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า แรงงานที่ใช้หาได้ง่ายโดยทั่วไปในชุมชนอยู่ในระดับ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.88 รองลงมาท่านคิดว่าแรงงานที่มีอยู่ปัจจุบันมีเพียงพอ ท่านต้องการลดต้นทุนในการจ้างแรงงานอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.00 ลูกค้าสั่งสินค้าน้อยเลยให้ทำให้ลดจำนวนแรงงานอยู่ในระดับานกลางมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.00 แรงงานมีความพึงพอใจต่อค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.88 แนวโน้มแรงงานในหน่วยงานของท่าน (5 ปีย้อนหลัง) ท่านอยากได้แรงงานเพิ่มอยู่ในระดับ น้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.44 แรงงานไปอยู่กับกิจการอื่นที่เป็นประเภทเดียวกันอยู่ในระดับน้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.22 และ ผู้สมัครมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมกับงานอยู่ในระดับน้อย มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 1.55 ตามลำดับ
คำสำคัญ: ทุนมนุษย์, การพัฒนา ,วิสาหกิจชุมชน
2561-12-01T00:00:00Zสื่อการสอนวิชา เทคนิคการวิเคราะห์งานกิตติกร, ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60652020-03-23T04:48:20Zสื่อการสอนวิชา เทคนิคการวิเคราะห์งาน
กิตติกร, ฮวดศรี
เป็นสื่อประกอบการสอนทั้ง 8 บท
สื่อการสอน เทคนิคการนำเสนอชนินาถ, ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59542020-03-19T08:04:41Zสื่อการสอน เทคนิคการนำเสนอ
ชนินาถ, ทิพย์อักษร
สื่อการสอนในรายวิชา เทคนิคการนำเสนองาน
โครงการเสริมทักษะและพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การทำงานอย่างมืออาชีพสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อ.ชนินาถ ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59512020-03-19T04:48:58Zโครงการเสริมทักษะและพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ
สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อ.ชนินาถ ทิพย์อักษร
เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาเข้าสู่การทำงาน การเพิ่มทักษะการทำงานเป็นทีม เพิ่มทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพสำหรับการปฏิบัติงาน โดยได้รับเกียรติจากท่าน ดร.ธีระยุทธ วรพินิจ ที่ปรึกษาสำนักนายก และผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรมนุษย์ มาเป็นวิทยากรในครั้งนี้
บุคลิกภ่าพและมนุษยสัมพันธ์ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ชนินาถ, ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59262020-03-08T07:26:01Zบุคลิกภ่าพและมนุษยสัมพันธ์ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์
ชนินาถ, ทิพย์อักษร
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จการบริหารทรัพยากรมนุษย์รังสิมา, สว่างทัพชนินาถ, ทิพย์อักษรกิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์กิตติกร, ฮวดศรีรพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59252020-03-08T06:58:54Z2016-12-21T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จการบริหารทรัพยากรมนุษย์
รังสิมา, สว่างทัพ; ชนินาถ, ทิพย์อักษร; กิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; กิตติกร, ฮวดศรี; รพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการกระบวนทัศน์และความรับผิดชอบต่อสังคมส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 243 คน การดำเนินการวิจัยประกอบด้วยการทดสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอย ผลการศึกษาพบว่า 1) การจัดการกระบวนทัศน์ทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ส่งผลเชิงบวกต่อความส าเร็จการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2) ความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งประกอบด้วยการจ้างแรงงานในท้องถิ่นส่งผลเชิงบวกต่อความสำเร็จของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นแนวทางในการนำไปใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในบริบทของจังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป; This research aimed to study paradigms management and corporate social responsibility
to contribute to the success of human resource management. The samples included 243
entrepreneurs of medium-sized and small-sized businesses in Buriram Province. The research consisted of testing the accuracy and reliability of the tool. The statistics used in this study consisted of descriptive statistics, correlation analysis, and regression analysis. The study found that 1) The paradigms management of human resource management, which consisted of recruiting, personnel packing to work, personnel management after the training, effected in positive achievements of human resource management. 2) Corporate social responsibility which included hiring in the local, social assistance and environmental conservation affected positively on the success of human resource management. The results of this research were as a guide for applying to the management of human resources within the context of further Buriram Province.
2016-12-21T00:00:00Zโครงการออกค่ายอาสาพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59242020-03-08T06:38:28Zโครงการออกค่ายอาสาพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม
สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ; สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์กิตติกร, ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59232020-03-08T05:11:58Zการบริหารทรัพยากรมนุษย์
กิตติกร, ฮวดศรี
สื่อการเรียนการสอนวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ รหัสวิชา 3511101
มคอ.5 วิชาภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2_61รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59142019-12-30T08:49:06Zมคอ.5 วิชาภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2_61
รังสิมา, สว่างทัพ
มคอ 5 วิชาภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2_61
มคอ.5 วิชาจริยธรรมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 1_62รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59132019-12-30T08:45:17Zมคอ.5 วิชาจริยธรรมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 1_62
รังสิมา, สว่างทัพ
มคอ 5 วิชาจริยธรรมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 1_62
มคอ.5 วิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 1_62รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59122019-12-30T08:41:41Zมคอ.5 วิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 1_62
รังสิมา, สว่างทัพ
มคอ 5 วิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 1_62
มคอ.5 วิชาการตรวจสอบทุจริตในองค์การ 2_61รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59112019-12-30T08:38:03Zมคอ.5 วิชาการตรวจสอบทุจริตในองค์การ 2_61
รังสิมา, สว่างทัพ
มคอ. 5 วิชาการตรวจสอบทุจนิคในองค์การ 2_61
สื่อการสอนวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2_62รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59102019-12-30T08:31:21Zสื่อการสอนวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2_62
รังสิมา, สว่างทัพ
สื่อประกอบการสอน (PowerPoint) เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 3513208 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งนอกจากให้นักศึกษาใช้เป็นคู่มือในการเรียนแล้ว ผู้ประกอบการ นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งหัวหน้าในหน่วยงานต่าง ๆ ก็สามารถเรียนรู้และนำหลักการแนวทางปฏิบัติไปประยุกต์ใช้ในการทำงานหรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในหน่วยงานของตนเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการทำงานและความสามารถในการแข่งขันในแวดวงธุรกิจได้ อันจะนำมาสู่การพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ มีความได้เปรียบ ในเชิงแข่งขันและอยู่รอดได้ภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์
เนื้อหาในสื่อประกอบการสอนเล่มนี้มีเนื้อหาครอบคลุมขอบข่ายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ ประกอบด้วยเนื้อหาหลัก 10 บทคือ บทนำการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ การจัดการฝึกอบรมเชิงกลยุทธ์ การฝึกอบรมโดยอิงสมรรถนะ การหาความจำเป็นในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: การฝึกอบรม การกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรม การออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมและเทคนิควิธีที่ใช้ในโครงการฝึกอบรม การเขียนและบริหารโครงการฝึกอบรม และการประเมินผลและการเขียนรายงานผลการดำเนินโครงการฝึกอบรม
ผู้จัดทำขอขอบคุณคณบดี และรองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นหนุนเสริม ให้ข้อคิดเห็นและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการจัดทำสื่อประกอบการสอนเล่มนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
รังสิมา สว่างทัพ
พฤศจิกายน 2562
ภาวะการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2557รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57142019-09-14T15:36:42Z2558-01-01T00:00:00Zภาวะการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2557
รังสิมา, สว่างทัพ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อติดตามผลการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2557 (2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานทา และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จากบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2557 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาจากหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทั้งภาคปกติและภาค กศ.บป. ปีการศึกษา 2557 จานวน 16 คน โดยใช้ทั้งประชากร เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามที่ปรับปรุงจากแบบสอบถามการติดตามภาวะการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2557 เก็บข้อมูลได้ร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นหญิง สาเร็จการศึกษาจากโครงการศึกษาภาคปกติ มีงานทา คิดเป็นร้อยละ 81.25 ทางานตรงกับสาขาวิชาที่เรียนโดยเป็นพนักงานบริษัทหรือองค์กรธุรกิจเอกชน คิดเป็นร้อยละ 92.31 มีเงินเดือนเฉลี่ย 12,126.90 บาทต่อเดือน ได้งานทาภายใน 1-3 เดือนหลังสาเร็จการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 38.47 ความรู้ความสามารถพิเศษที่ช่วยให้ได้งานทาคือความรู้ความสามารถพิเศษทางคอมพิวเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 61.54 มีความพอใจในงานที่ทา คิดเป็นร้อยละ 84.62 และสามารถนาความรู้จากสาขาวิชาที่เรียนมาใช้ในหน้าที่การงานได้ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 76.93 (2) ความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานทาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยความคิดเห็นใน 3 ด้านแรก ได้แก่ ด้านการมีความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพและการทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีและสามารถแสดงออกถึงการมีภาวะผู้นาและมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ด้านการมีคุณธรรมจริยธรรมในตนเองและส่วนรวม แสดงออกถึงความมีวินัยซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และด้านการมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และสถิติในการวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม (3) บัณฑิตมีความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาในภาพรวมในระดับมากที่สุด โดยความพึงพอใจ 3 ลาดับแรก ได้แก่ การทุ่มเทและเสียสละเวลาเพื่อพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากเวลาสอนปกติ นักศึกษาสามารถเข้าพบอาจารย์ประจาหลักสูตรได้ทุกเวลา และกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนานักศึกษาในระหว่างที่ศึกษากับเรื่องการให้คาแนะนาปรึกษาการใช้ชีวิตและหรือการเรียนในระหว่างการศึกษาตลอดหลักสูตร
2558-01-01T00:00:00Zรายงานการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิตที่จบการศึกษาจากสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2558รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57132019-09-14T14:45:58Z2559-01-01T00:00:00Zรายงานการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิตที่จบการศึกษาจากสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2558
รังสิมา, สว่างทัพ
คุณภาพของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ = 4.69
2559-01-01T00:00:00Zปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์กิตติกร, ฮวดศรีกิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์รังสิมา, สว่างทัพรพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์ชนินาถ, ทิพย์อักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57122019-09-13T19:47:11Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กิตติกร, ฮวดศรี; กิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; รังสิมา, สว่างทัพ; รพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์; ชนินาถ, ทิพย์อักษร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ การศึกษาครั้งนี้สามารถนาผลการศึกษามาใช้เป็นเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อประยุกต์ใช้ในการวางแผนการการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้นากลุ่มหรือหัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือทีใช้ในการเก็บแบบสอบถามได้แก่แบบสอบถาม สัมภาษณ์ และทาการวิเคราะห์ผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation)
2562-01-01T00:00:00ZLocal Wisdom Knowledge Management, Smarter Technology and Reputation of the Community Silk Manufacturerรพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/50262019-06-25T02:38:14Z2015-12-24T00:00:00ZLocal Wisdom Knowledge Management, Smarter Technology and Reputation of the Community Silk Manufacturer
รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
Abstract
This study aimed to investigate the impact of local wisdom knowledge management and smartertechnology on the reputation of the community silk manufacturer. The resource base view of firm theorywas employed to describe the conceptual frame work. The samples of the study were 448 who were silkmanufacturers attending the Institute of Sericulture Sirikit National Memorial Queen of Buriram silk
competition which was held between 11-12 March 2015. Overall, the results indicated that the knowledge management indigenous knowledge and technology awareness had positive to businesses reputation.Theoretical and managerial contributions were explicitly. The results were useful for silk manufacturer forpersonnel management and the government officer to encourage the silk productivity.
Key Words : Local wisdom knowledge management, Smarter technology, Reputation of the community
silk manufacture
2015-12-24T00:00:00ZLeaders’ Character, Participation of Members and Organizational Success: Evidence from the Rice Centers, Buriram Province in Thailandรพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/50252019-06-25T02:35:56Z2015-07-28T00:00:00ZLeaders’ Character, Participation of Members and Organizational Success: Evidence from the Rice Centers, Buriram Province in Thailand
รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
ABSTRACT
This study aimed to investigate the relation between the leaders’ character and the
participation of members, and the relation between the government awareness, and the
organizational success. The data was collected through questionnaire from 502 members of
community rice center committee working in 51 community rice centers, Buriram province,
Thailand. The statistics employed in this study were descriptive statistics, correlation, and
Ordinary Least Squares (OLS) regression analysis. The results revealed the leaders’ characterhad positive effect on the participation, and the participation of the members had positiveeffect on the organizational success. The leaders were progressive and had proactive vision.
They had motivation power to motivate the members and the committee. The members and the committee had idea to develop their community rice centers. On the other hand, the government’s awareness moderated negatively between the members’ participation and organizational success. The potential discussion with the result was implemented in the study.Theoretical and managerial contributions were included. Conclusion, suggestions, anddirections of the future research were also highlighted.
Keywords: Leaders’ Character, Participation of Members; Government Awareness,
Organizational Success
2015-07-28T00:00:00Zรายงานผลการดำเนินโครงการปฐมนิเทศและปรับพื้นฐานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาในหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2562รังสิมา สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/47682019-06-17T16:24:07Zรายงานผลการดำเนินโครงการปฐมนิเทศและปรับพื้นฐานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาในหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2562
รังสิมา สว่างทัพ
รายงานผลการดำเนินโครงการปฐมนิเทศและปรับพื้นฐานเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษาในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2562
รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนานักศึกษาเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้าน ICT Literacyรังสิมา สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/47672019-06-17T16:12:47Zรายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนานักศึกษาเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้าน ICT Literacy
รังสิมา สว่างทัพ
รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนานักศึกษา การเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้าน ICT Literacy
มคอ.3 ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์รังสิมา, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/47532019-06-15T08:39:54Zมคอ.3 ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์
รังสิมา, สว่างทัพ
มคอ.3 วิชาภาษาอังกฤษสำหรับงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ ภาคการศึกษาที่ 2/2561
ภาวะการมีงานทำของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2558รังสิมา, สว่างทัพชนินาถ, ทิพย์อักษรกิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์รพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/46612019-06-10T10:00:16Z2559-01-01T00:00:00Zภาวะการมีงานทำของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2558
รังสิมา, สว่างทัพ; ชนินาถ, ทิพย์อักษร; กิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; รพีพรรณ, พงศ์อินทร์วงศ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อติดตามผลการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2558 (2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานทา และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จากบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2558 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาจากหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2558 จานวน 29 คน โดยใช้ทั้งประชากร เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามที่ปรับปรุงจากแบบสอบถามการติดตามภาวะการมีงานทาของบัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2558 เก็บข้อมูลได้ร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นหญิง มีงานทา คิดเป็นร้อยละ 81.25 ทางานตรงกับสาขาวิชาที่เรียนโดยเป็นพนักงานบริษัทหรือองค์กรธุรกิจเอกชน คิดเป็นร้อยละ 92.31 มีเงินเดือนเฉลี่ย 12,126.90 บาทต่อเดือน ได้งานทาภายใน 1-3 เดือนหลังสาเร็จการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 38.47 ความรู้ความสามารถพิเศษที่ช่วยให้ได้งานทาคือความรู้ความสามารถพิเศษทางคอมพิวเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 61.54 มีความพอใจในงานที่ทา คิดเป็นร้อยละ 84.62 และสามารถนาความรู้จากสาขาวิชาที่เรียนมาใช้ในหน้าที่การงานได้ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 76.93 (2) ความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานทาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยความคิดเห็นใน 3 ด้านแรก ได้แก่ ด้านการมีความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพและการทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีและสามารถแสดงออกถึงการมีภาวะผู้นาและมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ด้านการมีคุณธรรมจริยธรรมในตนเองและส่วนรวม แสดงออกถึงความมีวินัยซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และด้านการมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และสถิติในการวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม (3) บัณฑิตมีความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาในภาพรวมในระดับมากที่สุด โดยความพึงพอใจ 3 ลาดับแรก ได้แก่ การทุ่มเทและเสียสละเวลาเพื่อพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากเวลาสอนปกติ นักศึกษาสามารถเข้าพบอาจารย์ประจาหลักสูตรได้ทุกเวลา และกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนานักศึกษาในระหว่างที่ศึกษากับเรื่องการให้คาแนะนาปรึกษาการใช้ชีวิตและหรือการเรียนในระหว่างการศึกษาตลอดหลักสูตร
2559-01-01T00:00:00ZHuman Capital, Innovation Awareness, Social Responsibility, and Human Resource Successผศ.ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/42492018-08-06T06:54:28Z2018-08-06T00:00:00ZHuman Capital, Innovation Awareness, Social Responsibility, and Human Resource Success
ผศ.ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
Abstract— This research aimed to study the human capital, innovation awareness, social responsibility and human resource success. The samples included 243 entrepreneurs selected from small and medium enterprises in Buriram province, Thailand. The research consisted of correlation analysis and regression analysis. The result showed that 1) The human capital and innovation awareness were positive to human resource success, and 2) The social responsibility had not positive effects on the success of human resource management in the SMES (model4). The result of this research provided useful suggestions for more effective management of human resource within the context of small and medium enterprises in Buriram Province, Thailand
.
Index Terms— Human capital, Innovation awareness, Social responsibility, Human resource success.
2018-08-06T00:00:00Zกลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามแนวคิด 4 Cs เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์อาจารย์ณัฐวุฒิ, ชูขวัญhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/42302018-07-16T08:02:38Z2018-07-20T00:00:00Zกลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามแนวคิด 4 Cs เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
อาจารย์ณัฐวุฒิ, ชูขวัญ
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาบริบท การพัฒนาจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากร
ในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาจริยธรรมในการ ปฏิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อได้แนวทางการปฏิบัติด้านจริยธรรมในการปฏิบัติงาน ในการปฏิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน
การศึกษาครั้งนี้ได้เก็บกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ประกอบการ หัวหน้าผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน และพนักงานระดับปฏิบัติการของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งฐานข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ มีสถานประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จำนวน 1,321 ธุรกิจ ซึ่งแบ่งเป็นภาคการผลิต ซื้อมาขายไป ภาคบริการ ธุรกิจอาหาร130 ในเขตพื้นที่ 23 อำเภอ ในจังหวัดบุรีรัมย์
การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงคุณภาพ โดยการถอดคำสัมภาษณ์ และ focus group และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาคำตอบด้านศักยภาพ ปัญหาและอุปสรรคของสถานประกอบการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การศึกษานี้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงปริมาณ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษาพบว่าบริบทด้านเศรษฐกิจ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยในปี พ.ศ. 2557-2559 โดยเฉพาะนโยบายของจังหวัดบุรีรัมย์ทำให้เกิดการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะธุรกิจผลิตและการให้บริการ การเกิดความเข้มแข็งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในช่วงปี 2558 เป็นต้นมาทำให้ส่งผลต่อจริยธรรมในการทำงานของบุคลากรที่มีมาตรฐานระดับสากล ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรภาคอุตสาหกรรมตามแนวคิด 4Cs ประกอบด้วย การส่งเสริมด้านทัศนคติ (Contribute attitude ) การสื่อสาร (Communication) ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ (consequence performance) การควบคุมให้คงอยู่ (Control stable)
คำสำคัญ จริยธรรม การส่งเสริมด้านทัศนคติ การสื่อสาร ผลลัพธ์ของการปฏิบัติงาน การควบคุมให้คงอยู่
2018-07-20T00:00:00Zการส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานระดับปฏิบัติการ ภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/42292018-07-16T07:56:00Z2018-07-20T00:00:00Zการส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานระดับปฏิบัติการ ภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาบริบทความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของพนักงานระดับ
ปฏิบัติการในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อได้แนวทางในการยกระดับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของพนักงานระดับปฏิบัติการในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างไรก็ตามแนวคิดสมรรถนะและทฤษฏีมาสโลว์ สามารถอธิบายกรอบแนวคิดและผลการศึกษาในครั้งนี้
การศึกษาครั้งนี้ได้เก็บกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ประกอบการ หัวหน้าผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน และพนักงานระดับปฏิบัติการของธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งฐานข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ มีสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมจำนวน 562 โรง มีพนักงานในระดับปฏิบัติการจำนวน 385 คน การศึกษาจะใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ผู้ประกอบการ หัวหน้าผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน และพนักงานระดับปฏิบัติการของธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ 23 อำเภอ ในจังหวัดบุรีรัมย์การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงคุณภาพ โดยการถอดคำสัมภาษณ์ และ focus group และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาคำตอบด้านศักยภาพ ปัญหาและอุปสรรคของสถานประกอบการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงปริมาณ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษาพบว่า 1)บริบทด้านเศรษฐกิจ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโต
ทางเศรษฐกิจ โดยในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการขยายการลงทุนทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมบริการดังนั้นทำให้เกิดความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นหน่วยงานทุกหน่วยงานที่มีการปฏิบัติงานด้วยเครื่องจักร การปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมบริการ การบริการอาหารและเครื่องดื่ม จะมีกระบวนการที่เกี่ยวกับสุขอนามัยและความปลอดภัยของพนักงานและผู้บริโภค ดังนั้นทุกหน่วยงานจะต้องได้รับการตรวจสอบด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยในสถานประกอบการ 2) ปัจจัยด้านองค์กรส่งผลต่อความปลอดภัยต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจภาคอุตสาหกรรม และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมส่งผลรองลงมา และปัจจัยส่วนบุคคลจะส่งผลต่อระดับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานที่สุด สถานประกอบการขนาดใหญ่จะมีการเกิดอุบัติเหตุในการทำงานจะมีอัตราน้อยมาก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะมีสาเหตุมาจากความประมาทในการปฏิบัติงาน เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรง สถานประกอบการขนาดเล็ก จะมีอุปกรณ์เครื่องจักรจำนวนน้อย และมีอัตราการผลิต จำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อัตราความเสี่ยงในการเกิดความปลอดภัยในการทำงานมีไม่มากเนื่องจากใช้แรงงานในการปฏิบัติงาน เครื่องจักรในการปฏิบัติงานก็จะไม่มีความทันสมัยทำให้เกิดอุบัติเหตุในการปฏิบัติงานถี่ แต่ระดับความอันตรายจะไม่มาก เช่นบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากของมีคม
คำสำคัญ การส่งเสริมความปลอดภัย นโยบายของรัฐ กฎระเบียบขององค์กร การตระหนักของพนักงานระดับปฏิบัติการ
2018-07-20T00:00:00Zการพัฒนาศักยภาพแรงงานภาคอุตสาหกรรมบริการ กรณีศึกษาเขตพื้นที่จังหวัด บุรีรัมย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/42282018-07-16T07:47:43Z2018-07-20T00:00:00Zการพัฒนาศักยภาพแรงงานภาคอุตสาหกรรมบริการ กรณีศึกษาเขตพื้นที่จังหวัด บุรีรัมย์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาบริบทการพัฒนาศักยภาพแรงงานภาคอุตสาหกรรมบริการ
กรณีศึกษาเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมบริการที่จะมีการพัฒนาในช่วงปี 2561-2564 ในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อได้กำหนดหลักสูตรในการจัดฝึกอบรมและการยกระดับการปฏิบัติงานให้มีความเป็นมาตรฐานของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมบริการในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างไรก็ตามแนวคิดสมรรถนะและทฤษฏีมาสโลว์ สามารถอธิบายกรอบแนวคิดและผลการศึกษาในครั้งนี้
การศึกษาครั้งนี้ได้เก็บกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ประกอบการ และหัวหน้าผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน และพนักงานภาคอุตสาหกรรมบริการในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงคุณภาพ โดยการถอดคำสัมภาษณ์ และ focus group และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาคำตอบด้านศักยภาพ ปัญหาและอุปสรรคของสถานประกอบการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การศึกษานี้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงปริมาณ ซึ่งมีแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ผลการศึกษาโดยใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษาพบว่าบริบทของบุคลากรภาคอุตสาหกรรมบริการโดยภาพรวมบุคลากรมีมาตรฐานการปฏิบัติงานระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ บุคลากรส่วนใหญ่ยังขาดมาตรฐานการปฏิบัติงานระดับสากล สิ่งที่ต้องมีการพัฒนาได้แก่ด้านภาษา และมีกลุ่มงานที่จะต้องพัฒนา ได้แก่ พนักงานปรุงอาหารไทย อาหารยุโรป พนักงานปรุงอาหารประเภทขนม เบเกอรี่ พนักงานต้อนรับส่วนหน้าที่มีการปฏิบัติงานเป็นมืออาชีพ พนักงานนวดแผนไทยที่มีการปฏิบัติงานเป็นมืออาชีพ มัคุเทศก์ท่องถิ่นที่มีความเป็นมืออาชีพ พนักงานบัญชีและการเงิน นักวิชาการการเกษตร ผู้ประกอบการมืออาชีพ นักวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ พนักงานขับรถแบบมืออาชีพ และหลักสูตรที่จะต้องพัฒนาให้กับบุคลากรภาคอุตสาหกรรมได้แก่การพัฒนาด้านภาษา การจัดหลักสูตรจะประกอบด้วยระยะสั้นและระยะยาวโดยระยะสั้นอบรมเกี่ยวกับภาษาหลักสูตรระยะยาวอบรมเกี่ยวกับความชำนาญในวิชาเฉพาะ
2018-07-20T00:00:00Zคุณลักษณะบัณฑิที่พึงประสงค์ตามความต้องการของสถานประกอบการหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตชนินาถ, ทิพย์อักษรรังสิมา, สว่างทัพกิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์กิตติกร, ฮวดศรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/21472017-09-19T03:27:34Z2017-01-01T00:00:00Zคุณลักษณะบัณฑิที่พึงประสงค์ตามความต้องการของสถานประกอบการหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต
ชนินาถ, ทิพย์อักษร; รังสิมา, สว่างทัพ; กิตติกวินท์, เอี่ยมวิริยาวัฒน์; กิตติกร, ฮวดศรี
บทคัดย่อ
2017-01-01T00:00:00ZSALARY, WELFARE AND THE QUALITY OF LIFE OF ALIENATE LABORS: THE CASE STUDY OF CAMBODIA LABORS IN THAILANDRapheephan, Phonginwonghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/11592017-09-11T02:58:12Z2016-01-01T00:00:00ZSALARY, WELFARE AND THE QUALITY OF LIFE OF ALIENATE LABORS: THE CASE STUDY OF CAMBODIA LABORS IN THAILAND
Rapheephan, Phonginwong
2016-01-01T00:00:00Z