รายงานการวิจัย (Research reports)http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2052024-03-28T14:06:00Z2024-03-28T14:06:00Zการพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติจิรวดี โยยรัมย์, ศุภารัตน์ อยู่ยืน, สริดา เกษนอกhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70882020-09-16T03:55:12Z2020-01-01T00:00:00Zการพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติ
จิรวดี โยยรัมย์, ศุภารัตน์ อยู่ยืน, สริดา เกษนอก
การพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอกอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อ าเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติ2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้สื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อ าเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติในการจัดท าโครงงานมีกระบวนการออกแบบตาม
ADDIE Model
ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช
จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติเป็นสื่อที่สามารถ
เรียนรู้และเข้าใจด้วยตนเองได้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการเรียนรู้การท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน พบว่า
ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมสื่อที่มีต่อสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อยู่ในระดับ พึงพอใจ
มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.72
2020-01-01T00:00:00Zการพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติจิรวดี โยยรัมย์, ศุภารัตน์ อยู่ยืน, สริดา เกษนอกhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70872020-09-16T03:35:55Z2020-01-01T00:00:00Zการพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติ
จิรวดี โยยรัมย์, ศุภารัตน์ อยู่ยืน, สริดา เกษนอก
การพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอกอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อ าเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติ2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้สื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อ าเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติในการจัดท าโครงงานมีกระบวนการออกแบบตาม
ADDIE Model
ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านสนวนนอก อำเภอห้วยราช
จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติเป็นสื่อที่สามารถ
เรียนรู้และเข้าใจด้วยตนเองได้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการเรียนรู้การท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน พบว่า
ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมสื่อที่มีต่อสื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อยู่ในระดับ พึงพอใจ
มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.72
2020-01-01T00:00:00Zการสร้างลวดลายอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์เขมรเพื่อพัฒนาเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมของหมู่บ้าน ท่องเที่ยวไหม บ้านสนวนนอก อําเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ยาทองไชย, ชูศักดิ์ยาทองไชย, วิไลรัตน์ชัยโชติอนันต์, จารุณีราชประโคน, พวงเพชรกลองชัย, อริยพลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60752020-03-23T08:18:08Z2019-11-17T00:00:00Zการสร้างลวดลายอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์เขมรเพื่อพัฒนาเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมของหมู่บ้าน ท่องเที่ยวไหม บ้านสนวนนอก อําเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์
ยาทองไชย, ชูศักดิ์; ยาทองไชย, วิไลรัตน์; ชัยโชติอนันต์, จารุณี; ราชประโคน, พวงเพชร; กลองชัย, อริยพล
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา วิเคราะห์ ออกแบบ และสร้างอัตลักษณ์ของลวดลายบนผ้าทอมือของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 2) จัดท าผ้าต้นแบบตัวอย่างที่เป็น อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักเพื่อยกระดับเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม และ 3) วิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ส าหรับการซื้อขายผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เขมร โดยมีวิธีด าเนินการวิจัย คือ ก าหนดปัญหาและความต้องการสินค้าพรีเมี่ยม ค้นหาอัตลักษณ์ชุมชนสู่อัตลักษณ์ผลิตภัณฑ์ ออกแบบลวดลายผลิตภัณฑ์ ผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์ ประเมินผล ประชาสัมพันธ์ต้นแบบผลิตภัณฑ์จากนั้นท าการออกแบบและพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา จ านวน 44 คน จาก 5 กลุ่ม คือ 1) ช่างทอ
กลุ่มชาติพันธุ์เขมร 2) ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าทอ 3) นักพัฒนาชุมชน 4) เจ้าของร้านค้าผ้าพื้นบ้าน และ 5)
กรรมการหมู่บ้าน และสมาชิกกลุ่มทอผ้า โดยมีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม การ
สัมภาษณ์ และการสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบบันทึกข้อมูลเชิงคุณภาพ แบบสัมภาษณ์
โปรแกรมออกแบบลวดลายผ้า และแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการ
วิจัยคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
- การสร้างลวดลายอัตลักษณ์ส าหรับผ้าทอมือกลุ่มชาติพันธุ์เขมรให้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม มีการ
ก าหนดขอบข่ายใน 3 ส่วน คือ 1) สีสัน (Color) ให้ตัดกันแต่ให้อยู่ในสไตล์ขรึมเรียบหรู 2) รูปทรง
(Form) ต้องเป็นลวดลายเล็กละเอียดในโครงสร้างใหญ่ และ 3) เนื้อผ้าและผิวสัมผัส (Texture) ต้อง
เรียบเนียน มันวาว ท าให้ได้ลวดลายส าหรับผ้าทั้งหมด 5 ประเภท คือ 1) ผ้าหางกระรอก (ผ้าพื้น) 2) ผ้าโสร่ง (ผ้าตาราง) 3) ซิ่นหมี่โฮล (ผ้าลาย) 4) ผ้าสไบเจือยย (ผ้าขาวม้ายกขิดที่ชาย) และ 5) สไบฉนู้ด(ผ้ายกดอก) น าไปทอเป็นผ้าต้นแบบ จ านวน 11 ลาย
- ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์การจัดจ าหน่ายผ้าอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เขมร เป็นเว็บ
แอปพลิเคชันที่ใช้แบบจ าลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ด้วยระบบบริหารฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล มีการ
ท างาน 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เป็นส่วนบริการลูกค้า มีฟังก์ชันหลักในการท างาน ได้แก่ แสดงข้อมูลอัต
ลักษณ์ผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์เขมร แค็ตตาล็อกสินค้า และตะกร้าซื้อสินค้า ส่วน 2 ส่วนบริการผู้บริหาร
ระบบ ได้แก่ การจัดการสินค้าและประเภทสินค้า และการจัดการการสั่งซื้อ ในการศึกษาความพึงพอใจ
ในการใช้งานระบบใน 3 ด้าน คือ ด้านเนื้อหาของเว็บไซต์ ด้านการออกแบบเว็บไซต์ และด้าน
กระบวนการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก
2019-11-17T00:00:00Zการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตชุมชนในการจัดการระบบเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านคูขาด ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์วันดี, พิชิตศรีสง่า, พรศรีทาหอม, อุทิศธุระตา, สำราญhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/56032019-09-10T18:54:02Z2016-09-30T00:00:00Zการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตชุมชนในการจัดการระบบเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านคูขาด ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
วันดี, พิชิต; ศรีสง่า, พรศรี; ทาหอม, อุทิศ; ธุระตา, สำราญ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหาการจัดการระบบเกษตรของชุมชนบ้านคูขาด ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อวิเคราะห์และค้นหา ภูมิปัญญา พัฒนาแนวทางการประยุกต์ใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับชุมชนบ้านคูขาด ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบนวัตกรรมท้องถิ่นที่เหมาะสมในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนบ้านคูขาด ตำบลสตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้กระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่นเน้นการมีส่วนร่วม ซึ่งทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการสัมภาษณ์เจาะลึก การสนทนากลุ่ม การจัดเวทีวิเคราะห์ปัญหา การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การเดินสำรวจ และการศึกษาจากเอกสารต่างๆ รวมทั้งการสืบค้นจากแหล่งสืบค้นข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนมีการจัดการระบบเกษตรเป็น 2 ส่วนคือ การเพาะปลูกในระดับแปลงนา และในระดับครัวเรือนโดยใช้พื้นที่ที่มีอย่างจำกัดในการเพาะปลูก นอกจากนั้นชาวบ้านประสบปัญหาระบบนิเวศจากพื้นที่รอบชุมชนเนื่องจากส่วนใหญ่มีการปลูกพืชเชิงเศรษฐกิจ ทำให้มีการใช้สารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี จึงส่งผลกระทบโดยตรงสุขภาพต่อประชาชนและทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูง ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างรายได้ ชุมชนไม่มีรูปแบบการผันน้ำจากหนองคูขาดขึ้นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จากที่ผ่านมาเคยมีหน่วยงานรัฐให้การสนับสนุนแต่ยังขาดความต่อเนื่องและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน จึงเกิดแผนปฏิบัติการเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 แผนงาน ได้แก่ 1. แผนการจัดการความรู้ด้านการเกษตร ประกอบด้วย กิจกรรมแผนงานพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตร ในการเพาะปลูก จัดให้มีการอบรมหลักสูตรในการทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ หลักสูตรสารไล่แมลงชีวภาพ หลักสูตรปุ๋ยหมักไม่กลับกอง และกิจกรรมพัฒนาศักยภาพด้านการประมงโดยฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงกบ ปลา และผลิตอาหารไว้เลี้ยงเองจากวัตถุดิบที่มีในชุมชน 2. แผนการจัดการน้ำ ประกอบด้วยการทดลองผันน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรของชุมชนด้วยระบบกาลักน้ำ ดำเนินการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยหลักการบริหารจัดการน้ำโดยกระจายในระดับชุมชนเช่นเดียวกับหลักการกระจายสัญญาณของข้อมูล พร้อมทำการออกแบบแผนผังสถานีส่งน้ำในชุมชนทั้ง 7 สถานีรวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 1,248 เมตร 3. แผนกลไกในการจัดการระบบเกษตร ประกอบด้วย การตั้งกฎ กติกา จัดตั้งคณะกรรมการ จัดตั้งกองทุนธนาคารเพื่อการจัดการน้ำของชุมชน และจัดทำคู่มือหลักสูตรการเรียนรู้ศักยภาพในการจัดการเกษตรของชุมชน; The objectives of this research were 1) to study the problems of the community agricultural system management in Ban Khu Khat, Satuk subdistrict, Satuk district, Buriram province, 2) to analyze and search for wisdom to develop innovative applications that is suitable to Ban Khu Khat, Satuk subdistrict, Satuk district, Buriram province, and 3) to develop local innovative model to create the right food security of Ban Khu Khat, Satuk subdistrict, Satuk district Buriram province. The research used the research process for local area. The data was collected by in-depth interviews, group discussion, problem analysis stage, participant and non-participant observation, exploration, and document study, including retrieving data from query data sources. The results showed that the community had divided the community agricultural system management into 2 parts: the crop in the field and at the household level, using a limited area of cultivation. Moreover, the villagers suffered the ecology of the area around the community since most of the crops were economical types. The use of pesticides, chemical fertilizers had a direct impact on public health and the cost of production was high. The locals were participating in activities to generate income. The community did not have forms of water diversion from Nong Khuk Khat to more effectively use. In the past, the government organizations supported the system, but it lacked of continuity and this problem was not resolved sustainably. Therefore, there was an action plan to guide troubleshooting which consisted of three plans: 1. management plan for knowledge of agriculture included the development of agricultural potential in cultivation, organize a training course for making bio-fermented fertilizer, bio Insect pesticide, non-compost pile fertilizer, and improvement of the fishery potential by training to raise frogs and fish as well as production of food for animals using raw materials in the community. 2. water management plan consisted of a water diversion experiment for community agriculture with a siphon system. The researchers conducted the survey and analyzed the data based on the management of water distribution at the community level similar to the principle of information distribution. Then the researchers designed 7 community water stations. The total distance was 1,248 meters. 3. agricultural systems mechanical plan included a set of rules, covenant, committee, bank funds for community water management, and a preparation instruction course for learning the agricultural management potential in the community.
2016-09-30T00:00:00Zการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจรผ่านระบบ คิวอาร์โค้ด ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์วันดี, พิชิตบุษบง, สกรณ์ดวงคำ, เสกสิทธิ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/55582019-09-10T07:16:35Z2019-09-01T00:00:00Zการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจรผ่านระบบ คิวอาร์โค้ด ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
วันดี, พิชิต; บุษบง, สกรณ์; ดวงคำ, เสกสิทธิ์
การวิจัยในครั้งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพนิเวศ ปัญหาในการจัดการขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง 2) เพื่อออกแบบและพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัดการขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง3)เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการใช้งานแอพพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัด การขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง โดยใช้วิธีการดำเนินการตามหลักวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แอพพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัดการขยะผ่านระบบคิวอาร์โค้ด 2) ประเด็นสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แบบประเมินประสิทธิภาพการใช้งานแอพพลิเคชั่นบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่น
ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีลักษณะชุมชนติดเมืองและเป็นเส้นทางผ่านของการจราจร ทำให้เกิดมลภาวะจากขยะมูลฝอยทั้งในชุมชน และจากการสัญจรของประชาชนทั่วไป โดยชุมชนมีการจัดการขยะด้วยการใช้หลักการ 3 R ได้แก่ การปฏิเสธการงดใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ยากต่อการทำลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม (Reject) การใช้วัสดุธรรมชาติแทนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุอาหารสำหรับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันเพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอยที่จะตามมา (Reduce) การนำเศษวัสดุของเหลือใช้มาปรับปรุงเพื่อการใช้งานใหม่อีกรอบ (Recycle) โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในชุมชน 2) แอพพลิเคชั่นเพื่อการบริหารจัดการขยะประกอบด้วยส่วนของการสแกนคิวอาร์โค้ดประเภทของขยะ เพื่อคำนวณเก็บสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัล และส่วนของเว็บไซต์การจัดการข้อมูลสารสนเทศการบริหารจัดการขยะ ได้แก่ การจัดการข้อมูลภาพกิจกรรม แผนที่พิกัดของสมาชิก และข่าวสารประชาสัมพันธ์ 3) ผลการประเมินประสิทธิภาพแอพพลิเคชั่น เพื่อการบริหารจัดการขยะผ่านระบบคิวอาร์โค้ด พบว่ามีประสิทธิภาพ โดยรวมคุณภาพอยู่ในระดับมาก (x= 4.46) คุณภาพของเว็บไซต์ระบบจัดการขยะอยู่ในระดับมากที่สุด (x= 4.53) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อแอพพลิเคชั่น พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( x= 4.49) การประยุกต์ใช้งานแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร ทำให้ผู้ใช้งานสามารถลดขั้นตอนในการจัดการขยะในครัวเรือนได้สะดวกยิ่งขึ้นสร้างเจตคติที่ดีในการนำขยะมาสร้างมูลค่าผ่านการทำงานของกลุ่มในชุมชน; Research has been aimed at 1) to analyze the ecological environment. Problems in the management of Ban Yang Sub district Administration Organization 2) to design and develop applications for the garbage management of the ban Yang Sub district Administration organization. 3) to study the performance of the application for the waste management of the ban Yang Sub district Administration organization using the system development Life cycle method. SDLC) The target audience used to research 400 people. The instruments used in research include 1). The application for waste complete management via qr-code 2) in-depth interview 3) performance evaluation, integrated waste management application, and 4) application user satisfaction questionnaire.
The findings found that 1) Ban Yang Sub district Administration organization Muang Buriram Province The city is characterized by the political community and is the route through of traffic. It causes pollution from garbage in the community, and from public traffic to the community, with the use of the 3-R principle: refusal or refrain from any product or product that is difficult to break into environmental pollution. (Reject) use of natural materials instead of packaging that is used for daily consumer food to reduce the amount of waste to follow. (Reduce) Use of waste material to be adjusted for new applications. (Recycle) Relying on the participation of the villagers in the community 2) The garbage management application consists of a scanning section of the garbage-type QR code to calculate collecting points to redeem rewards and parts of the information management website. Member's coordinates map and press releases 3) the results of the application evaluation in waste management via qr-code level showed that the overall efficiency is high (x= 4.46). Quality of waste management web site was at the highest level (x= 4.53) User satisfaction per application. Found to be as satisfying as possible. (x= 4.49) application of integrated waste management applications. This makes it easier for users to reduce the process of household waste management. Create a good attitude to bring the garbage, create value through the work of community groups.
2019-09-01T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาการท่องเทยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ปิยาภรณ์, ศิริภานุมาศสาธิต, ผลเจริญกมลรัตน์, สมใจhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/55082019-09-09T09:45:47Z2550-01-01T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาการท่องเทยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้
ปิยาภรณ์, ศิริภานุมาศ; สาธิต, ผลเจริญ; กมลรัตน์, สมใจ
การวิจัยยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาประเภทของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ 2) เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ 3)เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ และ 4) เพื่อหายุทธศาสตร์พึ่งพาเสริมสร้างความเข้มแข็งการพัฒนาและจัดการการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ กลุ่มตวอย่างในการศึกษาคือ ประชาชนในพื้นที่ตัวแทนของจังหวัดในอีสานใต้ คือ ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี จำนวน 414 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพในการสัมภาษณ์เจาะลึก และการประชุมระดมสมอง ผลการวิจัยมีดังนี้
1. ประเภทของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้มี 4 ประเภทคือ 1) ยาสมุนไพร ทั้งในรูปแบบการรับประทาน การทา และการเป่า 2) การนวด จับเส้น การประคบและอบสมุนไพร 3) การผลิตอาหารธรรมชาติเพื่อสุขภาพ 4) การใช้มนต์คาถา การเสก เป่า
2. รูปแบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยงเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้มี 2 รูปแบบ คือ 1)การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ ยังมีสิ่งต้องปรับปรุงคือ ควรมีป้ายบอกทางที่ชัดเจน การจัดวางสิ่งของให้เป็นระเบียบ เรื่องความสะอาด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ 2) การจัดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ให้เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวประเภทอื่น ๆ คือ 2.1) เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ชมโบราณสถานและปราสาทหินต่าง ๆ 2.2) เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวศึกษาวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของชุมชน
3.แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้ทำได้โดยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีบทบาทของตนเองอย่างเหมาะสม ดังนี้คือ 1) เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านในอีสานใต้กับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง 2) การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านอีสานใต้ด้วยการให้ผู้ที่มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ได้มีส่วนร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวดังนี้ 2.1 )ท้องถิ่นและประชาชน เตรียมความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครือข่ายชุมชน คุณภาพในการจัดการด้านต่าง ๆ 2.2) หน่วยงานภาครัฐด้านการท่องเที่ยว ควรมีการประสานกับท้องถิ่น เพื่อการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม 2.3) บริษัทนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ควรมีการประสานงานกับหมอพื้นบ้านและชุมชนเพื่อนัดหมายล่วงหน้า 2.4 นักท่องเที่ยว ควรได้ศึกษาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถาน และศึกษาวิถีชีวิตชุมชน การปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่ทิ้งขยะ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
4. ยุทธศาสตร์พึ่งพาเพื่อเสริมสร้างความเข้าแข็งการพัฒนาและจัดการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ มี 4 ประการคือ 1)การพัฒนาองค์ความรู้การแพทย์พื้นบ้านร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง 2)การพัฒนาความเป็นผู้นำด้านการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านอีสานใต้ ให้เชื่อมโยงกับการจัดการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แหล่งอารยธรรมขอมโบราณ ของประเทศกัมพูชา 3) การพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านเขมรและลาวในฐานะที่เป็นแหล่งสมุนไพร และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อนำมาเสริมสร้างสุขภาพ และ 4)การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมสร้างสุขภาพพร้อมกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นสินค้าส่งออกและใช้ร่วมกัน
2550-01-01T00:00:00Zระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดวันดี, พิชิตทาหอม, อุทิศธุระตา, สำราญรัตกุล, วีรากรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54972019-09-09T08:14:11Z2017-09-30T00:00:00Zระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด
วันดี, พิชิต; ทาหอม, อุทิศ; ธุระตา, สำราญ; รัตกุล, วีรากร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษา รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อออกแบบและสร้างระบบ แถบรหัสคิวอาร์โค้ด (QR-code) และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ในการเข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ 3) เพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4) เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยว หน่วย บุคลากรหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน โดยใช้เทคนิคการสุ่มแบบบังเอิญ และกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) ประเด็นการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้รู้เกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งข้อมูลการท่องเที่ยว ความต้องการด้านสารสนเทศเพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยว แนวทางการพัฒนาสารสนเทศผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด 2) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด 3) แบบประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด 4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด ผลการวิจัยพบว่า 1) บริบทข้อมูลเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ประกอบด้วยเส้นทางสายไหม โดยมีจุดเริ่มต้นจากอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งมีสถานที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งหมด 5 อำเภอ ได้แก่ อนุสาวีย์รัชการที่ 1 ศาลหลักเมืองซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง หลังจากนั้นมุ่งหน้าสู่ทางทิศเหนือผ่านวัดเกาะแก้วธุดงคสถาน (วัดระหาน) อำเภอบ้านด่าน ปรางค์กู่สวนแตง อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ วัดศรีษะแรด (วัดหงส์) อำเภอพุทไธสง และศูนย์หัตกรรมพื้นบ้าน อำเภอนาโพธิ์ และเส้นทางสายใต้ภูเขาไฟ ซึ่งจุดเริ่มต้นจากอำเภอเมืองบุรีรัมย์ มุ่งสู่เส้นทางสายใต้ในพื้นที่ทั้งหมด 6 อำเภอ ประกอบด้วยสถานที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ อุทยานภูเขาไฟเขากระโดง อำเภอเมือง ปราสาทไปรบัด และปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย พิพิธภัณฑ์บ้านกรวด อำเภอบ้านกรวด วนอุทยานปราสาทพนมรุ้ง และวัดเขาอังคาร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ วัดป่าละหานทราย อำเภอละหานทราย และอนุสาวรีย์เราสู้ ปราสาทหนองหงส์ อำเภอโนนดินแดง 2) ประเพณีวัฒนธรรมบนเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ จากความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีความแตกต่างกันตามภูมิศาสตร์ ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์และวิถีการดำเนินชีวิตที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน 4 กลุ่มชาติพันธุ์ เกิดความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมมากแห่งหนึ่ง และมีความผสมกลมกลืนกัน โดยมีประเพณีวัฒนธรรมตามลักษณะความเชื่อของแต่ละกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์ไทยกูย กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร กลุ่มชาติพันธุ์ไทยโคราช และกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว 3) ผลการประเมินประสิทธิภาพระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดพบว่า โดยรวมคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( = 4.45 , S.D. = 0.54) ในด้านความพึงพอใจต่อระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เส้นทางแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( x= 4.25, S.D. = 0.70) 4) ผลการจัดกิจกรรมเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวผ่านเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ด โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการร้านขายของที่ระลึก นักท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไป และนักศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งมีการนำเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติการในการเข้าถึงระบบสารสนเทศ พร้อมทั้งทดสอบการใช้งานคิวอาร์โค้ด ผู้ประกอบการสามารถนำความรู้ที่ได้นำเสนอต่อลูกค้าและขยายฐานลูกค้าต่อไป ทำให้เกิดการตื่นตัวในการจัดการข้อมูลของตนเองอย่างเป็นระบบเพื่อให้สอดคล้องต่อระบบสารสนเทศ นักศึกษาเกิดแนวคิดในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในด้านการเรียน และเป็นแนวทางในการนำไปสู่การพัฒนาชุมชนของตนเอง และเกิดทักษะการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสืบค้นข้อมูล; This research aimed 1) to study, collect and analyze cultural and historical tourist route information in Buriram province, 2) to design and build the system, QR code Bar code and geographic information systems accessing the historical and cultural tourism information in Buriram province, 3) to publish and transfer technology information of attractions to tourists and related sections, and 4) to evaluate the efficiency and satisfaction towards the use of GIS to study the cultural and historical tourist route in Buriram province via QR codes. The samples used in the research included the tourists, government sector and the private sector staff by using accidental sampling (convenience sampling or accidental sampling). The number of the samples was 400, determined by using the table of Taro Yamane. The instrument used in the research were: 1) The in-depth interview about the access to travel information, needs of information to study the tourist route, guideline for the development of information technology via QR codes, 2) Geographic Information Systems to study the historical and cultural attractions in Buriram via QR code technology, 3) Evaluation form of the effectiveness of GIS to study the cultural and historical tourist route in Buriram through QR code technology, and 4) satisfaction questionnaire towards the GIS to study the historical and cultural attractions in Buriram via QR code technology. The research found that 1) The context of historical and cultural attractions route data contained of the Silk Road. The beginning of Silk Road was from Muang Buriram which had the major attractions in five districts: the King Rama 1 monument and the city pillar shrine in Muang district. After that, heading northern through Kohkaewtudongkasarn Temple (Wat Raharn) at Ban Dan district, Prang Ku Suan Taeng at Ban Mai Chaiyaphotdistrict, Srisaraet Temple (Wat Hong) at Phutthaisong district, and Local Crafts Center at Na Pho district. The southern volcano route began from Muang Buriram towards southern area of 6 Districts which included the important attractions such as Khaokradong Volcano Park at Muang district, Pribut Castle and Muang Tam sanctuary at Prakhonchai district, Bankruat Museum at Bankruat district, Phanom Rung Historical Park and Khao Angkarn Temple at Chaloemprakiat district, Wat Pa Lahan Sai Temple at Lahansai district, and Raosu monuments and Nong Hong castle at Non Din Daeng district. 2) Traditions and cultures on the cultural and historical attraction route in Buriram, from a variety of attractions which were very different geographically reflected the identity and way of life with cultures of 4 different ethnic groups. This area had a lot of cultures and a harmonious combination. The traditions and cultures based on beliefs of ethnic groups: Thai Kui, Thai Khmer ethnic group, Thai Korat Ethnic group, and Thai Laos ethnic groups. 3) The results of the effectiveness evaluation of GIS for historical and cultural routing tourism via QR codes revealed that overall quality was at a high level (= 4.45, SD = 0.54). In terms of satisfaction of GIS for historical and cultural tourist route via QR codes technology, the results showed that the satisfaction was at a high level (x= 4.25, SD = 0.70). 4) The results of publishing and transferring information technology of tourist information via QR code to a group of entrepreneurs in the souvenir shops, tourists, the general public, and undergraduate students, including the presentation of knowledge exchange, practice of the information systems access and tests of QR codes use showed that the entrepreneurs can apply the knowledge to offer the customers and expand customer base further. This also helped increase awareness to manage their information in a systematic manner to conform to the system. Moreover, the students gained an idea of bringing knowledge to applications in the field of study and as a guideline for the development of their own communities, and acquired the skills by practicing in the authentic use of information technology for information retrieval.
2017-09-30T00:00:00Zแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมสำหรับเกษตกรกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษนอกฤดูกาลผลิตของชุมชนบ้านหนองไผ่ ตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์วันดี, พิชิตบุษบง, สกรณ์จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54942019-09-09T07:44:58Z2018-12-31T00:00:00Zแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมสำหรับเกษตกรกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษนอกฤดูกาลผลิตของชุมชนบ้านหนองไผ่ ตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์
วันดี, พิชิต; บุษบง, สกรณ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การวิจัยในครั้งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพนิเวศน์ แหล่งน้ำ ปัญหาในการจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษของชุมชนบ้านหนองไผ่ 2) เพื่อออกแบบและพัฒนาแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรสำหรับกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษของชุมชนบ้านหนองไผ่ และ3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการใช้งานแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำสำหรับเกษตรกรกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้วิธีการดำเนินการตามหลักวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle :SDLC) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยจำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ 2) แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานด้านทรัพยากรน้ำและการบริหารจัดการน้ำของชุมชนบ้านหนองไผ่ 3) แบบประสิทธิภาพการใช้งานแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรและ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่น
ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนบ้านหนองไผ่ ตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับเนินสูง โดยใช้แหล่งน้ำชลประทานและแหล่งเก็บน้ำตามธรรมชาติในการเพาะปลูก ในช่วงนอกฤดูกาลผลิตมีความโดดเด่นในการรวมกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ โดยการทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพใช้เองเพื่อลดต้นทุน 2) แอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรของกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ ประกอบด้วยกล่องควบคุมปั๊มน้ำ และชุดอุปกรณ์รดน้ำในแปลงผัก สามารถตั้งเวลาสั่งการเปิด/ปิดปั๊มน้ำ ตรวจสอบความชื้นของดิน สอบสภาพแวดล้อมบริเวณแปลงเกษตร ลดเวลาในการรดน้ำจากรูปแบบเดิม 10 นาที และลดปริมาณน้ำจำนวน 1,180ลิตรต่อครั้ง 3) ผลการประเมินประสิทธิภาพแอพพลิเคชั่นในการบริหารจัดการน้ำระดับแปลงเกษตรพบว่า มีประสิทธิภาพโดยรวมคุณภาพอยู่ในระดับมาก (x= 4.43) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานต่อแอพพลิเคชั่น พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x= 4.51) การสั่งงานแอพพลิเคชั่นผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรดน้ำแปลงผักได้สะดวกยิ่งขึ้น ลดภาระงานและต้นทุนทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเกษตรกรในยุคเทคโนโลยี 4.0
2018-12-31T00:00:00Zผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่มีการเตรียมความพร้อม 2 แบบ ในวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เรื่องระบบสารสนเทศสำนักงานกมลรัตน์, สมใจจิรวดี, โยยรัมย์วชิรารักษ์, ทิพย์จันทร์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54722019-09-08T14:38:34Z2551-01-01T00:00:00Zผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่มีการเตรียมความพร้อม 2 แบบ ในวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เรื่องระบบสารสนเทศสำนักงาน
กมลรัตน์, สมใจ; จิรวดี, โยยรัมย์; วชิรารักษ์, ทิพย์จันทร์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เรื่องระบบสารสนเทศสำนักงาน (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการจำของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่การเตรียมความพร้อมทั้ง 2 รูปแบบ คือ เตรียมความพร้อมด้วยคำถามและเตรียมความพร้อมด้วยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 18 คน โดยแบ่งนักศึกษาออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 9 คน โดยเรียงสลับคะแนน จากนั้นสุ่มทั้งสองกลุ่มเป็นกลุ่มทดลองที่ 1 เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมโดยคำถามและกลุ่มทดลองที่ 2 เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมโดยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เรื่องระบบสารสนเทศสำนักงาน (2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เรื่องระบบสารสนเทศสำนักงาน โดยผู้วิจัยได้ทำการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมทั้ง 2 แบบ และสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แล้วนำเสนอให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบ หลังจากนั้นนำมาทดลองกับกลุ่มตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ :
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมโดยการใช้คำถามและการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีค่าประสิทธิภาพ 82.10/82.5
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียม
ความพร้อมโดยการใช้คำถามไม่แตกต่างจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมโดยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3. ความคงทนในการจำของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการ
เตรียมความพร้อมโดยการใช้คำถามไม่แตกต่างจากความคงทนในการจำของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมโดยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2551-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่ายของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์กมลรัตน์, สมใจนพพล, เชาวนกุลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54692019-09-08T14:26:19Z2552-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่ายของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
กมลรัตน์, สมใจ; นพพล, เชาวนกุล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อสร้างและพัฒนาระบบการสอนของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบการประเมินผลการสอนของอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 30 คน โดยแบ่งเป็นชั้นปีที่ 1 จำนวน 10 คน ชั้นปีที่ 2 จำนวน 20 ชั้นปีที่ 3 จำนวน 5 คน และชั้นปีที่ 4 จำนวน 5 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ (1) ระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่าย ซึ่งมีขั้นตอนในการพัฒนาดังนี้ 1)การออกแบบระบบงาน โดยได้ทำการออกแบบตามการทำงานใน 4 ส่วนคือ ส่วนของนักศึกษา ส่วนของอาจารย์ผู้สอน ส่วนของผู้บริหาร และส่วนของผู้ดูแลระบบ แล้วนำแต่ละส่วนมาออกแบบฐานข้อมูลพร้อมทั้งออกแบบแผนภาพกระแสข้อมูล(DFD) และออกแบบความสัมพันธ์ของระบบ (Entity-Relationship: E-R) 2)พัฒนาระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่าย โดยใช้โปรแกรม PHP มาช่วยในการพัฒนาระบบและใช้ MySql มาช่วยในการจัดการฐานข้อมูล (2) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่าย
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ :
1. การหาประสิทธิภาพของระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่ายทีพัฒนาขึ้น ทั้ง 3
ด้าน ได้แก่ ด้านความสามารถของระบบ ด้านผลลัพธ์ที่ได้จากระบบ และด้านการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับระบบ มีคุณภาพอยู่ในระดับดี มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.48
2.ความพึงพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อระบบประเมินผลการสอนผ่านเครือข่าย ทั้ง 3 กลุ่มได้แก่
ผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา ผู้ใช้ที่เป็นอาจารย์ และผู้ใช้ที่เป็นบริหาร อยู่ในระดับดี มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.49
2552-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดด้านการขายแบบเชิงรุกของผ้าไหมทอมือตำบลประทัดบุ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านระบบเครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์คจิรวดี โยยรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54332019-09-06T04:10:28Z2019-07-30T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดด้านการขายแบบเชิงรุกของผ้าไหมทอมือตำบลประทัดบุ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ผ่านระบบเครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์ค
จิรวดี โยยรัมย์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดำเนินงานของกลุ่มผ้าไหมทอมือตำบลประทัดบุ 2) วิเคราะห์ปัจจัยผู้บริโภคที่มีต่อการซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยเทคนิคเหมืองข้อมูล 3) เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบแอพพลิเคชั่นสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดด้านการขายร่วมกับเทคโนโลยีความจริงเสริม ผ่านระบบเครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์ค ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยโดยแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาการดำเนินงานและวิเคราะห์ปัจจัยผู้บริโภค ระยะที่ 2 การพัฒนาแอพพลิเคชันและประเมินคุณภาพระบบ ระยะที่ 3 การนำไปใช้และประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ระบบ ระยะที่ 4 การถ่ายทอดการใช้ระบบสารสนเทศ ไปยังตัวแทนกลุ่มชุมชน
ผลการศึกษา พบว่า การดำเนินงานของกลุ่มผ้าไหมทอมือตำบลประทัดบุ มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือที่กลุ่มของชุมชนเพียงเท่านั้น และยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ จึงได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพด้านการย้อมสีเส้นใยไหมและเส้นใยฝ้ายด้วยเชื้อราที่คัดแยกได้จากดินในเขตภูเขาไฟไปรบัด มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับชุมชน และกลุ่มยังขาดช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและทันสมัย จึงทำให้การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มลูกค้าใหม่เป็นไปได้ยาก การโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักยังมีน้อย ทำให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ จากการวิเคราะห์ปัจจัยผู้บริโภคที่มีต่อการซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ประหยัดเวลาในการเดินทางไปซื้อสินค้า การส่งเสริมการตลาดที่มีโฆษณาที่น่าสนใจ และ ราคาเหมาะสมมีวิธีการการชำระเงินที่หลากหลาย ตามลำดับ จึงได้พัฒนาระบบสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบแอพพลิเคชั่นสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดด้านการขาย ผ่านระบบเครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์ค เพื่อใช้เป็นช่องทางการจัดจำหน่าย และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือพื้นถิ่น โดยมีผลการประเมินคุณภาพและความพึงพอใจต่อระบบอยู่ในระดับมาก
2019-07-30T00:00:00Zดิจิทัลสื่อสารการตลาดวงศ์ปรเมษฐ์, ดรัสวินลิ้มศิริเรืองไร, พุทธชาดhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54142019-09-04T09:13:59Z2019-08-09T00:00:00Zดิจิทัลสื่อสารการตลาด
วงศ์ปรเมษฐ์, ดรัสวิน; ลิ้มศิริเรืองไร, พุทธชาด
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบความต้องการจำเป็นด้านเนื้อหาของลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือ รวมรวมและสรุปภูมิปัญญาการทอผ้าไหม วิถีชีวิตในหัตถศิลป์ และลวดลายที่เป็นอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมอีสานใต้ โดยสร้างสื่อสร้างสรรค์ในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการทอผ้าไหม และศึกษาความพึงพอใจ และสภาพปัญหาการใช้สื่อโฆษณาภูมิปัญญาการทอผ้าไหมวัฒนธรรมอีสานใต้บนสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนทั่วไป และชุมชนทอผ้าไหม ใน 5 จังหวัดวัฒนธรรมร่วมอีสานใต้ จำนวน 386 คน ซึ่งได้มากจากการคำนวนหาขนาดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของครอนบาค เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นสื่อโฆษณาภูมิปัญญาการทอผ้าไหมวัฒนธรรมอีสานใต้ในรูปแบบดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นจากภูมิปัญญาการทอผ้าไหมและความต้องการจำเป็นเนื้อหาของผู้ผลิตผ้าไหม ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ แบบสอบถามเป็นแบบมาตรตราส่วน 5 ระดับ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับความพึงพอใจในการใช้สื่อโฆษณาภูมิปัญญาการทอผ้าไหมวัฒนธรรมอีสานใต้บนสื่อสังคมออนไลน์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.81, = 0.81) และผลการศึกษาสภาพปัญหาการใช้งาน พบว่าผู้ใช้งานยังไม่ชำนาญในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และบางกลุ่มไม่มีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์; This research aims to know the need for content of Thai and foreign customers towards hand-woven silk products, combine and summarize the wisdom of silk weaving, life in craftsmanship and the pattern that is the identity of the Southern Isan culture by creating creative media in the conservation of silk weaving wisdom, study satisfaction and the problem of using advertising media culture on social media of the general public and the silk weaving community in 5 northeastern communal cultures, 386 people which is much calculated from the sample size from Cronbach's formula. The tools used in the research are the digital media of silk weaving Isan culture developed from the need for the content of silk manufacturer, Thai and foreign customers and The questionnaire is a 5-level metric model. The statistics used are mean and standard deviation. The results of the study showed that the sample group had the level of satisfaction in using advertising media in the northeast silk weaving culture on social media at a high level ( = 3.81, = 0.81) and the results of the study of the problem of usage found that users are not proficient in internet usage And some groups do not use social media.
2019-08-09T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์การผลิตพืชผลทางการเกษตร เพื่อการค้าในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ชูศักดิ์, ยาทองไชยวิไลรัตน์, ยาทองไชยเก่ง, จันทร์นวลนิกร, สมมุ่งhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54052019-09-03T09:39:09Z2014-10-15T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์การผลิตพืชผลทางการเกษตร เพื่อการค้าในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ชูศักดิ์, ยาทองไชย; วิไลรัตน์, ยาทองไชย; เก่ง, จันทร์นวล; นิกร, สมมุ่ง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาบริบทชุมชนการเกษตรเพื่อการค้าในเขตอำเภอ
เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์การผลิตพืชผลทางการเกษตรเพื่อการค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ในการผลิตสารสนเทศเพื่อนำเสนอข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพร้อมทั้งพยากรณ์ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละช่วงเวลาของพื้นที่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย คือ การศึกษาบริบทของการผลิตพืชผลทางการเกษตรเพื่อการค้า ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และพัฒนาระบบตามวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย คือ การสำรวจพื้นที่จริง การสัมภาษณ์ แบบสำรวจข้อมูลเชิงคุณลักษณะ GPS แบบสอบถามเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการใช้งานระบบ ทำให้ได้ผลการวิจัย ดังนี้
บริบทชุมชนการเกษตรเพื่อการค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีการทำการเกษตรที่ถือว่า
เป็นพืชเพื่อการค้าที่สำคัญ คือ ข้าว อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ยางพารา ยูคาลิปตัส และหม่อน ปัจจุบันโดยรวมมีพื้นที่เพาะปลูกทั้งอำเภอ คิดเป็นร้อยละ 82.48 โดยแนวโน้มการขยายพื้นที่เพาะปลูกมีอัตราที่ไม่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยในเรื่องของปริมาณน้ำฝน การส่งเสริมการเพาะปลูกของภาครัฐ ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำ ตลอดจนแนวโน้มราคาของผลผลิต
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์การผลิตพืชผลการเกษตรเพื่อการค้า ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการทำงาน คือ การตรวจสอบสิทธิผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ การเก็บข้อมูลพื้นฐานการเกษตร การสอบถามข้อมูลการเกษตร การคาดการณ์ผลผลิตการเกษตรตามช่วงเวลา และผลิตสารสนเทศทั้งในรูปแผนที่และข้อมูลคุณลักษณะ โดยได้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบแบบโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ (Web Application) ซึ่งระบบพัฒนาโดยใช้ภาษา PHP และ Java Script ในการติดต่อกับระบบจัดการฐานข้อมูล MySql เชื่อมโยงกับแผนที่ของ Google Map มีผลการประเมินความสามารถในการใช้งานได้ของระบบโดยผู้ใช้งานระบบ คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ผู้บริหาร/หัวหน้าการเกษตรด้วยแบบสอบถาม พบว่า โดยรวมผู้ใช้มีความพอใจความสามารถในการใช้งานได้ของระบบอยู่ในเกณฑ์ดี คือ มีค่าเฉลี่ย 3.67 การคาดการณ์ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรเพื่อการค้าในแต่ละช่วงเวลาสามารถค้นหาพร้อมแสดงสารสนเทศที่นำเสนอการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตการเกษตรในรูปแบบของแผนที่และรายงาน ซึ่งผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขของการคาดการณ์ได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการ จากนั้นระบบจะทำการคำนวณ
และแสดงข้อมูลตำแหน่งแปลงเพาะปลูกพืชแต่ละรายการบนแผนที่ พร้อมรายละเอียดของการเพาะปลูก และตัวเลขคาดการณ์ปริมาณผลผลิตของการเพาะปลูกแต่ละรายการที่พร้อมเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเวลานั้นได้เมื่อทำการทดสอบความเชื่อถือได้ของการคาดการณ์ปริมาณผลผลิต มีความคาดเคลื่อนของปริมาณผลผลิตไม่เกิน 10 %
2014-10-15T00:00:00Zการพัฒนาระบบรายงานน้ำสำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) บ้านต้นผึ้ง ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มาตา, นิธินันท์เชาวนกุล, นพพลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53872019-09-03T04:30:49Z2557-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบรายงานน้ำสำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) บ้านต้นผึ้ง ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
มาตา, นิธินันท์; เชาวนกุล, นพพล
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบรายงานน้ำสำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) บ้านต้นผึ้ง ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และพัฒนาเครื่องตรวจวัดระดับน้ำของระบบรายงานน้ำ สำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) ให้ได้ข้อมูลระดับน้ำรายวัน และระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงของโครงกาชลประทาน บุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบรายงานน้ำสำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยการสำรวจ สัมภาษณ์และการสนทนากับผู้ใช้งานระบบ และผู้ที่เกียวข้องกับระบบงานเดิม และใช้แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่าการเก็บระดับน้ำรายวันของโครงการชลประทานบุรีรัมย์นั้นมีขั้นตอนคือให้บุคลากรฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปจดบันทึกระดับน้ำจากแผ่นวัดระดับน้ำ (แบบไม้) ทุกวันและไม่มีเวลาที่แน่นอนในการจดบันทึกข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลระดับน้ำในแต่ละวันแล้วบุคลากรจะนำข้อมูลที่ได้มาบันทึกลงฐานข้อมูลที่มีอยู่ (Excel) และเมื่อต้องการใช้ข้อมูลระดับน้ำเพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ (ระบาย – กักเก็บ) ของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องต้องมาค้นหาข้อมูลที่ฐานข้อมูล 2) การพัฒนาระบบรายงานน้ำสำหรับการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) ผลการใช้งานระบบพบว่าระบบที่ได้พัฒนามีส่วนช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การสืบค้น ค้นหาข้อมูล และเรียกใช้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเรียกดู สืบค้น และปรับปรุงข้อมูลได้เป็นอย่างดี 3) การประเมินผลความพึงพอใจผู้ใช้งานในภาพรวมต่อการใช้งานระบบรายงานน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำโครงการชลประทานบุรีรัมย์ (อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก) บ้านต้นผึ้ง ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.78; The objectives of this research were to developed system of water report for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir) Bantonphueng Srabua District, Muang Province, Buriram and developed water level monitoring for water report system to give the water daily level data and water change level data of Buriram Irrigation schemes water management. And to the satisfaction of the users that use system of water report for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir).
The instrument used in this study consisted of survey, interviews and conversations with users of system and who those related to legacy systems and used a questionnaire to determine their satisfaction with the system.The results showed that 1) the collection of water daily level used personnel concern to note the water level of the sheet water level every day and there is no exact time. When get level of water each day, the staff will lead the data save to a database that is available (Excel) and to use for decision making on water management (drainage - retention) of those management by search on database. 2) The development of system of water report for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir), use of the system that developed has helped reduce the problem, including reducing the operational searched for information and run various add convenience to browse, search and update information as well. 3) evaluation of satisfaction for the overall system to use system of water report for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir) in the most level has average point = 4.78.
2557-01-01T00:00:00Zแผนที่สุขภาพด้านจิตใจผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์มาตา, นิธินันท์กุลวงศ์, ศิโรรัตน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53862019-09-03T04:17:13Z2560-06-01T00:00:00Zแผนที่สุขภาพด้านจิตใจผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์
มาตา, นิธินันท์; กุลวงศ์, ศิโรรัตน์
การจัดทำแผนที่สุขภาพด้านจิตใจผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างแผนที่แสดงถึงสถานการณ์ด้านสุขภาพด้านจิตใจผู้สูงอายุรายบุคคล โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จากการศึกษาสภาพปัญหาและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง รวมทั้งศึกษาหาตำแหน่งที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ และจัดทำฐานข้อมูลของผู้สูงอายุที่มีสุขภาพด้านจิตใจปกติและผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ประชากรที่ใช้วิจัยครั้งนี้ คือ ผู้สูงอายุในเขตตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ รวมประชากร 290 คน สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง แบบวัดความซึมเศร้าในผู้สูงอายุของไทย ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่วนเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ คือ แอพพลิเคชันบอกพิกัดตำแหน่งดาวเทียมและแผนที่ดาวเทียม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย จัดทำฐานข้อมูลและแผนที่โดยใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์
ผลการศึกษาจากแบบสอบถามผู้สูงอายุเมื่อนำมาวิเคราะห์และจัดระดับความรุนแรงตามช่วงคะแนน แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ผู้สูงอายุปกติ ผู้สูงอายุมีความเศร้าเล็กน้อย ผู้สูงอายุมีความเศร้าปานกลาง และผู้สูงอายุมีความเศร้ารุนแรง ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะอยู่ในระดับปกติ จำนวน 266 คน รองลงมาคือ มีความเศร้าเล็กน้อย จำนวน 11 คน ผู้มีความเศร้าปานกลาง จำนวน 10 คน และผู้มีความเศร้ารุนแรง จำนวน 3 คน ตามลำดับ การจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าด้วยอัลกอริทึมของการทำเหมืองข้อมูลด้วยโปรแกรม weka พบว่า ปัจจัยในเรื่องของประเภทเงินออม และประวัติการโดนทำร้ายร่างกายของผู้สูงอายุ ส่งผลต่อการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ ในเขตพื้นที่ตำบลโคกขมิ้น อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มากที่สุด จากแผนที่สุขภาพด้านจิตใจดังกล่าวรวมกับสภาพปัญหาและปัจจัยเสี่ยงของผู้สูงอายุ สามารถนำมาวางแผนการรักษาพยาบาลและแนวทางการติดตามผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านภาวะซึมเศร้าให้มีประสิทธิภาพต่อไป; The aim of this research is to prepare Map of Mental Health Status among the Elder Persons in Khok Khamin Sub District, Phlapphlachai District, Buriram Province by using Geographic Information Systems (GIS). This map will assist positioning the elder’s resident sorted by the level of mental health status. The GIS database of the hypertensive patients has been developed on the basis of problem condition tracking and risk factors analysis of elder. The population of this research is 290 elder who have resided in Khok Khamin Sub District, Phlapphlachai District, Buriram Province. The structured questionnaire on Thai Geriatric Depression Scale: TGDS for the elder, maps and geographic positioning system (GPS) device are used for data collection. Statistics used for data analysis are descriptive statistics concluding frequencies, percentages and mean.
The results after analysis and rank geriatric depression scale from questionnaire divide into 4 groups are normal elder, minimal depression elder, mild-moderate depression elder and severe depression elder. A majority of elder (266 elders) is normal elder, followed by minimal depression elder (11 elders), mild-moderate depression (10 elders) and severe depression elder (3 elders), respectively. The ordering factor to depression with data mining algorithm on weka program found that saving money factor and assault history of elder has affect to depression in Khok Khamin Sub District, Phlapphlachai District, Buriram Province. The results of this research will benefit in determining a guideline for treatments and follow up on the elder patients.
2560-06-01T00:00:00Z