บทความ (Articles)http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1892024-03-28T12:28:55Z2024-03-28T12:28:55Zการศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศบุตรงาม, ทองสาอารมณ์, เขมิกานพตลุง, ศฐาน์ภัฏhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87532024-03-07T06:45:22Z2023-01-01T00:00:00Zการศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; บุตรงาม, ทองสา; อารมณ์, เขมิกา; นพตลุง, ศฐาน์ภัฏ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดำรงชีวิตก่อนและหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ป่วยภาวะ Long COVID เพื่อศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อศึกษาระดับผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ และสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัย พบว่าพฤติกรรมการดำรงชีวิตของผู้ป่วยก่อนและหลังการติดเชื้อของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ต่างกัน โดยอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อ 5 อันดับแรก ได้แก่ อ่อนเพลีย ไอเรื้อรัง นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดตามตัว และข้อกระดูก ตามลำดับ ซึ่งระดับผลกระทบของอาการผิดปกติที่มีต่อร่างกายหรือการใช้ชีวิตในระดับที่ค่อนข้างน้อย และเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าสัดส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันทำให้มีระดับผลกระทบของการแสดงอาการที่ตามมาทั้งด้านสุขภาพร่างกายและด้านการใช้ชีวิต แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05); The purposes of this research were to study the lifestyles of long COVID patients before and after infection with COVID-19, to identify symptoms or complications after infection with COVID-19, to measure the level of impacts of symptoms or complications after infection with COVID-19, and to compare the proportion of occurrence of symptoms or complications after infection with COVID-19 based on basic data of Long COVID patients in Buriram Province. Research participants, were 400 people who had been infected with COVID-19, obtained through the snowball sampling method. The research tool was a questionnaire. Statistics used for data analysis included frequency, percentage, and chi-square test. Research findings showed that the most respondents lifestyles before and after infection with COVID-19 were not different. The first most common symptoms or complications suffered after the infection were fatigue, chronic cough, insomnia, dizziness, muscle weakness with body and joint pain, respectively. The level of impacts that those symptoms had on the body or lifestyle was relatively low. When comparing the proportion of occurrence of the symptoms or complications after infection with COVID-19, it was found that differences in personal factors resulted in significantly different levels of impacts of symptoms both in terms of physical health and living (p<0.05).
2023-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์Butngam, ThongsaSangsavang, JarumasAr-rom, KhemekaMakmee, Sirisakhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86632023-09-11T04:25:43Z2566-06-01T00:00:00Zพฤติกรรมการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์
Butngam, Thongsa; Sangsavang, Jarumas; Ar-rom, Khemeka; Makmee, Sirisak
การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิต
ใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิตใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และสถิติทดสอบเอฟ ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปรับตัวบนวิถีชีวิตใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดี(M = 3.63, SD = 0.59) และประชาชนที่มีลักษณะข้อมูลพื้นฐานด้านเพศ อายุ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน การมีโรคประจำตัวและการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แตกต่างกันมีพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิติใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แตกต่างกัน (p< 0.05) ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนในการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ต่อไปได้; The objectives of this survey research were: (1) to investigate the adaptations to the
new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province, and (2) to compare the adaptive behaviors towards the new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province. Research participants included a total of 400 people aged 18 years and over living in Muang District of Buriram Province. The simple random sampling technique was employed to obtain the sample group. The tool used for data collection was a questionnaire with the reliability level of 0.818. Statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation, T-test and F-test. Research findings indicated that the lifestyles and adaptations to the new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province were at a good level (M = 3.63, SD = 0.59) and people with different basic data about gender, age, marital status, education level, income and perception of information about coronavirus disease 2019 were found to have significant differences in their adaptive behaviors towards the new normal after covid-19 pandemic (p< 0.05). The results of this research can be used as a guideline to help people adjust to the new normal.
2566-06-01T00:00:00Zการวิเคราะห์สูตรสำเร็จค่าความยาวรันเฉลี่ยของแผนภูมิค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักแบบเลขชี้กำลังดัดแปลง สำหรับตัวแบบการถดถอยในตัวที่มีตัวแปรอธิบายSilpakob, KorakochAreepong, Yupapornhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85732023-03-22T14:21:49Z2021-10-01T00:00:00Zการวิเคราะห์สูตรสำเร็จค่าความยาวรันเฉลี่ยของแผนภูมิค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักแบบเลขชี้กำลังดัดแปลง สำหรับตัวแบบการถดถอยในตัวที่มีตัวแปรอธิบาย
Silpakob, Korakoch; Areepong, Yupaporn
2021-10-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เขตสุขภาพที่ 3 เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วนรินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์, วันเพ็ญ สุทธิโกมินทร์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85162023-03-14T07:16:29Z2566-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เขตสุขภาพที่ 3 เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วน
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์, วันเพ็ญ สุทธิโกมินทร์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ
ของประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะอ้วนของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เขตสุขภาพที่ 3 และเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วน เขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 1,693 คน ระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2565 รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha 0.9411 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา : ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด สถิติอนุมาน : การถดถอยพหุคูณ และ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค ผลการวิจัยพบว่า
1. ประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านระดับพื้นฐานบางประเด็น โดย
สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพระดับปานกลาง
2. สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ รายได้ แหล่งความรู้สุขภาพจากสื่อสิ่งพิมพ์/วิทยุ/ทีวี แหล่งความรู้สุขภาพจากหอกระจายข่าว / อาสาสมัครชุมชน แหล่งความรู้สุขภาพจากไลน์/Facebook/อินเตอร์เน็ต การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรประกันสังคม การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
3. ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการทำนายการมีภาวะปกติหรือภาวะอ้วนของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เขตสุขภาพที่ 3 มากที่สุดคือ การใช้สิทธิการรักษาด้วยกองทุนสวัสดิการชุมชน ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 1.213 รองลงมาคือเพศ ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 0.976 และ การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรทอง ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ -0.359; This research is a survey research with the objective of 1. To study factors influencing
health literacy. 2. To study factors influencing obesity among people aged 15 years or older
in Health Region 3. And to study in-depth information from relevant parties to develop a model to promote health literacy among 1,693 working-age people with obesity in Health Area 3 between December 2021 and September 2022. Data were analyzed by descriptive statistics: frequency, percentage, mean, standard deviation, median, minimum and maximum values. Inferential statistics: multiple regression and Logistic Regression Analysis The results showed that
1. Most of the people in Health Region 3 had health knowledge through some basic levels.
able to modify health behaviors at a moderate level
2. Marital status, education, occupation, income, sources of health knowledge from print
media/radio/TV Source of health knowledge from the broadcasting tower / community volunteers The source of health knowledge from LINE/Facebook/Internet Exercise of treatment rights with social security cards The use of treatment rights with the state enterprise employee card It was a factor influencing health literacy of people in Health Region 3 with a statistical significance at the 0.05 level.
3. Factors that are important for predicting normal status or obesity among people aged 15
Years or older in the health zone 3 The most is the use of treatment rights with community welfare funds. with a regression coefficient of 1.213, followed by sex with the regression coefficient equal to 0.976 and the use of treatment with the gold card with a regression coefficient of -0.359
2566-01-01T00:00:00Zความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีต่อสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81392022-03-17T03:24:50Z2564-01-01T00:00:00Zความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีต่อสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ
บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม แนวทางการป้องกันและการปรับตัว
และศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของผู้ประกอบการร้านอาหารในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสถานที่
จำหน่ายอาหารในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จำนวน 250 คน ผลการวิจัยพบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอ มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมาก
ขึ้น มีปัญหาในเรื่องค่าเช่าที่ ค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารมีราคาสูงขึ้น และลูกค้ามาใช้บริการลดน้อยลง
ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารมีการปรับตัวในเรื่องการขายสินค้าเพิ่มเติม หรือการมีบริการสั่งซื้ออาหารทางโทรศัพท์
หรือออนไลน์ และมีการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ซึ่งเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารเกี่ยวกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาล พบว่า มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับปาน
กลาง
2564-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์บุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81242022-03-16T08:49:23Z2564-12-15T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์
บุญเกตุ, กิตติคุณ
การรวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจสุ่มแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้วนี้ คือ ประชาชนจากผู้โดยสารประจำทางที่ใช้บริการนครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน10,001 - 20,000 บาท พฤติกรรมทั่วไปและประสบการณ์การใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ใช้บริการเส้นทางกรุงเทพมหานคร–บุรีรัมย์/บุรีรัมย์–กรุงเทพมหานคร เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนใหญ่ซื้อตั๋วผ่านบริการเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานีและการชำระค่าตั๋วชำระผ่านเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานี ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยเที่ยวละ 300-400 บาท โดยเฉลี่ยเดือนละ1-3 เที่ยว/เดือน ระดับความคิดเห็นปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับความคิดเห็นมากที่สุด ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ ในจังหวัดบุรีรัมย์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
2564-12-15T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬาในจังหวัดบุรีรัมย์วณิชา แผลงรักษา, ปิติวรรณ ฝ้ายโคกสูง, กิตติคุณ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77462021-09-08T13:11:45Z2563-10-10T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬาในจังหวัดบุรีรัมย์
วณิชา แผลงรักษา, ปิติวรรณ ฝ้ายโคกสูง, กิตติคุณ บุญเกตุ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและการรับรู้สื่อของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬากรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมและการรับรู้สื่อของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬากรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 100 คน โดยเลือกมาแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามปลายปิด พบว่า ส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 20,000-25,000 บาท และมีอาชีพธุรกิจส่วนตัว
ผลการศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยว พบว่า ส่วนใหญ่มีความสนใจแหล่งท่องเที่ยวเชิงกีฬา เช่น สนามฟุตบอลช้างอารีน่าเป็นสถานที่ดึงดูดในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 47 มีครอบครัวเป็นส่วนร่วมในการตัดสินใจมาท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 37 มีวัตถุประสงค์เพื่อพักผ่อน คิดเป็นร้อยละ 67 เดินทางมากับครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 47 เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว คิดเป็นร้อยละ 87 เคยเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ 2 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 35 มีช่วง วันเสาร์ - วันอาทิตย์ เป็นวันที่เหมาะสมต่อเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 74 มีค่าใช้จ่าย มากกว่า 1,500 บาท ในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ต่อครั้ง คิดเป็นร้อยละ 58 ใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 48 ใช้ระยะเวลาในการมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ ไปเช้า – เย็นกลับ กับ ค้างคืน คิดเป็นร้อยละ 40 เฟสบุ๊คเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการรู้จักแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 21.50 มีโอกาสจะกลับมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 100 มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อค้นหาเส้นทาง คิดเป็นร้อยละ 25.10 และส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนในการรับรู้สื่อหรือใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ คิดเป็นร้อยละ 49.00
ผลการศึกษาความพึงพอใจโดยรวมทุกด้าน นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬา กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬา กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองลงมา คือ ด้านวัฒนธรรม และวิถีชีวิต ด้านสถานที่และการเข้าถึง และน้อยที่สุด คือ ด้านด้านราคาสินค้าและบริการ
2563-10-10T00:00:00Zการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์และ ไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ในตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70002020-09-14T02:36:25Z2563-05-01T00:00:00Zการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์และ ไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ในตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์; วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มการปลูกข้าวของเกษตรกร ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ และ 2) เพื่อสร้างสมการจำแนกกลุ่มในการคาดคะเนความเป็นสมาชิกของเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์หรือปลูกข้าวไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ จำนวน 381 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรที่ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ จำนวน 129 คน และเกษตรที่ปลูกข้าวไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ จำนวน 252 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน (Proportional allocation Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบราชเท่ากับ .84 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มแบบขั้นตอน
ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ พบว่า 1) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มการปลูกข้าวของเกษตรกร ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ได้แก่ เพศ (A1) อายุ (A2) สถานภาพสมรส (A3) ประสบการณ์ประกอบอาชีพ (A5) สถานภาพการถือครองที่ดิน (B1) การจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร (B5) สถานะทางสังคม (C2) ระดับความรู้ในการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ (D1) ระดับความรู้ในการจัดการปัญหาวัชพืชด้วยเกษตรอินทรีย์ (D2) ระดับความรู้ในการจัดการปัญหาเพลี้ยด้วยเกษตรอินทรีย์ (D3) ระดับความรู้ในการใช้สารเคมี (D4) ระดับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ (D5) และระดับการรับรู้โทษของสารเคมี (D7) 2) ตัวแปรทั้ง 13 ตัวแปร สามารถสร้างสมการจำแนกกลุ่มในการคาดคะเนความเป็นสมาชิกของเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ได้ถูกต้องร้อยละ 95.8 โดยสามารถแสดงสมการในรูปคะแนนมาตรฐานได้ดังนี้
สมการจำแนกกลุ่มในรูปคะแนนมาตรฐาน; This study aimed to 1) analyze factors affecting categorization of rice farmers in Nongbote Sub-district, Nangrong District, Buriram Province using organic and inorganic farming. And 2) create equation model to predict membership status of organic and inorganic rice farmers. The samples were rice farmers using organic and inorganic farming totally 381 persons, divided into two groups; 129 organic and 252 inorganic rice farmers selected by Proportional Allocation Stratified Sampling. The instruments were questionnaire having Cronbach’s Coefficient Alpha Value at .84. The statistics employed to analyze the data were Frequency Value, Percentage, Mean, Standard Deviation and Discriminant analysis procedures Stepwise Metod.
The findings were as follows. 1) The factors affecting the categorization of organic and inorganic rice farmers in Nongbote Sub-district, Nangrong District, Buriram Province were gender (A1), age (A2), marital status (A3), career experience (A5), land owner status (B1), agricultural products selling (B5), social status (C2), information perception (D1), knowledge level in weed problem using organic farming (D2), knowledge level in Aphid problem management using organic farming (D3), knowledge level in using chemicals (D4), perception level in perceiving information on organic rice farming (D5), and perception level of chemicals disadvantages (D7). 2) All 13 factors could be brought to correctly create the equation model of prediction on membership status of organic and inorganic rice farmers which were displayed in the standard scores as in the followings.
Equation model of the categorization displayed in standard scores :
2563-05-01T00:00:00Zการสำรวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54122019-09-04T07:55:16Z2558-01-01T00:00:00Zการสำรวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
Rinhathai, Kitthanarut
2558-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนีRinhathai, KitthanarutPhonnapha, Tayahttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53922019-09-03T07:02:18Z2562-01-11T00:00:00Zการวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี
Rinhathai, Kitthanarut; Phonnapha, Taya
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีทั้งหมด 4 ตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory factor analysis) โดยทำการวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principle Component Analysis: PC) และใช้การหมุนแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax Method)
ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี จากตัวแปร 14 ตัวแปร มีค่าสถิติของไคเซอร์-ไมเยอร์-โอลติน (KMO) เท่ากับ 0.855 และค่าสถิติไคสแควร์ (2) ที่ใช้ในการทดสอบมีค่าเท่ากับ 4266.097 ทำการสกัดองค์ประกอบด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal component analysis: PC) และใช้การหมุนแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation) ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax Method) พบว่า ได้องค์ประกอบทั้งหมด 4 องค์ประกอบ มีพิสัยของค่าไอเกนอยู่ระหว่าง 1.128 ถึง 6.848 และมีค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 79.480 ได้ทั้งหมด 4 องค์ประกอบ และเมื่อพิจารณาความเหมาะสมของค่าน้ำหนักองค์ประกอบที่เกินค่า 0.30 แล้วจะได้องค์ประกอบออกที่ใช้ได้จริงทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยสามารถอธิบายความหมายขององค์ทั้ง 4 องค์ประกอบได้ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 คือ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี องค์ประกอบที่ 2 คือ ลักษณะการจัดจำหน่าย องค์ประกอบที่ 3 คือ การประชาสัมพันธ์ องค์ประกอบที่ 4 คือ ราคาของผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี และจากการศึกษารูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี เพื่อให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคพบว่า มุ่งเน้นในกลุ่มของเครื่องนุ่งห่มโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นเสื้อที่มีราคาอยู่ในช่วง 101-300 บาท; This study aimed to analyze components to be the guidelines for developing products from Phu-akhanee cloth. The sample was the tourists who came to visit Buriram attractions, totaling 400 persons selected by accidental sampling. The instruments were questionnaires consisted of four parts. The statistics used in the study were Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation, and Exploratory Factor Analysis; by analyzing principle component, (Principle Component Analysis: PC) and using Orthogonal Rotation by Varimax Method.
The results revealed that the analysis from 14 factors on guidelines for developing Phu-akhanee cloth had value of Kaiser Maiyer Oltin (KMO) at 0.855, and had value of Chi-square (2) at 4266.097. For principle component analysis, and Orthogonal Rotation by Varimax Method, it was found that there were four components. There were range of Eigen value at 1.128-6.848, and Variance value at 79.480 percent. When considering each component which had more than 0.30 of weight value, all four components could be employed. The four components were as in the following: component 1; the feature of products from Phu-akhanee cloth, component 2; sale management, component 3; public relation, and component 4; price of products from Phu-akhanee cloth. And from the study of the model of processing products from Phu-akhanee cloth to comply with the consumers’ need, it was found that the products were focused on a group of apparel, shirts which are priced at 101-300 baht.
2562-01-11T00:00:00Zปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ของตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมาThoppradit, RatchaneekornKitthanarut, Rinhathaihttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/46992019-06-14T08:15:40Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ของตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา
Thoppradit, Ratchaneekorn; Kitthanarut, Rinhathai
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล สุขภาพกายและสุขภาพสังคมกับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุทั้งเพศชายและเพศหญิง จำนวน 275 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ ได้แก่ รายได้ต่อค่าใช้จ่าย (R= 0.524) สัมพันธภาพในครอบครัว (R= 0.559) โรคประจำตัว (R= 0.582) และสิทธิการรักษา (R= 0.592) โดยสามารถร่วมกันทำนายภาวะซึมเศร้า ได้ร้อยละ 35.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2R= 0.350, P < 0.05)
คำสำคัญ: ผู้สูงอายุ ภาวะซึมเศร้า โรคติดต่อไม่เรื้อรัง
2562-01-01T00:00:00Z