สาขาวิชาสถิติประยุกต์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1882024-03-28T15:58:12Z2024-03-28T15:58:12Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติเชิงคณิตศาสตร์ศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87912024-03-11T01:35:47Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติเชิงคณิตศาสตร์
ศิลปกอบ, กรกช
สื่อประกอบการสอนการประมาณค่าเฉลี่ยประชากรศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87902024-03-11T01:23:24Zสื่อประกอบการสอนการประมาณค่าเฉลี่ยประชากร
ศิลปกอบ, กรกช
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์ศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87892024-03-11T00:59:54Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ศิลปกอบ, กรกช
สื่อประกอบการสอนรายวิชาแผบแบบการทดลองศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87882024-03-11T00:39:44Zสื่อประกอบการสอนรายวิชาแผบแบบการทดลอง
ศิลปกอบ, กรกช
สื่อประกอบการสอนรายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์ศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87872024-03-10T23:58:16Zสื่อประกอบการสอนรายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์
ศิลปกอบ, กรกช
บทที่ 2 ตัวแปรสุ่มและการแจกแจงความน่าจะเป็น
การศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์พรมนัด, พัชราภรณ์ศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87862024-03-10T23:43:02Z2023-02-24T00:00:00Zการศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
พรมนัด, พัชราภรณ์; ศิลปกอบ, กรกช
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ของประชาชนในเขตเทศเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสุขภาพ กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ทำการเก็บรวบรวมจากตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยการเลือกตัวอย่างสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิจาก 18 ชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.945 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ สถิติทดสอบไคสกำลังสอง และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพกาย พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพมีความสัมพันธ์กับข้อมูลส่วนบุคคลและภาวะสุขภาพกาย และภาวะสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพในระดับค่อนข้างสูง (r = 0.689**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2023-02-24T00:00:00Zการใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติแสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87542024-03-07T08:29:52Zการใช้ Microsoft Excel ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ
แสงสว่าง, จารุมาศ
ใช้ประกอบการเรียนพาทการคำนวณในรายวิชาสถิติธุรกิจ
การศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศบุตรงาม, ทองสาอารมณ์, เขมิกานพตลุง, ศฐาน์ภัฏhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87532024-03-07T06:45:22Z2023-01-01T00:00:00Zการศึกษาผลกระทบที่ตามมาของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; บุตรงาม, ทองสา; อารมณ์, เขมิกา; นพตลุง, ศฐาน์ภัฏ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดำรงชีวิตก่อนและหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ป่วยภาวะ Long COVID เพื่อศึกษาอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อศึกษาระดับผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยภาวะ Long COVID ในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่เคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ และสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัย พบว่าพฤติกรรมการดำรงชีวิตของผู้ป่วยก่อนและหลังการติดเชื้อของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ต่างกัน โดยอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อ 5 อันดับแรก ได้แก่ อ่อนเพลีย ไอเรื้อรัง นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดตามตัว และข้อกระดูก ตามลำดับ ซึ่งระดับผลกระทบของอาการผิดปกติที่มีต่อร่างกายหรือการใช้ชีวิตในระดับที่ค่อนข้างน้อย และเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการเกิดผลกระทบของการแสดงอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าสัดส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันทำให้มีระดับผลกระทบของการแสดงอาการที่ตามมาทั้งด้านสุขภาพร่างกายและด้านการใช้ชีวิต แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05); The purposes of this research were to study the lifestyles of long COVID patients before and after infection with COVID-19, to identify symptoms or complications after infection with COVID-19, to measure the level of impacts of symptoms or complications after infection with COVID-19, and to compare the proportion of occurrence of symptoms or complications after infection with COVID-19 based on basic data of Long COVID patients in Buriram Province. Research participants, were 400 people who had been infected with COVID-19, obtained through the snowball sampling method. The research tool was a questionnaire. Statistics used for data analysis included frequency, percentage, and chi-square test. Research findings showed that the most respondents lifestyles before and after infection with COVID-19 were not different. The first most common symptoms or complications suffered after the infection were fatigue, chronic cough, insomnia, dizziness, muscle weakness with body and joint pain, respectively. The level of impacts that those symptoms had on the body or lifestyle was relatively low. When comparing the proportion of occurrence of the symptoms or complications after infection with COVID-19, it was found that differences in personal factors resulted in significantly different levels of impacts of symptoms both in terms of physical health and living (p<0.05).
2023-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทบปรดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87502024-03-07T04:24:40Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
สื่อประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทบปรดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87472024-03-07T03:39:46Zสื่อประกอบการสอน รายวิชาสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
การศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้าง ทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์ณัฐสิทธิ์ จำปาเงินhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87422024-03-06T08:17:39Z2567-02-02T00:00:00Zการศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้าง ทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์; ณัฐสิทธิ์ จำปาเงิน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า สาขาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 2 ) เพื่อเปรียบเทียบความต้องการในเรื่องการพัฒนาทักษะใหม่ และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า สาขาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 จำแนกตาม อายุ อาชีพ ลักษณะหน่วยงานที่ประกอบอาชีพ ที่ตั้งของสถานประกอบการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือศิษย์เก่าสาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554-2561 ทั้งหมด 190 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาชเท่ากับ 0.924 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลีย ส่วนเบียนเบนมาตรฐาน และ สถิติทดสอบ
F - test
ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อเสริมสร้างทักษะเดิมส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก มีเพียงศิษย์เก่าต้องการเสริมสร้างทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ (= 4.53, S.D. = 0.61) เท่านั้นอยู่ในระดับมากที่สุด ในส่วนของความต้องการในการพัฒนาตนเองเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ศิษย์เก่าต้องการพัฒนาอยู่ในระดับมากทุกเรื่อง โดยทักษะใหม่ที่ศิษย์เก่าต้องการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop เมื่อทำการเปรียบเทียบความต้องการในเรื่องการพัฒนาทักษะใหม่ และเสริมสร้างทักษะเดิมที่มีอยู่ของศิษย์เก่า พบว่า ศิษย์เก่าที่มี อายุ อาชีพ ลักษณะหน่วยงาน ที่ตั้งของสถานประกอบการต่างกัน จะมีความต้องการเสริมสร้างทักษะเดิมเรื่องการใช้โปรแกรม Microsoft Excel และ ทักษะการใช้โปรแกรมการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศ ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในส่วนของทักษะใหม่ พบว่า ศิษย์เก่าที่มีลักษณะหน่วยงานที่ประกอบอาชีพต่างกันจะมีความต้องการพัฒนาทักษะใหม่ในเรื่อง ทักษะการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Orange ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Awos ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Eview ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมทักษะการใช้โปรแกรม Tabula และ ศิษย์เก่าต้องการเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น Phthon, R, Unix, Java/sdala และ SQL ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05; This research aims to study 1) the level of self-development needs to develop new skills and strengthen existing skills of alumni. Applied Statistics field Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018 2 ) to compare the needs in the development of new skills and strengthen the existing skills of alumni Applied Statistics field Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018, classified by age, occupation, nature of occupational organization Location of the establishment The population used in the study was alumni of the applied statistics program. Buriram Rajabhat University, academic year 2011-2018, a total of 190 students, using the proportional stratified sampling method. Data were collected using a questionnaire with a Cronbach's alpha coefficient of 0.924. Data were analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation and F - test statistics.
The research results found that The need for self-development to strengthen previous skills is mostly at a high level. Only alumni wanting to strengthen their English language skills ( = 4.53, S.D. = 0.61) were at the highest level. In terms of the need for self-development to develop new skills Alumni want to develop at a high level in every area. The new skills that alumni want to develop the most include: Alumni want to increase their skills in using Adobe Photoshop. When comparing the needs for developing new skills, and strengthen the existing skills of alumni. It was found that alumni with different ages, occupations, and organizational characteristics The locations of the establishments are different. There will be a need to strengthen previous skills in using Microsoft Excel and skills in using information presentation programs. They are significantly different at the significance level of 0.05. In terms of new skills, it was found that alumni with different career organization characteristics will have a desire to develop new skills in Skills in using Adobe Photoshop. Alumni want to increase skills in using the Orange program. Alumni want to increase skills in using the Awos program. Alumni want to increase skills in using the Eview program. Alumni want to increase skills in using the Tabula program. Alumni want to increase skills in using the Tabula program. And alumni need more skills in using the language program. Programs such as Phthon, R, Unix, Java/sdala, and SQL are significantly different at the 0.05 significance level.
2567-02-02T00:00:00Zสื่อประกอบการสอนรายวิชา สถิติวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/87412024-03-06T05:20:39Zสื่อประกอบการสอนรายวิชา สถิติวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์
หลักการเบื้องต้นทางสถิติและสถิติพรรณนาเชิงพื้นที่แหล่งข้อมูล การสุ่มตัวอย่างแหล่งข้อมูล การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐานแหล่งข้อมูล การวิเคราะห์จำแนกกลุ่มแหล่งข้อมูล การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นและสหสัมพันธ์แหล่งข้อมูล
พฤติกรรมการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์Butngam, ThongsaSangsavang, JarumasAr-rom, KhemekaMakmee, Sirisakhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86632023-09-11T04:25:43Z2566-06-01T00:00:00Zพฤติกรรมการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์
Butngam, Thongsa; Sangsavang, Jarumas; Ar-rom, Khemeka; Makmee, Sirisak
การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิต
ใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิตใหม่ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และสถิติทดสอบเอฟ ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปรับตัวบนวิถีชีวิตใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในระดับดี(M = 3.63, SD = 0.59) และประชาชนที่มีลักษณะข้อมูลพื้นฐานด้านเพศ อายุ สถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน การมีโรคประจำตัวและการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แตกต่างกันมีพฤติกรรมการปรับตัวบนวิถีชีวิติใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แตกต่างกัน (p< 0.05) ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนในการปรับตัวบนชีวิตวิถีใหม่ต่อไปได้; The objectives of this survey research were: (1) to investigate the adaptations to the
new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province, and (2) to compare the adaptive behaviors towards the new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province. Research participants included a total of 400 people aged 18 years and over living in Muang District of Buriram Province. The simple random sampling technique was employed to obtain the sample group. The tool used for data collection was a questionnaire with the reliability level of 0.818. Statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation, T-test and F-test. Research findings indicated that the lifestyles and adaptations to the new normal after covid-19 pandemic of people in Buriram Province were at a good level (M = 3.63, SD = 0.59) and people with different basic data about gender, age, marital status, education level, income and perception of information about coronavirus disease 2019 were found to have significant differences in their adaptive behaviors towards the new normal after covid-19 pandemic (p< 0.05). The results of this research can be used as a guideline to help people adjust to the new normal.
2566-06-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาแคลคูลัสและการประยุกต์ทบปรดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86622023-09-11T03:42:38Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาแคลคูลัสและการประยุกต์
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
สื่อประกอบการสอน รายวิชาพีชคณิตเชิงเส้นทบปรดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/86602023-09-09T14:50:14Zสื่อประกอบการสอน รายวิชาพีชคณิตเชิงเส้น
ทบปรดิษฐ์, รัชนีกร
การวิเคราะห์สูตรสำเร็จค่าความยาวรันเฉลี่ยของแผนภูมิค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักแบบเลขชี้กำลังดัดแปลง สำหรับตัวแบบการถดถอยในตัวที่มีตัวแปรอธิบายSilpakob, KorakochAreepong, Yupapornhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85732023-03-22T14:21:49Z2021-10-01T00:00:00Zการวิเคราะห์สูตรสำเร็จค่าความยาวรันเฉลี่ยของแผนภูมิค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักแบบเลขชี้กำลังดัดแปลง สำหรับตัวแบบการถดถอยในตัวที่มีตัวแปรอธิบาย
Silpakob, Korakoch; Areepong, Yupaporn
2021-10-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาแผนแบบการทดลองศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85722023-03-22T13:39:55Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาแผนแบบการทดลอง
ศิลปกอบ, กรกช
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติธุรกิจศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85572023-03-19T18:27:06Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาสถิติธุรกิจ
ศิลปกอบ, กรกช
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เขตสุขภาพที่ 3 เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วนรินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์, วันเพ็ญ สุทธิโกมินทร์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85162023-03-14T07:16:29Z2566-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน เขตสุขภาพที่ 3 เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วน
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์, วันเพ็ญ สุทธิโกมินทร์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ
ของประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะอ้วนของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เขตสุขภาพที่ 3 และเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนวัยทำงานที่มีภาวะอ้วน เขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 1,693 คน ระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2565 รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น Cronbach’s alpha 0.9411 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา : ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด สถิติอนุมาน : การถดถอยพหุคูณ และ การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค ผลการวิจัยพบว่า
1. ประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านระดับพื้นฐานบางประเด็น โดย
สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพระดับปานกลาง
2. สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ รายได้ แหล่งความรู้สุขภาพจากสื่อสิ่งพิมพ์/วิทยุ/ทีวี แหล่งความรู้สุขภาพจากหอกระจายข่าว / อาสาสมัครชุมชน แหล่งความรู้สุขภาพจากไลน์/Facebook/อินเตอร์เน็ต การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรประกันสังคม การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนเขตสุขภาพที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
3. ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการทำนายการมีภาวะปกติหรือภาวะอ้วนของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป เขตสุขภาพที่ 3 มากที่สุดคือ การใช้สิทธิการรักษาด้วยกองทุนสวัสดิการชุมชน ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 1.213 รองลงมาคือเพศ ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 0.976 และ การใช้สิทธิการรักษาด้วยบัตรทอง ด้วยค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ -0.359; This research is a survey research with the objective of 1. To study factors influencing
health literacy. 2. To study factors influencing obesity among people aged 15 years or older
in Health Region 3. And to study in-depth information from relevant parties to develop a model to promote health literacy among 1,693 working-age people with obesity in Health Area 3 between December 2021 and September 2022. Data were analyzed by descriptive statistics: frequency, percentage, mean, standard deviation, median, minimum and maximum values. Inferential statistics: multiple regression and Logistic Regression Analysis The results showed that
1. Most of the people in Health Region 3 had health knowledge through some basic levels.
able to modify health behaviors at a moderate level
2. Marital status, education, occupation, income, sources of health knowledge from print
media/radio/TV Source of health knowledge from the broadcasting tower / community volunteers The source of health knowledge from LINE/Facebook/Internet Exercise of treatment rights with social security cards The use of treatment rights with the state enterprise employee card It was a factor influencing health literacy of people in Health Region 3 with a statistical significance at the 0.05 level.
3. Factors that are important for predicting normal status or obesity among people aged 15
Years or older in the health zone 3 The most is the use of treatment rights with community welfare funds. with a regression coefficient of 1.213, followed by sex with the regression coefficient equal to 0.976 and the use of treatment with the gold card with a regression coefficient of -0.359
2566-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงปี 2566)ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/84992023-03-11T14:34:57Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงปี 2566)
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
ระบบเลขฐาน ตรรกวิทยา ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชันสำหรับ
ตัวแปรเดียวและหลายตัวแปร อนุพันธ์และการประยุกต์ ปริพันธ์และการประยุกต์ อนุกรมอนันต์ พีชคณิตบูลีน การเก็บรวบรวมและการนำเสนอข้อมูล การจัดลำดับและการจัดหมู่ ความน่าจะเป็นเบื้องต้น
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักสถิติศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83612022-09-12T11:51:05Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักสถิติ
ศิลปกอบ, กรกช
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักสถิติ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาทฤษฎีความน่าจะเป็นศิลปกอบ, กรกชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83602022-09-12T11:48:42Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาทฤษฎีความน่าจะเป็น
ศิลปกอบ, กรกช
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาทฤษฎีความน่าจะเป็น
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาแคลคูลัสและการประยุกต์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83482022-09-11T18:27:02Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาแคลคูลัสและการประยุกต์
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทยในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์แสนวังศรี, สุนารีทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83472022-09-11T18:06:40Z2565-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทยในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
แสนวังศรี, สุนารี; ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทยในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทยในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นแบบสอบถาม โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ค่าร้อยละ และสถิติไคสแควร์
ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทย ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับไม่เคย คิดเป็นร้อยละ 50.1 และปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเสริมไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทย ปัจจัยนำ ได้แก่ ด้านความรู้เรื่องการใช้สมุนไพร มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทย อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยเอื้อมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ใช้บริการแพทย์แผนไทย ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2565-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์กิตติคุณ บุญเกตุ, อังคีระ นึงประโคนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/83432022-09-11T07:37:45Z2565-06-01T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กิตติคุณ บุญเกตุ, อังคีระ นึงประโคน
ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรม ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้ใช้บริการ Mobile Banking ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน โดยทำการสำรวจผ่านแบบสอบถาม และได้รับข้อมูลแบบสอบถามตอบกลับที่มีความสมบูรณ์รวมทั้งสิ้น 400 ชุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้บริการทางการเงินผ่านธนาคารกสิกรไทยมากที่สุดและบ่อยที่สุด โดยส่วนใหญ่ใช้บริการเฉลี่ยต่อสัปดาห์ มากกว่า 6 - 10 ครั้ง และมีเหตุผลแรกที่ตัดสินใจใช้บริการทางการเงินผ่าน Mobile Banking ที่ใช้บริการบ่อยที่สุด คือ สะดวกสบายเพราะสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งใช้บริการทางการเงินผ่าน Mobile Banking ในการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างบัญชี นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังพบว่า ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด ปัจจัยด้านความปลอดภัยและการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการใช้บริการ Mobile Banking โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ จากค่าเฉลี่ยมากไปน้อยได้ดังนี้ ปัจจัยด้านช่องทางการให้บริการ รองลงมา คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงความสะดวกของการใช้งาน ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้งาน ปัจจัยด้านความปลอดภัย ปัจจัยด้านราคา และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ตามลำดับ และจากผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่ามี 3 ปัจจัย โดยเรียงลําดับตามระดับความสัมพันธ์ในการใช้บริการ Mobile Banking จากมากไปน้อย ได้แก่ ปัจจัยด้านการให้บริการ ปัจจัยด้านความปลอดภัย และปัจจัยด้านการรับรู้ถึงความสะดวกของการใช้งาน ส่งผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการ Mobile Banking ของประชาชน ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2565-06-01T00:00:00Zความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีต่อสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81392022-03-17T03:24:50Z2564-01-01T00:00:00Zความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีต่อสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ
บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม แนวทางการป้องกันและการปรับตัว
และศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อมาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของผู้ประกอบการร้านอาหารในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสถานที่
จำหน่ายอาหารในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จำนวน 250 คน ผลการวิจัยพบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอ มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมาก
ขึ้น มีปัญหาในเรื่องค่าเช่าที่ ค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารมีราคาสูงขึ้น และลูกค้ามาใช้บริการลดน้อยลง
ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารมีการปรับตัวในเรื่องการขายสินค้าเพิ่มเติม หรือการมีบริการสั่งซื้ออาหารทางโทรศัพท์
หรือออนไลน์ และมีการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ซึ่งเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านอาหารเกี่ยวกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาล พบว่า มีความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับปาน
กลาง
2564-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้นทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81312022-03-16T14:57:38Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาความน่าจะเป็นและสถิติเบื้องต้น
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
ปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมี ทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตำบลหนองกง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์โสกูล, กาญจนารัตน์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81302022-03-16T13:49:56Z2565-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีผลต่อความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมี ทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตำบลหนองกง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
โสกูล, กาญจนารัตน์; ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรู้กับความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และศึกษาตัวแปรที่สามารถทำนายความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตำบลหนองกง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครัวเรือนเกษตรที่อาศัยอยู่ในตำบลหนองกง อำเภอนางรอง
จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 320 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้ของเกษตรกรภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 90.4) ความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอยู่ในระดับมาก
( = 3.27) ปัจจัยด้านความรู้มีความสัมพันธ์ทางลบกับความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน เท่ากับ -0.125 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยด้านสุขภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม สามารถร่วมทำนายความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในการใช้สารเคมีทางการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตำบลหนองกง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 32.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (R2 = 0.110 , P < 0.05)
2565-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์บุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81242022-03-16T08:49:23Z2564-12-15T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์
บุญเกตุ, กิตติคุณ
การรวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจสุ่มแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้วนี้ คือ ประชาชนจากผู้โดยสารประจำทางที่ใช้บริการนครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน10,001 - 20,000 บาท พฤติกรรมทั่วไปและประสบการณ์การใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ใช้บริการเส้นทางกรุงเทพมหานคร–บุรีรัมย์/บุรีรัมย์–กรุงเทพมหานคร เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนใหญ่ซื้อตั๋วผ่านบริการเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานีและการชำระค่าตั๋วชำระผ่านเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานี ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยเที่ยวละ 300-400 บาท โดยเฉลี่ยเดือนละ1-3 เที่ยว/เดือน ระดับความคิดเห็นปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับความคิดเห็นมากที่สุด ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ ในจังหวัดบุรีรัมย์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
2564-12-15T00:00:00Zการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทักษะชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์เกวลิน, กิรัมย์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81012022-03-16T03:14:24Z2564-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทักษะชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
เกวลิน, กิรัมย์; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่จำแนกกลุ่มทักษะการใช้ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ 2 ) เพื่อสร้างสมการจำแนกกลุ่มทักษะการใช้ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาค เท่ากับ 0.907 ใช้ขนาดตัวอย่างจำนวน 386 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์จำแนกประเภท
ผลการวิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทักษะชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มากที่สุด คือ ปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา รองลงมาคือ ปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับเพื่อน ปัจจัยด้านสัมพันธภาพในครอบครัว และปัจจัยด้านสภาพบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัย เมื่อทำการวิเคราะห์การจำแนกประเภท พบว่า ตัวแปรอิสระที่มีความสามารถในการจำแนกกลุ่มนักศึกษา ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักศึกษาที่มีทักษะชีวิตบกพร่องและกลุ่มนักศึกษาที่มีทักษะชีวิตไม่บกพร่อง มีทั้งหมด 5 ตัวแปร ได้แก่ นักศึกษารู้สึกว่าพ่อแม่รักใคร่กลมเกลียวกัน (C5) เมื่อเพื่อนเกิดปัญหานักศึกษาคอยให้กำลังใจและคำปรึกษา (C8 ) เมื่อนักศึกษาขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ อาจารย์ยินดีให้ความช่วยเหลือ (C13) อาจารย์ให้ความยุติธรรมกับนักศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติ (C18) สภาพห้องเรียนร้อนอบอ้าว (C24) ซึ่งสามารถเขียนสมการจำแนกกลุ่มในรูปคะแนนมาตรฐานได้ดังนี้
Zy = -1.120(C5) + 1.271(C8) + (-0.455) (C13) + 0.270(C18) + 1.033(C24)
2564-01-01T00:00:00Zการพยากรณ์การปฏิบัติตามวินัยของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตตำบลกระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติคชฎารัตน์, วงค์จันทร์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/81002022-03-16T03:10:12Z2564-01-01T00:00:00Zการพยากรณ์การปฏิบัติตามวินัยของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตตำบลกระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค
ชฎารัตน์, วงค์จันทร์; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมของนักเรียนขณะอยู่ภายในโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามวินัยของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตตำบลกระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาคเท่ากับ 0.925 สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิจากนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตตำบลกระสัง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์จำนวน 329 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค
ผลการวิเคราะห์พบว่า นักเรียนมีระดับพฤติกรรมขณะอยู่ในโรงเรียนในเรื่องนักเรียนรู้จักให้เกียรติผู้อื่นมากที่สุด รองลงมาคือในการทำงานกลุ่มนักเรียนเปิดโอกาสให้เพื่อนได้แสดงความคิดเห็นและนักเรียนไม่ละเมิดทรัพย์สินของเพื่อนหรือของส่วนรวม เมื่อทำการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค พบว่า นักเรียนที่เลือกปฏิบัติตามวินัย จำนวน 271 คน มีการพยากรณ์ถูกต้องเท่ากับร้อยละ 97.5 และ นักเรียนที่เลือกปฏิบัติตามวินัยอย่างไม่เคร่งครัด จำนวน 51 คน มีการพยากรณ์ถูกต้องเท่ากับร้อยละ 56.9 โดยมีภาพรวมของการพยากรณ์ถูกต้อง ร้อยละ 91.2 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการจำแนกกลุ่มพฤติกรรมการปฏิบัติตามวินัย ได้แก่ ระดับการศึกษา บิดามารดาหรือผู้ปกครองอบรมสั่งสอนนักเรียนให้อยู่ในระเบียบวินัย บิดามารดาหรือผู้ปกครองว่ากล่าวตักเตือนนักเรียนด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ นักเรียนและเพื่อนเคยหนีเรียนรายคาบ/รายชั่วโมง นักเรียนมีความภาคภูมิใจในการทำงานต่างๆได้ สำเร็จเสร็จสิ้นด้วยตนเอง นักเรียนไม่ปักชื่อ-สกุลและอักษรย่อของโรงเรียนบนเสื้อนักเรียน นักเรียนใส่ถุงเท้าผิดระเบียบ นักเรียนปฏิบัติตนตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด; This research is a quantitative research. The objectives were 1) to study the level of behavior of students while inside the school 2) to study the factors affecting the discipline practice of lower secondary school students. in Krasang Subdistrict, Krasang District, Buriram Province The research tool was a questionnaire. Cornbrash’s confidence coefficient was 0.925. The data were randomly stratified by 329 lower secondary school students in Krasang Sub-district, Krasang District, Buriram Province. Data were analyzed using percentage, mean, standard deviation. Logistic regression analysis.
The results show that students' behavior in school is the most respected. After the student group activities, close the school's comments to friends and do not infringe on friends' property or goods. When the analysis results show that the number of students violating discipline is 271. The forecast is an accurate percentage of 97.5 and the number of students who do not strictly abide by discipline 51. The prediction is 56.9% accurate, and the accuracy rate of comprehensive prediction is 91.2. Factors affecting the classification of disciplinary behaviors were: level of education, parent or guardian teaching students to discipline, parent or guardian admonishing students for reason rather than emotion, Students and peers have skipped class/hourly classes, Students take pride in their work. Completed on their own, Student fails to embroider the school's first and last name on school uniform Student wears socks illegally, Student strictly adheres to school rules.
2564-01-01T00:00:00Zสื่อประกอบการสอน (Power Point) รายวิชาหลักการวิจัยบุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80872022-03-15T07:27:38Zสื่อประกอบการสอน (Power Point) รายวิชาหลักการวิจัย
บุญเกตุ, กิตติคุณ
ความหมายของการวิจัย ตรรกของการวิจัยและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการวิจัย ปัญหาการวิจัย กรอบทฤษฎีและสมมุติฐานการวิจัย ตัวแปรและการนิยามตัวแปร การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ การวัดความตรงและความเที่ยง การเลือกตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลการวิเคราะห์ การเขียนรายงานการวิจัย การประเมิน ผลการวิจัยและการประยุกต์ใช้
หลักการวิจัยบุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80862022-03-15T07:13:03Zหลักการวิจัย
บุญเกตุ, กิตติคุณ
ความหมายของการวิจัย ตรรกของการวิจัยและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการวิจัย ปัญหาการวิจัย กรอบทฤษฎีและสมมุติฐานการวิจัย ตัวแปรและการนิยามตัวแปร การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ การวัดความตรงและความเที่ยง การเลือกตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลการวิเคราะห์ การเขียนรายงานการวิจัย การประเมิน ผลการวิจัยและการประยุกต์ใช้
การศึกษาพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่น กรณีศึกษา : สถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์วาสะรัมย์, รัตนาทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/78342021-09-13T07:46:38Z2564-01-01T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่น กรณีศึกษา : สถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
วาสะรัมย์, รัตนา; ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่น เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่น และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการใช้ภาษาในการสื่อสารกับพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่น กรณีศึกษา : สถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ ประชากรในสถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 394 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ความถี่ ค่าร้อยละ และสถิติไคสแควร์ (Chi-square)
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล คือ เพศ อายุ และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน จะเห็นได้ว่าไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่นทั้งด้านการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน โดยปัจจัยที่มีผลต่อการใช้ภาษาในการสื่อสาร คือ ด้านสื่อ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่นทั้งด้านการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ส่วนด้านครอบครัว และด้านชุมชน/สังคม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ภาษาในการสื่อสารของกลุ่มวัยรุ่นทั้งด้านการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน กรณีศึกษา : สถานศึกษาในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2564-01-01T00:00:00Zแนวทางการส่งเสริมและพัฒนางานไม้ดัดของชุมชนสายยาว ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์โสภิตา, ศรีสุพรรณรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/78232021-09-13T03:49:56Z2564-01-01T00:00:00Zแนวทางการส่งเสริมและพัฒนางานไม้ดัดของชุมชนสายยาว ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
โสภิตา, ศรีสุพรรณ; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์งานไม้ดัดของชุมชนสายยาว 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการเลือกซื้องานไม้ดัดของชุมชนสายยาว 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้องานไม้ดัดของชุมชนสายยาว 4) เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนางานไม้ดัดของชุมชน สายยาวให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากนักท่องเที่ยวที่มาซื้อหรือเคยซื้องานไม้ดัดและสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจงานไม้ดัดรวมจำนวน 415 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ ไคสแควร์ (Chi-Square) การวิเคราะห์ปัจจัยและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)
ผลการวิเคราะห์พบว่า นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมทางการตลาด อยู่ในระดับมาก โดยในการซื้อไม้ดัดจะซื้อเฉลี่ยปีละประมาณ 2 ครั้ง จำนวนเงินในการซื้อไม้ดัดเฉลี่ยปีละ 4,624 บาท และมีปริมาณการซื้อแต่ละครั้งจำนวน 4 ต้น เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์พบว่า ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย มีความสัมพันธ์กับโอกาสที่เลือกซื้องานไม้ดัด โดยจากการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจจะได้ปัจจัยที่มีองค์ประกอบร่วมกัน 7 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยส่งเสริมทางการตลาด ปัจจัยช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยการผลิตสินค้า ปัจจัยด้านการออกแบบ และปัจจัยด้านบริการ โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 62.745 และเมื่อนำปัจจัยทั้ง 7 ปัจจัยไปหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อจำนวนเงินในการซื้องานไม้ดัดพบว่า ปัจจัยด้านบริการ สามารถทำนายแนวโน้มจำนวนเงินในการซื้อไม้ดัดได้ร้อยละ 0.16 และสามารถนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวแปรทำนายมาเขียนเป็นสมการทำนายแนวโน้ม โดยใช้คะแนนดิบได้ดังนี้ จำนวนในการซื้อไม้ดัด = 4677.582 + 801.496(ปัจจัยด้านบริการ); This research is survey research with the objective 1) To study the satisfaction of tourists in the bonsai products of the Sai Yao community 2) to study the behavior of tourists in buying bonsai of Sai Yao community 3) To study the reasons that have an effect on the purchase of bonsai of Sai Yao community 4) to find ways to promote and develop bonsai of the Sai Yao community for consumer demand The instrument used in the research was a Purposive samplin questionnaire from tourists who bought or used to buy bonsai and members of a group of bonsai enterprises with a total of 415 people.
The analysis shows that tourists are satisfied with the products , prices , distribution channels. And promoting marketing at a high level. The average bonsai purchase is approximately 2 times per year. The amount of bonsai purchases is 4,624 baht per year and the number of each purchase is 4 trees. When analyzed, it shows that the distribution channel factors affect Opportunities for buying a bonsai 7 factors include product, marketing promotion, marketing, production, product design and service. 62.745 percent of the variance can be explained when taking Both 7 factors to find the factors that affect the amount. When buying a bonsai, it was found that the service factor can predict the amount of buying a bonsai by 0.16 percent and the coefficient of the forecasting variable can be written as a forecasting equation using the raw score as follows: Number of buying bonsai = 4677.582 + 801.496 (service factor)
2564-01-01T00:00:00Zเอกสารคำสอน การวิเคราะห์ขั้นสูงด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ (ปรับปรุง 2564)รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/78212021-09-13T03:34:27Zเอกสารคำสอน การวิเคราะห์ขั้นสูงด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ (ปรับปรุง 2564)
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิเคราะห์หลายตัวแปร การจำแนกกลุ่มตัวแปรด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ปัจจัย
การวิเคราะห์จำแนกกลุ่ม การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติค การจำแนกกลุ่มตัวแปรด้วยเทคนิค
การวิเคราะห์กลุ่ม การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม การวิเคราะห์ความแปรปรวนของตัวแปรหลายตัว การวิเคราะห์การถดถอยที่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบไม่เชิงเส้น การวิเคราะห์ความ สัมพันธ์แบบโปรบิท วิชานี้เน้นถึงการประยุกต์ของวิธีการทางสถิติกับข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จทางสถิติ
สื่อการสอนชนิด Power Point (ปรับปรุง 2564) รายวิชา สถิติและการวิจัย 4113305รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/78162021-09-13T03:22:49Zสื่อการสอนชนิด Power Point (ปรับปรุง 2564) รายวิชา สถิติและการวิจัย 4113305
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การตั้งปัญหาเพื่อการวิจัย ขั้นตอนต่าง ๆ ของการวิจัย การวิจัยแบบต่าง ๆ หลักการออกแบบการวิจัย การสุ่มตัวอย่าง การเขียนเค้าโครงวิจัย การเขียนรายงานการวิจัย สถิติเชิงพรรณนา เพื่อการบรรยายลักษณะข้อมูลสถิติเชิงอนุมานที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานการวิจัย การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูล การแปลความหมายและการนำเสนอข้อมูล
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาหลักสถิติทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/78112021-09-13T02:29:05Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาหลักสถิติ
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ฤทธิขันธ์, เลอสันต์แสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77662021-09-11T06:34:50Z2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ฤทธิขันธ์, เลอสันต์; แสงสว่าง, จารุมาศ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 1/2563 จำนวน 32 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.13/81.04 ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมีปฏิสัมพันธ์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70
2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาทักษะการเขียนแบบเสนอหัวข้อโครงงานวิจัยกิตติคุณ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77542021-09-09T04:39:40Z2564-06-10T00:00:00Zการพัฒนาทักษะการเขียนแบบเสนอหัวข้อโครงงานวิจัย
กิตติคุณ บุญเกตุ
ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนแบบเสนอหัวข้อโครงงานวิจัย นักศึกษาสาขาวิชาสถิติประยุกต์ ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2/2563 จำนวน 14 คน เพราะจากการตรวจผลงานของผู้เรียน พบว่าผู้เรียนยังไม่เข้าใจถึงระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้อง เช่น การตั้งชื่อเรื่องวิจัยยังมีความกำกวม ใช้ภาษาได้ไม่ถูกต้อง วัตถุประสงค์ไม่สอดคล้องกับชื่อเรื่อง เขียนกรอบแนวคิดและตัวแปรไม่ถูกต้อง
การทำวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ให้ความรู้ ความใกล้ชิด คอยให้คำปรึกษา แนะนำการทำงานทุกขั้นตอน แล้วเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกผลคะแนนในการทำงานของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง จนเห็นว่าผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น และมีความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น สามารถนำทักษะที่ได้ไปพัฒนาต่อยอดในงานของตัวเองได้ในอนาคต
2564-06-10T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ของผู้บริโภคในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์กิตติคุณ บุญเกตุ, กัณญณัณฐ์ กระสันดีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77532021-09-09T04:09:30Z2564-08-12T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ของผู้บริโภคในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
กิตติคุณ บุญเกตุ, กัณญณัณฐ์ กระสันดี
การวิจัยัครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์
ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ของลูกค้าในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ของ
ผู้บริโภคในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะประชากรศาสตร์
และพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Shopee ของผู้บริโภคในเขตเทศบาลเมือง
บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวนคนที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลในครั้งนี้คือ สถิติพรรณนา โดยจะใช้วิเคราะห์ความถี่และค่าร้อยละในแบบสอบถาม และสถิติ
อนุมาน โดยใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์และวัดระดับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทาง
การตลาดและพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ จึงเลือกใช้การวิเคราะห์แบบการทดสอบไคสแควร์
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ช่วงอายุที่มากที่สุดคือ ต่ำกว่า
20 ปี มีระดับการศึกษามัธยมศึกษามากที่สุด มีอาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษามากที่สุด มีรายได้ต่อ
เดือนต่ำกว่า 5,000 บาท และมีสถานภาพโสดมากที่สุด มีพฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
ในช่วงเวลาที่ต้องการของชิ้นนั้นทันที เพราะอยู่ในช่วงโปรโมชั่นพิเศษและมีการลดราคาโดยตัดสินใจ
ซื้อด้วยตนเอง โดยเลือกการชำระเงินโดยการเก็บเงินปลายทาง ลักษณะประชากรศาสตร์ และปัจจัย
ส่วนประสมทางการตลาด ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (Product) ปัจจัยด้านราคา (Price) ปัจจัยด้านช่อง
ทางการจัดจำหน่าย (Place) ปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยี (TAM) และปัจจัยด้านการให้บริการ
ส่วนบุคคล (Service) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าที่ใช้บริการผ่าน
แอปพลิเคชั่น Shopee ของลูกค้าในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ 0.05
2564-08-12T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬาในจังหวัดบุรีรัมย์วณิชา แผลงรักษา, ปิติวรรณ ฝ้ายโคกสูง, กิตติคุณ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/77462021-09-08T13:11:45Z2563-10-10T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬาในจังหวัดบุรีรัมย์
วณิชา แผลงรักษา, ปิติวรรณ ฝ้ายโคกสูง, กิตติคุณ บุญเกตุ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและการรับรู้สื่อของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬากรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมและการรับรู้สื่อของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬากรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 100 คน โดยเลือกมาแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามปลายปิด พบว่า ส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 20,000-25,000 บาท และมีอาชีพธุรกิจส่วนตัว
ผลการศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยว พบว่า ส่วนใหญ่มีความสนใจแหล่งท่องเที่ยวเชิงกีฬา เช่น สนามฟุตบอลช้างอารีน่าเป็นสถานที่ดึงดูดในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 47 มีครอบครัวเป็นส่วนร่วมในการตัดสินใจมาท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 37 มีวัตถุประสงค์เพื่อพักผ่อน คิดเป็นร้อยละ 67 เดินทางมากับครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 47 เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว คิดเป็นร้อยละ 87 เคยเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ 2 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 35 มีช่วง วันเสาร์ - วันอาทิตย์ เป็นวันที่เหมาะสมต่อเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 74 มีค่าใช้จ่าย มากกว่า 1,500 บาท ในการเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ต่อครั้ง คิดเป็นร้อยละ 58 ใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 48 ใช้ระยะเวลาในการมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ ไปเช้า – เย็นกลับ กับ ค้างคืน คิดเป็นร้อยละ 40 เฟสบุ๊คเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการรู้จักแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 21.50 มีโอกาสจะกลับมาท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ คิดเป็นร้อยละ 100 มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานเทคโนโลยีเพื่อค้นหาเส้นทาง คิดเป็นร้อยละ 25.10 และส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนในการรับรู้สื่อหรือใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ คิดเป็นร้อยละ 49.00
ผลการศึกษาความพึงพอใจโดยรวมทุกด้าน นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬา กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเมืองกีฬา กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองลงมา คือ ด้านวัฒนธรรม และวิถีชีวิต ด้านสถานที่และการเข้าถึง และน้อยที่สุด คือ ด้านด้านราคาสินค้าและบริการ
2563-10-10T00:00:00Zการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวลกิตติคุญ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/74152021-03-19T02:47:38Zการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวล
กิตติคุญ บุญเกตุ
หลักพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวล ส่วนประกอบคุณลักษณะ และเหตุการณ์ การออกแบบสร้างฟอร์มและเมนู การประมวลผลฐานข้อมูล การทำโครงงานพัฒนาระบบงานประมวลผลสารสนเทศ โดยใช้โปรแกรมภาษาแบบวิชวลภาษาใดภาษาหนึ่ง
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์โสชัย, โสวิกาทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73792021-03-18T06:55:06Z2563-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
โสชัย, โสวิกา; ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับ COVID – 19 ปัจจัยความเชื่อด้านสุขภาพ ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยความเชื่อด้านสุขภาพและปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมกับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชนและเพื่อหาตัวแปรที่สามารถทำนายพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนที่อาศัยในเขตท้องถิ่นเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จำนวน 404 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบลำดับขั้น
ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้เกี่ยวกับ COVID – 19 ของประชาชน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.53) ปัจจัยความเชื่อด้านสุขภาพของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.01) ปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.68) และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12) ปัจจัยความเชื่อด้านสุขภาพและปัจจัยแรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน เท่ากับ 0.684 และ 0.424 ตามลำดับ และผลการวิจัยพบว่า เพศ อายุ การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ถึงความรุนแรงของโรค การรับรู้ถึงประโยชน์ของการป้องกันโรค การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันโรค แรงจูงใจด้านสุขภาพ และการสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม COVID – 19 ของประชาชน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 48.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ( R^2=0.485, P<0.05)
2563-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงปี 2563)ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73662021-03-17T16:20:28Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงปี 2563)
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
ระบบเลขฐาน ตรรกวิทยา ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชันสำหรับตัวแปรเดียวและหลายตัวแปร อนุพันธ์และการประยุกต์ ปริพันธ์และการประยุกต์ อนุกรมอนันต์ พัชคณิตบูลีน การเก็บรวบรวมข้อมูลและการนำเสนอข้อมูล การจัดลำดับและการจัดหมู่ ความน่าจะเป็นเบื้องต้น
สถิติวิเคราะห์ความตระหนักและการเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคเศรษฐกิจดิจิตอลรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์จิราวรรณ, ไชยพิมพาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73182021-03-16T07:51:05Z2563-10-01T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์ความตระหนักและการเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคเศรษฐกิจดิจิตอล
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์; จิราวรรณ, ไชยพิมพา
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบถึงความตระหนักและการเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอล
2) เพื่อเปรียบเทียบความตระหนักและการเตรียมความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอลจำแนกตาม เพศ อายุ ชั้นปีที่ศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน คณะที่กำลังศึกษา และภูมิลำเนา เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของ Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.905 ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มกลุ่ม จากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 387 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยใช้สถิติ t-test การทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยใช้สถิติ F-test ผลการวิจัย พบว่า ด้านที่นักศึกษามีความตระหนักมากที่สุด คือ ด้านเทคโนโลยี รองลงมาคือ ด้านสมรรถนะ และ สำหรับการเตรียมความพร้อม ด้านที่นักศึกษามีการเตรียมความพร้อมมากที่สุด คือ ด้านการสื่อสาร รองลงมาคือ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านทักษะวิชาชีพ ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอลและความพร้อมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอล จำแนกตามข้อมูลสถานภาพทั่วไป พบว่านักศึกษาที่มีเพศ อายุ ชั้นปีที่ศึกษา แตกต่างกันจะมีความตระหนักและการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอลไม่แตกต่างกัน ส่วนนักศึกษาที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน คณะที่กำลังศึกษา ภูมิลำเนาแตกต่างกันจะมีความตระหนักและการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิตอลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
2563-10-01T00:00:00Zสื่อการสอนชนิด Power Point สถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73162021-03-16T07:44:04Zสื่อการสอนชนิด Power Point สถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
ความรู้เบื้องต้นทางสถิติ การนำเสนอข้อมูล การสรุปลักษณะของข้อมูล การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน การถดถอยและสหสัมพันธ์เชิงเส้นอย่างง่าย การทดสอบภาวะสารูปสนิทดี และการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติพื้นฐานด้วยโปรแกรม PSPP ซึ่งเป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ส
สถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73132021-03-16T07:35:50Zสถิติสำหรับนักวิทยาศาสตร์
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
ความรู้เบื้องต้นทางสถิติ การนำเสนอข้อมูล การสรุปลักษณะของข้อมูล การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน การถดถอยและสหสัมพันธ์เชิงเส้นอย่างง่าย การทดสอบภาวะสารูปสนิทดี และการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติพื้นฐานด้วยโปรแกรม PSPP ซึ่งเป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ส
การศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์สิงห์เงิน, กนกวรรณแสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/73092021-03-16T07:23:38Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สิงห์เงิน, กนกวรรณ; แสงสว่าง, จารุมาศ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของประชาชน และเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำแนกตามข้อมูลทั่วไปโดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาคเท่ากับ 0.834 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t และสถิติทดสอบ F ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.677 และเมื่อเรียงลำดับด้านที่มีค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ด้านการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์ใช้บัตรสวัสดิการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.674 ด้านสวัสดิการที่ได้รับมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.695 ด้านปัญหานโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.665 ด้านนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.657 และด้านความเข้าใจเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.694 ตามลำดับและเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับความคิดเห็นจำแนกตามข้อมูลทั่วไปพบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 แต่เมื่อพิจารณารายข้อคำถาม พบว่า โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยลดค่าโดยสารในการเดินทางได้ เช่น รถไฟ รถขนส่ง รถประจำทางโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีวงเงินในบัตรเหมาะสมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านการอบรมพัฒนาคุณภาพชีวิตควรได้รับเงินเพิ่ม 100 - 200 บาทต่อเดือน การรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับรายละเอียดของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ หนังสือพิมพ์ เป็นต้นจำแนกตามการรับรู้ข่าวสารมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05; This research aimed to study the opinions of the citizens of the state welfare card policy. And to compare opinions of citizens on the state welfare card policy classified by general information This study was studied from a sample group of 400 people living in Chum Het Municipality, Muang District, Buriram Province, using the stratified sampling method. Questionnaires were used to collect data. The alpha Cronbach coefficient was 0.834. The statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation, t-test and F-test statistics. The respondents had a level of opinion about the state benefit card. Overall is at a high level. The mean of 4.36 and the standard deviation of 0.677, and the sides with descending mean are sorted as follows: In the selection of those eligible to use benefits cards, the mean was 4.45 and the standard deviation of 0.674, the mean deviation of 4.37 and the standard deviation of 0.695, and the standard deviation of the state welfare card was 4.36. And the standard deviation of 0.665, the mean of the state welfare card policy of 4.32 and the standard deviation of 0.657 and the understanding of the state welfare card was 4.28 and the standard deviation of 0.694, respectively When comparing the differences of opinion levels classified according to general information, there was no difference overall. However, when considering each question, it was found that the State Welfare Card Scheme helped reduce the fare for traveling such as trains, buses, buses. The holder of the State Welfare Card that has passed the quality of life development training should receive an additional fee of 100 - 200 baht per month. Acknowledgment of the details of the State Welfare Card from various media such as radio, newspaper, etc., classified by perception. message Are different Statistically significant 0.05
สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2563
2563-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทเฟซบุ๊กของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์กิตติคุณ บุญเกตุ, รัชนีกร ทบประดิษฐ์, นงนุช พิมูลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/72992021-03-16T04:50:37Z2563-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทเฟซบุ๊กของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์
กิตติคุณ บุญเกตุ, รัชนีกร ทบประดิษฐ์, นงนุช พิมูล
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ปิยะธิดา จันทร์แดง, กิตติคุณ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/72982021-03-16T04:42:28Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์ นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์
ปิยะธิดา จันทร์แดง, กิตติคุณ บุญเกตุ
การรวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจสุ่มแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้วนี้ คือ ประชาชนจากผู้โดยสารประจำทางที่ใช้บริการนครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ส่วนใหญ่มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน10,001 - 20,000 บาท พฤติกรรมทั่วไปและประสบการณ์การใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ใช้บริการเส้นทางกรุงเทพมหานคร–บุรีรัมย์/บุรีรัมย์–กรุงเทพมหานคร เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา ส่วนใหญ่ซื้อตั๋วผ่านบริการเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานีและการชำระค่าตั๋วชำระผ่านเคาน์เตอร์บริการลูกค้าประจำสถานี ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยเที่ยวละ 300-400 บาท โดยเฉลี่ยเดือนละ1-3 เที่ยว/เดือน ระดับความคิดเห็นปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ในระดับความคิดเห็นมากที่สุด ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ ในจังหวัดบุรีรัมย์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการใช้บริการรถทัวร์นครชัยแอร์ในจังหวัดบุรีรัมย์มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
คำสำคัญ: รถโดยสารประจำทาง,รถทัวร์,ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศบุตรงาม, ทองสาอารมณ์, เขมิกาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/72932021-03-16T04:14:37Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; บุตรงาม, ทองสา; อารมณ์, เขมิกา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ และเพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีจำแนกตามลักษณะภูมิหลัง โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนจำแนกทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์โดยรวมอยู่ในระดับ มาก และเมื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีจำแนกตามลักษณะภูมิหลัง พบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้านความรุนแรงในครอบครัวจำแนกตามอายุ ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้านสาเหตุความรุนแรงจำแนกตามระดับการศึกษา และระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้านความรุนแรงในครอบครัวจำแนกตามการเคยพบเห็นพฤติกรรมความรุนแรงด้านการใช้กำลังปะทุษร้าย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2563-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาการประยุกต์แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 1ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70782020-09-15T15:09:39Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาการประยุกต์แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 1
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
พฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภคในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์เฉลียวรัมย์, หรรษลักษณ์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70752020-09-15T10:42:40Z2562-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภคในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
เฉลียวรัมย์, หรรษลักษณ์; ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภค เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภค และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้บริโภคที่เข้าใช้บริการร้านอเมซอนในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) และสถิติทดสอบไคสแควร์ (Chi-square)
ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภคในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า เครื่องดื่มที่นิยมบริโภคมากที่สุดคือ กาแฟ เช่น คาปูชิโน่ มอคค่า คิดเป็นร้อยละ 60.00 เหตุผลที่เลือกใช้บริการร้านอเมซอนคือ พักผ่อนหย่อนใจ คิดเป็นร้อยละ 47.50 เข้าใช้บริการ 1 - 2 ครั้งต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 41.25 ค่าใช้จ่ายที่เข้าใช้บริการจำนวน 51 - 100 บาทต่อครั้ง คิดเป็นร้อยละ 71.25 นิยมเข้าใช้บริการวันเสาร์ – วันอาทิตย์ คิดเป็นร้อยละ 51.75 นิยมเข้าใช้บริการเวลา 09.01 - 12.00 น. คิดเป็นร้อยละ 43.50 โดยตนเองเป็นผู้ตัดสินใจเข้าใช้บริการ คิดเป็นร้อยละ 78.25 และนิยมบริโภคที่ร้าน คิดเป็นร้อยละ 78.25 ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเข้าใช้บริการร้านอเมซอนของผู้บริโภคในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาระหนี้สินและสาเหตุการเกิดภาระหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ดเพชรรัตน์ ราชธานี, กิตติคุณ บุญเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70712020-09-15T07:19:49Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาระหนี้สินและสาเหตุการเกิดภาระหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
เพชรรัตน์ ราชธานี, กิตติคุณ บุญเกตุ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาภาระหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสาเหตุของการเกิดภาระหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเกษตรกรอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งหมด 450 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบการแบ่งชั้นภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าจำนวนร้อยละ ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าสถิติที่ใช้ ไคสแควร์ (Chi-Square) และวัดระดับความสัมพันธ์โดยใช้สัมประสิทธิ์แกมมา (Gamma’G)
ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีช่วงอายุ 41-50 ปี มีสถานภาพสมรส มีระดับการศึกษาสูงสุดคือมัธยมศึกษาตอนต้น มีสถานภาพในครัวเรือนเป็นหัวหน้าครัวเรือน มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือน 3-5 คน และมีรายได้รวมเฉลี่ยของครัวเรือน(บาท/เดือน) คือ รายได้ 5,001-10,000 บาท ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยข้อมูลสถานภาพทั่วไป ข้อมูลสภาพเศรษฐกิจ และปัจจัยที่มีผลต่อภาระหนี้สินของเกษตรกรที่มีความสัมพันธ์ต่อข้อมูลด้านภาวะหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพในครัวเรือนจำนวนที่ดินที่ถือครอง(ที่ตนเอง) จำนวนที่ดินที่ถือครอง(เช่า) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตมีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การได้รับข่าวสารและการฝึกอบรมด้านการเกษตรกรน้อยมีผลต่อการทำเกษตรกรรม การขาดความรู้และประสบการณ์ด้านการเกษตรมีผลต่อการทำเกษตรกรรม การศึกษามีผลต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม การขาดการวางแผนล่วงหน้ามีผลต่อการทำการเกษตร ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้สินค้ามีราคาแพงมากขึ้น ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ส่งผลต่อการทำเกษตรกรรม การอพยพเข้าไปทำงานในเมืองทำให้ขาดแรงงานในพื้นที่ การรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่มากขึ้นส่งผลให้ต้องปลูกพืชมากขึ้น การได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลมีผลต่อเงินทุนสำหรับการทำเกษตร มีความสัมพันธ์กับภาระหนี้สินของเกษตรกรในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2562-01-01T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอน การวิเคราะห์สถิติรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70012020-09-14T03:14:38Zเอกสารประกอบการสอน การวิเคราะห์สถิติ
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การสุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ถดถอยและสหสัมพันธ์เชิงเส้นอย่างง่าย การวิเคราะห์ถดถอยและสหสัมพันธ์เชิงเส้นพหุคูณ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม อนุกรมเวลาและเลขดัชนี การวิเคราะห์การตัดสินใจ สถิติที่ไม่ใช้พารามิเตอร์ การอ่านและแปลความหมายผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ
การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์และ ไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ในตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/70002020-09-14T02:36:25Z2563-05-01T00:00:00Zการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์และ ไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ในตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์; วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มการปลูกข้าวของเกษตรกร ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ และ 2) เพื่อสร้างสมการจำแนกกลุ่มในการคาดคะเนความเป็นสมาชิกของเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์หรือปลูกข้าวไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ จำนวน 381 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรที่ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ จำนวน 129 คน และเกษตรที่ปลูกข้าวไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ จำนวน 252 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน (Proportional allocation Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบราชเท่ากับ .84 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มแบบขั้นตอน
ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ พบว่า 1) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจำแนกกลุ่มการปลูกข้าวของเกษตรกร ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ ได้แก่ เพศ (A1) อายุ (A2) สถานภาพสมรส (A3) ประสบการณ์ประกอบอาชีพ (A5) สถานภาพการถือครองที่ดิน (B1) การจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร (B5) สถานะทางสังคม (C2) ระดับความรู้ในการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ (D1) ระดับความรู้ในการจัดการปัญหาวัชพืชด้วยเกษตรอินทรีย์ (D2) ระดับความรู้ในการจัดการปัญหาเพลี้ยด้วยเกษตรอินทรีย์ (D3) ระดับความรู้ในการใช้สารเคมี (D4) ระดับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ (D5) และระดับการรับรู้โทษของสารเคมี (D7) 2) ตัวแปรทั้ง 13 ตัวแปร สามารถสร้างสมการจำแนกกลุ่มในการคาดคะเนความเป็นสมาชิกของเกษตรกรที่ปลูกข้าวโดยใช้เกษตรอินทรีย์และไม่ใช้เกษตรอินทรีย์ได้ถูกต้องร้อยละ 95.8 โดยสามารถแสดงสมการในรูปคะแนนมาตรฐานได้ดังนี้
สมการจำแนกกลุ่มในรูปคะแนนมาตรฐาน; This study aimed to 1) analyze factors affecting categorization of rice farmers in Nongbote Sub-district, Nangrong District, Buriram Province using organic and inorganic farming. And 2) create equation model to predict membership status of organic and inorganic rice farmers. The samples were rice farmers using organic and inorganic farming totally 381 persons, divided into two groups; 129 organic and 252 inorganic rice farmers selected by Proportional Allocation Stratified Sampling. The instruments were questionnaire having Cronbach’s Coefficient Alpha Value at .84. The statistics employed to analyze the data were Frequency Value, Percentage, Mean, Standard Deviation and Discriminant analysis procedures Stepwise Metod.
The findings were as follows. 1) The factors affecting the categorization of organic and inorganic rice farmers in Nongbote Sub-district, Nangrong District, Buriram Province were gender (A1), age (A2), marital status (A3), career experience (A5), land owner status (B1), agricultural products selling (B5), social status (C2), information perception (D1), knowledge level in weed problem using organic farming (D2), knowledge level in Aphid problem management using organic farming (D3), knowledge level in using chemicals (D4), perception level in perceiving information on organic rice farming (D5), and perception level of chemicals disadvantages (D7). 2) All 13 factors could be brought to correctly create the equation model of prediction on membership status of organic and inorganic rice farmers which were displayed in the standard scores as in the followings.
Equation model of the categorization displayed in standard scores :
2563-05-01T00:00:00Zสื่อการสอน รายวิชา การวิเคราะห์ตัวแปรพหุประยุกต์รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69992020-09-14T02:27:32Zสื่อการสอน รายวิชา การวิเคราะห์ตัวแปรพหุประยุกต์
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแปรพหุประยุกต์ การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยและเมตริกซ์ ความแปรปรวนร่วม การวิเคราะห์องค์ประกอบ สหสัมพันธ์แคนนอนิคอล การวิเคราะห์จำแนก การวิเคราะห์กลุ่ม การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
สื่อการสอน รายวิชาการประยุกต์แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 1ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69972020-09-13T09:42:47Zสื่อการสอน รายวิชาการประยุกต์แคลคูลัสและเรขาคณิตวิเคราะห์ 1
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
สถิติวิเคราะห์ความคิดเห็นที่มีต่อโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์กมลชนก, ยืนยงรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69652020-09-11T05:41:37Z2562-01-01T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์ความคิดเห็นที่มีต่อโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
กมลชนก, ยืนยง; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้องในชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่มีต่อการดำเนินโครงการ 2) เพื่อนำผลที่ได้ไปพัฒนาขีดความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์และต่อยอดการบริหารจัดการชุมชนได้อย่างเหมาะสม 3) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จำแนกตามข้อมูลสถานภาพทั่วไป เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบราชเท่ากับ 0.929 ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มกลุ่ม จากชาวบ้านในโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t-test และสถิติทดสอบ F – test ผลการวิจัย พบว่า
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 51-60 ปี มีสถานภาพการสมรสอยู่ด้วยกัน มีระดับการศึกษาสูงสุดชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร โดยมีรายได้ มากกว่า 12,500 บาท มีความเกี่ยวข้องกับโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี โดยเป็นประชาชนในชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เมื่อทำการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามข้อมูลสถานภาพทั่วไป พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่มี เพศ อายุ และสถานภาพการสมรส แตกต่างกัน จะมีระดับความคิดเห็นที่ไม่แตกต่างกัน ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่มีระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ รายได้ภายในครอบครัว และความเกี่ยวข้องกับโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีแตกต่างกัน จะมีระดับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05; This research is a survey research with the objectives.1) To study the opinions of entrepreneurs. And the people involved in the OTOP tourism community, innovating towards the project implementation. 2) To use the results to develop the capacity of creative thinking and appropriate community management. 3) To compare opinions The OTOP Tourism Innovation Project classified by gender, age, marital status Education level, main occupation, family income the relevance of the OTOP Tourism Community Project, Innovative Method, Questionnaire the Cronbach's alpha coefficient was 0.929. Sampling was performed by using a random sampling method. From 400 villagers in the OTOP Tourism Community Project, OTOP Innovation, Krasang District, Buriram Province, data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation. The standardized test tests the differences between the mean values of two independent samples using the t-test. The hypothesis testing on the difference between the mean values of more than 2 samples using the f- test and test pairs by Tukey method.
The results showed that the majority of the respondents were female, age between 51-60 years, marital status Married together Have the highest education level, upper secondary school / vocational certificate, have a career, farmers earn more than 12,500 baht, related to the OTOP Tourism Community Project,
Innovation is a citizen of OTOP Tourism Pathway, respectively. Result Comparison of opinions Toward the OTOP Tourism Community Project, Innovation, Krasang District, Buriram Province. Classified by general status information It was found that the villagers with different gender, age, and marital status had different opinions. For the villagers with the highest education level, occupation, and household income, And the relation with the OTOP Tourism Community Project is different. There will be different opinions, with statistical significance at the level of 0.05.
2562-01-01T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์การมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของ ประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ฑิตยา, ศัตรูพินาศรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69642020-09-11T05:26:29Z2562-01-01T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์การมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของ ประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
ฑิตยา, ศัตรูพินาศ; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาชเท่ากับ 0.795 ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม จากประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t-test และ สถิติทดสอบ F-test
ผลการวิจัย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 41-60 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่า 15,000 บาท มีระยะเวลาการเข้าอาศัยอยู่ในชุมชน มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ในระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาเข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ส่วนใหญ่มีสถานภาพในชุมชนเป็นลูกบ้าน และประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มต่าง ๆ ของชุมชน จากการผลการศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชน พบว่า เรื่องที่ประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมมากสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ เมื่อเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ประชาชนที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาการเข้าอาศัยอยู่ในชุมชนแตกต่างกัน จะมีระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และเมื่อจำแนกตามปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม พบว่า ประชาชนที่มีสถานภาพในชุมชนแตกต่างกัน จะมีระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
2562-01-01T00:00:00Zแรงจูงใจในการท่องเที่ยวและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ปัตทวี, แถวประโคนรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69632020-09-11T04:53:57Z2562-01-01T00:00:00Zแรงจูงใจในการท่องเที่ยวและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
ปัตทวี, แถวประโคน; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาระดับแรงจูงใจการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อาเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อาเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ 4) ศึกษาเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาชเท่ากับ 0.934 สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง จานวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t-test และ สถิติทดสอบ F-test ผลการวิจัยพบว่า
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรังเป็นนักท่องเที่ยวเพศหญิง ที่มาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน โดยมาท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก และทราบข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจากการแนะนาของบุคคล อื่น ๆ โดยเมื่อพิจารณาระดับแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว พบว่า นักท่องเที่ยวมีแรงจูงใจอยู่ในระดับมากทั้งด้านเหตุผลที่มาท่องเที่ยวและสิ่งดึงดูดที่มาท่องเที่ยว เมื่อพิจารณาระดับความพึงพอใจ พบว่า ด้านทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยว ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการคมนาคม ด้านความปลอดภัย และ ด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร นักท่องเที่ยวมีจะระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีเพียงด้านสิ่งอานวยความสะดวกเท่านั้น ที่นักท่องเที่ยวมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง และ จากการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรัง พบว่า นักท่องเที่ยวที่มี อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน การศึกษาและภูมิลำเนาแตกต่างกัน จะมีระดับแรงจูงใจและความพึงพอใจต่อสถานที่ท่องเที่ยวผึ้งร้อยรังแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับนัยสาคัญ 0.05; The purposes of this study were (1) to investigate the tourists’ behavior who travelled to The Hundred Honeycombs at Ban-Saitrisarm, Bankruat, Buriram, Thailand (2) to investigate the motivation level of the tourists who travelled to The Hundred Honeycombs at Ban-Saitrisarm, Bankruat, Buriram, Thailand (3) to investigate the tourism’ satisfaction who travelled to The Hundred Honeycombs at Ban-Saitrisarm, Bankruat, Buriram, Thailand; and (4) to compare the tourist’ satisfaction who travelled toThe Hundred Honeycombs at Ban-Saitrisarm, Bankruat, Buriram, Thailand. The tool used was a questionnaire with Cronbach's Alpha coefficient as 0.934. Sampling by the accidental sampling method from 400 tourists visiting The Hundred Honeycombs. The data were analyzed by frequency values, Percentage, Standard Deviation, statistics of t-test, and statistics of F-test
Research findings were as follows the most of tourists were women groups that came the first time, and known the information of place by the recommendations from other people. Considered from the motivation level of travelling that showed the tourists had a high motivation level of the reasons why they should come here and the attractiveness things. Considering by the satisfaction level, founded the tourists had high satisfaction level with resources of tourist attractions, communication system, security system, and advertising the information, there is only a facility that tourists' satisfaction level is at a moderate level. Comparing the motivation and satisfaction levels of tourists, that showed the people who have different job, income, and education degree will be have the different motivation and satisfaction with a statistical significance of 0.05
2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของ ชาวนาในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนา เศรษฐกิจอย่างยั่งยืนนิราวรรณ, มุขวัติรินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/69622020-09-11T04:39:46Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของ ชาวนาในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนา เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นิราวรรณ, มุขวัติ; รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน์
งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานของชาวนาในอำเภอเมืองบุรีรัมย์
จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของชาวนาในอำเภอเมือง
จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 3) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยแรงจูงใจ
ในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของชาวนาในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนา
เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของ
ชาวนาในอาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เครื่องมือที่ใช้ คือ
แบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราช เท่ากับ 0.909 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสุ่ม
ตัวอย่างอย่างง่าย โดยวิธีจับฉลาก ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตารางไขว้ การวิเคราะห์
ปัจจัย และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า แรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมของชาวนา ประกอบไปด้วย 6
ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านครอบครัว ด้านความรู้ความสามารถ ด้านความพึงพอใจ
ส่วนตัว ด้านข้อมูลข่าวสาร อยู่ในระดับมาก เมื่อทำการวิเคราะห์เชิงสำรวจปัจจัยแรงจูงใจในการเลือก
ประกอบอาชีพเสริมของชาวนา ได้ปัจจัยที่มีองค์ประกอบร่วมกัน 11 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยด้าน
ความพึงพอใจ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านต้นทุนและผลกาไร ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้าน
ความรู้ความสามารถ ปัจจัยด้านอาชีพตามความต้องการทางการตลาด ปัจจัยด้านอาชีพสุจริต ปัจจัย
ด้านสภาพแวดล้อมในชุมชน ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านความสนใจในอาชีพใหม่ ปัจจัยผลผลิตเป็นที่
ต้องการทางการตลาด โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 69.455 และเมื่อนำปัจจัยทั้ง 11
ปัจจัยไปหาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเลือกประกอบอาชีพเสริมรับจ้าง พบว่า ปัจจัยด้านการ
รับรู้และความสนใจ ปัจจัยด้านครอบครัว สามารถทำนายแนวโน้มการเลือกประกอบอาชีพเสริม
รับจ้างได้ร้อยละ 0.018 และสามารถเขียนเป็นสมการทำนายแนวโน้มโดยใช้คะแนนดิบ ได้ดังนี้
อาชีพเสริมรับจ้าง = 0.435 - 0.056(ปัจจัยด้านการรับรู้และความสนใจ) - 0.51(ปัจจัยด้านครอบครัว); The purpose of this research 1) To study basic information of farmers in
Mueang Buri Ram District Buriram province. 2) To study the level of motivation to
choose a supplementary occupation of farmers in Mueang District Buriram province
To contribute to sustainable economic development. 3) To study and analyze the
factors of motivation in choosing a supplementary occupation of farmers in Mueang
District Buriram province To contribute to sustainable economic development. 4) To
study factors affecting motivation in choosing a supplementary occupation of farmers
in Mueang District Buriram province To contribute to sustainable economic
development. The instrument used was a questionnaire with coefficient. The alpha
of Cronbach is 0.909 data were collected by simple random sampling. by lottery
method. the sample size was 400 samples. The statistics used for data analysis were
percentage, frequency, mean, standard deviation, cross table, factor analysis. And
Multiple Regression Analysis.
The results of the research found that the motivation in choosing a
supplementary occupation for farmers. Consists of 6 areas which are economic,
social, family, knowledge and ability, personal satisfaction, Information. At a high
level. When conducting survey analysis, motivation factors in choosing a
supplementary occupation for a farmer. The factors that have 11 common elements
are satisfaction factor, economic factors, cost and profit factors, family factors,
knowledge and skill factors, occupational factors according to marketing needs,
honest career factors, environmental factors in the community, social factors,
interesting factors in new careers, the production factor is the marketing need. Able
to explain variance 69.455% and when taking all 11 factors to find the factors that
affect the motivation to choose a part-time job, it is found that Awareness and interest factors, family factors. Able to predict the tendency of choosing a part-time
employment by 0.018% and can be written as an equation to predict trends using
raw scores as follows. Additional occupation = 0.435 - 0.056(Awareness and interest factors) - 0.51(family factors)
2562-01-01T00:00:00Zสื่อประกอบการสอนรายวิชาหลักการวิจัยบุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60622020-03-23T03:59:57Zสื่อประกอบการสอนรายวิชาหลักการวิจัย
บุญเกตุ, กิตติคุณ
ความหมายของการวิจัย ตรรกของการวิจัยและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการวิจัย ปัญหาการวิจัย กรอบทฤษฎีและสมมุติฐานการวิจัย ตัวแปรและการนิยามตัวแปร การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ การวัดความตรงและความเที่ยง การเลือกตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลการวิเคราะห์ การเขียนรายงานการวิจัย การประเมิน ผลการวิจัยและการประยุกต์ใช้
เอกสารประะกอบการสอนรายวิชาสถิติธุรกิจแสงสว่าง, จารุมาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60552020-03-23T03:23:12Zเอกสารประะกอบการสอนรายวิชาสถิติธุรกิจ
แสงสว่าง, จารุมาศ
การศึกษาพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebookพิมูล, นงนุชบุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60542020-03-23T03:22:46Z2562-09-05T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebook
พิมูล, นงนุช; บุญเกตุ, กิตติคุณ
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebook ศึกษาระดับทัศนคติในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebook และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebook กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวนทั้งหมด 400 ตัวอย่าง ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลด้วยสถิติทดสอบไคสแควร์
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 16-20 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี มีสถานภาพโสด ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษา มีพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่ติดต่อกับบุคคลที่รู้จัก ส่วนใหญ่เข้าใช้บริการที่บ้าน ใช้งาน Facebook ทุกวัน มากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน เข้าใช้เวลา 18.01 – 23.00 น. ส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือ และมีเพื่อนใน Facebook 2,000 คนขึ้นไป ใช้งานมากกว่า 4 ปีขึ้นไป เพิ่มเพื่อนที่รู้จักกันอยู่แล้วในชีวิตจริง (เรียน/ทำงาน/ครอบครัว) ตอบรับเฉพาะเพื่อนที่รู้จักในชีวิตจริง หรือที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เพศไม่มีผลใด ๆ ในการยอมรับเป็นเพื่อน ทัศนคติในการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์มีความสำคัญอยู่ในระดับมาก ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติในการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ และพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ : กรณีศึกษา Facebook มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05; In this research is a survey research. The objective was to the study of online social networking behavior of people in Buriram Province: A case study of Facebook. Study attitude levels in the online social networking behavior of people in Buriram Province: A case study of Facebook and study the relationship between attitudes and behavior of the online social networking behavior of people in Buriram Province: A case study of Facebook. The sample used in this research is that people in Buriram Province, a total of 400 samples. Using stratified random sampling. The questionnaire was used to collect data to analyze the relationship of the statistical test Chi Square.
The research found that Most respondents were female between 16-20 years of undergraduate education, single, most professional/student. The use of social networking behavior. Most contact with persons unknown. Most services that use Facebook every day for more than 5 hours per day at 18:01 to 23:00 hrs. The majority of mobile phone users. And a friend on Facebook 2,000 people over more than four years to add friends who already know each other in real life. (Learn / work / family) accept only known friends in real life. Or already familiar gender has no effect on the acceptance as a friend. The attitude in the use of online social networks are important at the high level. The study of the relationship between attitudes in the use of online social networks. And the use of online social networking behavior of people in Buriram Province: A case study of Facebook. is associated with a significant level of 0.05 .
2562-09-05T00:00:00Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวลบุญเกตุ, กิตติคุณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60532020-03-23T02:56:51Zเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวล
บุญเกตุ, กิตติคุณ
หลักพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบวิชวล ส่วนประกอบคุณลักษณะ และเหตุการณ์ การออกแบบสร้างฟอร์มและเมนู การประมวลผลฐานข้อมูล การทำโครงงานพัฒนาระบบงานประมวลผลสารสนเทศ โดยใช้โปรแกรมภาษาแบบวิชวลภาษาใดภาษาหนึ่ง
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60472020-03-22T16:20:43Zเอกสารประกอบการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
สถิติวิเคราะห์ทัศนคติและพฤติกรรมการแสวงหาความรู้โดยใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/60032020-03-22T08:11:34Z2020-01-13T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์ทัศนคติและพฤติกรรมการแสวงหาความรู้โดยใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับทัศนคติและพฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี เพื่อศึกษาพฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนบุคคล และเพื่อเปรียบเทียบทัศนคติการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 386 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบไคสแควร์ ค่าสถิติทดสอบ t-test และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า ระดับทัศนคติการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (3.96) ในขณะที่พฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียน พบว่า สถานที่ที่นักศึกษาใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่เป็นบ้านหรือที่พัก (ร้อยละ 60.1) สามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปได้บางโปรแกรม แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานได้ (ร้อยละ 46.1) มีประสบการณ์ในการใช้อินเทอร์เน็ตตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป (ร้อยละ 63.0) ทักษะความรู้ในการใช้อินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้พอสมควร (ร้อยละ 53.9) ทักษะในการแสวงหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตสามารถใช้ได้บางบริการของอินเทอร์เน็ต (ร้อยละ 46.6) นักศึกษามีความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ตทุกวัน (ร้อยละ 64.0) ในแต่ละครั้งมากกว่า 4 ชั่วโมง (ร้อยละ 62.4) ช่วงเวลาที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลา 18.01 – 24.00 น. Web site ที่นิยมใช้ในการค้นคว้าหาความรู้มากที่สุดคือ google.com โดยข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนการเรียนได้มาก ทำให้พฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนบุคคล และการเปรียบเทียบทัศนคติการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนที่มีเพศ และคณะแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 0.01 ตามลำดับ ส่วนนักศึกษาที่มีอายุ รายได้ต่อเฉลี่ยต่อเดือน และชั้นปีที่กำลังศึกษาอยู่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการแสวงหาความรู้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการเรียนไม่แตกต่างกัน
This research is a survey research to the objectives are to study the attitude and behavior of searching for knowledge on the internet to support the learning of undergraduate students. To study the behavior of searching for knowledge on the internet to support learning of undergraduate students which relate to personal factors. And to compare the attitudes of searching knowledge on the internet to support the learning of undergraduate students which relate to personal factors. The Sample used in this research is undergraduate student Buriram Rajabhat University, number 386 people. By using questionnaires to collect data. Analysis the data we use statistics such as frequency, percentage, mean, standard deviation, Chi square and statistics t-test and F-test.
The research has found that the level of attitude of searching knowledge on the internet to support the learning of undergraduate students, the overall result was high (3.96). While the behavior of searching for knowledge on the internet to support the learning found that the places that most students use the internet are home or accommodation (60.1%). They can use some ready made programs but they are unable to fix problems occurring during using this program (46.1%). They have experience in using the internet from 5 years or more (63.0%). They have the knowledge and skills in using the internet can be used fairly (53.9%). For the skills for searching information on the internet can be used in some internet services (46.6%). Students have the frequency of using the internet everyday (64.0%). Each time using the internet more than 4 hours (62.4%). The period of using the internet mostly is between 18.00 - 24.00 hrs. The most web site to search for knowledge is google.com. And information on the internet can be used to support learning a lot, resulting in the behavior of seeking knowledge on the internet to support the learning of bachelor students level correlate with personal factors. And than comparing attitudes pursuits on the internet to support students gender and faculty with differences. Have the behavior to search for knowledge on the internet to support learning differently with statistically significant at the level of 0.05 and 0.01 respectively. While the students who have age, average income per month and year of studying with differences there was no difference in the behavior of seeking knowledge on the internet to support learning.
2020-01-13T00:00:00Zสื่อการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59882020-03-21T12:30:43Zสื่อการสอน รายวิชาคณิตศาสตร์และสถิติสำหรับวิทยาศาสตร์
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
สถิติวิเคราะห์การมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์Rinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59752020-03-20T04:28:30Z2563-01-13T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์การมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
Rinhathai, Kitthanarut
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาชเท่ากับ 0.795 ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม จากประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t-test และ สถิติทดสอบ F-test
ผลการวิจัย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 41-60 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่า 15,000 บาท มีระยะเวลาการเข้าอาศัยอยู่ในชุมชน มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ในระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาเข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ส่วนใหญ่มีสถานภาพในชุมชนเป็นลูกบ้าน และประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มต่าง ๆ ของชุมชน จากการผลการศึกษาระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชน พบว่า เรื่องที่ประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมมากสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ เมื่อเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลชุมแสง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ประชาชนที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาการเข้าอาศัยอยู่ในชุมชนแตกต่างกัน จะมีระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และเมื่อจำแนกตามปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม พบว่า ประชาชนที่มีสถานภาพในชุมชนแตกต่างกัน จะมีระดับการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05; The research is a survey research. The objectives of the research are 1) To study the level of participation in the development of the sufficiency economy village of the people in Chum Saeng subdistrict, Krasang district, Buriram province 2) To compare the participation in the development of the sufficiency economy village of the Chum Saeng subdistrict, Krasang district, Buriram province. Questionnaire the Cronbach's alpha coefficient was 0.795. The samples were randomly selected using a group sampling from 400 people in Chum Saeng subdistrict, Krasang district, Buriram province were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, t-test and F-test.
The result of the research found that the most of people are female between the ages of 41-60 years, have less bachelor's degree, have a farming career and having an average monthly income of less than 15,000 baht. There are lived in the community more than 10 years. In the past 1 year, participated in the sufficiency economy village development activities more than 3 times or more. In the community as residents and most people do not participate as members of various groups of the community due to the study of the level of participation in the development of the sufficiency economy village of the people found that the subjects with the highest level of participation in the top 3 are the participation in decision, participation in operations, regarding participation in receiving benefits.When comparing the levels of participation in the development of the sufficiency economy village of the people of Chum Saeng subdistrict, Krasang district, Buriram province. Classified by general information of the respondents, found that people aged different levels of education, occupation, income, and duration of living in the community. There will be different levels of participation in the development of the sufficiency economy village with statistically significant at the level of 0.05 and when classified by environmental factors, it is found that people with different status in the community .There will be different levels of participation in the development of the sufficiency economy village with a statistical significance of 0.05
2563-01-13T00:00:00Zการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59582020-03-19T08:56:53Zการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ
Rinhathai, Kitthanarut
โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติที่นิยมใช้ ข้อมูล การสร้างตัวแปร และการกำหนดรหัส การสร้างแฟ้มข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดผล การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูลพื้นฐานด้วยสถิติพรรณนา การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม และการวิเคราะห์การถดถอย ซึ่งผู้เขียนจะเน้นที่การใช้โปรแกรม PSPP ซึ่งเป็นโปรแกรมโอเพนท์ซอร์ส โดยในบางบทจะมีการเปรียบเทียบกับการใช้โปรแกรม Excel ด้วย
สภาพความเป็นจริงและความคาดหวังของชุมชนในการจัดการศึกษา ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์อรวรรณ, วงเวียนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59492020-03-19T04:28:41Z2562-03-01T00:00:00Zสภาพความเป็นจริงและความคาดหวังของชุมชนในการจัดการศึกษา ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
อรวรรณ, วงเวียน
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพความเป็นจริงและความคาดหวังของชุมชนในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังของชุมชนในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในเขต อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามความคิดเห็นของผู้ปกครอง ครูผู้ดูแลเด็ก เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาชเท่ากับ 0.949 สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มจากผู้ปกครองจำนวน 346 คน และสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากครูผู้ดูแลเด็กจำนววน 118 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ t-test และสถิติทดสอบ F – test ผลการวิจัยพบว่า
สภาพความเป็นจริงในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่พบมากที่สุดคือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับครอบครัวและชุมชน รองลงมา คือ ด้านบุคลากรและ ด้านการจัดสภาพแวดล้อม โดยจาการศึกษาความคาดหวังในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตามความคิดเห็นของผู้ปกครองและครูผู้ดูแลเด็ก พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับครอบครัวและชุมชน รองลงมาคือ ด้านบุคลากรและด้านการบริการ และจากการเปรียบเทียบความคาดหวังคาดหวัง ในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามความคิดเห็นของผู้ปกครองและครูผู้ดูแลเด็ก พบว่าผู้ปกครองและครูผู้ดูแลเด็ก ที่มีอาชีพและสถานภาพต่างกันจะมีความคาดหวังในการจัดการศึกษาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แตกต่างกัน ในด้านการจัดสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
คำสำคัญ : สภาพความเป็นจริง ความคาดหวัง ชุมชน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก; This research is researched for its purpose 1) to study the reality and expectations of the community in the management of a small children's development center in the district muang buriram Province 2) to compare the community
expectations for the management of children's development center in the district, buriram Province, based on parents ' opinion. Child Care Teacher Tools used: Questionnaires The alpha coefficient of cronbach is equal to 0.949, with a group sampling of 346 people and a specific sample from a child caring teacher. 118 followers The statistics used to analyze data include the average percentage, the standard deviation. test statistics t-test and test statistics F – test results found that
The fact that the study of the Children's Development center is the most common is the relationship between schools and families. In the field of personnel and environmental management,by studying the expectations of the development of the Children's Education center according to the opinions of the parents and the child care teacher. Found that the highest average side is the relationship between the school and family, and the secondary community is the personnel and service, and the comparison of expectations of expectations. In the management of Children's Development center in the district, buriram Province, based on parental feedback and child care teachers. Find out that parents and teachers who have different careers and marital status will have the ability to manage the study of different small children development centers. In the field of environmental significance, statistical 0.05
Keywords : Reality, expectations, community, Child Development Center, education management
โครงงานวิจัย (วท.บ.) สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562.
2562-03-01T00:00:00Zการวิเคราะห์ตัวแปรพหุประยุกต์Rinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59482020-03-19T04:23:21Zการวิเคราะห์ตัวแปรพหุประยุกต์
Rinhathai, Kitthanarut
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแปรพหุ การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับเวกเตอร์ค่าเฉลี่ยและเมตริกซ์ ความแปรปรวนร่วม การวิเคราะห์องค์ประกอบ สหสัมพันธ์แคนนอนิคอล การวิเคราะห์จำแนก การวิเคราะห์กลุ่ม การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
สถิติวิเคราะห์ความรู้และพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมาDuangrat, Srisanithttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59442020-03-17T09:23:44Z2562-03-11T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์ความรู้และพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา
Duangrat, Srisanit
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีของเกษตรกร ตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา และ
3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชกับพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้ขนาดตัวอย่างจำนวน 381 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบราชเท่ากับ 0.885 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน สถิติทดสอบไคสแควร์ และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation)
ผลการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมเกษตรกรตำบลเมืองยาง อำเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมามีการปฏิบัติตัวในการฉีดพ่นสารเคมีอยู่ในระดับดีมาก ทั้งก่อนฉีดพ่น ขณะฉีดพ่น และหลังฉีดพ่นสารเคมี เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรและความรู้เรื่องการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชกับพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช พบว่า อายุ สถานภาพ และความรู้ในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05; Abstract
This research is a survey research. The objective is to: 1) study the knowledge of chemical use of farmers in Muang Yang Subdistrict, Mueang Yang District Nakhon Ratchasima Province 2) Study of pesticide use behavior of farmers in Mueang Yang Subdistrict Mueang Yang District And 3) to study the relationship between knowledge of pesticide use and pesticide use behavior of farmers in Muang Yang Sub-district Mueang Yang District Nakhon Ratchasima By using the sample size of 381 people, sampling by multi-step The tool used is the questionnaire with the alpha coefficient of Cronbach is 0.885. Data analysis using frequency, percentage, mean, standard deviation Chi-square test statistics and Pearson Correlation Analysis
The study indicated that by overview, Muang Yang Sub-district farmers Mueang Yang District Nakhon Ratchasima
There is a very good practice in spraying chemicals. Both before spraying while spraying and after spraying chemicals
When considering the relationship of general information of farmers and knowledge of pesticide use and pesticide use behavior, it was found that age, status and knowledge of pesticide use were correlated with behavior. Use of pesticides significantly at a significant level of 0.05
วท.บ.(สถิติประยุกต์)
2562-03-11T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศราชประโคน, พวงเพชรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/59272020-03-09T04:34:17Z2562-09-18T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; ราชประโคน, พวงเพชร
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และเพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาโดยจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 โดยศึกษาจากนักศึกษาบางส่วนที่กำลังศึกษาอยู่ในสาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2561 จำนวนทั้งสิ้น 100 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติทดสอบ t (t-test) ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์โดยรวมทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงระดับความพึงพอใจของนักศึกษาแต่ละด้านจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านอาจารย์ที่ปรึกษา ด้านอาจารย์ผู้สอน ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้านหลักสูตร ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ และด้านกระบวนการคัดเลือกนักศึกษา ตามลำดับ และเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรโดยจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2562-09-18T00:00:00Zพีชคณิตเชิงเส้นประยุกต์ทบประดิษฐ์, รัชนีกรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/57172019-09-17T05:58:07Zพีชคณิตเชิงเส้นประยุกต์
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร
สถิติและการประยุกต์ในงานด้านต่าง ๆทบประดิษฐ์, รัชนีกรอารมณ์, เขมิกาแสงสว่าง, จารุมาศกิตติ์ธนารุจน์, รินทร์หทัยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/56092019-09-11T03:06:14Zสถิติและการประยุกต์ในงานด้านต่าง ๆ
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร; อารมณ์, เขมิกา; แสงสว่าง, จารุมาศ; กิตติ์ธนารุจน์, รินทร์หทัย
ความน่าจะเป็น การศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ รวมทั้งการประยุกต์ใช้สถิติเพื่อการคาดการณ์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0002601 วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์พื้นฐานในชีวิตประจำวัน
การศึกษาความต้องการคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ของผู้ประกอบการทบประดิษฐ์, รัชนีกรอารมณ์, เขมิกาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/56052019-09-11T02:44:13Z2019-01-01T00:00:00Zการศึกษาความต้องการคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ของผู้ประกอบการ
ทบประดิษฐ์, รัชนีกร; อารมณ์, เขมิกา
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของผู้ประกอบการที่มีต่อคุณสมบัติของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และเพื่อศึกษาความต้องการของผู้ประกอบการที่มีต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิตสาขาวิชาสถิติประยุกต์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นายจ้าง/ผู้ประกอบการของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานในกำกับของรัฐ และสถานศึกษา ของบัณฑิตสาขาวิชาสถิติประยุกต์ที่จบการศึกษาไปแล้ว ย้อนหลัง 5 ปี จำนวน 75 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) หน่วยงานของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานเอกชน ซึ่งตำแหน่งงานของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นหัวหน้างาน/ผู้บังคับบัญชา มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ลักษณะงานที่บัณฑิตสาขาวิชาสถิติประยุกต์ทำอยู่จะใกล้เคียงกับสาขาวิชาที่ศึกษา และระยะเวลาที่บัณฑิตสาขาวิชาสถิติประยุกต์ทำงานในหน่วยงาน 3 - 6 เดือน (2) ความต้องการของผู้ประกอบการที่มีต่อคุณสมบัติของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ในภาพรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับมากเรียงลำดับได้ดังนี้ ด้านคุณธรรมจริยธรรม ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ตามลำดับ และ (3) ความต้องการของผู้ประกอบการที่มีต่อคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความต้องการบัณฑิตที่มีคุณธรรมและจริยธรรมอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ต้องการบัณฑิตที่มีทักษะในการแสวงหาความรู้ และลำดับสุดท้ายคือ ต้องการบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถด้านวิชาการและวิชาชีพ ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนให้ตอบสนองตามความต้องการของผู้ประกอบการเพื่อให้บัณฑิตสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2019-01-01T00:00:00ZสถิติและการวิจัยRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54782019-09-09T02:10:13Zสถิติและการวิจัย
Rinhathai, Kitthanarut
การตั้งปัญหาเพื่อการวิจัย ขั้นตอนต่าง ๆ ของการวิจัย การวิจัยแบบต่าง ๆ หลักการออกแบบการวิจัย การสุ่มตัวอย่าง การเขียนเค้าโครงวิจัย การเขียนรายงานการวิจัย สถิติเชิงพรรณนา เพื่อการบรรยายลักษณะข้อมูลสถิติเชิงอนุมานที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานการวิจัย การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์ข้อมูล การแปลความหมายและการนำเสนอข้อมูล
สถิติวิเคราะห์เพื่อประยุกต์ใช้ในการศึกษาบทบาทการปฏิบัติงานอาจารย์ที่ปรึกษาในการลดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์Rinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54202019-09-05T04:47:46Z2559-11-22T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์เพื่อประยุกต์ใช้ในการศึกษาบทบาทการปฏิบัติงานอาจารย์ที่ปรึกษาในการลดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
Rinhathai, Kitthanarut
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของการปฏิบัติงานอาจารย์ที่ปรึกษาในการลดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้มาจากประชากรเป้าหมาย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 – 4 ซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในปีการศึกษา 2558 ซึ่งกำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรในการคำนวณในกรณีที่ทราบจำนวนประชากร และประชากรมีจำนวนไม่มาก ได้ขนาดตัวอย่างจำนวน 312 ตัวอย่าง เมื่อได้ขนาดตัวอย่างแล้วจะใช้แผนการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ในการสุ่มตัวอย่าง โดยแบ่งประชากร 9,231 คน ออกเป็น 6 กลุ่ม และทำการสุ่มตัวอย่างตามจำนวนที่คำนวณไว้จากแต่ละกลุ่มให้ครบทุกกลุ่มด้วยการสุ่มตัวอย่างนักศึกษาอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยกำหนดจำนวนนักศึกษาให้เป็นสัดส่วนกับขนาดนักศึกษาแต่ละคณะ สำหรับตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ เพศ ชั้นปีที่ศึกษา เกรดเฉลี่ยสะสม คณะที่ศึกษา อาชีพบิดาอาชีพมารดา ภูมิลำเนา ลักษณะการพักอาศัย จำนวนการเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาใน 1 ภาคเรียน บุคคลที่นักศึกษาขอคำปรึกษานอกจากอาจารย์ที่ปรึกษา ตัวแปรตาม ได้แก่ บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม แบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 ข้อมูลปัจจัยด้านบุคคลของนักศึกษา ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาในการลดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษา ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานของอาจารย์ที่ปรึกษาในการลดปัญหาการออกกลางคันของนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t – test และการทดสอบ F – test ผลการวิจัย พบว่า ด้านที่นักศึกษามีความคิดเห็นต่อบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาน้อยที่สุดคือด้านวิชาการ โดยเรื่องที่นักศึกษาคิดว่าอาจารย์ที่ปรึกษาปฏิบัติน้อยที่สุด คือเรื่อง ให้ความรู้เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับต่างๆในการศึกษา )56.3=X( เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษา พบว่า นักศึกษาที่มีเพศต่างกันจะมีความคิดเห็นในด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 นักศึกษาที่มีชั้นปีที่ศึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นในด้านด้านบริการและสวัสดิการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 นักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ยสะสม คณะที่ศึกษา จำนวนการเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาใน 1 ภาคเรียน บุคคลที่นักศึกษาขอคำปรึกษานอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในทุกด้าน โดยนักศึกษาที่บิดามีอาชีพต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในด้านวิชาการ ด้านบริการและสวัสดิการ ด้านการวางแผนและเลือกอาชีพ และด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และนักศึกษาที่มารดามีอาชีพต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในด้านวิชาการ ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ ด้านการทำกิจกรรมต่างๆ ด้านบริการและสวัสดิการ และด้านการวางแผนและเลือกอาชีพ สำหรับนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในด้านวิชาการด้านการทำกิจกรรมต่างๆ ด้านบริการและสวัสดิการ ด้านการวางแผนชีวิตและการเลือกอาชีพ และด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และนักศึกษาที่มีลักษณะการพักอาศัยต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ในด้านวิชาการและด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
2559-11-22T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์แสงสว่าง, จารุมาศราชประโคน, พวงเพชรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54172019-09-05T03:49:45Z2562-03-01T00:00:00Zการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
แสงสว่าง, จารุมาศ; ราชประโคน, พวงเพชร
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอน และเพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรโดยจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 โดยศึกษาจากนักศึกษาบางส่วนที่กำลังศึกษาอยู่ในสาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2561 จำนวนทั้งสิ้น 100 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ t ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์โดยรวมทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงระดับความพึงพอใจของนักศึกษาในแต่ละด้านเรียงจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านอาจารย์ที่ปรึกษา ด้านอาจารย์ผู้สอน ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและประเมินผล ด้านหลักสูตร ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ และด้านกระบวนการคัดเลือกนักศึกษา ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรโดยจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 พบว่า ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพหลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรจำแนกตามนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปีการศึกษา 2555 กับนักศึกษาที่เรียนในหลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2560 มีเพียงด้านอาจารย์ที่ปรึกษาเท่านั้นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2562-03-01T00:00:00Zการสำรวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54122019-09-04T07:55:16Z2558-01-01T00:00:00Zการสำรวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
Rinhathai, Kitthanarut
2558-01-01T00:00:00ZการวิจัยดำเนินงานRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/54002019-09-03T08:02:52Zการวิจัยดำเนินงาน
Rinhathai, Kitthanarut
ตัวแบบการวิจัยดำเนินงาน กำหนดการเชิงเส้น ปัญหาคู่กัน (Duality) การวิเคราะห์ความไว ปัญหาการขนส่ง ปัญหาการจัดงาน การตัดสินใจและทฤษฎีเกม การวิเคราะห์ข่ายงาน ตัวแบบสินค้าคงคลัง ตัวแบบแถวคอย การจำลองแบบปัญหา และกำหนดการไดนามิค
สถิติวิเคราะห์ความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32Rinhathai, KitthanarutJarumas, sangsavanghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53992019-09-03T07:53:19Z2562-02-01T00:00:00Zสถิติวิเคราะห์ความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
Rinhathai, Kitthanarut; Jarumas, sangsavang
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 2) เพื่อศึกษาปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 3) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของเหตุผลในการเลือกศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ 4) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างโมเดลโครงสร้างองค์ประกอบเหตุผลในการเลือกศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสถิติประยุกต์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ตามสมมติฐานกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 373 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.948 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติทดสอบไค – สแควร์ (2 – test) และ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบว่า
= 461.021, p= .051, = 1.116, GFI = .925, AGFI = .904, CFI = .994, RMSEA = .018 และ SRMR = .030 แสดงว่าตัวแบบ เหตุผลการเลือกศึกษาต่อกับความต้องการศึกษาต่อสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เมื่อพิจารณาน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรแฝง พบว่า ตัวแปรแฝงเหตุผลการเลือกศึกษาต่อกับความต้องการศึกษาทั้ง 4 ด้าน มีน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.642 – 0.942 โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ ด้านอาจารย์ผู้สอน (Professor) ด้านหลักสูตร (Course) ด้านภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย (Image) และด้านเหตุผลส่วนตัว (Reason) ตามลำดับ; This research aims to study 1) studying in the Bachelor of science in applied statistics buriram rajabhat University students ' high school years 6 Office area school district 32 2) to study the fundamental personal.Person who has a relationship with the study in the Bachelor of science in applied statistics buriram rajabhat University students ' high school years 6 Office area school district 32 3) to analyze the spatial composition confirmation of the reason for the height.Kasueksa per in the Bachelor of science in applied statistics buriram rajabhat University students ' high school years 6 affiliated educational service area office school district 32 and 4) to check the consistency between the structural model rational element in choosing a study in SK.Kasutwitya Bachelor of applied statistics disciplines of buriram rajabhat University students high school years 6 Office area school district 32, according to the hypothesis with empirical data. Examples include, by a group of high school students, 6 affiliated educational service area office school district 32 number of 373 people, a tool that is used to collect the data as a query. Coefficient Alpha Rho khathao naba to 0.948 statistics data analysis include percentage (Percentage) average (Mean) standard deviation (Standard Deviation), statistics, test, Chrysler – square (2– test) and analysis of linear elements (Confirmatory Factor Analysis), confirmed by statistical software packages. Analysis of spatial elements confirm the second found that = 461.021,
p =. 051, = 1.116, GFI, AGFI =. = 925.904, CFI =. 994, SRMR and RMSEA = .018 = .030 shows that the subject is a reason to choose to study with the need to study harmony with empirical data. When considering the weight, the composition of the latent variables. Found that variables, aliases, the reasons to choose the study needs to study all 4 sides with the weight of the elements contained between 0.642 – 0.942 by descending order is the instructor. side course (Course) on the University's image and the personal reason, respectively.
2562-02-01T00:00:00ZหลักสถิติRinhathai, Kitthanaruthttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53942019-09-03T07:23:07Zหลักสถิติ
Rinhathai, Kitthanarut
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสถิติ การเก็บรวบรวมและการนำเสนอข้อมูล การแจกแจงความถี่ ค่าสัดส่วนและค่าร้อยละ การวัดตำแหน่งที่ การวัดค่ากลาง การวัดการกระจาย ตัวแปรสุ่มและการแจกแจงความน่าจะเป็น การแจกแจงความน่าจะเป็นของตัวแปรสุ่มชนิดไม่ต่อเนื่องและชนิดต่อเนื่องบางชนิด การแจกแจงตัวอย่างสุ่ม การประมาณค่าและการทดสอบสมมติฐานสำหรับประชากรเดียวและสองประชากร การวิเคราะห์ของข้อมูลที่อยู่ในรูปความถี่ การวิเคราะห์ความแปรปรวน
การวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนีRinhathai, KitthanarutPhonnapha, Tayahttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/53922019-09-03T07:02:18Z2562-01-11T00:00:00Zการวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี
Rinhathai, Kitthanarut; Phonnapha, Taya
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 400 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีทั้งหมด 4 ตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory factor analysis) โดยทำการวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principle Component Analysis: PC) และใช้การหมุนแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax Method)
ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี จากตัวแปร 14 ตัวแปร มีค่าสถิติของไคเซอร์-ไมเยอร์-โอลติน (KMO) เท่ากับ 0.855 และค่าสถิติไคสแควร์ (2) ที่ใช้ในการทดสอบมีค่าเท่ากับ 4266.097 ทำการสกัดองค์ประกอบด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal component analysis: PC) และใช้การหมุนแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation) ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax Method) พบว่า ได้องค์ประกอบทั้งหมด 4 องค์ประกอบ มีพิสัยของค่าไอเกนอยู่ระหว่าง 1.128 ถึง 6.848 และมีค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 79.480 ได้ทั้งหมด 4 องค์ประกอบ และเมื่อพิจารณาความเหมาะสมของค่าน้ำหนักองค์ประกอบที่เกินค่า 0.30 แล้วจะได้องค์ประกอบออกที่ใช้ได้จริงทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยสามารถอธิบายความหมายขององค์ทั้ง 4 องค์ประกอบได้ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 คือ คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี องค์ประกอบที่ 2 คือ ลักษณะการจัดจำหน่าย องค์ประกอบที่ 3 คือ การประชาสัมพันธ์ องค์ประกอบที่ 4 คือ ราคาของผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี และจากการศึกษารูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้าภูอัคนี เพื่อให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคพบว่า มุ่งเน้นในกลุ่มของเครื่องนุ่งห่มโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นเสื้อที่มีราคาอยู่ในช่วง 101-300 บาท; This study aimed to analyze components to be the guidelines for developing products from Phu-akhanee cloth. The sample was the tourists who came to visit Buriram attractions, totaling 400 persons selected by accidental sampling. The instruments were questionnaires consisted of four parts. The statistics used in the study were Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation, and Exploratory Factor Analysis; by analyzing principle component, (Principle Component Analysis: PC) and using Orthogonal Rotation by Varimax Method.
The results revealed that the analysis from 14 factors on guidelines for developing Phu-akhanee cloth had value of Kaiser Maiyer Oltin (KMO) at 0.855, and had value of Chi-square (2) at 4266.097. For principle component analysis, and Orthogonal Rotation by Varimax Method, it was found that there were four components. There were range of Eigen value at 1.128-6.848, and Variance value at 79.480 percent. When considering each component which had more than 0.30 of weight value, all four components could be employed. The four components were as in the following: component 1; the feature of products from Phu-akhanee cloth, component 2; sale management, component 3; public relation, and component 4; price of products from Phu-akhanee cloth. And from the study of the model of processing products from Phu-akhanee cloth to comply with the consumers’ need, it was found that the products were focused on a group of apparel, shirts which are priced at 101-300 baht.
2562-01-11T00:00:00Zปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ของตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมาThoppradit, RatchaneekornKitthanarut, Rinhathaihttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/46992019-06-14T08:15:40Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ของตำบลสระตะเคียน อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา
Thoppradit, Ratchaneekorn; Kitthanarut, Rinhathai
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล สุขภาพกายและสุขภาพสังคมกับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มาใช้บริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุทั้งเพศชายและเพศหญิง จำนวน 275 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ ได้แก่ รายได้ต่อค่าใช้จ่าย (R= 0.524) สัมพันธภาพในครอบครัว (R= 0.559) โรคประจำตัว (R= 0.582) และสิทธิการรักษา (R= 0.592) โดยสามารถร่วมกันทำนายภาวะซึมเศร้า ได้ร้อยละ 35.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2R= 0.350, P < 0.05)
คำสำคัญ: ผู้สูงอายุ ภาวะซึมเศร้า โรคติดต่อไม่เรื้อรัง
2562-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรตำบลก้านเหลือง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์จารุมาศ, แสงสว่างกัญญารัตน์, มิ่งกระโทกhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/46982019-06-14T08:11:57Z2561-08-29T00:00:00Zการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรตำบลก้านเหลือง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
จารุมาศ, แสงสว่าง; กัญญารัตน์, มิ่งกระโทก
การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรตาบลก้านเหลือง อาเภอ
นางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อปุ๋ยเคมี และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์
กับพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อปุ๋ยเคมี ผู้วิจัยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็นจากกลุ่มเกษตรกรที่ที่อาศัยอยู่
ในตาบลก้านเหลือง อาเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจานวน
400 ตัวอย่าง โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติทดสอบไคว์สแควร์ (Chi-square : 2 ) และหาระดับความสัมพันธ์โดย
ใช้ Cramer’s V ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุมากกว่า 51 ขึ้นไป เป็นผู้ที่มี
การศึกษาระดับประถมศึกษา (ป.1-ป.6) รายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีลักษณะที่อยู่
อาศัยเป็นแบบบ้านเดี่ยว โดยส่วนใหญ่ให้ความสาคัญกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในด้านผลิตภัณฑ์มากที่สุด
รองลงมาคือ ด้านส่งเสริมการขาย และให้ความสาคัญในด้านช่องทางการจัดจาหน่ายน้อยที่สุด
ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วน
บุคคล อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อพิจารณาระดับความสัมพันธ์พบว่า ระดับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย
ส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษาและพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีด้านผู้ที่มีส่วนร่วมในการเลือกซื้อมีระดับ
ความสัมพันธ์สูงที่สุด และพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกร มีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางการตลาด อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อพิจารณาระดับความสัมพันธ์พบว่า ระดับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาด
ด้านช่องทางการจัดจาหน่ายและพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีด้านยี่ห้อปุ๋ยเคมีที่ซื้อมีระดับความสัมพันธ์สูงที่สุด
2561-08-29T00:00:00Z