บทความ (Articles)http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1382024-03-29T15:09:39Z2024-03-29T15:09:39Zพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมรจุฑามาศ พรหมทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85282023-03-16T07:41:20Z2565-06-02T00:00:00Zพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร
จุฑามาศ พรหมทอง
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร พื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ การเลือกผู้ให้ข้อมูลใช้วิธีแบบบอกต่อ ผลการศึกษา พบว่า 1) ความต้องการสารสนเทศ ช่างทอผ้ามีความต้องการใช้สารสนเทศเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอ เนื้อหาสารสนเทศที่ต้องการ คือ การผลิตเส้นไหม สี ลวดลาย เครื่องมือทอผ้า กระบวนการทอ ผลิตภัณฑ์ผ้า วิถีชีวิตกับผ้า ความเชื่อเกี่ยวกับผ้าประเพณี พิธีกรรมเกี่ยวกับผ้าและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับผ้า 2)การแสวงหาสารสนเทศ แหล่งสารสนเทศที่ใช้ คือ แหล่งสารสนเทศบุคคลและแหล่งสารสนเทศอินเทอร์เน็ต โดยประเมินแหล่งสารสนเทศที่มีเนื้อหาความรู้ที่ตรงความต้องการและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เทคนิคการค้นคืนสารสนเทศ คือ กำหนดคำค้นจากคำสำคัญ 3)การใช้สารสนเทศ ความถี่ในการเข้าใช้สารสนเทศ คือ นานๆ ครั้ง รูปแบบสารสนเทศที่ใช้ คือ รูปภาพ
2565-06-02T00:00:00Zพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมรจุฑามาศ พรหมทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/85182023-03-15T05:52:32Z2565-06-23T00:00:00Zพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร
จุฑามาศ พรหมทอง
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศของช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ช่างทอผ้ากลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร พื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ การเลือกผู้ให้ข้อมูลใช้วิธีแบบบอกต่อ ผลการศึกษา พบว่า 1) ความต้องการสารสนเทศ ช่างทอผ้ามีความต้องการใช้สารสนเทศเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอ เนื้อหาสารสนเทศที่ต้องการ คือ การผลิตเส้นไหม สี ลวดลาย เครื่องมือทอผ้า กระบวนการทอ ผลิตภัณฑ์ผ้า วิถีชีวิตกับผ้า ความเชื่อเกี่ยวกับผ้าประเพณี พิธีกรรมเกี่ยวกับผ้าและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับผ้า 2)การแสวงหาสารสนเทศ แหล่งสารสนเทศที่ใช้ คือ แหล่งสารสนเทศบุคคลและแหล่งสารสนเทศอินเทอร์เน็ต โดยประเมินแหล่งสารสนเทศที่มีเนื้อหาความรู้ที่ตรงความต้องการและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เทคนิคการค้นคืนสารสนเทศ คือ กำหนดคำค้นจากคำสำคัญ 3)การใช้สารสนเทศ ความถี่ในการเข้าใช้สารสนเทศ คือ นานๆ ครั้ง รูปแบบสารสนเทศที่ใช้ คือ รูปภาพ
2565-06-23T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมู ลผลิตภัณฑ์ภู มิปัญญา อาหารพืนบ้าน ก้งจ่อม ตําบลประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์พรหมทอง, จุฑามาศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80802022-03-15T05:29:44Z2022-03-02T00:00:00Zการพัฒนาระบบฐานข้อมู ลผลิตภัณฑ์ภู มิปัญญา อาหารพืนบ้าน ก้งจ่อม ตําบลประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
พรหมทอง, จุฑามาศ
งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพือพัฒนาระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา อาหารพืนบ้านกุ้งจ่อม
ตําบลประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ กลุ่มผู้ผลิตกุ้งจ่อม จํานวน 3 ราย กลุ่ม
ผู้ประกอบการธุรกิจ จํานวน 3 ราย และกลุ่มผู้ใช้งานระบบ จํานวน 65ราย รวมทังสิน จํานวน 71 ราย
เครื่องมือทีใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กลุ่มผู้ผลิตกุ้งจ่อม กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ ระบบ
ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา อาหารพืนบ้านกุ้งจ่อม พัฒนาขึนตามวงจรพัฒนาระบบ (SDLC)
ประกอบด้วย 5ขันตอน คือ 1) การวางแผนระบบ 2)การวิเคราะห์ระบบ )การออกแบบระบบ )การ
พัฒนาระบบ ) การทดสอบระบบ ซึ งระบบฐานข้อมูลนีประกอบด้วย 1) ข้อมูล (E-R Diagram)เข้าสู่
ระบบ 2)ข้อมูลร้านค้า 3)ข้อมูลกุงจ้ ่อม 4)ข้อมูลผลิตภัณฑ์กุงจ้ ่อม และแบบสอบถามความพึงพอใจ
ประเมินผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลียและร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า โดยภาพรวมผู้ใช้มี
ความพึงพอใจมากทีสุด เนืองจากแถบเมนูใช้งานง่าย มีขันตอนกระบวนการเข้าใช้ระบบชัดเจนและ
เนือหามีความชัดเจน ถูกต้อง สมบูรณ์ ดังนันงานวิจัยนีจะช่วยให้ผู้ใช้งานทัวไปสามารถเข้าถึงข้อมูล
ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา อาหารพื้นบ้านกุงจ่อม นอกจากนียังเป็ นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาให้คงอยูต่ ่อไป; Research objectives to develop a database of wisdom products local food Prakhonchai
Subdistrict Buriram Province The researcher conducted a research study and gathered information related to wisdom products. local food The sample group in the research was a group of 3 shrimp producers, a group of 3 business operators, and a group of 65 system users. There were 71 people in total. The research instrument was an interview form for shrimp producers. group of business
operators Database system for local fermented food products developed following the system
development cycle (SDLC) consists of 5 steps: 1) system planning; 2) System Analysis 3) System Design 4) System Development 5) System Testing. The database consists of 4 data tables. The results showed that the overall user experience was the most satisfied because the menu bar was easy to use, the login process was clear and the content was clear, accurate and complete.Therefore, this research will help general users to have access to the wisdom of food preservation, which can be utilized and consequently conserve the wisdom
2022-03-02T00:00:00Zการใช้ศูนย์วิทยบริการของนักศึกษากัมพูชาในมหาวิทยาลัยราชัภัฏบุรีรัมย์กิ่งแก้ว ปะติตังโขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63712020-06-13T05:55:04Z2553-01-01T00:00:00Zการใช้ศูนย์วิทยบริการของนักศึกษากัมพูชาในมหาวิทยาลัยราชัภัฏบุรีรัมย์
กิ่งแก้ว ปะติตังโข
วัตถุประสงค์ของบทความนี้ คือ (1) เพื่อศึกษาการใชศูนย์วิทยบริการของนักศึกษากัมพูชาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (2) เพื่อศึกษาปัญหาในการใช้ศูนย์วิทยบริการของนักศึกษากัมพูชาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และ (3) เพื่อได้แนวทางการพัฒนาการบริการของศูนย์วิทยบริการในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ การศึกษาครั้งนี้เก็บข้อมูลจากนักศึกษากัมพูชาจำนวน 22 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษากัมพูชาเข้าใช้ห้องสมุด 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเข้าศูนย์วิทยบริการเพื่อการเขียนงานวิจัย เพื่อยืมหนังสือ และบริการสืบค้นสารสนเทศ ปัญหาที่พบ คือ วัสดุสารสนเทศมีไม่ครบตามที่ต้องการ และไม่มีความรู้ในการใช้ OPAC แนวทางการพัฒนาบริการของศูนย์วิทยบริการคือ จัดบริการสอนหรืออบรมการใช้ห้องสมุดนอกเวลาเรียน และควรขยายเวลายืม-คืนให้มากกว่าเดิม
2553-01-01T00:00:00Zการแยกและทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของไซเดอโรฟอร์จากไรโซเบียมที่คัดแยกจากปมถั่วกิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63692020-06-13T04:45:28Z2562-01-01T00:00:00Zการแยกและทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของไซเดอโรฟอร์จากไรโซเบียมที่คัดแยกจากปมถั่ว
กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วม
การวิจัยนี้เป็นการผลิตและแยกสารไซเดอโรฟอร์จากแบคทีเรียชนิดไรโซเบียมจากปมรากถั่วฝักยาวที่เลี้ยงในอาหาร SA medium ในสภาวะที่มีธาตุเหล็กต่ำ ทำให้แบคทีเรียผลิตไซเดอโรฟอร์ แล้วแยกไซเดอโรฟอร์ออกจากเซลล์ของแบคทีเรีย จากเลี้ยงแบคทีเรีย 4 ลักษณะ คือ R-ชมพู R-เขียว R-ขาวขุ่น และ R-ขาวใส พบว่า ไซเดอโรฟอร์ที่สกัดได้ทั้งหมดเป็นชนิด Hydroxamate Siderophore สำหรับความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH พบว่า ไซเดอโรฟอร์แต่ละชนิดมีค่า
IC๕๐ เฉลี่ยเท่ากับ 3040.18, 6559.88, 10515.80 และ 0.00 ppm จากแบคทีเรีย R-ชมพู R-ขาวขุ่น R-เขียว และ R-ขาวใส ตามลำดับ และความสามารในการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี FRAP พบว่า ไซเดอโรฟอร์ที่ได้จากแบคทีเรีย R-เขียว มีความสามารถในการรีดีวซ์ Fe3+ ไปเป็น Fe2+ ได้ 0.908 ± 0.00 mM เมื่อศึกษาความสามารถในการต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด พบว่า ไซเดอโรฟอร์จาก R-ชมพู สามารถต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ 3 ชนิด คือ Escherichia coli, Klebsiella spp. และ Citrobacter spp. ส่วน R-เขียว มีความสามารถในการเจริญเติโตของ Eschrtichia coli R-ขาวขุ่นสามารถต้านการเจริญเติบโตของ Eschrtichia coli และ Klebsiella spp.และ R-ขาวใส มีความสามารถในการต้านการเจริญเติบโตของ Klebsiella spp. เท่านั้น แต่ไม่มีไซเดอโรฟอร์จากแบคทีเรียชนิดใดที่มีความสามารถในการต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Enterbacter spp.
2562-01-01T00:00:00Zการสังเคราะห์และการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารนาโนอินทรีย์และนาโนโลหะอินทรีย์กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63652020-06-12T05:55:19Z2557-07-01T00:00:00Zการสังเคราะห์และการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารนาโนอินทรีย์และนาโนโลหะอินทรีย์
กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วม
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ทดสอบสมบัติทางเคมีเชิงฟิสิกส์และฤทธิ์ทางชีวภาพของสารนาโนอินทรีย์และนาโนโลหะอินทรีย์โดยมีผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติเป็นตัวรีดิวซ์ต้านเชื้อราโรคพืช อนุมูลอิสระ เพลี้ยแป้งและเพลี้ยกระโดด ผลการศึกษาพบว่า อนุภาคนาโนอินทรีย์มีรูปร่างเป็นทรงกลม และอนุภาคนาโนโลหะอินทรีย์มีรูปร่างแบบแท่ง สารตัวอย่างทั้งหมดสามารถออกฤทธิ์ต้านเพลี้ยแป้งได้ภายใน 30 นาที โดยสาร C4 ออกฤทธิ์กำจัดได้ 100% ในเวลา 10 นาที สารตัวอย่างทั้งหมดยังสามารถออกฤทธิ์ต้านเพลี้ยกระโดดได้ภายใน 10 นาที โดยสาร C4 ออกฤทธิ์ต้านเพลี้ยกระโดด 100% ในเวลาเพียง 2 นาที นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังได้นำสารตัวอย่างไปทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อราโรคพืชและต้านอนุมูลอิสระ ผลพบว่า สาร C2 และ C4 มีฤทธิ์ทางชีวภาพในการต้านเชื้อราโรคพืชได้ดี ทั้งนี้เนื่องจากอิทธิพลของอนุภาคนาโนโลหะและไอออนลบ และยังพบว่า สารชิฟฟ์เบส (L1 L2) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้น้อยกว่าอนุภาคนาโนโลหะอินทรีย์ (C1 C2 C3 และ C4) ส่วนการต้านอนุมูลอิสระเทคนิค DPPH พบว่า สารตัวอย่างทั้งหมดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แต่สารที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีด้วยค่า IC50 ที่ต่ำ คือ L1 C1 และ C3 สำหรับการต้านอนุมูลอิสระเทคนิค FRAP พบว่า สารที่รีดิวซ์ Fe3+ ไปเป็น Fe2+ ได้ดีที่สุด คือ L2 รองลงมา คือ C4 ผลจากการวิจัยในครั้งนี้จึงมีประโยชน์ทั้งต่อกลุ่มเกษตรกรที่เผชิญกับปัญหาโรคและศัตรูของพืชเศรษฐกิจและยังเป็นประโยชน์ต่อวงการเภสัชที่จะต้องนำสารเหล่านี้ไปทดสอบกับโรคที่เกิดกับมนุษย์อีกด้วย
2557-07-01T00:00:00Zฤทธิ์ทางชีวภาพของไซเดอโรฟอร์ต้านเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคในต้นหอมแดงกิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63642020-06-12T04:43:19Z2561-01-01T00:00:00Zฤทธิ์ทางชีวภาพของไซเดอโรฟอร์ต้านเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคในต้นหอมแดง
กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วม
2561-01-01T00:00:00Zการเลี้ยงไก่ด้วยสมุนไพรจากเปลือกมะขามเพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63612020-06-11T09:07:34Z2562-01-01T00:00:00Zการเลี้ยงไก่ด้วยสมุนไพรจากเปลือกมะขามเพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
กิ่งแก้ว ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วม
การวิจัยนี้เป็นการนำเปลือกเมล็ดมะขามมาทำการสกัดสารพอลิฟีนอลด้วยแอลกอฮอลล์ ทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ และนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารไก่เนื้อ โดยเปลือกเมล็ดมะขาม 1 กิโลกรัม สกัดได้สารพอลิฟีนอลที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและไม่เป็นพิษจำนวน 200 กรัม เมื่อหาปริมาณพอลิฟีนอลรวมจะได้ค่าเฉลี่ย 18.085 ppm ที่ความเข้มข้นของสารตัวอย่าง 100 ppm การศึกษาสมบัติการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH พบว่า สารสกัดจากเปลือกเมล็ดมะขามมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่ค่า IC50 19.59 ppm การต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี FRAP พบว่า สารสกัดมีความสามารถในการรีดิวส์ Fe3+ ไปเป็น Fe2+ ซึ่งได้ปริมาณ Fe2+ 0.864 ppm ส่วนการศึกษาสมบัติการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี ABTS+ พบว่า ทุกความเข้มข้นของสารสกัดจากเปลือกเมล็ดมะขามมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิค ABTS ได้ค่าเปอร์เซ็นต์ Radical Scavenging activity เป็น 51.389 ppm การเสริมสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามในการเลี้ยงไก่เนื้อทำให้ไก่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวันและประสิทธิภาพการใช้อาหารสูงขึ้น รวมถึงทำให้ปริมาณไขมันในช่องท้องของไก่เนื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สำหรับระดับที่เหมาะสมในการเสริมสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามในการเลี้ยงไก่เนื้อ คือ ที่ระดับ 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร มีผลทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตไก่เนื้อดีที่สุด ผลจากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการเลี้ยงไก่เนื้อในระดับครัวเรือนและทั้งยังสามารถขยายไปในระดับอุตสาหกรรมได้อีกด้วย
2562-01-01T00:00:00Zรูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลุ่มข้าวพันธุ์พื้นเมืองชุมชนบ้านลิ่มทอง ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์กิ่งแก้ว, ปะติตังโขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63542020-06-10T05:19:37Z2561-07-01T00:00:00Zรูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลุ่มข้าวพันธุ์พื้นเมืองชุมชนบ้านลิ่มทอง ตำบลหนองโบสถ์ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
กิ่งแก้ว, ปะติตังโข
The aims of this research article are (1) to study the development of local rice group of Ban Lim Thong community, Nong-Bot sub-district, Nangrong district, Buriram province; (2) to investigate problematic situations of the local rice group of Ban Lim Thong community; and (3) to develop a model of enhancing strength of the local rice group of Ban Lim Thong community with the implementation of participatory action research (PAR). The data are collected from related documents, in-depth interviews, group discussion, brainstorming sessions and potential development. The results reveal that the development of rice cultivation in the research area could be classified into 3 successive periods: (1) community-founding period of local rice cultivation (1984-1996); (2) the transitional period of changing local rice cultivation practice (1997-2009); and (3) the period of self-reliant local rice cultivation (2009 - 2018). Nowadays, the local rice group is confronted with obstacles to marketing, strong group management, concrete group expansion etc. The researchers search for a model of group consolidation to enhance practical management along with its regulations. The group was formerly composed of 17 menbers and later joined in by other 13 participants. Presently, the group, consisting of 30 members, is under the banner of “Toxic Free Rice of Ban Lim Thong Group”. Moreover, materials in the community are utilized for its communual benefit such as a small rice milling machine, a communual rice storage area, and a rice vacuum sealer. In addition, the group owns 200,000 baht fund. These could be considered that the local rice group of Ban Lim Thong community fulfils its full potential for effeciently mobilizing its co-operation.
2561-07-01T00:00:00Zการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อการแก้ปัญหาความยากจนในชุมชนโดยใช้ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง : กรณีศึกษาบ้านตราดตวน ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์กิ่งแก้ว, ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63502020-06-09T08:49:01Z2558-01-01T00:00:00Zการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อการแก้ปัญหาความยากจนในชุมชนโดยใช้ทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง : กรณีศึกษาบ้านตราดตวน ตำบลชุมเห็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กิ่งแก้ว, ปะติตังโข, ผู้แต่งร่วม
2558-01-01T00:00:00Zการใช้และความต้องการสารสนเทศของนักท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้กิ่งแก้ว, ปะติตังโขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63492020-06-09T08:32:21Z2552-07-01T00:00:00Zการใช้และความต้องการสารสนเทศของนักท่องเที่ยวในกลุ่มอีสานใต้
กิ่งแก้ว, ปะติตังโข
2552-07-01T00:00:00Zการใช้และความต้องการสารสนเทศจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์กิ่งแก้ว, ปะติตังโขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/63482020-06-09T08:19:09Z2557-07-01T00:00:00Zการใช้และความต้องการสารสนเทศจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
กิ่งแก้ว, ปะติตังโข
งานวิจัยการใช้และความต้องการสารสนเทศจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการใช้และความต้องการสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) ศึกษาการใช้และความต้องการเนื้อหาสารสนเทศ จากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,จำนวน 6 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาใช้สารสนเทศจาก สื่อประชาสัมพันธ์ ประเภทสื่ออิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับมาก ได้แก่ www.bru.ac.th รองลงมาประเภทสื่อบุคคล ได้แก่ อาจารย์/เพื่อน และประเภทสื่อเฉพาะกิจ ได้แก่ โปสเตอร์ ตามลำดับ 2) เนื้อหาของสารสนเทศจากสื่อประชาสัมพันธ์ประเภทต่าง ๆ ที่นักศึกษาใช้และต้องการมากที่สุด
2557-07-01T00:00:00Z