สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมโยธา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4620
2024-03-29T05:41:10Zการศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่มีผลต่อการไหลอิ่มตัวบริเวณจุดกลับรถ กรณีศึกษา : ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 218 อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6142
การศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่มีผลต่อการไหลอิ่มตัวบริเวณจุดกลับรถ กรณีศึกษา : ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 218 อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กิตติพงษ์, สีจันเหนือ; นฤมล, ก่อแก้ว; กนกศักดิ์, คะเรรัมย์
งานวิจัยนี้เป็นการเก็บข้อมูลการกลับรถในเขตเมือง โดยพิจารณาเฉพาะรถที่กลับโดยที่ปราศจากการรบกวนของฝั่งตรงข้าม หรือเพื่อหาค่าอัตราการไหลอิ่มตัวของรถ และลักษณะทางกายภาพที่มีผลต่อการไหลอิ่มตัวของจุดกลับรถบนถนนในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยทำการสำรวจลักษณะทางกายภาพของจุดกลับรถในจังหวัดบุรีรัมย์ จากจุดกลับรถ 3 จุด โดยเก็บเวลาและชนิดที่รถแต่ละคันผ่านเส้นอ้างอิงที่กำหนด ซึ่งจากการวิเคราะห์สามารถสรุปได้ว่าความกว้างของช่องเลี้ยวกลับรถ มีผลต่ออัตราการไหลอิ่มตัวของจุดกลับรถ งานวิจัยนี้ได้ทำการหาค่าอัตราการไหลอิ่มตัว ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมการทางต่อไปได้
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการศึกษาพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการทำงานด้านความปลอดภัย ของคนงานก่อสร้าง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6141
การศึกษาพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการทำงานด้านความปลอดภัย ของคนงานก่อสร้าง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
จารุภักษ์, มะอิสูงเนิน; อาชิตะ, ทั่วประโคน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการทำงานด้านความปลอดภัยของคนงานก่อสร้าง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2. เพื่อเปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคลที่มีผลต่อพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติในการทำงานด้านความปลอดภัยของคนงานก่อสร้าง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยกับคนงานก่อสร้าง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 300 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ผลข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติของคนงานก่อสร้าง ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างลักษณะส่วนบุคคลกับพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติ ได้แก่ t-test และ F-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 194 คน อายุ 26 – 30 ปี สถานภาพสมรส ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น ตำแหน่งงานส่วนใหญ่เป็นช่างปูน มีประสบการณ์ในการทำงานก่อสร้าง 1-5 ปี และรายได้เฉลี่ยส่วนใหญ่มีรายได้ 10,000 – 15,000 บาท
2. พฤติกรรมในการทำงานด้านความปลอดภัยของคนงานในภาพรวมอยู่ในระดับดี
3. ความรู้ในการทำงานด้านความปลอดภัยของคนงานก่อสร้างในภาพรวมอยู่ในระดับดี
4. ทัศนคติในการทำงานด้านความปลอดภัยของคนงานในภาพรวมอยู่ในระดับดี
5. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่าเพศที่แตกต่างกันมีผลต่อคนงานก่อสร้างด้านพฤติกรรม และทัศนคติด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่ไม่แตกต่าง แต่ความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
เมื่อจำแนกตามอายุ พบว่าอายุที่แตกต่างกันมีผลต่อคนงานก่อสร้างด้านพฤติกรรม และความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่แตกต่าง แต่ความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่าระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีผลต่อคนงานก่อสร้างด้านพฤติกรรม และความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่แตกต่าง แต่ความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างไม่แตกต่างที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
เมื่อจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่าประสบการณ์แตกต่างกันมีผลต่อคนงานก่อสร้างด้านพฤติกรรม และความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่แตกต่าง แต่ความรู้ด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการศึกษาผลของวัสดุผสมต่อกำลังอัดคอนกรีตกรณีศึกษาวัสดุมวลรวมในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6140
การศึกษาผลของวัสดุผสมต่อกำลังอัดคอนกรีตกรณีศึกษาวัสดุมวลรวมในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
มงคล, ทะเรืองรัมย์; อนุชิต, วิชัยรัมย์
ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์มีโรงโม่หินและท่าทรายที่สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ทั้งหินและทรายแต่ละแหล่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันจึงส่งผลต่อกำลังของคอนกรีต ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงสนใจศึกษาผลของวัสดุผสมต่อกำลังอัดคอนกรีตโดยมุ่งเน้นวัสดุผสมในพื้นจังหวัดบุรีรัมย์ งานวิจัยนี้พบว่า การยุบตัวของก้อนคอนกรีตตัวอย่าง AC มีค่าน้อยที่สุด และตัวอย่างทดสอบ BC มีค่ามากกว่าเล็กน้อยเมื่อใช้อัตราส่วนน้ำต่อซีเมนต์เท่ากันแสดงว่า ทราย C ดูดซึมน้ำมากกว่าทราย A และทราย B ในขณะที่หิน A มีแนวโน้มดูดซึมน้ำมากกว่าหิน B ในขณะที่ความหนาแน่นของก้อนคอนกรีตตัวอย่าง AB มีค่าน้อยกว่าคอนกรีต BB และความหนาแน่นของก้อนตัวอย่างคอนกรีต AC มีค่าน้อยกว่าคอนกรีต BC สอดคล้องกับคุณสมบัติหินทั้งสองตัวอย่างที่ทดสอบพบว่าหิน B มีความหนาแน่นแห้งมากกว่าหิน A อย่างไรก็ตามการทดลองนี้พบว่าความหนาแน่นมีความคลาดเคลื่อนค่อนข้างมากเนื่องจากการควบคุมปริมาณน้ำและฟองอากาศที่แทรกอยู่ในก้อนตัวอย่างทำได้ยาก และพบว่ากำลังอัดของก้อนคอนกรีตตัวอย่างทดสอบ AA มีค่าน้อยกว่าคอนกรีต BA และผลการทดสอบกำลังอัดคอนกรีตของก้อนตัวอย่างทดสอบ AB มีค่าน้อยกว่าคอนกรีต BB ผลการทดสอบกำลังอัดพบว่าตัวอย่างทดสอบผสมหิน B มีกำลังอัดมากกว่าตัวอย่างทดสอบผสมหิน A เพราะหิน B มีขนาดคละดีกว่าหิน A กำลังอัดตัวอย่างทดสอบผสมทราย B มากกว่าตัวอย่างทดสอบผสมทราย A และทราย C ตามลำดับเพราะโมดูลัสความละเอียดของทราย B สูงกว่าทราย A และทราย C แสดงว่าทราย B มีขนาดอนุภาคใหญ่ที่สุด ทั้งนี้กำลังอัดอัตราส่วนผสม AC ค่อนข้างมากเพราะขณะทำงานจริงใช้ปริมาณน้ำน้อยกว่าอัตราส่วนผสมอื่นเห็นได้จากค่าการยุบตัว
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการศึกษาคุณสมบัติวัสดุหินฝุ่นผสมซีเมนต์และเถ้าชีวมวล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6139
การศึกษาคุณสมบัติวัสดุหินฝุ่นผสมซีเมนต์และเถ้าชีวมวล
ดนุเดช, เรืองรัมย์; ศิริชัย, อาญาเมือง
งานวิจัยนี้ศึกษาคุณสมบัติหินฝุ่นผสมกับซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 1 และเถ้าชีวมวล ซึ่งเถ้าชีวมวลเป็นวัสดุที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าและหินฝุ่นเป็นผลพลอยได้จากโรงโม่หิน เมื่อพิจารณาเถ้าชีวมวลแล้วพบว่ามีคุณสมบัติที่ดี เพราะเถ้าชีวมวลสามารถช่วยเพิ่มกำลังให้กับคอนกรีตได้และป้องกันความชื้นได้ดี เป็นต้น ดังนั้นนงานวิจัยนี้จึงสนใจนำเถ้าชีวมวลมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นการศึกษาคุณสมบัติด้านความหนาแน่น ด้านการดูดซึมน้ำ ด้านการพองตัว ด้านกำลังอัด อ้างอิงจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.58-2530 ผลการวิจัยพบว่า การทดสอบความหนาแน่นของก้อนตัวอย่างที่ผสมเถ้าชีวมวลมีแนวโน้มสูงกว่าตัวอย่างทดสอบที่ไม่ผสมเถ้าชีวมวล การทดสอบการดูดซึมน้ำของก้อนตัวอย่างที่ผสมเถ้าชีวมวลมีแนวโน้มต่ำกว่าตัวอย่างทดสอบที่ไม่ผสมเถ้าชีวมวล การทดสอบการพองตัวของทุกก้อนตัวอย่างมีค่ามากกว่าร้อยละ 0.045 ที่ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดทั้งปีของจังหวัดบุรีรัมย์เท่ากับร้อยละ 74.16 แสดงว่าการดูดซึมน้ำของทุกตัวอย่างทดสอบน้อยกว่าร้อยละ 30 จึงผ่านมาตรฐาน มอก.58-2530 และการทดสอบกำลังอัดของก้อนตัวอย่างที่ผสมเถ้าชีวมวลมีแนวโน้มสูงกว่าตัวอย่างทดสอบที่ไม่ผสมเถ้าชีวมวล มาตรฐานอิฐบล็อกชนิดไม่รับน้ำหนัก มอก.58-2530 กำหนดให้กำลังอัดของก้อนตัวอย่างทดสอบที่ 28 วัน ต้องมีค่ากำลังอัดมากกว่า 25 ksc ซึ่งกำลังอัดของทุกตัวอย่างทดสอบมีค่ามากกว่า 25 ksc จึงผ่านมาตรฐาน มอก.58-2530 และใช้เป็นแนวทางสำหรับงานวิจัยอื่นอีกต่อไป
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการศึกษากายภาพของเนินชะลอความเร็วและพฤติกรรมการชะลอความเร็วของผู้ใช้รถในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6138
การศึกษากายภาพของเนินชะลอความเร็วและพฤติกรรมการชะลอความเร็วของผู้ใช้รถในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ธนงศักดิ์, แย้มประโคน; ไพสิฐ, บุราณสุข
งานวิจัยนี้เลือกศึกษากายภาพของเนินชะลอความเร็วเพื่อเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของเนินชะลอความเร็วตามแบบก่อสร้างกับเนินชะลอความเร็วภายในมหาลัยวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และศึกษาพฤติกรรมการชะลอความเร็วของผู้ใช้รถเพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้รถเกี่ยวกับเนินชะลอความเร็ว
ผลการวิจัยนี้พบว่าการสร้างเนินชะลอความเร็วส่วนใหญ่ไม่ตรงตามขนาดในแบบก่อสร้าง ดังนั้นจึงแนะนำให้ย้ายตำแหน่งของเนินชะลอความเร็วมาอยู่ติดกับแยกตามเหมาะสม จึงควรปรับเปลี่ยนลักษณะของเนินชะลอความเร็วให้เป็นไปตามในแบบก่อสร้างทั้งขนาดและความสูง
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการประมาณการวัสดุบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเอ็กซ์เซล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6137
การประมาณการวัสดุบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเอ็กซ์เซล
นัฐพล, ตะคุณรัมย์; อรรถกร, แก้วล้ำ
โปรแกรมสำเร็จรูปเอ็กซ์เซลเป็นโปรแกรมตารางคำนวณที่เรียกว่า สเปรดชีส (Spreadsheet) ที่ออกแบบมาสำหรับบันทึก วิเคราะห์ และนำแสดงข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของยอดขายจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในตารางและปฏิบัติงานเกี่ยวกับ ธุรกิจอื่น ๆ ได้โดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้เครื่องคำนวณด้วยมือ แฟ้มข้อมูลที่สร้างขึ้นและเซฟไว้ในเอ็กซ์เซลเรียกว่า สมุดงาน (Workbook) ภายในสมุดงานประกอบด้วย แผ่นงาน (Worksheet) ที่มีลักษณะคล้ายกระดาษทำบัญชีที่มีตารางแบ่งเป็นช่อง ๆ อาจจะมีหนึ่ง แผ่นหรือมากกว่านั้นก็ได้แต่สำหรับแผ่นงานของเอ็กซ์เซลจะพิเศษกว่าตรงที่ใส่สูตรทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้โปรแกรมคำนวณผลลัพธ์ออกมาได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลากดโปรแกรมเครื่องคิดเลข
งานวิจัยนี้สนใจศึกษาและพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปเอ็กซ์เซล ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างง่าย ในการคำนวณออกแบบและประมาณการวัสดุ โดยมุ่งเน้นศึกษาบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่ออำนวยความสะดวกขั้นตอนการก่อสร้าง ช่วยให้ขั้นตอนการดำเนินการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปในช่วงก่อนเริ่มโครงการ
วท.บ.(เทคโนโลยีก่อสร้าง) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2562-01-01T00:00:00Zการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก 1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6052
การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก 1
ผศ.ดร.จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
วิชาการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กนี้เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบองค์อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กด้วยวิธีหน่วยแรงใช้งาน ครอบคลุมองค์อาคารประเภทต่าง ๆ ของระบบโครงสร้าง ได้แก่ พื้น คาน เสา บันได และฐานราก เป็นต้น อนึ่งวิธีหน่วยแรงใช้งานเป็นอีกหนึ่งวีธีที่ได้รับการยอมรับในประเทศไทยและถูกนำไปใช้คำนวณออกแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดเล็กและขนาดปานกลางอย่างแพร่หลาย การศึกษาวิชาการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กในปัจจุบันยังขาดแคลนเอกสารคำสอนที่มุ่งเน้นการอ้างอิงข้อกำหนดตามมาตรฐานการออกแบบภายในตัวอย่างโจทย์ปัญหาสำหรับใช้ประกอบการเรียนการสอน
การเรียบเรียงเอกสารคำสอนเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนรายวิชา 5563602 การออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Design) ซึ่งเป็นรายวิชาบังคับเฉพาะด้านของหลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยีก่อสร้าง คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จุดเด่นของเนื้อหาอยู่ที่การอธิบายพฤติกรรมชิ้นส่วนโครงสร้างคอนกรีตเหล็กเสริมภายใต้น้ำหนักบรรทุกและตัวอย่างการคำนวณออกแบบชิ้นส่วนด้วยวิธีหน่วยแรงใช้งาน ตลอดจนการอ้างอิงข้อกำหนดในการคำนวณออกแบบตามมาตรฐานวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ว.ส.ท. 1007-34 ที่ครอบคลุมทุกเนื้อหาในคำอธิบายรายวิชา นอกจากนั้นยังมีเนื้อหาสาระจากหนังสือ บทความ และงานวิจัยที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้นำเสนอไว้เป็นองค์ความรู้แก่สังคม เอกสารคำสอนนี้มีเนื้อหาประกอบด้วย คุณสมบัติคอนกรีตและเหล็กเสริม ข้อกำหนดการออกแบบด้วยวิธีหน่วยแรงใช้งาน การวิเคราะห์โครงสร้างและหน่วยแรงที่ยอมให้ คานต้านโมเมนต์ดัด คานภายใต้แรงเฉือนและการยึดหน่วง พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก บันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาคอนกรีตเสริมเหล็ก และฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก ตามลำดับ นอกจากนี้แต่ละบทผู้เขียนยังได้ยกตัวอย่างโจทย์ปัญหาพร้อมแบบฝึกหัดเพื่อให้ผู้ศึกษาได้ใช้เป็นแนวทางฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ
อนึ่งผู้เขียนขอขอบคุณท่านผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์ทุกท่านที่ปรากฏนามในเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ และขอขอบคุณคณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีก่อสร้างที่กรุณาให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ ตลอดจนมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่ส่งเสริมให้มีการเรียบเรียงเอกสารคำสอนเล่มนี้ขึ้น ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาและท่านผู้อ่านทุกท่านตามสมควร
การหาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการจัดการขยะและลดปริมาณขยะสะสมในครัวเรือน ของชุมชนในตำบลเมืองบัว อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5689
การหาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการจัดการขยะและลดปริมาณขยะสะสมในครัวเรือน ของชุมชนในตำบลเมืองบัว อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์
Peenapa, Sudarat
2018-07-12T00:00:00Zดัชนีคุณสมบัติและพฤติกรรมการอัดตัวของดินเหนียวบวมตัวสูงปรับปรุงด้วยซีเมนต์ปั้นใหม่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5686
ดัชนีคุณสมบัติและพฤติกรรมการอัดตัวของดินเหนียวบวมตัวสูงปรับปรุงด้วยซีเมนต์ปั้นใหม่
Yangsukkasem, Narongdet; Suebsuk, Jirayut; Peenapa, Sudarat
2018-07-12T00:00:00Zการประยุกต์ใช้วิธีการความสอดคล้องกันเพื่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้านการก่อสร้าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5683
การประยุกต์ใช้วิธีการความสอดคล้องกันเพื่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้านการก่อสร้าง
Wongsagoon, Tawatcharapong; Peenapa, Sudarat
2018-07-12T00:00:00Zรูปแบบความพึงพอใจการปฏิบัติงานของผู้ใช้บัณฑิตสาขาเทคโนโลยีก่อสร้าง คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5597
รูปแบบความพึงพอใจการปฏิบัติงานของผู้ใช้บัณฑิตสาขาเทคโนโลยีก่อสร้าง คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เฮ่ประโคน, ธเนศ; นามประเสริฐ, สุปรีชา; ปีนะภา, สุดารัตน์; วงศ์สกุล, ธวัชระพงษ์; วิมุตติสุขวิริยะ, จิรวัฒน์; ยังสุขเกษม, ณรงค์เดช
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อตรวจสอบหาความตรงเชิงโครงสร้างของรูปแบบความพึงพอใจการปฏิบัติงานของผู้ใช้บัณฑิตสาขาเทคโนโลยีก่อสร้าง คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ผ่านแบบจำลองการวัด ตัวแปรในการวิจัยพิจารณาผ่านแนวคิดการกำหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ซึ่งเป็นผลผลิตและผลลัพธ์ของการจัดการศึกษาที่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากำหนด กลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บัณฑิตได้จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงภายใต้เงื่อนไข คือ เป็นผู้ใช้งานบัณฑิตสาขาวิชาเทคโนโลยีก่อสร้าง ปีการศึกษา 2557 - 2559 จำนวน 45 ราย เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างด้วยแบบจำลองการวัด ผลการวิเคราะห์พบว่า ตัวแปรที่มีน้ำหนักความสำคัญมากที่สุด คือ (1) องค์ประกอบด้านความรู้ความสามารถทางวิชาการและการนำไปประยุกต์ใช้ รองลงมา คือ (2) องค์ประกอบด้านทักษะวิชาชีพและจิตสำนึก (3) องค์ประกอบด้านการปฏิสัมพันธ์และความฉลาดทางอารมณ์ (4) องค์ประกอบด้านการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบ และ (5) องค์ประกอบด้านทัศนคติและการเคารพกฎระเบียบ ตามลำดับ โดยที่น้ำหนักองค์ประกอบทั้งหมดมีค่าเป็นบวก ขนาดตั้งแต่ 0.96 0.90 0.86 0.86 และ 0.77 ตามลำดับ แสดงว่า ตัวแปรทั้ง 5 ตัว เป็นตัวบ่งชี้ความพึงพอใจการปฏิบัติงานของผู้ใช้บัณฑิตสาขาเทคโนโลยีก่อสร้าง คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2018-07-01T00:00:00Zต้นแบบมาตรฐานโฮมสเตย์เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5596
ต้นแบบมาตรฐานโฮมสเตย์เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
Heyprakhon, Thaned; Verapreyagura, Pornphan
The objectives of this research were to determine the index framework for the new ASEAN homestay standard as the self-evaluation-based homestay indicator, by analyzing and comparing with the latest draft of ASEAN homestay standard (2015) also with the homestay standard of each ASEAN country. The analysis and synthesis were completed through the homestay hosts’ point of view. Fieldwork data were collected through the participant observation in homestay communities and the interviewing with the 32 homestay hosts. The populations of this research are 151 Thai homestays which are certificated as Thailand standard homestay in 2012. The 32 homestay samples were sampling by stratified simple random sampling technique, continuously spreading in six–
region parts of Thailand. Meanwhile, in the other ASEAN countries (Negara Brunei Darussalam, Kingdom of Cambodia, Republic of Indonesia, Lao People’s Democratic Republic, Malaysia, Republic of the Union of Myanmar, and Socialist Republic of Vietnam), the population consisted of one standard homestay of each country. The seven homestay samples were sampled by the proficiently tourism expert from each country using the purposive sampling technique. The new self-evaluation-based ASEAN homestay standard completed by the content analysis and comparison which are complied with the draft of ASEAN homestay standard 2015 and other related homestay
standard also with the ASEAN Strategic Tourism Plan: 2011-2015 (ASTP: 2011-2015), consist of 14 criteria 45 sub-criteria and 203 requirements. KohYaonoi Homestay, Koh Yao, Pang Nga District and other 13 Thailand homestays are the prototype of the ASEAN homestay standard according to the result of the Thailand homestay evaluation. The conceptual proposal of this research presents the new self-evaluation-based ASEAN homestay standard and the ASEAN homestay standard prototype can be reflected and stimulated for supporting the improvement of the ASEAN tourism standard.
2014-03-13T00:00:00Zบทบาทและศักยภาพด้านการคมนาคมของจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-ลาว ในพื้นที่จังหวัดน่าน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5594
บทบาทและศักยภาพด้านการคมนาคมของจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-ลาว ในพื้นที่จังหวัดน่าน
เฮ่ประโคน, ธเนศ; นามประเสริฐ, สุปรีชา; ปีนะภา, สุดารัตน์
การวิจัยนี้ศึกษาบทบาทและศักยภาพด้านการคมนาคมของจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-ลาว ในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งมี 2 แห่ง คือ (1) บ้านใหม่ชายแดน อำเภอสองแคว และ (2) บ้านห้วยสะแตง อำเภอทุ่งช้าง ในส่วนของการศึกษาบทบาทของจุดผ่อนปรน ประชากรในการวิจัยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้นำชุมชน ผู้ขาย/ผู้ให้บริการ และผู้ซื้อ/ผู้รับบริการ บริเวณจุดผ่อนปรน โดยสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงและแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ประสมกับการเก็บข้อมูลภาคสนามโดยการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ส่วนการศึกษาศักยภาพด้านการคมนาคม โดยอาศัยข้อมูลปริมาณการจราจรและกายภาพของถนน ผลการศึกษาพบว่า จุดผ่อนปรนการค้าชายแดนบ้านใหม่ชายแดน มีบทบาทที่สำคัญเป็นจุดค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระดับชาวบ้าน ประชาชนของทั้งสองประเทศข้ามไปมาระหว่างชายแดน เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อไปใช้หรือเพื่อการค้าในระดับท้องถิ่น ส่วนจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนบ้านห้วยสะแตง มีบทบาทที่สำคัญ คือ เป็นจุดผ่านเพื่อรับบริการด้านสาธารณสุขเท่านั้น ทั้งนี้ปัจจัยด้านการคมนาคมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดบทบาทของจุดผ่อนปรนการค้าขายแดนไทย-ลาว ซึ่งในขณะนี้ระดับการให้บริการของถนนในปัจจุบันและในอนาคตมีค่าในระดับยอดเยี่ยม ดังนั้นการเสริมสร้างศักยภาพควรดำเนินการปรับปรุงสภาพผิวทางให้อยู่ในสภาพดี
This research aimed to study the characteristics and transportation potentials of Thai-Lao check point border trade in Nan province. There were two areas, which in this study: Baan Mai Chai Dan in Song Khwae district and Baan Huai Sataeng in Thung Chang District. The populations consisted of three groups of local people including: community leaders, salespersons/facilitators and buyers/users and purposive sapling as well as stratified random sampling were used. Data were collected by structured interviews, and non-participant observations. In the part of transportation potentials, traffic volume and the physical conditions of roads were used as the data. The findings showed that the important characteristics of Baan Mia Chai Dan were for trading in locality in which local products could be merchandised and traded among people in the area and those who crossed the border for consumption and commerce. On the other hand, Baan Huai Sataeng had the important characteristics of a public health area in which patients were transferred to and from the hospitals. The characteristics of Thai-Lao check point border were considered by the transportation factors of which now the level of service has been at the excellent level even though the pavements should have been improved and maintained in good condition.
2017-12-01T00:00:00Zการรับรู้คุณค่ามาตรฐานโฮมสเตย์พื้นถิ่นอาเซียนของกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5593
การรับรู้คุณค่ามาตรฐานโฮมสเตย์พื้นถิ่นอาเซียนของกลุ่มนักท่องเที่ยวภายในประเทศ
Heyprakhon, Thaned; Rinchumphu, Damrongsak
The main objective of this studywas to investigate the construct validity of a
measurement scale for domestic tourists’ perceived value on the ASEAN vernacular homestay standard, when considering the ASEAN homestay standard for the year 2015 including the vernacular accommodations and surroundings in Ban Mae Kampong community based tourism center, Chiang Mai, Thailand. This is the only Thai vernacular homestay that conformed to the three-main qualifications (1) ASEAN standard homestay, (2) Thai standard homestay and (3) named in the official ASEAN tourism website as a
representative of an ASEAN standard homestay. The reference population was domestic homestay tourists who visited Ban Mae Kampong. A total of 320 tourists completed the questionnaires. An exploratory factor analysis was used to explore the factors, while a confirmatory factor analysis and a structural equation modeling procedure were performed by utilizing the LISREL procedure to assess the factor structure of the domestic tourists’ perceived value of the ASEAN vernacular homestay standard. The results showed that a single latent factor structure was fitted and acceptable. The five factors from highest to lowest loadings were (1) activities (experiential value), (2) management (functional value), (3) host-guest interaction (experiential value), (4) amenities (functional value) and (5) accommodation (functional value). The constructed reliability estimates of the five factors were 0.69, 0.77, 0.68, 0.61, and 0.50, respectively. The results indicate that functional and experiential factors are important determinants of the perceived value of ASEAN vernacular homestay tourism. It is therefore recommended that homestay providers, homestay leaders, and local governments should payattention to the order of importance of these value dimensions to increase overall tourists’ perceived value as well as to better develop position strategies and to preserve the authenticity of this tourism niche.
2016-01-01T00:00:00Zโฮมสเตย์พื้นถิ่น: การเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของเรือนมาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5591
โฮมสเตย์พื้นถิ่น: การเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของเรือนมาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน
Heyprakhon, Thaned; Rinchumphu, Damrongsak
The objectives of this research were to ascertain the ASEAN (Association of Southeast Asian Nations) physical housing conditions for supporting tourists through “ASEAN Homestays.” This was achieved by comparing and analyzing the ASEAN Tourism Strategic Plan 2011-2015, the Final ASEAN Homestay Standard 2015, and the empirical fieldwork data. Fieldwork data was collected through participant observations in Homestay communities. The populations of this research included all 100 Homestays which are listed in the ASEAN Homestay Directory 2010, which consists of the ASEAN standard Homestays in the following 8 countries: Brunei Darussalam, Cambodia, Indonesia, Laos, Malaysia, Myanmar, Thailand and Vietnam. By utilizing a purposive sampling technique, a sample was taken from each of the 8 Homestay countries. The 8 ASEAN standard Homestay samples are (1) Baitul Wajihah Homestay - Mukim Pengalan - Brunei Darussalam (2) Chiphat Homestay – Koh Kong – Cambodia (3) Jati Homestay - Bali - Indonesia (4) Ban Phonsim Homestay – Savannaket – Laos. (5) Miso Walai Homestay – Sandakan – Malaysia (6) Papaw Village – Ngaung Chwe – Myanmar (7) Koh Yao Noi Homestay – Phang Nga – Thailand (8) Homestay at Mr.Dao Thanh’s house – Sapa – Vietnam. The hosts of the sampled ASEAN Homestays, each of which have already conformed to the 2010 ASEAN Homestay standard, were informed to adjust their characteristics to comply with the new 2015 ASEAN Homestay Standards. Improving the ASEAN Homestay management in order to meet the new ASEAN Homestay standard is necessary, but the existing physical house and surrounding area must have minimal disturbance. The fieldwork data shows that 75 percent of Homestays architecture conforms to the meaning of "Vernacular Homestay.
Developing a tourism experience and product that will encompass regions for the major areas were identified in the strategy plan including cultural and heritage tourism. Not only will the Vernacular Homestay and the authenticity way of life will be harmonized to the cultural ASEAN tourism strategy, but developing a common set of principle needs in the house and their architecture should also be harmonized.
2015-01-01T00:00:00Zการรับรู้คุณค่ามาตรฐานโฮมสเตย์พื้นถิ่นอาเซียนในกัมพูชา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5582
การรับรู้คุณค่ามาตรฐานโฮมสเตย์พื้นถิ่นอาเซียนในกัมพูชา
Heyprakhon, Thaned; Rinchumphu, Damrongsak
The main objectives of this study were to investigate the construct validity of a measurement scale for tourists’ perceived value on the ASEAN vernacular homestay standard, when considering the ASEAN homestay standard, including the vernacular accommodations in the Cambodian Chi Phat community-based ecotourism center,
in Koh Kong Province. This homestay is confirmed to three-main homestay qualifications (1) ASEAN standard homestay, (2) Cambodian standard homestay and (3) named in the official ASEAN tourism website. The sampling was performed using the stratified random sampling technique with tourists. An exploratory factor analysis was used to explore the factors, while a confirmatory factor analysis and structural equation modeling procedure were performed to assess the factor structure. The results indicate that the host-guest interaction factor is the most important determinant of the perceived value of the ASEAN vernacular homestay tourism, followed by social & environmental management, activities, amenities, marketing management, and accommodation. It is therefore recommended that
homestay providers, homestay leaders, and local governments should pay attention to the order of importance of these value dimensions to increase the overall tourists’ perceived value as well as to better develop the position strategies and to preserve the authenticity of this ASEAN tourism niche.
2018-09-01T00:00:00Zการออกแบบและพัฒนาอิฐดินซีเมนต์ผสมเศษกก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5575
การออกแบบและพัฒนาอิฐดินซีเมนต์ผสมเศษกก
Peenapa, Sudarat; Vimuttasoongviriya, Cheellawad; Wongsagoon, Tawatcharapong
2018-07-12T00:00:00Zภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดีดบ้านของช่างพื้นบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5574
ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดีดบ้านของช่างพื้นบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์
Peenapa, Sudarat; Prajonsant, Sombat; Mali-ngam, Nattapong
2019-09-05T00:00:00Zการศึกษาการใช้เตาเผาชีวมวลระดับครัวเรือนในชุมชนตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5572
การศึกษาการใช้เตาเผาชีวมวลระดับครัวเรือนในชุมชนตำบลบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
Peenapa, Sudarat; Yangsukkasem, Narongdet; Wongsagoon, Tawatcharapong
2019-09-05T00:00:00Zการประชุมข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ประจำปี 2556
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5492
การประชุมข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ประจำปี 2556
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
ดร.จิรวัฒน์ วิมุตติสุขวิริยา ตอบรับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ การประชุมข่ายงานวิศวกรรมอุตสาหการ ประจำปี 2556
ความเร็วลมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศึกษาอาคารที่ได้รับผลกระทบจากลมในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5489
ความเร็วลมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรณีศึกษาอาคารที่ได้รับผลกระทบจากลมในจังหวัดบุรีรัมย์
จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
ลมเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง ความเร็วลมทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะเนื่องจากสภาวะโลกร้อน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลอุตุนิยมวิทยาและทำนายความเร็วลมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การทำนายความเร็วลมใช้แบบจำลองทางสถิติวิธี Reverse Weibull จากนั้นจึงปรับให้เป็นความเร็วลมพื้นฐานและค่าแรงลมตามลำดับ ผลการวิจัยพบว่า ความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่สถานีตรวจอากาศมุกดาหารและความเร็วลมต่ำสุดอยู่ที่สถานีตรวจอากาศร้อยเอ็ด ผลการคำนวณแรงลมในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ตามมาตรฐาน ASCE 7-10 และกรมโยธาธิการและผังเมือง พ.ศ. 2550 พบว่าต่างมีค่ามากกว่าข้อกำหนดในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จากการศึกษาอาคารเรียนวิทยาลัยชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์และอาคารอัฒจันทร์สนามฟุตบอลไอโมบายจังหวัดบุรีรัมย์พบว่า ค่าแรงลมยกมีค่า 46.2 kg/m2 และ 49.8 kg/m2 ตามมาตรฐาน ASCE 7-10 และกรมโยธาธิการและผังเมืองตามลำดับ งานวิจัยนี้ยังพบอีกว่าลมพายุฤดูร้อนรุนแรงในพื้นที่มักเกิดขึ้นเมื่อมีศูนย์กลางความกดอากาศต่ำอยู่บริเวณภาคเหนือหรือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2012-12-01T00:00:00Zวัสดุศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5450
วัสดุศาสตร์
ผศ.ดร.จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
วิชาวัสดุศาสตร์เป็นวิชาแกนในหมวดวิชาเฉพาะที่ศึกษาเกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญคุณสมบัติและกระบวนการผลิตวัสดุประเภทต่าง ๆ เช่น วัสดุโลหะ วัสดุที่ไม่ใช่โลหะ และวัสดุอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นต้น การเรียบเรียงเอกสารคำสอนเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา 5501104 วัสดุศาสตร์ (Materials Science) ซึ่งเป็นรายวิชาของหลักสูตรปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมโยธา คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยจุดเด่นของเนื้อหาอยู่ที่การอธิบายคุณสมบัติวัสดุ พฤติกรรมวัสดุภายใต้แรงต่าง ๆ และการทดสอบคุณสมบัติวัสดุโดยมุ่งเน้นวัสดุในอุตสาหกรรมก่อสร้าง นอกจากนั้นยังมีเนื้อหาสาระจากหนังสือ บทความ และงานวิจัยที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้นำเสนอไว้เป็นองค์ความรู้แก่สังคม เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มีเนื้อหาจำนวน 6 บทได้แก่ หิน ดิน ซีเมนต์และคอนกรีต เหล็ก ไม้ และการทดสอบวัสดุ ตามลำดับ นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ยกตัวอย่างการทดสอบคุณสมบัติวัสดุจากประสบการณ์ทำงานเพื่อใช้เป็นตัวอย่างแก่ผู้ศึกษา
กำลังวัสดุ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5449
กำลังวัสดุ
ผศ.ดร.จิรวัฒน์, วิมุตติสุขวิริยา
วิชากำลังวัสดุเป็นวิชาพื้นฐานที่ศึกษาคุณสมบัติและพฤติกรรมของวัสดุภายใต้แรงที่มากระทำซึ่งสอดคล้องกับวัสดุโดยส่วนใหญ่ที่มักถูกใช้งานภายใต้แรงในรูปแบบต่าง ๆ การศึกษาวิชากำลังวัสดุในปัจจุบันยังขาดแคลนเอกสารประกอบการสอนที่มุ่งเน้นนำเสนอพฤติกรรมวัสดุก่อสร้างสำหรับใช้ประกอบการเรียนการสอน