สำนักงานคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/404
2024-03-29T07:25:54Z
-
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8720
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มเบิกค่าสอนภาคปกติ update
-
แผนยุทธศาสสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 5 ปี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8661
แผนยุทธศาสสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 5 ปี
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แผนยุทธศาสสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 5 ปี
-
แบบขออนุญาตผู้ปกครองพานักศึกษาออกนอกสถานที่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8654
แบบขออนุญาตผู้ปกครองพานักศึกษาออกนอกสถานที่
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบขออนุญาตผู้ปกครองพานักศึกษาออกนอกสถานที่
-
เกียรติบัตรสโมสรนักศึกษา 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8653
เกียรติบัตรสโมสรนักศึกษา 2565
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
เกียรติบัตรสโมสรนักศึกษา 2565
-
แบบใบลาของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8652
แบบใบลาของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบใบลาของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
-
คู่มือประกันคุณภาพระดับหลักสูตร 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8650
คู่มือประกันคุณภาพระดับหลักสูตร 2565
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
คู่มือประกันคุณภาพระดับหลักสูตร 2565
-
คู่มือประกันคุณภาพระดับคณะ-สถาบัน65
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8649
คู่มือประกันคุณภาพระดับคณะ-สถาบัน65
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
คู่มือประกันคุณภาพระดับคณะ-สถาบัน65
-
Proceeding-NAC-HUSOC-2023
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8647
Proceeding-NAC-HUSOC-2023
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
Proceeding-NAC-HUSOC-2023
-
หลักเกณฑ์และหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายไปราชการในและต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8646
หลักเกณฑ์และหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายไปราชการในและต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
หลักเกณฑ์และหลักฐานประกอบการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายไปราชการในและต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงกรณีที่ไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ 2566
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8645
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงกรณีที่ไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ 2566
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงกรณีที่ไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ 2566
-
ใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากร-ตัวอย่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8643
ใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากร-ตัวอย่าง
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากร-ตัวอย่าง
-
ใบสำคัญรับเงิน-เบิกค่าอาหาร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8642
ใบสำคัญรับเงิน-เบิกค่าอาหาร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ใบสำคัญรับเงิน-เบิกค่าอาหาร
-
ใบสำคัญรับเงิน สำหรับวิทยากร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8640
ใบสำคัญรับเงิน สำหรับวิทยากร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ใบสำคัญรับเงิน
สำหรับวิทยากร
-
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8639
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
-
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-New
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8638
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-New
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-New
-
แบบฟอร์มขอลาออกพนักงานและบุคลากร 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8637
แบบฟอร์มขอลาออกพนักงานและบุคลากร 2565
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลาออกพนักงานและบุคลากร 2565
-
แบบฟอร์มขอลาออกข้าราชการและลูกจ้างประจำ 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8636
แบบฟอร์มขอลาออกข้าราชการและลูกจ้างประจำ 2565
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลาออกข้าราชการและลูกจ้างประจำ 2565
-
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8635
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
-
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8634
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
-
แบบฟอร์มขอลากิจไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8631
แบบฟอร์มขอลากิจไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลากิจไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8630
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8629
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8628
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
-
แบบฟอร์มใบลาอุปสมบท
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8627
แบบฟอร์มใบลาอุปสมบท
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มใบลาอุปสมบท
-
แบบฟอร์มขอลาป่วย ลากิจ ลาคลอดบุตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8626
แบบฟอร์มขอลาป่วย ลากิจ ลาคลอดบุตร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลาป่วย ลากิจ ลาคลอดบุตร
-
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงปฏิบัติราชการล่าช้า 2566
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8625
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงปฏิบัติราชการล่าช้า 2566
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มบันทึกข้อความ ชี้แจงปฏิบัติราชการล่าช้า 2566
-
Proceeding ICON ELT 2023
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8622
Proceeding ICON ELT 2023
ICON, ELT
ICON-ELT 2023: The 2nd International Conference on English Language
Teaching with the theme "Breakthroughs in ELT in the Post-Pandemic" is hosted for the
second time by the Ph.D. (ELT) Program, the Faculty of Humanities and Social Sciences,
Buriram Rajabhat University. In addition, Seiyun University, Yemen, Lourdes College -
Graduate Studies, the Philippines, Universitas Al Asyariah Mandar, Indonesia, King
Abdulaziz University, Saudi Arabia, Van Lang University, Vietnam, and Manipur
University, India have been officially invited to co-host this symposium.
On behalf of the conference organizing committee, I would like to express my
sincere thanks to Associate Professor Malinee Chutopama, President of Buriram Rajabhat
University for being a chair of this academic event. My special thanks go to the keynote
speaker, Professor Dr. Paul Kei Matsuda of Arizona State University in the United States,
and the featured presenters from various universities. Last but not least, I would like to
extend my deepest appreciation to the co-hosts, proceedings editorial board, peer
reviewers, commentators, researchers, my Ph.D. (ELT) students, and all Thai and
international participants. It is hoped that all disciplines pertaining to ELT and other
relevant fields will find this ICON 2023 to be beneficial.
2023-05-15T00:00:00Z
-
แบบฟอร์มการใช้ห้องประชุมคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8498
แบบฟอร์มการใช้ห้องประชุมคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มการใช้ห้องประชุมคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
-
การประชุมวิชาการ การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและสังคมระดับชาติ (CSD สัมพันธ์) ครั้งที่ 21 :
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8489
การประชุมวิชาการ การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและสังคมระดับชาติ (CSD สัมพันธ์) ครั้งที่ 21 :
สาขาวิชาการพัฒนาสังคม, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
การประชุมวิชาการ การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและสังคมระดับชาติ (CSD สัมพันธ์) ครั้งที่ 21 :
“การพัฒนา : การปรับตัว : ความยั่งยืน”
ระหว่างวันที่ 1 - 4 กุมภาพันธ์ 2566 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2023-02-01T00:00:00Z
-
แบบฟอร์ม-เบิกค่าสอน-กศ.บป.new-1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8471
แบบฟอร์ม-เบิกค่าสอน-กศ.บป.new-1
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์ม-เบิกค่าสอน-กศ.บป.new-1
-
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 (2565): พฤษภาคม - สิงหาคม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8469
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 (2565): พฤษภาคม - สิงหาคม
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่วารสารวิชาการ “มนุยษสังคมสาร” ได้รับการพิจารณาให้จัดอยู่ในวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI “วารสารกลุ่มที่ 1 (TCI Tier 1)” จากการประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารใหม่เข้าสู่ฐานข้อมูล TCI ประจำปี พ.ศ. 2565 โดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index-TCI) ซึ่งผลประเมินคุณภาพวารสารนี้ จะมีระยะเวลาการรับรองคุณภาพวารสารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ไปจนถึง วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ผลการประเมินนี้สร้างขวัญกำลังให้กองบรรณาธิการและคณะทำงานของ “มนุษยสังคมสาร” ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสรรค์งานวารสารนี้ให้ได้คุณภาพมาตรฐานวิชาการที่สูงขึ้นต่อไป และขอถือโอกาสนี้ ขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้พิชญพิจารณ์บทความ ผู้นิพนธ์ และผู้มีส่วนร่วมทุกท่านในการผลักดัน “มนุษยสังคมสาร” ให้ขึ้นสู่วารสารกลุ่มที่ 1 ในครั้งนี้
“มนุษยสังคมสาร” ฉบับนี้มีบทความที่ผ่านการพิชญพิจารย์ของผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกจากหลากหลายสถาบัน ทั้งหมดจำนวน 10 บทความ โดยเป็นบทความวิชาการ 1 บทความและเป็นบทความวิจัย 9 บทความ ทุกบทความได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) ด้วยโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์แล้ว ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของดัชนีความซ้ำซ้อนไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตฐานการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของผลงานวิชาการ ภาพปกของวารสารฉบับนี้ได้นำมาจาก 2 บทความวิจัย ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้นิพนธ์บทความแล้ว คือ บทความเรื่อง “แนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต” และ บทความเรื่อง “พิธีกรรมและความเชื่อในการแสดงรำสวดของคณะอรชุน ลูกสุนทรภู่ จังหวัดระยอง: พิธีกรรมและความเชื่อในการแสดง”
กองบรรณาธิการ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณากลั่นกรองบทความประจำฉบับที่ 2 ปีที่ 20 ที่ได้พิชญพิจารณ์ทั้ง 10 บทความจนได้มาตรฐานทางวิชาการ และขอขอบคุณผู้นิพนธ์บทความจากหลากหลายสถาบันที่ได้ให้ความสนใจส่งบทความมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” ทางกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งจะได้รับความไว้วางใจจากนักวิจัยและนักวิชาการส่งบทความด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่ครอบคลุม 3 กลุ่มสาขาวิชา (Subject areas) คือ 1) Arts and Humanities, 2) Economics, Econometrics and Finance, 3) Social Sciences เพื่อมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” เหมือนเดิม
รองศาสตราจารย์ ดร.อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
บรรณาธิการ
2022-05-30T00:00:00Z
-
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาคปกติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8468
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาคปกติ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาคปกติ
-
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาค-กศ.บป
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8467
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาค-กศ.บป
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน-ภาค-กศ.บป
-
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8465
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มลาพักผ่อน
-
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8464
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มใบลาพักผ่อนไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8463
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มใบลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
-
แบบฟอร์มบันทึกชี้แจงการไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8462
แบบฟอร์มบันทึกชี้แจงการไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มบันทึกชี้แจงการไม่ได้ลงชื่อปฏิบัติราชการ
-
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8460
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขออนุญาตไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มขอลาป่วย-ลากิจ-ลาคลอดบุตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8459
แบบฟอร์มขอลาป่วย-ลากิจ-ลาคลอดบุตร
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลาป่วย-ลากิจ-ลาคลอดบุตร
-
แบบฟอร์มขอลาออก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8457
แบบฟอร์มขอลาออก
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลาออก
-
แบบฟอร์มขอลากิจ-ไปต่างประเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8454
แบบฟอร์มขอลากิจ-ไปต่างประเทศ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอลากิจ-ไปต่างประเทศ
-
แบบฟอร์มขอยกเลิกวันลา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8453
แบบฟอร์มขอยกเลิกวันลา
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอยกเลิกวันลา
-
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8452
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอเพิ่มวุฒิการศึกษา
-
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8451
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มขอเปลี่ยนชื่อ-สกุล
-
แบบใบลาอุปสมบท
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8449
แบบใบลาอุปสมบท
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบใบลาอุปสมบท
-
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 3 (2565): กันยายน - ธันวาคม 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8447
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 3 (2565): กันยายน - ธันวาคม 2565
คณะมนุษยศาสตร์, มหาวิทยาลััยราชภัฏบุรีรมย์
“มนุษยสังคมสาร” คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีนโยบายในการรับตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่ครอบคลุมสาขาวิชาหลัก (Main subject Category) คือ Social Sciences และจะต้องอยู่ใน 3 กลุ่มสาขาวิชา (Subject areas) คือ 1) Arts and Humanities, 2) Economics, Econometrics and Finance, 3) Social Sciences ซึ่งจะต้องอยู่ใน 5 กลุ่มย่อย (Sub-subject areas) คือ 1) General Arts and Humanities, 2) Language and Linguistics, 3) General Economics, Econometrics and Finance, 4) General Social Sciences, 5) Sociology and Political Sciences
“มนุษยสังคมสาร” มีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน / พฤษภาคม-สิงหาคม / กันยายน-ธันวาคม) แต่อาจจะออกเป็นฉบับพิเศษ (Special issue) ในการร่วมประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติกับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่เกินปีละ 2 ฉบับ
ทุกบทความใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องผ่านการพิชญพิจารณ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviewer) ในสาขาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 คน โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความนั้น (Double-blind peer review) ทั้งนี้ เพื่อให้บทความมีคุณภาพและได้มาตรฐานทางวิชาการ บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามระบบการอ้างอิงเอกสารและหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยย่างเคร่งครัด
ผู้นิพนธ์ที่จะส่งบทความมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” จะต้องส่งผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงาน (Plagiarism) ด้วยโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ผ่านเว็บไซต์ http://plag.grad.chula.ac.th/ โดยร้อยละของดัชนีความซ้ำซ้อนของบทความไม่เกินร้อยละ 7 ทั้งนี้ ให้ผู้นิพนธ์แนบผลการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานส่งมาที่วารสารพร้อมกับบทความด้วย
ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ใน “มนุษยสังคมสาร” ทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของ “มนุษยสังคมสาร” การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตารางที่ปรากฏในบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร วารสารอนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางวิชาการได้ แต่ต้องแสดงที่มาจากวารสาร โดยห้ามแก้ไขดัดแปลงเนื้อหาใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารนี้ ทัศนะและความคิดเห็น ตลอดถึงข้อผิดพลาดใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในบทความใน “มนุษยสังคมสาร” ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ
2022-09-30T00:00:00Z
-
Proceeding ICON-ELT 2022
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8279
Proceeding ICON-ELT 2022
คณะมนุษยศาสตร์, และสังคมศาสตร์
According to the International Association for World Englishes (IAWE), the
conceptualization of world Englishes within a sociolinguistic framework actually goes
back to the early 1960s (Kachru 1965) and mid 70s (Smith 1976). However,
organized efforts in discussing the concept of world Englishes and its formal and
functional implications were not initiated until 1978
(http://www.iaweworks.org/about-iawe.html). World Englishes is a term for referring
indigenized varieties of English, especially varieties developed in territories
influenced by the United Kingdom or the United States. Seidlhofer (2005) describes
the current status of English as an “unstable equilibrium.” In many ways, this analogy
regarding the current state of affairs with English language teaching (ELT) is
appropriate. A successful English language teaching and learning under a pragmatic
and humanistic approach can be described via the World Englishes (WE)
perspectives. The sweeping changes of globalization and industrialization force
teachers to cope with the change in the perception of the learners and to take a closer
look at the new roles of teachers in the light of the enormous importance being given
to the use of technology in imparting the English Language. The use of technology
will help the learners and teachers to move beyond the walls of the classrooms as the
learning can take place anywhere anytime. It is necessary to realize that English
Language Teaching is not only a work of art but also science. The teachers and
researchers have to admit the fact that the demands on the teaching profession have
increased and it is necessary that teachers should be an innovative, reflective, and
technologically savvy learner by nature (Mangayarkarasi et ta. (2011). Due to
tremendous technological progress in a digital age, the scenario of English teaching
techniques is entirely changed. Consequently, the teachers of 21st century should shed
traditional concepts and techniques of classroom teaching and should adopt the recent
and innovative teaching techniques, using different social media.
2022-05-14T00:00:00Z
-
Proceeding 2022 IHUSOC III
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8264
Proceeding 2022 IHUSOC III
คณะมนุษยศาสตร์, และสังคมศาสตร์
It is my personal appreciation to realize that the Faculty of Humanities and
Social Sciences, Buriram Rajabhat University has hosted the IHUSOC III: The 3rd
International Conference on Humanities and Social Sciences under the theme “Roles
of Humanities and Social Sciences in SDGs via Community Engagement” online on
25 April 2022. The conference emphasized the trendy theme that goes line with the
Sustainable Development Goals (SDGs) of the United Nations (UN), and also accords
with the missions of Buriram Rajabhat University (BRU), an educational institution
for local development. The BRU missions are definitely carried out according to the
policies of the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation
(MHESI).
2022-04-25T00:00:00Z
-
รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการ (Proceedings) การบริหารการพัฒนาสังคม และยุทธศาสตร์การบริหาร ระดับชาติ ครั้งที่ ๕
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8263
รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการ (Proceedings) การบริหารการพัฒนาสังคม และยุทธศาสตร์การบริหาร ระดับชาติ ครั้งที่ ๕
คณะมนุษยศาสตร์, และสังคมศาสตร์
การจัดประชุมวิชาการ การบริหารการพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหารระดับชาติครั้งที่ 5
ภายใต้หัวข้อ “พลังภาคประชาชนสูงการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน: Citizen Engagement” ในวันที่ 7
มกราคม 2564 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ นั้น เป็นการจัดขึ้นด้วยความรวมมือทางวิชาการระหว่าง
14 สถาบันคือ 1) มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) คณะพัฒนาสังคมและ
สิ่งแวดลอม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร 3) คณะศิลปศาสตร / คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย
เกริก 4) คณะสังคมศาสตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 5) คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
น 6) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 7) คณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์/คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 8) คณะรัฐศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัย
พะเยา 9) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 10) คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี 11) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
12) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 13) มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
2021-01-07T00:00:00Z
-
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) 2565
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8245
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 20 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) 2565
รศ.ดร.อัครพนท์, เนื้อไม้หอม
วารสารวิชาการ “มนุษยสังคมสาร” ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ฉบับนี้เป็นฉบับที่ 1 ของปีที่ 20 (มกราคม-เมษายน) ซึ่งในฉบับนี้มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของการเขียนเอกสารอ้างอิงโดยให้ผู้นิพนธ์ ใช้การอ้างอิงตาม รูปแบบ APA (American Psychological Association) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 (7th edition) นอกจากนั้น ยังได้กำหนดกรอบสาขาวิชาของบทความที่จะส่งมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” ว่าจะต้องครอบคลุมสาขาวิชาหลัก (Main subject Category) คือ Social Sciences เท่านั้น และจะต้องอยู่ใน 3 กลุ่มสาขาวิชา (Subject areas) คือ 1) Arts and Humanities, 2) Economics, Econometrics and Finance, 3) Social Sciences ซึ่งจะต้องอยู่ใน 5 กลุ่มย่อย (Sub-subject areas) คือ 1) General Arts and Humanities, 2) Language and Linguistics, 3) General Economics, Econometrics and Finance, 4) General Social Sciences, 5) Sociology and Political Sciences ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามที่ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบรรณาธิการวารสารเพื่อขอความร่วมมือคัดเลือกสาขาวิชาย่อย (Subject-areas) ของวารสารในฐานข้อมูล TCI โดยให้แต่ละวารสารเลือกสาขาวิชาย่อยตั้งแต่ 1-5 สาขาวิชาย่อย นอกจากนั้น กองบรรณาธิการขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าตั้งแต่ฉบับที่ 1 ของปีที่ 20 เป็นต้นไป “มนุษยสังคมสาร” จะดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่บทความในลักษณะของรูปแบบออนไลน์ (เว็บไซต์) โดยใช้หมายเลขเป็น Electronic ISSN (e-ISSN) อย่างไรก็ตาม “มนุษยสังคมสาร” อาจจะเผยแพร่ในลักษณะรูปเล่ม (Print ISSN) ด้วยก็ได้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น การเผยแพร่ออกเป็นฉบับพิเศษ (Special issue) หรือการจัดพิมพ์เผยแพร่ร่วมกับงานประชุมวิชาการทั้งระดับชาติและนานาชาติ โดยจะใช้หมายเลขเป็น Print ISSN
“มนุษยสังคมสาร” ฉบับนี้มีทั้งหมด 14 บทความ โดยเป็นบทความที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ จำนวน 2 บทความ และบทความภาษาไทยจำนวน 12 บทความ ทุกบทความวิจัยได้ผ่านการพิชญพิจารณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกอย่างน้อยบทความละ 3 ท่านแล้ว พร้อมกันนี้ทุกบทความได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) ด้วยโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์แล้ว ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของดัชนีความซ้ำซ้อนไม่เกินร้อยละ 10 ในส่วนภาพปกของวารสารฉบับนี้ได้นำมาจากบทความวิจัย เรื่อง “เทวะ ภูพระอังคาร: การสร้างสรรค์นาฏกรรมร่วมสมัยจากใบเสมาวัดเขาพระอังคาร จังหวัดบุรีรัมย์” โดยได้ขออนุญาตจากผู้นิพนธ์บทความแล้ว
กองบรรณาธิการ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ได้พิชญพิจารณ์ทั้ง 14 บทความจนได้มาตรฐานทางวิชาการ และขอขอบคุณผู้นิพนธ์บทความจากหลากหลายสถาบันที่ได้ให้ความสนใจส่งบทความมาตีพิมพ์เผยแพร่ใน “มนุษยสังคมสาร” ทางกองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งจะได้รับความไว้วางใจจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศส่งบทความเพื่อมาตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์อย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม
รองศาสตราจารย์ ดร.อัครพนท์ เนื้อไม้หอม
บรรณาธิการ
2022-04-30T00:00:00Z
-
การประชุมวิชาการและนิทรรศการระดับชาติ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ครั้งที่ 2
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8072
การประชุมวิชาการและนิทรรศการระดับชาติ ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สำหรับนักศึกษาปริญญาตรี ครั้งที่ 2
เนื้อไม้หอม, อัครพนท์
ในการจัดประชุมครั้งนี้มีรูปแบบการดำเนินกิจกรรมทั้งแบบออนไลน์และแบบออนไซต์ โดยการนำเสนอผลงานทางวิชาการในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จัดเป็นรูปแบบออนไลน์ ส่วนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นพิธีเปิดโดยท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมของเครือข่ายชุมชนเพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และการแข่งทักษะทางวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จะจัดในรูปแบบออนไซต์ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างเคร่งครัด ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้ให้ความสนใจส่งบทความเข้ามาร่วมนำเสนอทั้งสิ้น จำนวน 43 บทความ โดยแบ่งเป็นการนำเสนอภาคบรรยาย จำนวน 40 บทความ และเป็นการนำเสนอภาคโปสเตอร์ จำนวน 3 บทความ จาก 8 สถาบันคือ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ในนามของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่ได้ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ยิ่ง ขอขอบพระคุณองค์ปาฐก ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญที่พิชญพิจารณ์บทความ (Peer reviewer) ผู้ทรงคุณวุฒิวิพากษ์บทความ (Commentator) กรรมการตัดสินการแข่งทักษะทางวิชาการนักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และผู้เข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ทุกท่าน สุดท้าย ขอขอบพระคุณผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรทุกส่วนฝ่ายของคณะฯ ที่ได้ร่วมด้วยช่วยกันจนทำให้การประชุม NAC-HUSOC II ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
2022-02-15T00:00:00Z
-
Processding 2019 full paper
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/7237
Processding 2019 full paper
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
Humanities and Social Sciences are multisciences covering Language,
Linguistics and Literature, Philosophy and Religion, Ethnics, Folklore, Library and
Information Science, Music and Performance Arts, Fine and Applied Arts, Tradition
and Culture, Tourism, History, Archaeology, Anthropology, Law, Politics, Public
Administration, Economics, Sociology, Psychology, Education, Technology and
Learning Innovation, etc. These sciences can be applied to different aspects of
sustainable development. Consequently, they will lead to productivity to serve with
the UN SDGs.
The 2nd National and International Conference on Humanities and Social
Sciences (NIC-HUSOC II) under the theme “Achievement of Sustainable
Development Goals (SDGs): Challenges for Humanities and Social Sciences in the
Digital Age” is co-hosted by Faculty of Humanities and Social Sciences (HUSOC),
Buriram Rajabhat University (BRU), Thailand and Mandalay University of Distance
Education (MUDE), Myanmar during 4th – 7th September 2019 in Mandalay city.
This conference will be a platform for institutes, researchers, educators and
others to participate and publicize their academic and research works. Exchange of
knowledge and experiences on Humanities and Social Sciences in the digital age will
also be carried out for sustainable development according to the goal set by the United
Nations.
On behalf of the NIC-HUSOC II organizing committee, we would like to
thank Associate Professor Malinee Chutopama, BRU President, Dr. Aung Naing Soe,
MUDE Pro-Rector for their support and useful advice. Our special thanks go to both
Thai and foreign co-hosts, keynote speakers, featured speakers, journals, peer
reviewers, commentators, researchers and all participants. The organizing committee
highly hopes that the NIC-HUSOC II will be beneficial to the participants to apply the
obtained knowledge and experience in humanities and social sciences and other
relevant disciplines to their academic and professional purposes.
Assistant Professor Dr. Akkarapon Nuemaihom Professor Ni Ni Hlaing
HUSOC Dean HUSOC Dean
BRU, Thailand MUDE, Myanmar
2019-09-04T00:00:00Z
-
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) 2563
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6865
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) 2563
คณะมนุษยศาสตร์, และสังคมศาสตร์
มนุษยสังคมสารเป็นวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีกำหนดการพิมพ์เผยแพร่ปีละ 3 ฉบับคือ เดือนมกราคม–เมษายน เดือนพฤษภาคม–สิงหาคม และเดือนกันยายน–ธันวาคม มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ได้จากงานวิชาการและงานวิจัยเกี่ยวกับภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญาและศาสนา ชาติพันธุ์ บรรณารักษ์และสารสนเทศศาสตร์ ดนตรีและนาฏศิลป์ ศิลปกรรม ประเพณีและวัฒนธรรม การท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มานุษยวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา การศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเรียนรู้ และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
บทความทุกเรื่องในวารสารเล่มนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสองท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่พิชญพิจารณ์บทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความนั้น (Double-blind peer review) ทั้งนี้ เพื่อให้บทความมีคุณภาพและได้มาตรฐานทางวิชาการ บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในมนุษยสังคมสาร จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามระบบการอ้างอิงเอกสารและหลักเกณฑ์การเสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในมนุษยสังคมสารอย่างเคร่งครัด
ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในมนุษยสังคมสารถือเป็นความรับผิดชอบ
ของผู้นิพนธ์บทความนั้น และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบในเนื้อหาหรือความถูกต้อง
ของเรื่องที่ส่งมาเผยแพร่ทุกเรื่อง
2020-04-30T00:00:00Z
-
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ฉบับที่ 17 ฉบับที่ 3
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5941
มนุษยสังคมสาร (มสส.) ฉบับที่ 17 ฉบับที่ 3
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์, คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร์
มนุษยสังคมสารเป็นวารสารวิชาการของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีกาหนดการพิมพเ์ ผยแพร่ปี ละ 3 ฉบับ คือ เดือนมกราคม-
เมษายน เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และเดือนกนั ยายน-ธันวาคม มีวัตถุประสงค์เพื่อ
เผยแพร่นวตั กรรมและองคค์ วามรู้ใหม่ๆ ที่ไดจ้ ากงานวชิ าการและงานวจิ ยั เกี่ยวกบั
ภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญาและศาสนา ชาติพันธุ์ บรรณารักษ์และ
สารสนเทศศาสตร์ ดนตรีและนาฏศิลป์ ศิลปกรรม ประเพณีและวัฒนธรรม
การท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มานุษยวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์
รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา การศึกษา เทคโนโลยีและ
นวัตกรรมการเรียนรู้ และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั มนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์
บทความทุกเรื่องในวารสารเล่มน้ีไดผ้ า่ นการพิจารณาจากผทู้ รงคุณวุฒิใน
สาขาที่เกี่ยวขอ้ งอยา่ งนอ้ ยสองท่าน โดยผทู้ รงคุณวฒุ ิที่พิชญพจิ ารณ์บทความไม่ทราบ
ชื่อผนู้ ิพนธ์บทความน้นั (Double-blind peer review) ท้งั น้ี เพื่อใหบ้ ทความมีคุณภาพ
และไดม้ าตรฐานทางวชิ าการ บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพใ์ นมนุษยสังคมสาร
จะตอ้ งไมเ่ คยตีพิมพห์ รืออยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาจากผทู้ รงคุณวฒุ ิเพื่อตีพิมพใ์ นวารสาร
อื่น ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามระบบการอ้างอิงเอกสารและหลักเกณฑ์การ
เสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในมนุษยสังคมสารอยา่ งเคร่งครัด
2019-03-17T00:00:00Z
-
ใบสำคัญรับเงิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5934
ใบสำคัญรับเงิน
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ใบสำคัญรับเงิน
-
แบบแสดงหลักฐานการมีส่วนร่วมในผลงานทางวิชาการ-ต.02
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5933
แบบแสดงหลักฐานการมีส่วนร่วมในผลงานทางวิชาการ-ต.02
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบแสดงหลักฐานการมีส่วนร่วมในผลงานทางวิชาการ-ต.02
-
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5932
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบฟอร์มสอนชดเชย-สอนแทน
-
แบบใบเบิกค่าสอนพิเศษ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5931
แบบใบเบิกค่าสอนพิเศษ
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบใบเบิกค่าสอนพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภััฎบุรีรัมย์
-
แบบขอเบิกค่าตอบแทนการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการและผลงานสร้างสรรค์-ต.01
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5930
แบบขอเบิกค่าตอบแทนการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการและผลงานสร้างสรรค์-ต.01
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบขอเบิกค่าตอบแทนการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการและผลงานสร้างสรรค์-ต.01
-
แบบฟอร์มการแปลเอกสาร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5929
แบบฟอร์มการแปลเอกสาร
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
คณาจารย์ บุคลากร เจ้าหน้าที่และนักศึกษา ที่สนใจจะให้สำนักงานคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ช่วยแปลเอกสาร เป็นภาษาอังกฤษ ขอให้กรอกรายละเอียดข้อมูลลงในแบบฟอร์มทีแนบนี้
-
แบบฟอร์มขอใช้ห้องประชุมอาคาร 14
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5928
แบบฟอร์มขอใช้ห้องประชุมอาคาร 14
สำนักงานคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา ที่จะใช้ห้องประชุมอาคาร 14 ต้องเขียนแบบฟอร์มการขอใช้อาคาร 14 ตามเอกสารแบบฟอร์มที่แนบ
-
แบบรายงานข้อมูลการพิจารณารายละเอียดของหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับปริญญาตรี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3573
แบบรายงานข้อมูลการพิจารณารายละเอียดของหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับปริญญาตรี
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
แบบรายงานข้อมูลการพิจารณารายละเอียดของหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ
ระดับปริญญาตรี
-
สารบัญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3572
สารบัญ
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รายละเอียดของ สารบัญ
-
รายงานผลการดำเนินการของรายวิชา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3571
รายงานผลการดำเนินการของรายวิชา
สำนักงานคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รายงานผลการดำเนินการของรายวิชา
-
แผนบริหารการสอนตามกรอบมาตรฐานอุดมศึกษา (TQF)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3570
แผนบริหารการสอนตามกรอบมาตรฐานอุดมศึกษา (TQF)
คณะมนุษยศาสตร์และสัีงคมศาสตร์
แผนบริหารการสอนตามกรอบมาตรฐานอุดมศึกษา (TQF)
-
ขออนุมัติโครงการ ปี 2561
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3521
ขออนุมัติโครงการ ปี 2561
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ขออนุมัติโครงการ
-
แบบฟอร์มขอลงบทความ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3509
แบบฟอร์มขอลงบทความ
สำนักงานคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
-
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2124
การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อช่วยบริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ณัฐวุฒิ, ทะนันไธสง
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อช่วย
บริหารทรัพยากรอาคารและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏ
บุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดเก็บข้อมูลภาพจากดาวเทียม ฐานข้อมูลสารสนเทศ
ภูมิศาสตร์อาคาร การใช้ประโยชน์ที่ดิน และสร้างแบบจําลองรูปทรง 3 มิติ อาคาร
ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เป็นการประยุกต์ใช้ระบบ ภูมิสารสนเทศ โดย
ใช้ภาพจากดาวเทียม Quickbird 2 ถ่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ด้วย
กระบวนการจําแนกด้วยสายตา จากนั้นทําการสํารวจข้อมูลกายภาพ นําเข้าข้อมูล
เชิงพื้นที่และข้อมูล เชิงคุณลักษณะ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างอาคาร ความ
กว้างยาวอาคาร อายุการใช้งานอาคาร ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบทําความเย็น
ภายในอาคาร และระบบขนส่งในแนวดิ่ง เมื่อจัดทําข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
เรียบร้อย จึงจําลองอาคารและสภาพแวดล้อมในรูปทรง 3 มิติ
ผลการศึกษาสามารถนําฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ไปใช้เพื่อ
บริหารจัดการทรัพยากรอาคารทั้งการซ่อมบํารุงและการติดตั้งระบบสาธารณูปโภค
ของมหาวิทยาลัย เช่น ตําแหน่งหัวจ่ายนํ้าดับเพลิง ทางระบายนํ้า ไฟฟ้า ไฟส่องสว่าง
ระบบท่อประปา รวมไปถึงการวางแผนในการสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค
นับเป็นการบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่แบบ 2 มิติและข้อมูลแบบ 3 มิติ เพื่อใช้เป็นสื่อ
ประกอบในการวางแผนและตัดสินใจได้เป็นอย่างด
2015-05-01T00:00:00Z
-
การใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ เพื่อศึกษาหาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฝังกลบขยะมูลฝอย : กรณีศึกษาอำาเภอลำาปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2115
การใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ เพื่อศึกษาหาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฝังกลบขยะมูลฝอย : กรณีศึกษาอำาเภอลำาปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
จุมพล, วิเชียรศิลป์; ณัฐพล, วงษ์รัมย์; ชลาวัล, วรรณทอง
งานวิจัยการใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ เพื่อศึกษาหาพื้นที่ที่เหมาะสม
ต่อการฝังกลบขยะมูลฝอย กรณีศึกษา : อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์หาพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฝังกลบขยะมูลฝอยของอําเภอ
ลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของชุมชนในท้องถิ่นต่อพื้นที่
ฝังกลบขยะมูลฝอยแห่งใหม่ในเขตอําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ วิธีดําเนินการวิจัย
โดยการวิเคราะห์ปัจจัยทางด้านชีวกายภาพ และสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม
ซึ่งมี 10 ปัจจัย ได้แก่ โบราณสถาน แหล่งนํ้าผิวดิน ชุมชน ถนนสายหลัก การใช้
ประโยชน์ที่ดิน ลักษณะของดิน ระดับนํ้าใต้ดิน บ่อนํ้าบาดาล และพื้นที่เสี่ยงนํ้าท่วม
โดยใช้กระบวนการลําดับชั้นเชิงวิเคราะห์ หรือ Analytic Hierarchical Process
(AHP) ในการเปรียบเทียบนํ้าหนักของปัจจัยโดยผู้เชี่ยวชาญ 4 คน เนื่องจากปัจจัย
แต่ละประเภทมีอิทธิพลต่อพื้นที่เหมาะสมไม่เท่ากัน แบ่งพื้นที่เหมาะสมได้เป็น 5 ระดับ
คือ เหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมมาก เหมาะสมปานกลาง เหมาะสมน้อย และ
ไม่เหมาะสม ผลการวิจัยพบว่า พื้นที่ที่เหมาะสมในการฝังกลบขยะมูลฝอยในอําเภอ
ลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ มีเนื้อที่ 54.302 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ33,938.868 ไร่ และประชากรที่ตอบแบบสอบถาม
เห็นด้วย ให้มีการสร้างพื้นที่ฝังกลบขยะมากที่สุด
จํานวน 1 แห่งจากทั้งหมด 4 แห่งได้แก่ บริเวณ
ตําบลหนองบัวโคก พิกัด 271254E 1658041N ซึ่ง
มีพื้นที่ 4.25 ตารางกิโลเมตร ห่างจากเทศบาลตําบลลำปลายมาศประมาณ 7 กิโลเมตร
2015-05-01T00:00:00Z
-
ประสิทธิภาพของวิธีการจำาแนกประเภท การใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2111
ประสิทธิภาพของวิธีการจำาแนกประเภท การใช้ประโยชน์ที่ดินแบบควบคุมและไม่ควบคุม
เอกลักษณ์, สลักคำ
แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นข้อมูลที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผน
เพื่อบริหารและจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ ในอดีตการจัดทําแผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดิน
อาศัยการแปลภาพถ่ายด้วยสายตา แต่ปัจจุบันมีการนําวิธีการประมวลผลข้อมูล
ภาพถ่ายจากดาวเทียมไปใช้อย่างแพร่หลาย วิธีการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวมีด้วยกัน
หลายวิธี การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการจําแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ด้วยวิธีการจําแนกข้อมูลแบบควบคุมและไม่ควบคุมและทดสอบสอบประสิทธิภาพ
ของวิธีการจําแนกประเภทข้อมูลแต่ละวิธี โดยทําการเปรียบเทียบผลการจําแนก
ประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยวิธีวิธีการจําแนกแบบจัดกลุ่มโดยเรียงลําดับ เทคนิค
การวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันแบบทําซํ้า การประยุกต์ทฤษฎีฟัซซีเซต
วิธีการจําแนกแบบระยะทางสั้นที่สุด วิธีการจําแนกแบบสี่เหลี่ยมคู่ขนาน วิธีการ
จําแนกแบบความน่าจะเป็นสูงสุดและวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียม เทียบกับผลจาก
การจําแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตา ผลการวิจัย พบว่า
ผลจากการจําแนกประเภทข้อมูลด้วยวิธีโครงข่ายใยประสาทเทียมมีความใกล้เคียงกับ
ผลผลจากการจําแนกที่ได้จากการตีความภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วยสายตามากที่สุด
โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แคปปาเท่ากับ 0.27
2015-05-01T00:00:00Z
-
การผลิตศิลปกรรม แรงบันดาลใจจากปราสาทเขาพนมรุ้ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2106
การผลิตศิลปกรรม แรงบันดาลใจจากปราสาทเขาพนมรุ้ง
อโศก, ไทยจันทรารักษ์; สาธิต, ทิมวัฒนบรรเทิง; อำนาจ, เย็นสบาย; นพดล, อินทร์จันทร์
การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิง
ลึกนักวิชาการด้านโบราณคดี กลุ่มช่างผู้สร้างสรรค์ผลงาน รวมถึงช่างที่เป็นตัวแทน
กลุ่มประชากรตัวอย่างในการศึกษาวิจัยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษารูป
แบบของศิลปกรรมที่ปราสาทเขาพนมรุ้งในแง่ความงามทางด้าน รูปทรง ลวดลาย
และเรื่องราว และความนิยมในรูปทรงศิลปะที่ปรากฏในภาพจําหลักของปราสาท
เขาพนมรุ้ง อําเภอเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อศึกษาช่างจากกลุ่มตัวอย่าง
ที่ได้สํารวจในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จาก 4 กลุ่มตัวอย่าง ที่มีผลงานผลิตซํ้าศิลปกรรม
ตามแบบปราสาทเขาพนมรุ้ง 3) ศึกษาสิ่งที่สังคมจะได้จากผลงานที่สร้างสรรค์ รูปแบบ
ศิลปกรรมจากปราสาทเขาพนมรุ้ง การศึกษาวิเคราะห์การผลิตศิลปกรรม แรงบันดาล
ใจจากปราสาทเขาพนมรุ้ง ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวสําคัญของจังหวัดบุรีรัมย์ มีรูปแบบทาง
ศิลปกรรมในแบบขอม อันมีประติมากรรมและภาพจําหลักเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา
ฮินดูลัทธิไศวนิกาย เป็นปราสาทหินที่มีความงดงามด้วยรูปแบบทางสถาปัตยกรรม
ทําให้ศิลปินและสถาปนิกใช้ปราสาทเขาพนมรุ้งเป็นแรงบันดาลใจในการผลิตซํ้ารูป
แบบทางสถาปัตยกรรมโดยสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยวัสดุใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์สําคัญคือ
สร้างรูปแบบทางศิลปกรรมเฉพาะท้องถิ่น ทําให้เกิดอาชีพและรายได้ในชุมชน และยัง
เป็นประโยชน์ในแง่ของการช่วยเผยแพร่ศิลปกรรมแบบปราสาทพนมรุ้งให้เป็นที่รู้จัก
ในสังคมอย่างกว้างขวางอีกด้วย
2015-05-01T00:00:00Z
-
แนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยที่มาจากความต้องการของชุมชน บ้านเสม็ด ตำาบลหนองเต็ง อำาเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2102
แนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยที่มาจากความต้องการของชุมชน บ้านเสม็ด ตำาบลหนองเต็ง อำาเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย
อุทิศ, ทาหอม; พิชิต, วันดี; สำราญ, ธุระตา
การวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาโจทย์วิจัยที่มาจากความต้องการของชุมชน
บ้านเสม็ด ตำาบลหนองเต็ง อำาเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อ
ศึกษาความต้องการในการแก้ไขปัญหาของชุมชนบ้านเสม็ดผ่านกระบวนการพัฒนา
โจทย์วิจัยระหว่างนักวิชาการกับคนในชุมชน 2. เพื่อค้นหาเทคนิควิธีการให้ได้มาซึ่ง
โจทย์วิจัยระหว่างนักวิชาการและคนในชุมชนบ้านเสม็ด ตำาบลหนองเต็ง อำาเภอกระสัง
จังหวัดบุรีรัมย์ และ 3. เพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยให้เป็นข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมกับชุมชน
บ้านเสม็ด อำาเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
ผลการศึกษา พบว่า การจัดเวทีพัฒนาโจทย์วิจัยครั้งที่ 1 “ชวนคิด ชวนคุย”
ค้นหาประเด็นวิจัย ทีมวิจัยใช้เครื่องมือการสนทนาพูดคุย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย
ตั้งคำาถามว่า สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในชุมชน โดยเขียนการแผนที่ความคิด (Mind Map) เป็นการ
วาดแผนผังเชื่อมโยงความคิด และมีการแยกย่อยของแต่ละสถานการณ์ปัญหา เพื่อ
ทำาให้คนในชุมชนมองเห็นการเชื่อมโยงของแต่ละประเด็น พบว่า ภายในชุมชนบ้าน
เสม็ดมีกลุ่มอาชีพต่างๆ หลากหลาย หลังฤดูกาลทำานา ได้แก่ กลุ่มทำากระถางต้นไม้
กลุ่มทำาปุ๋ย กลุ่มทำาเกษตร กลุ่มเลี้ยงปลา กลุ่มเลี้ยงกบ และเพาะปลูกพืชผักสวนครัว
เมื่อประชาชนปลูกผักมากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตล้นตลาด และประสบปัญหาวัชพืช
ทำาลายผลผลิตทางการเกษตร ในที่สุดประชาชนจำานวนมากตัดสินใจเลิกทำา เนื่องจาก
ขาดความรู้ในการจัดการเรื่องผลผลิตและการกำาจัดวัชพืชการพัฒนาโจทย์วิจัยครั้งที่ 2 “คุยซำ้า ยำ้าคิด
พิชิตโจทย์วิจัย” ทีมวิจัยใช้วิธีการตั้งประเด็นคำาถาม
ค้นหาทุนเดิมและศักยภาพของชุมชน เป็นการ
ทบทวน หรือ ตรวจสอบข้อมูลเดิมที่ได้พูดคุยกันใน
การพัฒนาโจทย์ครั้งแรก พบว่า ชุมชนบ้านเสม็ดมี
ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมอย่างมาก ประชาชนบ้านเสม็ดก็เข้าไปใช้
ประโยชน์จากพื้นที่ป่าริมแม่นำ้าชี ได้แก่ หาฟืน เก็บ
เห็ด ขุดมัน หาสัตว์ป่า แต่ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม
ป่าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด มี
ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าริมแม่นำ้าชีมากขึ้นเวทีการพัฒนาโจทย์วิจัยครั้งที่ 3 “ทบทวน
โจทย์ ค้นหาประโยชน์ร่วมของชุมชน” เป็นการตรวจ
สอบข้อมูลที่ได้จากเวทีครั้งที่ 1 และเวทีครั้งที่ 2
เพื่อค้นหาแนวทางการสร้างความร่วมมือ และได้
ชื่อโจทย์วิจัยที่มาจากความต้องของชุมชน การ
พัฒนาโจทย์วิจัยครั้งที่ 3 ใช้เครื่องมือที่จะช่วยให้งาน
ข้อมูลเกี่ยวกับการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมได้ชัดเจน คือ การทำาแผนที่ดินเดินดิน และ
แผนที่ทรัพยากรรอบหมู่บ้าน เพื่อทำาการวิเคราะห์
ข้อมูลทางกายภาพ (Physical Space) ให้เห็นสภาพ
การณ์เปลี่ยนแปลงในภาพรวม จนได้โจทย์วิจัยร่วม
กันว่า “กระบวนการเสริมสร้างชุมชนจัดการตนเอง
บนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ
ชุมชน” เพราะที่ผ่านมาชุมชนยังไม่สามารถจัดการ
คน องค์กร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และอาชีพของชุมชนได้ จำาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ค้นหากลไกในการขับเคลื่อนการทำางาน เน้นการมี
ส่วนร่วมของชุมชน
2015-01-01T00:00:00Z
-
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาด้วยบารมี 10 ทัศ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2101
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาด้วยบารมี 10 ทัศ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
อุดม, ชัยสุวรรณ; พระใบฎีกาเสน่ห์าณเมธ; ไพฑูรย์, รื่นสัตย; พิสิฏฐ์, โคตรสุโพธิ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องภาวะผู้นำาตามทฤษฎี
ตะวันตกและในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องบารมีในพระพุทธ
ศาสนาเถรวาท 3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาด้วยบารมี 10 ทัศในพระพุทธ
ศาสนาเถรวาท ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถาตำาราวิชาการ
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้วทำาการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แล้ว
นำามาเรียบเรียงนำาเสนอในเชิงพรรณนาผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำาทางตะวันตกโดยทั่วไป มุ่งยกระดับการพัฒนาภาวะ
ผู้นำาเพื่อให้เกิดการยอมรับนับถือในระดับโลก เช่น แนวคิดทฤษฎีภาวะผู้นำา 5 ระดับ
ของจอห์น ซี.แม็กซ์เวลล์ (john C.Maxwell) ที่ได้พยายามนำาเสนอเกี่ยวกับหลักการ
พัฒนาภาวะผู้นำาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และเพื่อความเข้าใจเข้าถึงหลักการพัฒนา
ภาวะผู้นำาอย่างแท้จริง ที่เรียกว่าภาวะผู้นำาระดับที่สมบูรณ์ โดยชี้ให้เห็นถึงระดับ
การพัฒนา 5 ระดับ ในลักษณะค่อยไต่บันไดขึ้นไปแต่ละขั้นได้แก่ ระดับที่ 1ตำาแหน่ง
หน้าที่ (Position) ระดับที่ 2 การยอมรับ (Permission) ระดับที่ 3 การสร้างผลงาน
(Production) ระดับที่ 4 การพัฒนาคน (People Development) ระดับที่ 5 จุด
สูงสุด (Pinnacle) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการยอมรับสูงสุด
ภาวะผู้นำาในพระพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง ผู้นำาที่ต้องมีคุณสมบัติทั้ง
ภายในและภายนอกคือมีวิสัยทัศน์ชำานาญงานและเป็นผู้มีอัธยาศัยดีเป็นที่วางใจของ
ผู้อื่นมีบุคลิกภาพน่าเชื่อถือสง่างามและสามารถที่จะนำาหลักธรรมไปบูรณาการปรับใช้
อย่างเหมาะสมหลักธรรมเหล่านั้นได้แก่หลักอธิปไตย 3 พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4
พละ 5 ตลอดจนถึงหลักธรรมอื่นๆ ที่มาสนับสนุนส่งเสริมภาวะผู้นำา ได้แก่ หลักสาราณียธรรม 6 หลักอปริหานิยธรรม 7 และหลัก
สัปปุริสธรรม 7 เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการ
พ้นทุกข์หรือบรรลุพระนิพพาน
ส่วนบารมี หมายถึง ข้อปฏิบัติอย่างยิ่งยวด
เป็นข้อปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งพระโพธิญาณ
แต่เดิม บารมี หมายถึง ความเป็นเลิศเป็นของ
ปัจเจกบุคคลไม่ได้เน้นเฉพาะว่าต้องเป็นความเป็น
เลิศในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ต่อมามีการใช้
มากขึ้นในพระพุทธศาสนามีความหมายเปลี่ยนเป็น
ความเป็นเลิศในการปฏิบัติธรรมและในที่สุดก็ได้
เจาะจงว่าบารมีหมายถึงความเป็นเลิศที่สุดในการ
ปฏิบัติธรรมเป็นการดับสิ้นแห่งอาสวะกิเลสแต่ความ
หมายนี้ก็ยังไม่แพร่หลาย บารมี มี 10 ประการ คือ
ทาน บารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี
วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี
เมตตาบารมี และอุเบกขาบามี ระดับของบารมี แบ่ง
เป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้นหรือระดับสามัญ เรียกว่า
บารมี ระดับกลางเรียกว่า อุปบารมี ระดับสูง เรียกว่า
ปรมัตถบารมี แต่ละระดับมีการปฏิบัติที่ยากง่ายแตก
ต่างกัน ตัวอย่างเช่น การให้วัตถุสิ่งของนอกกาย จัด
เป็นทานบารมี การเสียสละอวัยวะให้เป็นทาน เรียก
ว่า ทานอุปบารมี การเสียสละชีวิตให้เป็นทาน เรียกว่า ทานปรมัตถบารมี
ในงานวิจัยนี้ ได้เสนอรูปแบบการพัฒนา
ภาวะผู้นำาด้วยบารมี 10 ทัศในพระพุทธศาสนา
เถรวาท ดังนี้
1) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาในด้าน
การนำาตน ด้วยศีลบารมี สัจจบารมีเนกขัมมบารมี
และวิริยบารมี
2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาในด้าน
การนำาคน ด้วยทานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี3) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำาในด้าน
การนำางานด้วยปัญญาบารมี วิริยบารมี และอธิษฐาน
บารม
2015-01-01T00:00:00Z
-
ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรายวิชาสุนทรียศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น กรณีศึกษา : นักศึกษาภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2556
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1388
ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรายวิชาสุนทรียศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น กรณีศึกษา : นักศึกษาภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2556
ธงรบ, ขุนสงคราม
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อ
รายวิชาสุนทรียศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในประเด็นดังนี้ 1) ด้านหลักสูตรการเรียน
การสอน 2) ด้านผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐาน 3) ด้านบุคลากรสายผู้สอน [ดนตรี
(โสตศิลป์), นาฏศิลป์, ทัศนศิลป์] และ 4) ด้านสื่อการเรียนการสอน การดำาเนินการ
วิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 สร้างแบบสอบถามจากการศึกษาแนวคิด
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ขั้นตอนที่ 2 ประเมิน
ความเหมาะสมของแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ และปรับปรุงแบบสอบถามให้มีความ
เหมาะสม ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบความเป็นไปได้ของแบบสอบถามจากการสอบถาม
กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักศึกษาภาคปกติ ปีการศึกษา 2556 จำานวน 683 คน ได้มาโดย
วิธีการแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .8267
สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำามาสรุปและ
อภิปรายผลข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัย พบว่า :
1. จำานวนผู้ตอบแบบสอบถาม 683 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ส่วนใหญ่เป็น
นักศึกษาเพศหญิง ร้อยละ 68.4 และเพศชาย ร้อยละ 31.6 มีอายุระหว่าง 17-19 ปี
ร้อยละ 74.7 และอายุระหว่าง 20-23 ปี ร้อยละ 25.3 ระดับการศึกษาชั้นปีที่ 2 ร้อย
ละ 42.8 ชั้นปีที่ 1 ร้อยละ 31.9 และชั้นปีที่ 3 ร้อยละ 25.3 ศึกษาในภาคการศึกษาที่
1/2556 ร้อยละ 57.2 และภาคการศึกษาที่ 2/2556 ร้อยละ 42.8 สาขาวิชาที่ศึกษา
มากที่สุดคือ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ร้อยละ 34.7 รองลงมาคือ สาขาวิชาการพัฒนาสังคม ร้อยละ 32.0 และน้อยที่สุดคือ สาขา
วิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ร้อยละ 7.0 โดยสังกัดคณะ
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มากที่สุด ร้อยละ
89.5 และคณะวิทยาการจัดการ ร้อยละ 10.5
2. ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อ
รายวิชาสุนทรียศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น พบว่า
ในด้านหลักสูตรการเรียนการสอน อยู่ในระดับมาก
( = 3.81, S.D. = 0.71) ในด้านผลการเรียนรู้ตาม
กรอบมาตรฐาน อยู่ในระดับมาก ( = 4.02, S.D.
= 0.73) ในด้านบุคลากรสายผู้สอน อยู่ในระดับมาก
ทางดนตรี (โสตศิลป์) ( = 4.06, S.D. = 0.73) ทาง
นาฏศิลป์ ( = 4.07, S.D. = 0.70) ทางทัศนศิลป์
( = 3.89, S.D. = 0.77) และในด้านสื่อการเรียน
การสอน อยู่ในระดับมาก ( = 4.02, S.D. = 0.73)
3. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
3.1 ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน
และด้านผลการเรียนรู้ตามกรอบมาตรฐาน พบว่า
หลักสูตรมีความครอบคลุมในเนื้อหาได้ดี ผู้เรียนได้
รับรู้เกี่ยวกับความงามของศิลปะทั้ง 3 ศาสตร์ ทั้ง
ด้านดนตรี (โสตศิลป์) นาฏศิลป์ และทัศนศิลป์ ที่
มีความเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เวลาเรียน 5
สัปดาห์ น้อยไปเพราะเนื้อหาแต่ละศาสตร์มากจึง
ทำาให้ผู้เรียนจำาแนกเนื้อหาไม่ได้ อาจารย์ผู้สอนมีการ
วัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย ในระหว่างเรียน
ผู้เรียนผู้สอนช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแลก
เปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และเน้นคุณธรรม
จริยธรรม ทั้งนี้ รายวิชาสุนทรียศาสตร์กับภูมิปัญญา
ท้องถิ่นสามารถนำาไปใช้ในชีวิตประจำาวันได้อีกด้วย
3.2 ด้านบุคลากรสายผู้สอน พบว่า
อาจารย์ผู้สอนมีการเตรียมการสอนที่ดี มีการอธิบาย
แผนบริหารการสอนและจุดประสงค์ของรายวิชา
เป็นอย่างดี อาจารย์ผู้สอนมีมนุษยสัมพันธ์ดี มีกิริยาวาจา ท่าทางในขณะสอนอย่างเหมาะสม เคร่งครัด
ในการเข้าเรียน การตรงต่อเวลา เน้นการแต่งกาย
ถูกระเบียบในชั้นเรียน แต่ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ซักถามแสดงความคิดเห็นน้อยเกินไป ผู้เรียนสับสน
เวลาเรียนของผู้สอนแต่ละศาสตร์สาขาวิชา และ
อยากให้รายวิชานี้มีผู้สอนเพียงคนเดียว
3.3 ด้านสื่อการเรียนการสอน พบว่า สื่อ
การเรียนการสอนบางศาสตร์สาขาวิชาน้อยไป และ
สื่ออุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนยังไม่เพียงพอ
ต่อจำานวนนักศึกษา
2015-01-01T00:00:00Z
-
สมรรถนะของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยการใช้เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1383
สมรรถนะของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยการใช้เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
สถาพร, วิชัยรัมย์; ไชยา, ยิ้มวิไล
การวิจัยเรื่องเรื่องสมรรถนะของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัด
บุรีรัมย์ โดยการใช้เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา
ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้บริหาร ประกอบด้วย การบริหารคน นวัตกรรมการ
ปฏิรูประบบการจัดการ การบริหารงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ 2) เพื่อศึกษาเกณฑ์คุณภาพการ
บริหารจัดการภาครัฐ ประกอบด้วย การนำาองค์กร การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ การ
ให้ความสำาคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การวัด การวิเคราะห์ และการ
จัดการความรู้ การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล การจัดการกระบวนการ 3) เพื่อศึกษาความ
สัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
4) เพื่อแสวงหาแนวทางให้องค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ บรรลุผลด้าน
สมรรถนะของผู้บริหารด้วยการใช้เกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสม (Mixed Methods Research)
ประกอบด้วย การใช้ระเบียบวิธีวิจัยในเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และ
วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ได้กำาหนดไว้สำาหรับการ
วิจัยในเชิงปริมาณ คือ ผู้บริหารฝ่ายการเมือง ประกอบด้วย ประธานสภา อบต. รอง
ประธานสภา อบต. นายก อบต. รองนายก อบต. และผู้บริหารฝ่ายข้าราชการส่วน
ท้องถิ่น ประกอบด้วย ปลัด อบต. และรองปลัด อบต. หัวหน้าหน่วยงานในระดับ
กลาง และหัวหน้าหน่วยงานในระดับปฏิบัติการ จำานวน 321 คน และกลุ่มตัวอย่างผู้
ให้ข้อมูลสำาคัญสำาหรับวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ประธานสภา อบต. นายก อบต.
และผู้บริหารฝ่ายข้าราชการองค์การบริหารส่วนตำาบล จำานวน 15 คนผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะของผู้บริหาร
องค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพ
รวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านได้แก่
การบริหารคน นวัตกรรมการปฏิรูปการจัดการ
และการบริหารงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ อยู่ในระดับมาก
ทุกด้าน และเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาค
รัฐ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา
เป็นรายด้านได้แก่ การนำาองค์กร การวางแผนเชิง
ยุทธศาสตร์ การให้ความสำาคัญกับผู้รับบริการและ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล การ
จัดการกระบวนการ อยู่ในระดับมากทุกด้าน การ
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเกณฑ์คุณภาพ
การบริหารจัดการภาครัฐกับสมรรถนะของผู้บริหาร
องค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า
ปัจจัยเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐทั้ง
6 ด้าน มีความสัมพันธ์กับสมรรถนะของผู้บริหาร
องค์การบริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ ในเชิง
บวกอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือการนำาผล
การวิจัยไปใช้ประโยชน์ คือ 1) ผู้บริหารองค์การ
บริหารส่วนตำาบลในจังหวัดบุรีรัมย์ ควรมีการปรับ
ตัวหรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานให้เข้า
กับเหตุการณ์ บุคคล หรือกลุ่มบุคคล 2) ผู้บริหาร
ต้องมีการกำาหนด นโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ
แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ เพื่อรองรับการ
เปลี่ยนแปลงจากการยกฐานะจากองค์การบริหาร
ส่วนตำาบล (อบต.) เป็นเทศบาลในอนาคตอย่างเป็น
รูปธรรม 3) ผู้บริหารควรเพิ่มบทบาทในด้านการส่ง
เสริมการเรียนรู้ภายในองค์กรเพื่อพัฒนาให้องค์กร
ได้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อสร้างทัศนคติที่ดี
ต่อการทำางานและลดความขัดแย้งภายในองค์กร
อันจะเป็นแนวทางการบริหารงานเพื่อสร้างความเป็นเลิศ
ข้อเสนอแนะผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่าง
1) รัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณการสนับสนุนองค์การ
บริหารส่วนตำาบลให้มีความเหมาะสมในการดำาเนิน
งานทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและงานด้านการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชน 2) ผู้บริหารควร
ใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารทั้งในด้านการ
บริหารเงิน การบริหารงานบุคคล เพื่อสร้างความ
ไว้วางใจในการบริหารงานระหว่างผู้บริหาร อบต.
และประชาชน และควรเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วม
ของประประชนในทุกมิต
2015-01-01T00:00:00Z
-
การสำารวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1382
การสำารวจความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
รินทร์หทัย, กิตติ์ธนารุจน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำารวจความตระหนักของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนและเพื่อศึกษาปัจจัยที่
มีอิทธิพลต่อความตระหนักของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการก้าวสู่
ประชาคมอาเซียน รวมทั้งนำาผลการสำารวจไปใช้พัฒนาปรับปรุงระบบการเรียนการ
สอนของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์สำาหรับกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 –
4 ซึ่งกำาลังศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2554 จำานวนตัวอย่าง
313 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.8602 สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ
ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันโปรดักส์โมเมนต์ ผลการวิจัยพบ
ว่าการรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการเปิดเสรีทางการศึกษาอาเซียนในปี 2558 นักศึกษา
ส่วนใหญ่พอรู้บ้าง คิดเป็นร้อยละ 69.6 สำาหรับในเรื่องมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ในปัจจุบันมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การเปิดเสรีทางการศึกษาอาเซียนในปี 2558 มาก
น้อยเพียงใด นักศึกษาส่วนใหญ่คิดว่าค่อนข้างพร้อม คิดเป็นร้อยละ 62.0 และหาก
ต้องการเพิ่มรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาที่ใช้ในการสื่อสารต้องการให้เพิ่มเกี่ยวกับ
ภาษาใดมากที่สุดนักศึกษาส่วนใหญ่คิดว่าควรเพิ่มรายวิชาภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อย
ละ 63.9 รองลงมาคือภาษาจีน คิดเป็นร้อยละ 25.9 โดยการเตรียมการรับการเปิด
เสรีทางการศึกษาอาเซียนในปี 2558 อย่างมืออาชีพ เรื่องที่นักศึกษาต้องการให้รีบ
เตรียมการมากที่สุดได้แก่ การฝึกอบรมพัฒนา ทักษะทางด้านต่างๆ ของบุคลากรและ
ผู้เรียนเพื่อเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะเรื่องภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร คิดเป็นร้อยละ73.8 รองลงมาได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ต้องให้ความสำาคัญด้วยการสนับสนุนและส่งเสริม
อย่างจริงจัง/ถือเป็นวาระเร่งด่วน โดยกระตุ้นคณะ
ต่างๆในการเตรียมความพร้อมคิดเป็นร้อยละ 67.1
โดย เพศ อายุ คณะที่ศึกษา อาชีพบิดา อาชีพมารดา
และแหล่งข้อมูลข่าวสารที่ได้รับส่วนใหญ่ เป็นปัจจัย
ที่ส่งผลต่อความตระหนักโดยรวมของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในการก้าวสู่ประชาคม
อาเซียน ที่ระดับนัยสำาคัญทางสถิติ 0.05
2015-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1379
การพัฒนาครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
กิติวัชร, ถ้วยงาม; สุนทร, โคตรบรรเทา; บรรพต, วงศ์ทองเจริญ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ประเมินความต้องการพัฒนาครู
ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
2) ศึกษาสภาพการพัฒนาครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การ
ศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 3) พัฒนาชุดฝึกอบรมครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา และ 4) เพื่อ
เสนอแนวทางการพัฒนาครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา ประชากร ได้แก่ บุคลาการทางการ
ศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
จำานวน 3,027 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียน
มัธยมศึกษาจำานวน 304 คน ซึ่งได้มาโดยตารางกำาหนดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และ
มอร์แกน และการสุ่มอย่างง่าย ครู 32 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการฝึก
อบรม 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความต้องการ แบบสอบถาม
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าความเชื่อมั่น 0.9828 และ 0.9831 ตามลำาดับ ชุดฝึกอบรมครู
ในโรงเรียนมัธยมศึกษา มีประสิทธิภาพ E1/E2 = 80.32/83.65 แบบประเมินความ
พึงพอใจในโครงการฝึกอบรม และแบบประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาครูใน
โรงเรียนมัธยมศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยง
เบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
การพัฒนาครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา
สังกัดสำานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
The Teacher Development in Secondary Schools under
Secondary Educational Service Area Offce 32
กิติวัชร ถ้วยงาม 1/ สุนทร โคตรบรรเทา 2/ บรรพต วงศ์ทองเจริญ 3
Kittiwat Thuaingam / Sunthon Khotbanthao / Banphot Wongthongcharoen
1 นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาการบริ
2015-01-01T00:00:00Z
-
กระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการในโครงการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1377
กระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการในโครงการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
ขวัญนภา, วงศ์ไพศาลสิริกุล
รายงานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สังเคราะห์กระบวนการ
พัฒนาผู้ประกอบการในหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ ของมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียง
เหนือตอนล่าง เพื่อเปรียบเทียบแนวปฏิบัติที่ดีของศูนย์บริการกลยุทธ์และประเมินผล
ของกรมวิสาหกิจกรรมาธิการยุโรปกับแนวปฏิบัติของหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจของไทย
เพื่อประเมินศักยภาพเชิงพาณิชย์ และ ความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่ผ่านการบ่ม
เพาะจากหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในมหาวิทยาลัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้จัดการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ และผู้ประกอบ
การที่เข้ารับการบ่มเพาะในหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจของมหาวิทยาลัยในภาคตะวัน
ออกเฉียงเหนือตอนล่าง 8 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้จัดการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ
จำานวน 8 คน ผู้ประกอบการ จำานวน 40 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้เป็นแบบสอบถาม
และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ
ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการ
วิเคราะห์เนื้อหา การสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยและเปรียบเทียบ ผลการวิจัยพบว่า (1)
ผู้ประกอบการมีคุณลักษณะที่ทำาให้ประสบความสำาเร็จ 21 คุณลักษณะ อยู่ในระดับ
มาก ผู้ประกอบการมีระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการให้บริการพื้นที่ ที่ปรึกษาและ
การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา 12 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผู้ประกอบ
การมีระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการให้คำาปรึกษา การฝึกอบรม และการถ่ายทอด
ความรู้ 14 ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการดำาเนินงานของ
หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจของมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 8 แห่งกับแนวปฏิบัติที่ดีของหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจของ
ศูนย์บริการกลยุทธ์และประเมินผลของกรมวิสาหกิจ
กรรมาธิการยุโรป โดยการใช้แนวเทียบ พบว่า หน่วย
บ่มเพาะวิสาหกิจของมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือทั้ง 8 แห่ง มีผลการดำาเนินการที่น่าพึง
พอใจ โดยมีแนวปฏิบัติที่เท่าเทียมกับแนวปฏิบัติที่
ดีของศูนย์บริการกลยุทธ์และประเมินผลของกรม
วิสาหกิจกรรมาธิการยุโรป 3) วิเคราะห์ศักยภาพ
เชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการของหน่วยบ่มเพาะ
วิสาหกิจ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เพิ่งสำาเร็จการ
ศึกษา เป็นทายาทธุรกิจ ส่วนมากมีโครงการหรือ
แนวคิดเกี่ยวกับธุรกิจที่จะลงทุน แต่ไม่มีแผนธุรกิจ
มีรูปแบบเป็นกิจการส่วนตัว เป็นบริษัทที่เริ่มตั้ง
ใหม่ ที่มีพนักงานอยู่ประมาณ 1 -3 คน ใช้เวลาใน
ช่วง 1 – 3 ปี สนใจในธุรกิจประเภทการผลิต ส่วน
ใหญ่นำาเงินทุนส่วนตัวมาลงทุน สนใจใช้งานวิจัยหรือ
นวัตกรรมที่พัฒนาแล้วเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการ
ความช่วยเหลือด้านการเริ่มต้นธุรกิจและเข้าถึง
แหล่งเงินทุน ต้องการเขียนแผนธุรกิจเป็น มีความรู้
ความเข้าใจในการดำาเนินกิจการเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลง
มีการจัดการบริการองค์กรได้ดีขึ้น ขอวงเงินกู้ใหม่
ได้ มีความคาดหวังหลังเข้าโครงการก็เป็นไปตามที่
คาดหวังไว้ กิจการดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้ารับการบ่มเพาะ
2015-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียน สำาหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1375
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียน สำาหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
ขนิษฐา, ศรีตะวัน; สุดา, ทัพสุวรรณ; ศิริ, เจริญวัย; สวงนพงศ์, ขวนชม
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้าง
สมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำาหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียง
เหนือตอนล่างและ 2) ตรวจสอบประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้าง
สมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำาหรับครูโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียง
เหนือตอนล่างดำาเนินการวิจัยในลักษณะของการวิจัยและพัฒนา (Research and
Development) โดยมีขั้นตอนการวิจัยและการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม 4 ขั้นตอน
คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาและการกำาหนดโครงสร้างของหลักสูตรฝึกอบรมขั้นตอนที่ 2
การร่างและการประเมินความเหมาะสมหลักสูตรฝึกอบรม ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ
ประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมและขั้นตอนที่ 4 การปรับปรุงหลักสูตรฝึกอบรม
ผลการวิจัย พบว่า
1. หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำาหรับครู
โรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีโครงสร้างของหลักสูตร
2 ส่วน ได้แก่ องค์ประกอบของหลักสูตรมี 6 ประการ คือ 1) หลักการของหลักสูตร
ฝึกอบรม 2) วัตถุประสงค์ของหลักสูตรฝึกอบรม3)เนื้อหาสาระของหลักสูตรฝึกอบรม
4) การจัดกิจกรรมการฝึกอบรม 5) สื่อที่ใช้ในการฝึกอบรม และ 6) การวัดและประเมิน
ผลกับแผนการฝึกอบรม มี 4 เรื่องดังนี้ การกำาหนดปัญหาการวิจัยในชั้นเรียน การ
กำาหนดนวัตกรรมการวิจัยในชั้นเรียน การวางแผนการวิจัยในชั้นเรียนและการเขียน
2014-07-01T00:00:00Z
-
การจัดการแหล่งท่องเที่ยว ของจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1374
การจัดการแหล่งท่องเที่ยว ของจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
ชลาวัล, วรรณทอง; สุพรรณี, ชะโลธร; จุมพล, วิเชียรศิลป์
การจัดการแหล่งท่องเที่ยว ของจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวรวมถึงสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น ใน
การนำาเสนอฐานข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว และเสนอแนวทางการจัดการแหล่งท่อง
เที่ยวของจังหวัดบุรีรัมย์ สำาหรับวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลได้ใช้วิธีการสำารวจข้อมูลแหล่ง
ท่องเที่ยวและข้อมูลอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลร้านอาหาร โรงแรมและสถานีบริการ
นำ้ามัน แล้ว สร้างเว็บแอพพลิเคชั่นจากความต้องการของนักท่องเที่ยว รวมถึงการ
ประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อโปรแกรมและเสนอแนวทางการท่อง
เที่ยวหรือจัดทำาเป็นแพ็กเกจทัวร์ ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวจำานวน 22
แห่ง ข้อมูลร้านอาหารจำานวน 207 แห่ง โรงแรมจำานวน 95 แห่ง และสถานีบริการนำ้า
มันจำานวน 252 แห่ง สำาหรับโปรแกรมเว็บแอพพลิเคชั่นสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้งาน
ได้ทันที ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเพิ่มข้อมูล แก้ไขข้อมูล ลบข้อมูล ได้อย่างอิสระ นอกจาก
นี้ผู้วิจัยได้เสนอแนวทางในการท่องเที่ยวหรือแพ็กเกจทัวร์ออกเป็น 3 เส้นทาง ได้แก่
แพ็กเกจทัวร์ประเพณีแข่งเรืออำาเภอสตึก ถึงอนุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แพ็ก
เกจทัวร์งานแข่งว่าวอำาเภอห้วยราช ถึงอนุสาวรีย์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และแพ็ก
เกจทัวร์อุทยานประวัติศาสตร์เขาพนมรุ้งถึงเขื่อนลำานางรอง ผลการประเมินความพึง
พอใจอยู่ในระดับดี
2014-07-01T00:00:00Z
-
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำาหรับระบบ การจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1373
การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำาหรับระบบ การจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคาร ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน; แก้ว, นวลฉว; สุพรรณ, กาญจนสุธรรม; ชาวลิต, ศิลปทอง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำาหรับ
ระบบการจัดการใบอนุญาตควบคุมอาคารเพื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (BPCM System) และเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความ
พึงพอใจการใช้โปรแกรม BPCM System ในพื้นที่เทศบาลตำาบลอิสาณ, องค์การ
บริหารส่วนตำาบลชุมเห็ด อำาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และเทศบาลตำาบลห้วยแถลง
อำาเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งวิธีการศึกษาผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมโดยใช้
โปรแกรม Map Server Minnesota เป็นแกนหลักในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ด้านระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ และใช้โปรแกรม MySQL พัฒนาระบบการ
จัดการฐานข้อมูล ในส่วนผู้ใช้งานของระบบเซิร์ฟเวอร์ (Server) กับไคลเอ็นต์ (Client)
ได้ทำาการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา PHP เพื่อใช้ในการประมวลผลและ
เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล
ผลการศึกษาพบว่าโปรแกรมประยุกต์บนเว็บสำาหรับระบบการจัดการ
ใบอนุญาตควบคุมอาคารที่พัฒนาขึ้นมีจุดเด่น คือ 1) สามารถใช้งานได้กับองค์ปกครอง
ส่วนท้องถิ่นที่มีฐานข้อมูลเชิงพื้นที่และไม่มีฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นทุกแห่งสามารถใช้งานได้ 2) การเลือกใช้โปรแกรมทั้งหมดเป็น Open
Source เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถนำาไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และ 3)
โปรแกรมฯ สามารถ (Digitize) ขอบเขตของอาคารหลังใหม่เพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูล
2014-07-01T00:00:00Z
-
การศึกษาประสิทธิภาพรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ตของนักเรียน วงโยธวาทิตโรงเรียนสุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1305
การศึกษาประสิทธิภาพรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ตของนักเรียน วงโยธวาทิตโรงเรียนสุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา
สุมนัสชนก, นาคแท้; มนัส, วัฒนไชยยศ; บรรจง, ชลวิโรจน์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ต
ของนักเรียน วงโยธวาทิตโรงเรียนสุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนก่อนการฝึกซ้อมและหลังการฝึกซ้อมทรัมเป็ต และ 3) ศึกษา
ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ต กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
คือ นักเรียนวงโยธวาทิตโรงเรียนสุรนารีวิทยา ที่ปฏิบัติเครื่องเป่าทรัมเป็ต ระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4- 6 ปีการศึกษา 2555 จำานวน 15 คน โดยวิธีเลือกกลุ่มแบบเจาะจง
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การ
หาประสิทธิภาพและการทดสอบและค่าที
ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ต มีค่า
ประสิทธิภาพเท่ากับ 82.67/82.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำาหนดไว้ การเปรียบ
เทียบผลสัมฤทธิ์ของรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ตก่อนการฝึกและหลังการฝึกปฏิบัติ
พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังการฝึกปฏิบัติสูงกว่าก่อนฝึกปฏิบัติอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่
ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการฝึกซ้อมทรัมเป็ตอยู่ในระดับ
ความพึงพอใจมาก
2014-07-01T00:00:00Z
-
คุณลักษณะของบัณฑิตสาขาวิชาภาษาไทยที่สถานประกอบการต้องการ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1304
คุณลักษณะของบัณฑิตสาขาวิชาภาษาไทยที่สถานประกอบการต้องการ
ินทรัพย์, ยืนยาว
การวิจัยเรื่อง “ความต้องการคุณลักษณะบัณฑิตทางภาษาไทยและการ
สื่อสารของสถานประกอบการ” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต
สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสารตามความต้องการของสถานประกอบการ โดยใช้
แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 1.00 และค่าจากการทดลองใช้ .86 เก็บข้อมูลจาก
หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดบุรีรัมย์ จำานวน 300 ชุด วิเคราะห์ข้อมูล
ด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า
ในด้านภาษา สถานประกอบการความต้องการมีความต้องการใช้ภาษาไทย
เป็นภาษาในการสื่อสารและการปฏิบัติงานมากกว่าภาษาอื่น ๆ ในด้านทักษะการคิด
วิเคราะห์ สถานประกอบการมีความต้องการทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
มากที่สุด ในด้านทัศนคติ สถานประกอบการมีความต้องการผู้มีทัศนคติเชิงบวกมาก
ที่สุด ในด้านคุณธรรมจริยธรรม สถานประกอบการมีความต้องการผู้มีความรับผิด
ชอบมากที่สุด ในด้านหลักสูตร สถานประกอบการมีความต้องการหลักสูตรคู่ คิดเป็น
ร้อยละ 87.00 และเปิดคู่กับหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 47.00 ใช้ชื่อ
หลักสูตร ศศ.บ. ภาษาเพื่อการสื่อสาร คิดเป็นร้อยละ 34.70 ในด้านข้อคิดเห็น
เพิ่มเติม สถานประกอบการเห็นว่า ควรผลิตบัณฑิตที่เน้นให้มีความขยัน อดทน
รับผิดชอบ พร้อมสามารถปฏิบัติงานได้ อาทิงานสารบรรณ งานธุรการ งานเอกสาร
งานสำานักงาน มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านภาษาอย่างถ่องแท้ ทั้งทางทฤษฎีและ
ปฏิบัติ และเห็นว่า ควรเพิ่มทักษะทางอารมณ์ควบคู่กับการเรียนภาควิชาการ
2014-07-01T00:00:00Z
-
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินกับผลตอบแทน ที่คาดหมายของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (SET100)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1303
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วนทางการเงินกับผลตอบแทน ที่คาดหมายของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (SET100)
แก้วมณี, อุทิรัมย; กนกศักดิ์, สุขวัฒนาสินิทธ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราส่วน
ทางการเงินทั้ง 20 อัตราส่วน กับผลตอบแทนที่คาดหมายของบริษัทที่จดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีวิธีวิจัยโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการ
เงินปี 2553 ถึงปี 2555 ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(SET100) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson correlation analysis) และการวิเคราะห์ความถดถอย
เชิงพหุ (Multiple regression analysis) ที่ระดับนัยสำาคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย
พบว่า
ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรม
ธุรกิจการเงิน และกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม อัตราส่วนทางการเงินทั้ง
20 อัตราส่วนไม่มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาดหมาย ในกลุ่มอุตสาหกรรม
อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีเพียงอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่มีความ
สัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาดหมาย ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรมีเพียงอัตราส่วน
วัดความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยที่มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาดหมาย
ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ มีระยะเวลาในการขายสินค้า อัตราการหมุนเวียนของ
สินทรัพย์ อัตรากำาไรสุทธิ อัตรากำาไรต่อหุ้น และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่มี
ความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาดหมาย ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อัตราส่วน
ทางการเงินทุกอัตราส่วนต่างมีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาดหมาย ยกเว้นอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ และอัตรากำาไรจากการ
ดำาเนินงานที่ไม่มีความสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่คาด
หมาย และในกลุ่มรวมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม มีเพียง
อัตราส่วนราคาตลาดต่อราคาตามบัญชี และอัตรา
ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่มีความสัมพันธ์กับผล
ตอบแทนที่คาดหมาย
2014-01-01T00:00:00Z
-
ประสิทธิภาพการจัดการทางการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1302
ประสิทธิภาพการจัดการทางการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย
ทศพร, แก้วขวัญไกร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจัดการศึกษา
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในปีการศึกษา 2553 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพล
ต่อความไม่มีประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ขอบเขตเนื้อหาทำาการศึกษาปี 2553
ประกอบด้วย 7 คณะ ใช้ข้อมูลทุติยภูมิแบบตัดขวางในการวิเคราะห์มาประมวลผล
จากการวิเคราะห์เส้นพรมแดนการผลิตแบบ Cobb-Douglas เชิงเฟ้นสุ่ม (Stochastic
Production Frontier Analysis) แบบค่า Maximum Likelihood ต่อการศึกษา
ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในปีการศึกษา 2553
ส่วนการศึกษาทางปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความไม่มีประสิทธิภาพการจัดการศึกษาใช้
วิธีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) แบบวิธีกำาลังสอง
น้อยที่สุด (Ordinary Least Square : OLS) ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในปีการ
ศึกษา 2553 ต่อจำานวนนักศึกษาที่สำาเร็จการศึกษา จากการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์
ความแปรปรวน (Variance Parameter) จากค่า Lamda เท่ากับ 0.64711919
และค่า Sigma เท่ากับ 0.23130828 มีเครื่อง หมายเป็นบวกทั้งสองค่าซึ่งยอมรับได้
ณ ระดับนัยสำาคัญที่ = 0.01 บ่งบอกถึงความไม่มีประสิทธิภาพการจัดการศึกษา
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ในปีการศึกษา 2553 ตำ่ากว่าเส้นพรมแดนการผลิต
จากการวิเคราะห์ด้วยเส้นพรมแดนการผลิตแบบเฟ้นสุ่ม (Stochastic Production
Frontier Analysis)
2014-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น สำาหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1301
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น สำาหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์
จิรายุฑ, ประเสริฐศร; คชากฤษ, เหลี่ยมไธสง
วัฒนธรรมเป็นพื้นฐานแห่งอารยธรรม
ของมนุษยชาติ เป็นวิถีชีวิตของคนในสังคม เป็น
แบบแผนประพฤติ ปฏิบัติและการแสดงออกซึ่ง
ความรู้สึกนึกคิด ในสถานการณ์ต่างๆ ที่สมาชิกใน
สังคมเดียวกันสามารถเข้าใจ ซาบซึ้ง ยอมรับและ
ใช้ปฏิบัติร่วมกัน อันจะนำาไปสู่การพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของคนในสังคมนั้น ๆ (สำานักงานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแห่งชาติ, 2535 : 45) วัฒนธรรมไม่ได้หยุด
นิ่ง แต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและเกี่ยวพันกับ
ปัจจัยภายในและภายนอกที่เข้ามากระทบ ดังนั้น
วัฒนธรรมอาจเหมาะสมกับยุคสมัยหนึ่ง แต่อาจไม่
สอดคล้องกับการดำาเนินชีวิตของคนในอีกยุคหนึ่ง
แต่ไม่ถึงกับละทิ้งวัฒนธรรมเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะ
รากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ได้สั่งสมให้สอดคล้อง
กับสังคมไทยมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิด
ขึ้นอาจเป็นผลมาจากลักษณะบางอย่างที่ไม่ตอบ
สนองความต้องการของสมาชิกในยุคนั้น จึงได้นำาVol.12 No.1 (January - July) 2014 ROMMAYASAN 45
วัฒนธรรมบางอย่างจากต่างชาติมาใช้ทดแทนบ้าง
ดังนั้นควรมีการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเอาไว้ เพราะ
หากไม่อนุรักษ์ไว้แล้ววัฒนธรรมของสังคมอื่นจะเข้า
มาครอบงำาและอาจตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรม
ของสังคมอื่นไป (กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ2551: 54)
2014-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นสำหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1229
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นสำหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์
จิรายุฑ, ประเสริฐศรี
การวจิยัเรอื่ง การพฒันาสอื่มลัตมิเีดยีเผยแพรศ่ลิปวฒันธรรมทอ้งถนิ่ สำาหรบั เยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลป วัฒนธรรมท้องถิ่น สำาหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ 2) ศึกษาการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง หลังการชมสื่อมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น 3) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างหลัง การชมสื่อมัลติมีเดียที่พัฒนาขึ้น 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดียที่ พัฒนาขึ้น ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เยาวชนจังหวัด บุรีรัมย์ จำานวน 372 คน และผู้เข้าชมสื่อมัลติมีเดียผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จำานวน 35 คน โดยวิธีสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) สื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น สำาหรับเยาวชนจังหวัดบุรีรัมย์ 2) แบบประเมินคุณภาพสื่อ มัลติมีเดีย 3) แบบวัดการรับรู้เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดีย 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ 5) การเผยแพร่สื่อมัลติมีเดียผ่านส่ือสังคมออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น สำาหรบัเยาวชนจงัหวดับรุรีมัย ์มคีณุภาพโดยรวมอยใู่นระดบัด ีกลมุ่ตวัอยา่งมกีาร รบัรโู้ดยรวมอยใู่นระดบัมาก มคีวามพงึพอใจโดยรวมอยใู่นระดบัมาก และผเู้ขา้ชม สื่อมัลติมีเดียผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จำานวน 35 คน กดปุ่มชอบ (Like) คิดเป็น ร้อยละ 97.10 โดยสรุป สื่อมัลติมีเดียที่ผู้ศึกษาได้พัฒนา ขนึ้ สามารถนำาไปเผยแพร่ศลิปวฒันธรรมทอ้งถนิ่ ให้ แกเ่ยาวชนจงัหวดับรุรีมัยแ์ละผทู้สี่นใจผา่นสอื่สงัคม ออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2014-01-01T00:00:00Z
-
แนวคิดการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1228
แนวคิดการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น
ธงรบ, ขุนสงคราม
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดการเรียบเรียงเสียง ประสานเพลงไทยลูกทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น ในประเด็นต่อไปนี้1) ประวตัชิวีติและผลงานทางดา้นดนตรขีองศลิปนิแหง่ชาต ิประยงค ์ชนื่เยน็ 2) แนวคดิ ในการประสมประสานวฒันธรรมทางดนตรใีนการเรยีบเรยีงเสยีงประสานเพลงไทยลกู ทุ่งของศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น และ 3) แนวทางการเรียบเรียงเสียงประสาน เพลงไทยลกูทงุ่ของศลิปนิแหง่ชาต ิประยงค ์ชนื่เยน็ ซงึ่ผวู้จิยัไดใ้ชว้ธิกีารศกึษาวจิยัเชงิ คณุภาพ (Qualitative Research) การสมุ่ตวัอยา่งผวู้จิยัใชว้ธิกีารสมุ่จากกลมุ่ตวัอยา่ง คอืบทเพลงทศี่ลิปนิแหง่ชาต ิประยงค ์ชนื่เยน็ ไดร้บัรางวลัพระราชทานดา้นการเรยีบ เรยีงเสยีงประสานดนตรเีพลงไทยลกูทงุ่ยอดเยยี่ม ในชว่งปพีทุธศกัราช 2519 - 2534 โดยใช้วิธีการแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำานวน 5 บทเพลง ผลการวิจัย 1. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น เติบโตขึ้นมาในท่ามกลางสังคมและ วฒันธรรมของไทยแบบชนบท ทไี่ดร้บัอทิธพิลดนตรพีนื้บา้นและดนตรไีทยเปน็ประจาำ จากการได้ยินได้ฟังที่วัดใกล้บ้านจึงเกิดแรงจูงใจ และเริ่มเล่นดนตรีจากการเป็นนัก ดนตรีแตรวงของโรงเรียน เมื่อเรียนจบก็หารายได้พิเศษจากการเป็นนักเป่าแตรเชียร์ รำาวงจนเข้าสู่วงการศิลปินนักร้องนักดนตรี เริ่มการเรียบเรียงเสียงประสานโดยอาศัยประสบการณแ์ละการศกึษาจากผลงานของนกัเรยีบ เรียงเสียงประสานรุ่นพี่ ก่อนท่ีจะเข้าเรียนวิชาการ เรียบเรียงเสียงประสานอย่างจริงจัง ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น ได้นำาเอาความรู้ความสามารถ ประสมประสานกับประสบการณ์ด้านดนตรี ความ กล้าในการนำาเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์ และความตั้งใจพัฒนาการเรียบเรียงเสียงประสาน เพลงไทยลูกทุ่งให้กับนักร้องจนมีชื่อเสียง มีผลงาน ที่ได้รับรางวัลพระราชทาน ด้านการเรียบเรียงเสียง ประสาน และผลงานความภาคภูมิใจที่เป็นผู้เรียบ เรยีงเสยีงประสานบทเพลงพระราชนพินธใ์นสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น มีแนวคิดในการประสมประสานระหว่างสอง วัฒนธรรม คือ ดนตรีแบบไทยและเนื้อร้องทำานอง แบบไทยกับดนตรีสากล สามารถเข้ากันได้อย่าง กลมกลืน กล่าวคือ ทั้งผู้เรียบเรียง นักร้อง และนัก ดนตรีที่บรรเลงเครื่องดนตรีสากลเป็นคนไทย เมื่อ ทำาการบรรเลงก็ย่อมมีสำาเนียงความเป็นไทยปนอยู่ ในบทเพลง มีการสร้างดนตรีประกอบการขับร้อง โดยการนำาเอาท่วงทำานองหรือวลีของทำานองเพลง ไทยมาช่วยในการสร้างผลงานเพลง ใช้เครื่องดนตรี ไทยมาร่วมบรรเลงเป็นส่วนประกอบในการสร้าง ผลงานเพลง ใช้เครื่องดนตรีสากลมาบรรเลงเลียน แบบเสียงเครื่องดนตรีไทย และนำาเอาทำานองของ เพลงไทยมาดัดแปลงให้เหมาะสมสำาหรับวงดนตรี บรรเลง เพอื่ใหเ้กดิความสมัพนัธแ์ละความกลมกลนื ของบทเพลง 3. ศิลปินแห่งชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น มี แนวทางในการเรียบเรียงเสียงประสานเพลงไทยลูก ทุ่งดังนี้ 3.1 คุณลักษณะของบทเพลง เครื่องดนตรีและหน้าที่ของเครื่องดนตรี มีรูปแบบ เอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ บทเพลงมีการใช้ร้อยกรอง ตามรปูแบบฉนัทลกัษณค์าำประพนัธแ์บบไทย ดาำเนนิ ทาำนองโดยใชเ้ครอื่งดนตรหีลกั 2 กลมุ่ ประกอบดว้ย 1) กลมุ่เครอื่งดนตรบีรรเลงประกอบจงัหวะ 2) กลมุ่ เครอื่งดนตรดีาำเนนิทาำนอง และเสรมิดว้ยกลมุ่เครอื่ง ดนตรีพิเศษ โดยใช้ทรัมเป็ต (Trumpet) เป็นเครื่อง ดนตรีดำาเนินทำานองหลัก 3.2 การสรา้งบทนาำ (Introduction) บท เชื่อม (Interlude) และบทจบ (Ending) ดัดแปลง จากแนวทำานองหลักเป็นท่วงทำานองสั้น ๆ หรือ วลีสั้น ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ ส่งเข้าบทร้องและลง จบได้ การสร้างดนตรีประกอบแนวทำานองใช้กลุ่ม เครื่องเป่า (Brass) เป็นหลัก ทำาหน้าที่โอบอุ้มแนว ทำานอง สอดแทรกแนวทำานอง ใช้การเคลื่อนที่ของ แนวทาำนองเขา้ชว่ยในการสรา้งดนตรปีระกอบ และ รองรับแนวทำานองหลัก โดยสร้างจากคอร์ดเดิมที่มี อยู่แล้ว โดยเฉพาะบทนำาทั้ง 5 บทเพลง ศิลปินแห่ง ชาติ ประยงค์ ชื่นเย็น จะใช้คอร์ดเพียงคอร์ดเดียว ในการสร้างบทนำา 3.3 การใช้คอร์ด (Chord) บทเพลง ทั้ง 5 บทเพลงใช้คอร์ดหลัก (Primary Chord) ใน การดำาเนินทำานอง ดังนี้ 1) เพลง “แม่ยก” ใช้คอร์ด Cm Gm 2) เพลง “หนุ่มนารอนาง” ใช้คอร์ด F Bb C7 3) เพลง “อีสาวทรานซิสเตอร์” ใช้คอร์ด Em Am Bm7 4) เพลง “ข้อยเว้าแม่นบ่” ใช้คอร์ด Bb F7และ 5) เพลง “สม้ตาำ” ใชค้อรด์ Bm Em7 F#m7 การจบประโยคแบบเปอร์เพค คาเดนซ์ (Perfect Cadence) พบอยู่ในทั้ง 5 บทเพลง การจบแบบอิม เปอร์เพค คาเดนซ์ (Imperfect Cadence) พบอยู่ ใน 3 บทเพลง คือ เพลง “หนุ่มนารอนาง” “ข้อย เวา้แมน่บ”่ และ “สม้ตาำ” และรปูสาำเรจ็ของคาเดนซ์(Cadential) พบอยู่ใน 4 บทเพลง คือ เพลง “หนุ่ม นารอนาง” “อีสาวทรานซิสเตอร์” “ข้อยเว้าแม่น บ่” และ “ส้มตำา” ส่วนการใช้ชุดคอร์ดดอมินันท์ 7 (Dominant 7) พบว่าใช้ดอมินันท์ 7 ที่ 1 มาก ที่สุด พบอยู่ในทั้ง 5 บทเพลง และการใช้ชุดคอร์ด แพทเทิร์น (Pattern) ไม่พบอยู่ในบทเพลงทั้ง 5 บทเพลง
2013-07-01T00:00:00Z
-
รููปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำาของผู้บริหาร สำานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1227
รููปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำาของผู้บริหาร สำานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
สุภาพ, ผู้รุ่งเรือง
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้นำา ศึกษารูปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำา และประเมินรูปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำาของ ผู้บริหารสำานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มีขั้นตอน การวจิยั 3 ระยะ คอื 1) การศกึษาองคป์ระกอบคณุลกัษณะภาวะผนู้าำ โครงการศกึษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน สำานักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศต้นแบบ จำานวน 18 คน 2) การศึกษารูป แบบคุณลักษณะภาวะผู้นำา โดยการสอบถามความคิดเห็นผู้บริหารสำานักวิทยบริการ และเทคโนโลยสีารสนเทศ มหาวทิยาลยัราชภฏั จาำนวน 187 คน และ 3) การประเมนิ รูปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำา โดยการสัมมนาอิงผู้ทรงคุณวุฒิ จำานวน 12 คน ผลการศึกษาองค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้นำา พบว่า มีองค์ประกอบ หลัก 5 ด้าน และตัวบ่งชี้คุณลักษณะ 64 ข้อ คือ 1) ด้านบุคลิกภาพ ประกอบด้วยตัว บ่งชี้คุณลักษณะ 16 ข้อ 2) ด้านการบริหารจัดการ ประกอบด้วยตัวบ่งชี้คุณลักษณะ 15 ข้อ 3) ด้านวิชาการ ประกอบด้วยตัวบ่งชี้คุณลักษณะ 14 ข้อ 4) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ประกอบด้วยตัวบ่งชี้คุณลักษณะ 10 ข้อ และ 5) ด้านเทคโนโลยี ประกอบ ด้วยตัวบ่งชี้คุณลักษณะ 9 ข้อ และผลการศึกษารูปแบบคุณลักษณะภาวะผู้นำา พบว่า ระดบัความสาำคญัของคณุลกัษณะภาวะผนู้าำในภาพรวมอยใู่นระดบัมากทสี่ดุ สว่นผลการประเมินรูปแบบคุณลักษณะ ภาวะผู้นำา พบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมและผู้ทรงคุณวุฒิได้เสนอ แนะปรับปรุงรูปแบบให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
2013-07-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายเชิงพื้นที่ และการยอมรับการเพาะปลูกยางพาราของเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1174
การประยุกต์ใช้ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาการกระจายเชิงพื้นที่ และการยอมรับการเพาะปลูกยางพาราของเกษตรกรในจังหวัดบุรีรัมย์
ผดุงชาติ, ยังดี
การวิจัยครั้งน้ีกำาหนดวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ยอมรบัการปลกูยางพาราของเกษตรกรในพนื้ท ่ีจงัหวดับรุรีมัย ์และศกึษาการประยกุต์ ใชร้ะบบภมูสิารสนเทศในการวเิคราะหห์าการกระจายเชงิพนื้ทที่เี่ปลยี่นเปน็พนื้ทปี่ลกู ยางพาราในจงัหวดับรุรีมัย ์โดยตงั้สมมตุฐิานไวส้องขอ้คอื ปจัจยัทางดา้นเศรษฐกจิ เปน็ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับการปลูกยางพารามากกว่าปัจจัยอื่นๆ และ การแพร่ กระจายของพื้นที่ปลูกยางพาราของเกษตรกรในพื้นที่ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นแบบเพื่อน บ้านใกล้เคียง (Neighborhood) มากกว่ารูปแบบอื่นๆ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ เกษตรกรที่ปลูกยางพาราในจังหวัดบุรีรัมย์จำานวน 17,379 ราย คำานวณหากลุ่ม ตัวอย่างด้วยสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้จำานวน 332 ตัวอย่าง แล้วทำาการสุ่มตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย(Simple Random Sampling) ทำาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย โปรแกรมสำาเร็จรูปทางสถิติเพื่อหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ส่วนการศึกษาการกระจายเชิงพื้นที่ของการปลูกยางพารา ทำาด้วยการนำาเข้า ข้อมูลการใช้ที่ดิน และภาพถ่ายดาวเทียม แล้ววิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Arc Gis 9.3 ผลการศึกษาพบว่า 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับการปลูกยางพาราโดยรวม พบว่า ปัจจัย ทางเศรษฐกจิ มอีทิธพิลในระดบัมาก คา่เฉลยี่เทา่กบั 3.68 สว่นปจัจยัอนื่ไดแ้ก ่ปจัจยั ทางสังคมวัฒนธรรม ปัจจัยทางกายภาพ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางการเมือง และ ปัจจัยทางด้านการสื่อสาร มีอิทธิพลในระดับปานกลาง ดังนั้น จึงยอมรับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ คือ ปัจจัยทาง ด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการยอมรับการปลูก ยางพารามากกว่าปัจจัยอื่นๆ 2. ผลการวจิยัปจัจยัรายดา้น พบวา่ ปจัจยั ทางด้านกายภาพที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับอยู่ใน ระดับมาก (X=3.97) คือ ความลาดชันของพื้นที่มี ความเหมาะสม ปจัจยัทางดา้นเศรษฐกจิทมี่อีทิธพิล ต่อการยอมรับอยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.55) คือ การมีความคาดหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนสูง ในอนาคต ปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรม ด้านที่ มีอิทธิพลต่อการยอมรับในระดับมาก (X= 4.14) คือ การปลูกยางตามเพื่อนบ้านและญาติๆ ปัจจัย ทางด้านการเมือง ที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับใน ระดับมาก (X= 3.67) คือ นโยบายการขยายพื้นที่ ปลูกยางพาราของรัฐบาล ปัจจัยด้านการสื่อสารที่มี อทิธพิลตอ่การยอมรบัในระดบัมาก (X= 4.11) คอื การบอกเล่าจากเพื่อนบ้านหรือญาติๆ และปัจจัย ส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลในระดับมาก (X= 4.33) คือ การมีที่ดินเป็นของตนเอง 3. ผลการศึกษาการแพร่กระจายเชิงพื้นที่ โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โปรแกรม Arc Gis 9.3 พบว่า จาก ปี พ.ศ. 2543 และ ปี พ.ศ. 2554 อำาเภอที่มีการขยายพื้นที่ปลูกยางพารามาก ที่สุดได้แก่ อำาเภอบ้านกรวด อำาเภอแคนดง อำาเภอ สตกึ อำาเภอคเูมอืง และอำาเภอประโคนชยัตามลำาดบั และเมื่อทำาการซ้อนทับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อทดสอบ สมมตุฐิาน พบวา่ การแพรก่ระจายเชงิพนื้ทเี่ปน็แบบ เพื่อนบ้านใกล้เคียง (Neighborhood) มากกว่ารูป แบบอื่นๆ ซึ่งยอมรับสมมุติฐาน
2013-05-01T00:00:00Z
-
ข้อเสนอเชิงนโยบายการผลิตครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1173
ข้อเสนอเชิงนโยบายการผลิตครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ละออง, ภู่เงิน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและแนวทาง พัฒนาการผลิตครูของคณะครุศาสตร์และนำามาพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายการ ผลิตครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้มี ความครอบคลุม ความเหมาะสม ความสอดคล้อง ความชัดเจน ความมีประโยชน์ และความเป็นไปได้ในการนำาไปปฏิบัติ วิธีดำาเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 การยกร่างข้อเสนอเชิงนโยบายซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเอกสารการวิจัย เชิงสำารวจ และการยกร่างข้อเสนอเชิงนโยบายและระยะที่ 2 การพัฒนาร่างข้อเสนอ เชงินโยบาย โดยการวจิยัจากผทู้รงคณุวฒุ ิจำานวน 2 ชดุ และการประชมุสนทนากลมุ่ คณะกรรมการบรหิารคณะครศุาสตรห์นงึ่แหง่ เพอื่ใหไ้ดร้บัการยนืยนัวา่เปน็ขอ้เสนอ เชงินโยบายตามเกณฑก์ารเปน็นโยบายทดี่ผีลการวจิยัสรปุไดว้า่สภาพปจัจบุนัการผลติ ครโูดยภาพรวมมกีารดำาเนนิงานอยใู่นระดบัมาก โดยดา้นทมี่กีารปฏบิตัสิงูสดุคอืดา้น การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู รองลงมาคือด้านการพัฒนาคณาจารย์และบุคลากร สายสนบัสนนุสว่นดา้นทมี่กีารปฏบิตัติำา่สดุคอื ดา้นการสรา้งเครอืขา่ยความรว่มมอืใน การผลติคร ูปญัหาการผลติครทูสี่ำาคญัสงูสดุในแตล่ะดา้นไดแ้กจ่ำานวนการรบันกัศกึษา ในแต่ละปีมากเกินไปการขาดแคลนสถานที่และอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ในรายวชิาภาคปฏบิตันิกัศกึษามจีำานวนมากเกนิไปทำาใหไ้มส่ามารถนเิทศการสอนได้ อย่างทั่วถึง อาจารย์ผู้สอนมีชั่วโมงสอนและภาระงานด้านอื่นๆ มากเกินไป อาจารย์ไมใ่หค้วามสำาคญักบัการสรา้งเครอืขา่ยความรว่มมอื กบัโรงเรยีนและหนว่ยงานทเี่กยี่วขอ้งและขาดแคลน สถานที่สำาหรับการจัดกิจกรรมนักศึกษาสำาหรับ แนวทางพัฒนาการผลิตครูที่ควรพัฒนามากที่สุดใน แต่ละด้าน ประกอบด้วยการคัดเลือกนักศึกษาเข้า เรียนโดยเน้นคุณสมบัติเป็นคนเก่ง ดีและมีใจรักใน วชิาชพีคร ูควรจดัสรรงบประมาณเพอื่จดัหาอปุกรณ์ ในห้องปฏิบัติการให้เพียงพอกับจำานวนนักศึกษา พัฒนาระบบการนิเทศและให้ความสำาคัญกับการ นิเทศนักศึกษา ปรับปรุงระเบียบการลาศึกษาต่อ เพื่อให้สามารถลาศึกษาต่อได้ทั้งภาคปกติและภาค พิเศษโดยได้รับเงินเดือนและทุนการศึกษา ควร ประสานงานในเชิงรุกกับทุกฝ่ายเพื่อสร้างเครือข่าย ความรว่มมอืในการผลติครใูหเ้ขม้แขง็มากยงิ่ขนึ้ และ ควรจดัหาสถานทใี่นการจดักจิกรรมพฒันานกัศกึษา ดงันนั้จงึนำาขอ้คน้พบจากสภาพปจัจบุนัปญัหา และ แนวทางพัฒนาการผลิตครูดังกล่าวมาพัฒนาเป็น ข้อเสนอเชิงนโยบายการผลิตครูของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีโครงสร้างของข้อเสนอเชิงนโยบายการผลิตครู แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือหลักการ วัตถุประสงค์และ ประเดน็นโยบายซงึ่ประกอบดว้ย 5 ดา้นคอื ดา้นการ วางแผนการผลิตครู ด้านหลักสูตรและการจัดการ เรียนการสอน ด้านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ครู ด้านการพัฒนาคณาจารย์และบุคลากรสาย สนับสนุน และด้านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ในการผลิตครู โดยมีมาตรการดำาเนินงานรวมทั้งสิ้น จำานวน 42 มาตรการ
2013-05-01T00:00:00Z
-
การประเมินผลการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการพัฒนาท้องถิ่น ของเทศบาลเมืองชุมเห็ด ตำาบลชุม เห็ด อำาเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1172
การประเมินผลการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการพัฒนาท้องถิ่น ของเทศบาลเมืองชุมเห็ด ตำาบลชุม เห็ด อำาเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
ขวัญนภา, วงศ์ไพศาลสิริกุล
รายงานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและประเมินผลการประยุกต์ ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลเมืองชุมเห็ดตาม ตัวชี้วัด ผู้ให้ข้อมูลสำาคัญ ได้แก่ ผู้นำาชุมชน และ ผู้บริหารและพนักงานเจ้าหน้าที่ ของเทศบาลเมืองชุมเห็ด จำานวน 74 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและ แบบสัมภาษณ์ การตรวจสอบเครื่องมือใช้การตรวจสอบแบบสามเส้า การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้การตีความและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า (1) การประยุกต์ใช้ หลักเศรษฐกิจพอเพียง ในระดับครัวเรือน ระดับชุมชน และ ระดับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น โดยประเมินจากตัวชี้วัดของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พบว่า เทศบาลเมืองชุมเห็ด มีการประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามเป้าหมาย 15 ตวัชวี้ดั (2) การประยกุตใ์ชป้รชัญาของเศรษฐกจิพอเพยีง ในระดบัองคก์รปกครอง สว่นทอ้งถนิ่ โดยประเมนิจากตวัชวี้ดัของสาำนกังานคณะกรรมการพเิศษเพอื่ประสาน งานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด ำาริ (กปร.) พบว่าเทศบาลเมืองชุมเห็ด มีการ ประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามเป้าหมาย 4 ตัวชี้วัด (3) การประยุกต์ ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของเทศบาลเมืองชุมเห็ด ในระดับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น โดยประเมินจากตัวชี้วัดของผู้วิจัย พบว่าเทศบาลเมืองชุมเห็ด มีการประยุกต์ ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามเป้าหมาย 8 ตัวชี้วัด (4) การประยุกต์ใช้หลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในระดับครัวเรือน และ ระดับชุมชน โดยประเมินจาก ตัวชี้วัดของศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า เทศบาลเมืองชุมเห็ดมีการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามเปา้หมายอยใู่นระดบัมาก 9 ตวัชวี้ดั อยใู่นระดบั ปานกลาง 7 ตัวชี้วัด และ อยู่ในระดับน้อย 7 ตัวชี้วัด
2013-05-01T00:00:00Z
-
การพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมความสามารถการใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน สำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1124
การพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมความสามารถการใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน สำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จังหวัดบุรีรัมย์
อัครพนท์, เนื้อไม้หอม; พุทธชาด, ศรีพัฒนสกุล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการใช้ภาษาอังกฤษของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวคือเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง 3) เพื่อพัฒนาป้าย แผ่นพับประชาสัมพันธ์ และรายการสินค้าเป็นภาษาอังกฤษที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงต่อนวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษ และป้าย แผ่นพับประชาสัมพันธ์ และรายการสินค้าภาษาอังกฤษ ประชากรคือเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร/เครื่องดื่มที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวน 5 คน และคนไทย จำนวน 35 คน ได้แก่เจ้าหน้าที่ของวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จำนวน 13 คน ผู้ประกอบการร้านขายของที่ระลึก จำนวน 15 คน และผู้ประกอบการร้านอาหาร/เครื่องดื่ม จำนวน 7 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 40 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม มีทั้งหมด 10 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จำนวน 5 คน ผู้ประกอบการร้านขายของที่ระลึก จำนวน 3 คน และผู้ประกอบการร้านอาหาร/เครื่องดื่ม จำนวน 2 คน การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม
3) นวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษ 4) แบบประเมินนวัตกรรม 5) แบบเก็บข้อมูลภาษาต้นฉบับและภาษาแปล และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนาคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า
1. ด้านความต้องการใช้ภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามและการสนทนากลุ่มเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญและจำเป็นเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนมากที่สุด ด้านทักษะภาษาอังกฤษ
กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าสองทักษะมีความจำเป็นมากที่สุดคือทักษะฟังและการพูด ด้านเนื้อหาภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าทั้งคำศัพท์และบทสนทนาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการมีความจำเป็นในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษมากที่สุด
2. ด้านการพัฒนานวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นสอดคล้องและคล้ายคลึงกันว่าหนังสือเล่มเล็กและซีดีมีความเหมาะสมกับการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษมากที่สุด ด้านหัวข้อเพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษ พบว่าเจ้าหน้าที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงต้องการฝึกฝนหัวข้อภาษาอังกฤษจำนวน 11 หัวข้อจากทั้งหมด 12 หัวข้อ และผู้ประกอบการต้องการฝึกฝนหัวข้อภาษาอังกฤษจำนวน 19 หัวข้อจากทั้งหมด 29 หัวข้อ
3. ด้านความต้องการป้าย แผ่นพับประชาสัมพันธ์ และรายการสินค้าภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนไทยต้องการป้ายประชาสัมพันธ์ที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษคู่กันมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องการป้ายประชาสัมพันธ์ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวและป้ายบอกทางมากที่สุด ส่วนกลุ่มตัวอย่างจากการสนทนากลุ่มบอกว่าป้ายที่ผู้เข้าร่วมสนทนาต้องการมากที่สุดคือ ป้ายต้อนรับ
ป้ายบอกทาง ป้ายชื่อร้านค้า ป้ายรายการอาหารและเครื่องดื่ม ป้ายสุขา ป้ายที่จอดรถ และป้ายห้ามต่างๆ
4. ผู้เชี่ยวชาญประเมินนวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านรูปเล่มมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ 4.88 ตามด้วยด้านซีดีเสียงภาษาอังกฤษ ด้วยค่าเฉลี่ย 4.83 และด้านเนื้อหา ด้วยค่าเฉลี่ย 4.75 ตามลำดับ และผู้เชี่ยวชาญประเมินผลการพัฒนาป้าย แผ่นพับประชาสัมพันธ์และรายการสินค้าภาษาอังกฤษโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นเดียวกัน
5. กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเจ้าหน้าที่มีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในด้านเนื้อหามากที่สุด ด้วยค่าเฉลี่ย 4.84 ตามด้วยด้านรูปเล่ม ด้วยค่าเฉลี่ย 4.73 และด้านซีดีเสียงภาษาอังกฤษ ด้วยค่าเฉลี่ย 4.72 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการมีความพึงพอใจต่อนวัตกรรมการสื่อสารภาษาอังกฤษโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีความพึงพอใจในด้านรูปเล่มและด้านเนื้อหามากที่สุดด้วยค่าเฉลี่ยเท่ากันคือ 4.81 ตามด้วยด้านซีดีเสียงภาษาอังกฤษด้วยค่าเฉลี่ย 4.76 ส่วนด้านการพัฒนาป้ายและแผ่นพับประชาสัมพันธ์ และรายการสินค้าภาษาอังกฤษ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจโดยรวมมากที่สุดเช่นเดียวกัน
2015-01-01T00:00:00Z
-
ผลการใช้จิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสิมสร้างคุณลักษณะความเป็นครู สำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/1000
ผลการใช้จิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสิมสร้างคุณลักษณะความเป็นครู สำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
วันทนีย์, นามสวัสดิ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาเปรียบเทียบความตระหนักรู้ตนเองในคุณลักษณะความเป็นครูก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมและกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อสร้างคุณลักษณะความเป็นครูสำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ 2) ศึกษาความคงทนในความตระหนักรู้ตนเองในคุณลักษณะความเป็นครูสำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมและกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณลักษณะความเป็นครู 3) ศึกษาเปรียบเทียบความตระหนักรู้ตนเองในคุณลักษณะความเป็นครูระหว่างนักศึกษากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมและกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะความเป็นครู 5) ศึกษาพฤติกรรมความเป็นครูของนักศึกษากลุ่มทดลองขณะออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
2013-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำ สำหรับบุคคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/999
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำ สำหรับบุคคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ฐิตาภรณ์, เวียงวิเศษ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำหรับบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (2) เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำหรับบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผลการวิจัยพิบว่า หลักสูตรฝึกอบรมมี 6 หลักสูตร (2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำหรับบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีความรู้ความเข้าใจหลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการเข้าอบรมอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.5 (3) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเสริมสมรรถนะการวิจัยเพื่อพัฒนางานประจำหรับบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีเจตคติที่ดีต่อการวิจัยหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญที่ 0.1 (4) ผู้่เข้ารับการฝึกอบรมมีการพัฒนางานประจำด้วยงานวิจัย
2013-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/439
การพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
อัครพนท์, เนื้อไม้หอม; ชมพู, อิสริยาวัฒน์
งานวิจัย
2017-01-01T00:00:00Z