สถาบันวิจัยและพัฒนา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/381
2024-03-29T05:56:19Z
-
วารสารวิจัยและพัฒนา ปีที่ 12 ฉบับที่ 2
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4028
วารสารวิจัยและพัฒนา ปีที่ 12 ฉบับที่ 2
สถาบันวิจัยและพัฒนา
2560-12-31T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจากการทอผ้าไหมมัดหมี่ตีนแดง ตำาบลนาโพธิ์อำาเภอนาโพธิ์จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4027
การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจากการทอผ้าไหมมัดหมี่ตีนแดง ตำาบลนาโพธิ์อำาเภอนาโพธิ์จังหวัดบุรีรัมย์
แก้วมณี, อุทิรัมย์; จริญญา, สันฐิติธนาวัฒน์; น้ำอ้อย, จันทะนาม; แพรววิภา, นิลแก้ว; สุภาภรณ์, แสนทุนท้าว
2560-12-31T00:00:00Z
-
กระบวนทัศน์การพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพ ในศตวรรษที่21ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4026
กระบวนทัศน์การพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพ ในศตวรรษที่21ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
พัชรา, แย้มสำราญ; สุเทพ, อ่วมเจริญ
2560-12-31T00:00:00Z
-
แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบองค์รวม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4025
แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบองค์รวม
นลินทิพย์, พิมพ์กลัด; นงลักษณ์, ทองศรี; จันทิราพร, ศิรินนท์; พิสมัย, ประชานันท์; อัจฉรา, หลาวทอง; จตุพร, จันทารัมย์; ฤทัยภัทร, ให้ศิริกุล
2560-12-31T00:00:00Z
-
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ในจังหวัดอุบลราชธานีผ่านระบบดาวเทียมบอกพิกัด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4024
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว ในจังหวัดอุบลราชธานีผ่านระบบดาวเทียมบอกพิกัด
รักภักดี, เกรียงศักดิ์; นามวงศ์, ปราโมทย์; ริมทอง, ไมตรี; โมราชาติ, วชิระ
2560-12-31T00:00:00Z
-
ความไว้วางใจนวัตกรรมในวงจรธุรกรรมการเงินโดยใช้เทคโนโลยี ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความสำาเร็จในการให้บริการ ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4023
ความไว้วางใจนวัตกรรมในวงจรธุรกรรมการเงินโดยใช้เทคโนโลยี ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลต่อความสำาเร็จในการให้บริการ ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
ศรีจันทรา, วีรยุทธ; วงศ์กังวาน, อรุณรุ่ง
2560-12-31T00:00:00Z
-
รูปแบบความร่วมมือกลุ่มบุคคลเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจของโซ่อุปทานข้าวหอมมะลิ จังหวัดร้อยเอ็ดในภาวะที่เกิดภัยแล้ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4022
รูปแบบความร่วมมือกลุ่มบุคคลเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจของโซ่อุปทานข้าวหอมมะลิ จังหวัดร้อยเอ็ดในภาวะที่เกิดภัยแล้ง
วงศ์ศิริคุณากร, ณัฏฐวัฒน์; วิรุณราช, บรรพต
2560-12-31T00:00:00Z
-
การใช้สูตรทางสถิติ(ที่ถูกต้อง)ในการกำาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างเพื่อการวิจัย เชิงปริมาณในทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4021
การใช้สูตรทางสถิติ(ที่ถูกต้อง)ในการกำาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างเพื่อการวิจัย เชิงปริมาณในทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ศิลาน้อย, ละเอียด
2560-12-31T00:00:00Z
-
การใช้การเรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติโดยใช้ข่าวประจำาวันเพื่อส่งเสริม การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4015
การใช้การเรียนรู้แบบเน้นงานปฏิบัติโดยใช้ข่าวประจำาวันเพื่อส่งเสริม การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
Saenglueang, Atchara; Lornklang, Thanachart
2560-12-31T00:00:00Z
-
ภาวะผู้นำาของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำาบล ในเขตอำาเภอเมืองสกลนครจังหวัดสกลนคร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4014
ภาวะผู้นำาของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำาบล ในเขตอำาเภอเมืองสกลนครจังหวัดสกลนคร
อุดมกิจมงคล, ชาติขัย
2560-12-31T00:00:00Z
-
การส่งเสริมแรงงานทักษะไทยสู่สปป.ลาว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4013
การส่งเสริมแรงงานทักษะไทยสู่สปป.ลาว
เฉิดโฉม, ณพิชญา; จันทร์เรือง, ศักดิ์ชาย; วีรุณราช, บรรพต
2560-12-31T00:00:00Z
-
การพัฒนาตู้อบรังไหมแบบเลนส์ขยายความร้อนจากแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการอบ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4012
การพัฒนาตู้อบรังไหมแบบเลนส์ขยายความร้อนจากแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการอบ
แก้วจันทร์, ศุภชัย; พยอม, ชูชาติ; นาคนวล, เอกราช
2560-12-31T00:00:00Z
-
การบริหารการจัดการโฮมสเตย์มาตรฐานไทยตามเส้นทางการท่องเที่ยวอารบธรรมขอมในภูมิภาคอีสานตอนล่าง กรณีศึกษา จังหวัดนครราชสีมา,บุรีรัมย์,สุรินทร์,ศรีสะเกษ และจังหวัดไกล้เคียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3476
การบริหารการจัดการโฮมสเตย์มาตรฐานไทยตามเส้นทางการท่องเที่ยวอารบธรรมขอมในภูมิภาคอีสานตอนล่าง กรณีศึกษา จังหวัดนครราชสีมา,บุรีรัมย์,สุรินทร์,ศรีสะเกษ และจังหวัดไกล้เคียง
ราเมศ, พรหมชาติ; รุ่งรัตน์, หัตถกรรม; ปรีชา, ปาโนรัมย์
2550-06-30T00:00:00Z
-
การเรียนทักษะกีฬาว่ายน้ำที่มีผลต่อสุขภาพ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3472
การเรียนทักษะกีฬาว่ายน้ำที่มีผลต่อสุขภาพ
กริชเพชร, นนทโคตร
2551-12-31T00:00:00Z
-
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยฝึกความสามารถแบบอิงเกณฑ์เรื่อง การประกอบและติดตั้งระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3471
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยฝึกความสามารถแบบอิงเกณฑ์เรื่อง การประกอบและติดตั้งระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
เดวิทย์, ศิริพจน์
2551-12-31T00:00:00Z
-
การศึกษาพฤติกรรมที่มีผลต่อการออมเงินของนักษาคณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3470
การศึกษาพฤติกรรมที่มีผลต่อการออมเงินของนักษาคณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยราชภฏบุรีรัมย์
รพีพรรณ, พงษ์อินทร์วงศ์
2551-07-01T00:00:00Z
-
ปัจจัยที่มีอิธิพลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3469
ปัจจัยที่มีอิธิพลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของนักศึกษากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
วริษฐ์, กิตติ์ธนารุจน์
2551-12-31T00:00:00Z
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3468
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นันทนา, คงนันทะ; กิตติศักดิ์, นามวิชา
2551-12-31T00:00:00Z
-
การศึกษานักการเมืองถิ่น กรณีจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3467
การศึกษานักการเมืองถิ่น กรณีจังหวัดบุรีรัมย์
นิรันดร์, กุลฑานันท์
2551-06-30T00:00:00Z
-
นิเวศวัฒนธรรมคนหาปลากลุ่มชาติพันธุ์(กะตาง)ลุ่มนน้ำโขงตอนกลาง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3466
นิเวศวัฒนธรรมคนหาปลากลุ่มชาติพันธุ์(กะตาง)ลุ่มนน้ำโขงตอนกลาง
อิทธิวัตร, ศรีสมบัต
2551-12-31T00:00:00Z
-
ศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานเขากระโดง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3465
ศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานเขากระโดง
รุ่งรัตน์, หัตถกรรม
2551-07-30T00:00:00Z
-
การประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวด้วยงานออกแบบกราฟิกสื่อสิ่งพิมพ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3464
การประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวด้วยงานออกแบบกราฟิกสื่อสิ่งพิมพ์
รุ่งนภา, จะนันท์
2551-12-31T00:00:00Z
-
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงจำนวนนักศึกษา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3463
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงจำนวนนักศึกษา
เชาวลิต, สิมสวย
2551-06-30T00:00:00Z
-
การปรับตัวทางเศรษฐกิจของผู้ย้ายถิ่นกลับหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3462
การปรับตัวทางเศรษฐกิจของผู้ย้ายถิ่นกลับหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไทย
รังสรรค์, สิงหเลิศ
2551-06-30T00:00:00Z
-
การจัดการความรู้ภมิปัญญาท้องถิ่นด้านเครื่องปั้นดินเผาบ้านกลาง ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3461
การจัดการความรู้ภมิปัญญาท้องถิ่นด้านเครื่องปั้นดินเผาบ้านกลาง ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
วีระศักดิ์, จุลดาลัย; พณิฐา, ยงพิทยาพงศ์; อาติมา, ศรีปากดี
2550-06-30T00:00:00Z
-
ผลของการใช้ใบไมยราบยักษ์ในอาหารปลาดุกลูกผสม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3460
ผลของการใช้ใบไมยราบยักษ์ในอาหารปลาดุกลูกผสม
บรรเจิต, สอนสุภาพ
2551-06-30T00:00:00Z
-
ผลกระทบของสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ในห้องเรียนคณิตศาสตร์และสถิติต่อผลลัพท์ที่ได้ของผู้เรียนในมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย พ.ศ.2549
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3459
ผลกระทบของสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ในห้องเรียนคณิตศาสตร์และสถิติต่อผลลัพท์ที่ได้ของผู้เรียนในมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย พ.ศ.2549
เจริญ, จันทวงศ์
2550-06-30T00:00:00Z
-
มูลค่าในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมศิลปกรรมชุมชนบริเวณคลองอัมพวา ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3458
มูลค่าในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมศิลปกรรมชุมชนบริเวณคลองอัมพวา ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์
ธานินทร์, ไชยเยชน์
2551-06-30T00:00:00Z
-
สภาพการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่นในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3457
สภาพการอนุรักษ์อุโบสถพื้นถิ่นในจังหวัดบุรีรัมย์
สมบัติ, ประจญศานต์
2550-06-30T00:00:00Z
-
การใช้เพลงช่วยสอนร้อยกรองอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและพูด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3456
การใช้เพลงช่วยสอนร้อยกรองอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและพูด
พรพิมล, พงศ์สุวรรณ
2551-06-30T00:00:00Z
-
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เส้นทางวัฒนธรรมขอมและแหล่งท่องเที่ยวไกล้เคียง กรณีศึกษา เส้นทางอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย-อุทยานประวัตศาสตร์พนมรุ้ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3455
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เส้นทางวัฒนธรรมขอมและแหล่งท่องเที่ยวไกล้เคียง กรณีศึกษา เส้นทางอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย-อุทยานประวัตศาสตร์พนมรุ้ง
วิไลรัตน์, ยางทองไชย; ชูศักดิ์, ยาทองไชย; พวงเพชร, ราชประโคน; จันทิราพร, ศิรินนท์
2550-06-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบบริหารจัดการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคคลในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบและยั่งยืน จังหวัดนครพนม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3454
การพัฒนาระบบบริหารจัดการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคคลในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบและยั่งยืน จังหวัดนครพนม
วีระศักดิ์, จุลดาลัย; พณิฐา, ยงพิทยาพงศ์
2551-06-30T00:00:00Z
-
การศึกษาศักยภาพเศรษฐกิจภายในจังหวัดบุรีรัมย์ กรณีศึกษาภาคอุสาหกรรมและเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3453
การศึกษาศักยภาพเศรษฐกิจภายในจังหวัดบุรีรัมย์ กรณีศึกษาภาคอุสาหกรรมและเกษตร
ปรีชา, ปาโนรัมย์
2551-06-30T00:00:00Z
-
Quinolon
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3452
Quinolon
sommai, patitungkho
2550-06-30T00:00:00Z
-
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ของจริงหรือของปลอม บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3451
ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ของจริงหรือของปลอม บันทึกไว้เพื่อความทรงจำ
วิสุทธิ์, ภิญโญวาณิชกะ
2551-06-30T00:00:00Z
-
ปี 2550 เป็นปีภาษาไทยเฉลิมพระเกียรติคนไทยจะม่ส่วนร่วมในการรณรงค์ภาษาไทยอย่างไร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3450
ปี 2550 เป็นปีภาษาไทยเฉลิมพระเกียรติคนไทยจะม่ส่วนร่วมในการรณรงค์ภาษาไทยอย่างไร
บุณย์เสนอ, ตรีวิเศษ
2550-06-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาเศรษฐกิจทางเลือกบนฐานคิดของความยั่งยืน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3449
การพัฒนาเศรษฐกิจทางเลือกบนฐานคิดของความยั่งยืน
สุริยา, รักการศิลป์
2550-06-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาโจทย์วิจัยและโครงการวิจัยเพื่อเสริมยุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วม กรณีศึกษา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3448
การพัฒนาโจทย์วิจัยและโครงการวิจัยเพื่อเสริมยุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วม กรณีศึกษา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์
เชาวลิต, สิมสวย; สมาพร, คล้ายวิเชียร; เกษสุดา, บูรณพันธ์ศักด์
2550-06-30T00:00:00Z
-
การพัฒนาการท่องเที่ยวเส้นทางอารยธรรมขอม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3447
การพัฒนาการท่องเที่ยวเส้นทางอารยธรรมขอม
นิรันดร์, กุลฑานันท์; ธิติพงศ์, พิรุณ
2551-06-30T00:00:00Z
-
การบริหารการจัดการโฮมสเตย์มาตรฐานไทยตามเส้นทางการท่องเที่ยวอารบธรรมขอมในภูมิภาคอีสานตอนล่าง กรณีศึกษา จังหวัดนครราชสีมา,บุรีรัมย์,สุรินทร์,ศรีสะเกษ และจังหวัดไกล้เคียง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3446
การบริหารการจัดการโฮมสเตย์มาตรฐานไทยตามเส้นทางการท่องเที่ยวอารบธรรมขอมในภูมิภาคอีสานตอนล่าง กรณีศึกษา จังหวัดนครราชสีมา,บุรีรัมย์,สุรินทร์,ศรีสะเกษ และจังหวัดไกล้เคียง
ราเมศ, พรหมชาติ; รุ่งรัตน์, หัตถกรรม; ปรีชา, ปาโนรัมย์
2550-06-30T00:00:00Z
-
ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเส้นทางอารยธรรมขอม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3445
ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเส้นทางอารยธรรมขอม
นิรันดร์, กุลฑานันท์
2550-06-30T00:00:00Z
-
ปราสาทหิน และทับหลัง วิธีสร้างความสำคัญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3444
ปราสาทหิน และทับหลัง วิธีสร้างความสำคัญ
สรเชต, วารคามวิชัย
2551-06-30T00:00:00Z
-
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3443
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย
มาโนช, ภูต้องใจ; เศกสรรค์, ยงวณิชย์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวา บ้านโพน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย ตามความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่ม แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีสองส่วน ส่วนแรกใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ สมาชิกกลุ่ม จำ นวน 240 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนที่สองเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แนวคำ ถามประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญคือคณะกรรมการกลุ่มกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวา บ้านโพน
ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย จำนวน 20 คน ผลการศึกษาพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกลุ่มอาชีพสตรีทอผ้าไหมแพรวา บ้านโพน ศูนย์วัฒนธรรมผู้ไทย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และด้านการกระตุ้นทางปัญญา 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำ ซึ่งแยกเป็นด้านดังนี้ (1) ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ผู้นำกลุ่มควรพัฒนาตนในการแสดงวิสัยทัศน์และสามารถถ่ายทอดไปยังสมาชิกกลุ่มได้เป็นอย่างชัดเจน (2) ด้านการสร้างแรงบันดานใจ ผู้นำกลุ่มควรปฏิบัติตนในทางที่จูงใจให้เกิดแรงบันดาลใจ (3) ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ผู้นำควรมีความสามารถที่จะกระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มมีความกล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ (4) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ผู้นำกลุ่มควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลให้ความสำคัญและเอาใจใส่สมาชิกกลุ่มเป็นรายบุคคลให้ความสำคัญกับคุณค่าของสมาชิก; The objective of this research ware 1) to study Transformational leadership for Praewa Weaving
Career Women Ban Phon Group, Phuthai Culture Center according to the group’s opinions and 2) to study
ways of developing such transformational leadership success. The research population was divided into
two part. Part 1 used a questionnaire as a tool for data collection: 240 members in this women’s group
were used in this case. Data analysis for values of frequency, percentage, mean and standard deviation.
Part 2 undertook in-depth interviews with questions from 20 informants in the woman’s group
The results of the study:1) Woman’s transformational leadership was coverall found at Many levels.
When compared individually, ideal influence had the highest mean, followed by inspiration making, individualism
thinking and wisdom stimulation.2) Ways of developing women’s transformational leadership are as
follows: (1) For ideal influence, the group leaders should self-develop by showing their vision and ability
to transfer it to the members clearly. (2) For inspiration making, the group leaders should be inspired
to bring about inspiratio. (3) For wisdom stimulation, the group leaders should be able to stimulate the
members’ bravery to try innovations. (4) For individualism thinking, the group leaders should think about
individual differences and give importance, pay attention and give value to individual members
2554-06-30T00:00:00Z
-
การศึกษาแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3442
การศึกษาแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ; ทิิพยรัตน์, กัลยพฤกษ
การวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพือศึกษาข้อมูลในการปลูกยางพารา ปัญหาการปลูก
ยางพาราและแนวทางการเพิมประสิทธิภาพการปลูกยางพาราในภาคอีสานตอนใต้ เป็ นการศึกษา
ข้อมูลการปลูกยางพารา และปัญหาจากเกษตรกรในภาคอีสานตอนใต้ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
ครังนี ได้มาโดยการแบ่งกลุ่มเกษตรกรตามพืนทีปลูกและใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random
Sampling) จํานวน คน จาก จังหวัด อําเภอ การวิจัยครังนีเป็ นการวิจัยแบบ Mixed
Method โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากเกษตรกร คน และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอําเภอละ
คน เพือเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In Depth Interview : IDI)
การสังเกต แบบมีส่วนร่วม (Participatory Observation) การสนทนากลุ่ม (Focus Group
Discussion : FGD) และการศึกษาเอกสารงานวิจัยและการจัดการความรู้ แล้วนําข้อมูลทีได้กลับคืน
สู่เกษตรกร เพือตรวจสอบแล้วนํามาวิเคราะห์เนือหา (Content Analysis) การสังเคราะห์เนือหา
(Content Synthesis) เพือให้ข้อมูลเชิงลึกทําการวิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี และร้อยละ
2555-01-01T00:00:00Z
-
ความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืนใน แมน้ําโขงตอนลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3441
ความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืนใน แมน้ําโขงตอนลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย
พยอม, รอตมงคลดี; เมธาวี, รอตมงคลดี; งามตา, โอกาสดี; จำนงค์, รอตมงคลดี
การศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด และการใชประโยชนอยางยั่งยืน
ในแมน้ําโขง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ
มุกดาหาร และนครพนม โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาบริบทชุมชน ความหลากหลายและ
การแพรกระจายของทรัพยากรชีวภาพพวกปลาน้ําจืด ระบบนิเวศและการใชประโยชน บริเวณแมน้ํา
โขงตอนลาง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร และนครพนม และเพื่อพัฒนา
การเรียนรูดวยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร เพื่อใหไดองคความรูใหมโดยการมีสวนรวมของ
ภูมิปญญาทองถิ่น ตลอดจนเพื่อจัดทําฐานขอมูลทรัพยากรชีวภาพและสิ่งแวดลอมในแมน้ําโขง
โดยกระบวนการปฏิบัติการแบบมีสวนรวม โดยใชวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลจากเอกสาร การซักถาม
การสนทนากลุมและการทําเวทีประชาคม กระบวนการเรียนรูรวมกันระหวางผูวิจัย ครู นักเรียนและ
ชาวบานในชุมชน การเก็บและวิเคราะหคุณภาพน้ํา (อุณหภูมิ ความโปรงแสง คา pH และคา DO)
และการศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืด โดยการเก็บตัวอยางและนํามาจําแนกชนิด
ในระหวางเดือนตุลาคม 2554 ถึงกันยายน 2555
ผลการศึกษาบริบทชุมชนบานเวินบึก ตําบลโขงเจียม อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
และบานไชยบุรี ตําบลไชยบุรี อําเภอทาอุเทน จังหวัดนครพนม พบวาชุมชนบานเวินบึกเปนชุมชน
ชนบท ที่ประชาชนใชชีวิตอยูอยางมีความสุข สวนใหญประกอบอาชีพการทําประมงในแมน้ําโขงเปน
อาชีพหลัก ชุมชนบานไชยบุรีเปนชุมชนชนบท ประชากรมีฐานะความเปนอยูคอนขางดี มีอาชีพ
การงานที่มั่นคง เชนรับราชการ พนักงาน ทํานา เลี้ยงปลา คาขายและการแปรรูปสัตวน้ํา
จากการศึกษาพบวาชุมชนบานเวินบึก ไมมีปญหาสาธารณสุขที่สําคัญ สวนชุมชนบานไชยบุรี
จากการศึกษาพบวาชาวบานมีปญหาดานสาธารณสุขที่พบ คือ โรคเบาหวาน
การศึกษาระบบนิเวศของแมน้ําโขง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร และ
นครพนม พบวาน้ํามีคุณภาพดี และลําน้ํามีความหลากหลายของระบบนิเวศสูง ทั้งในลําน้ําและ
บริเวณริมฝงแมน้ํา ทําใหมีทรัพยากรสัตวน้ําชุกชุม ทั้งกุง หอย ปู ปลา มีที่สาธารณะประโยชน
ลําหวย และบุงหลายแหงที่ชาวบานไดใชประโยชนรวมกัน แตปจจุบันพบวาบางบริเวณมีการบุกรุก
ทําลายพื้นที่สาธารณะ ทําใหลําหวยแคบลง ตื้นเขินและบางแหงหมดสภาพไป เนื่องจากมีการถมดิน
รุกล้ําลําน้ําทําใหลําน้ําเปลี่ยนสภาพไป นอกจากนี้ปริมาณน้ําและการไหลของน้ําในแมน้ําโขงก็มี
การเปลี่ยนแปลงไปไมมีความแนนอน โดยเฉพาะในฤดูแลง
การใชประโยชนจากแมน้ําโขง พบวาชาวบานที่อาศัยอยูบริเวณริมฝงแมน้ําโขงและหมูบาน
ใกลเคียงไดใชประโยชนจากแมน้ําโขง โดยใชน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค เพื่อการเพาะปลูกและเลี้ยง
สัตว ใชไมบริเวณริมฝง เพื่อการสรางเครื่องมือประมง เครื่องใชและใชเปนเชื้อเพลิง ใชพื้นที่
สาธารณะประโยชนบริเวณริมฝงแมน้ําเปนที่ทําเลเลี้ยงสัตวและเก็บหาของปา ใชแหลงน้ําเพื่อ
การคมนาคมและการทองเที่ยว เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่แปลกและสวยงาม นอกจากนี้
ชาวบานจํานวนมากยังจับสัตวน้ําไดตลอดทั้งป ทั้งเพื่อการบริโภคในครัวเรือน เพื่อจําหนายและเพื่อ
การแปรรูป ทําใหเกิดความมั่นคงดานอาหารในทองถิ่นไดมีการฝกปฏิบัติ เรียนรูรวมกันของนักเรียน ครู ชาวบานและผูวิจัย ในเรื่องการสํารวจ
ทรัพยากรชีวภาพ การวิเคราะหคุณภาพน้ํา การเฝาระวังปญหาสิ่งแวดลอม รวมทั้งการอนุรักษและ
พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติบริเวณแมน้ําโขง เพื่อการใชประโยชนอยางยั่งยืน ซึ่งกอใหเกิดผลดังนี้
1. กลุมนักเรียนไดจัดตั้งกลุม เพื่อพัฒนาเครือขายการอนุรักษแมน้ําโขง
2. กลุมชาวบานในชุมชนมีการดําเนินการรวมกัน เพื่อเฝาระวังการทําลายทรัพยากรสัตวน้ํา
ระบบนิเวศและหาแนวทางการเพิ่มผลผลิตจากแหลงน้ํา โดยการหาพันธุสัตวน้ํามาปลอยลงสูแหลงน้ํา
กําหนดเขตอนุรักษและกําหนดเครื่องมือจับสัตวน้ํา
ผลการศึกษาความหลากหลายของชนิดปลาน้ําจืดในแมน้ําโขง ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี
อํานาจเจริญ มุกดาหารและนครพนม พบปลาน้ําจืดจํานวน 32 วงศ 97 สกุล 164 ชนิด คือ
2555-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนผสมผสานการใช ภูมิปญญาทองถิ่น กรณีศึกษา กลุมผูเลี้ยงโคขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ ตําบลแสลงพัน อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3440
การพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนผสมผสานการใช ภูมิปญญาทองถิ่น กรณีศึกษา กลุมผูเลี้ยงโคขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ ตําบลแสลงพัน อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย
จรัส, สว่างทัพ; ดำรง, กิตติชัยศรี; นฤมล, สมคุณา; รังสิมา, สว่างทัพ; เอกสิทธิ์, สมคุณา
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อไดแก (1) การศึกษาสภาพการประกอบการเลี้ยงโคเนื้อของกลุม
ผูเลี้ยงโคเนื้อขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ (2) การศึกษาองคความรูภูมิปญญาพื้นบานดานการคัดเลือกโค
อาหาร การจัดการเลี้ยงดู และการปองกันรักษาโรคของผูรูภูมิปญญาทองถิ่น (3) ศึกษาคุณคาของ
ภูมิปญญาทองถิ่นที่พัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อขุนของเกษตรกร และสรางบทเรียนภูมิปญญาดานการเลี้ยงดูโค
เนื้อขุนสําหรับเกษตรกร กลุมเปาหมายที่ใชในการวิจัย ประกอบดวย ผูรูภูมิปญญาทองถิ่นดานการเลี้ยง
โค-กระบือ ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย จํานวน 34 คน หมอสมุนไพรและปราชญภูมิปญญาเชี่ยวชาญ จํานวน
5 คน และเกษตรกรผูเลี้ยงโคเนื้อขุนบานสี่เหลี่ยมเจริญ จํานวน 12 คน ไดมาโดยวิธีการเลือกอยาง
เจาะจง การดําเนินการวิจัย ไดแก 1) การศึกษาสภาพการประกอบการเลี้ยงโคเนื้อ 2) การศึกษาองค
ความรูภูมิปญญาพื้นบานในการเลี้ยงโคเนื้อ และ 3) ศึกษาคุณคาของภูมิปญญาทองถิ่นที่พัฒนาการเลี้ยง
โคเนื้อขุนของเกษตรกร โดยการตรวจสอบขอมูลภูมิปญญาพื้นบานโดยหมอสมุนไพรและปราชญ
ภูมิปญญาเชี่ยวชาญ และใชหลักการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีอธิบายคุณคาพืชสมุนไพรตํารับยา
เครื่องมือที่ใชไดแกแบบสัมภาษณและเทคนิคการเก็บรวบรวมขอมูลโดยวิธีการสัมภาษณเจาะลึกและการ
อภิปรายกลุม วิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณดวยสถิติ ความถี่ รอยละคาเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ขอมูลเชิงคุณภาพดวยการวิเคราะหเนื้อหาพบวาเกษตรกรผูเลี้ยงโคเนื้อขุนมีอาชีพทํานา และเลี้ยงโคขุน
เปนอาชีพรอง มีโคขุนเปนลูกผสมชาโรเลสการเลี้ยงโคจะอาศัยภูมิปญญาที่สืบทอดกัน เพิ่มจํานวนโคโดย
การผสมเทียม ใชอาหารธรรมชาติและเสริมอาหารขนนานๆ ครั้ง และปองกันโรคดวยวัคซีน การจําหนาย
ผานพอคาคนกลาง โดยการประมาณน้ําหนัก และรูปรางโคดวยสายตา และมีการใชสมุนไพรในการรักษา
โรค การสืบคนภูมิปญญาดานสมุนไพรและผานการตรวจสอบจากหมอสมุนไพรและปราชญภูมิปญญา
เชี่ยวชาญและหลักการทางวิทยาศาสตร ไดตํารับยาสมุนไพรถายพยาธิในลูกโคและกําจัดเห็บโค
ขอคนพบไดรูปแบบการเลี้ยงโคโดยอาศัยภูมิปญญาไทย และสามารถนํามาสรางบทเรียน ภูมิปญญาดาน
การเลี้ยงดูโคเนื้อขุนสําหรับเกษตรกรตอไป
2555-01-01T00:00:00Z
-
พฤติกรรม ความรู้ และความเสี่ยงในการใช้้น้้ามันทอดซ้้าของผู้ประกอบ อาหารและผู้จ้าหน่ายอาหารในโรงเรียนเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3439
พฤติกรรม ความรู้ และความเสี่ยงในการใช้้น้้ามันทอดซ้้าของผู้ประกอบ อาหารและผู้จ้าหน่ายอาหารในโรงเรียนเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์
วารี, ว่องโชติกุล
งานวิจัยฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเพราะได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงต้องขอขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ที่ได้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปิยาภรณ์ ศิริภานุมาศ อาจารย์รัชนีกร ทบประดิษฐ์ และอาจารย์เสกสิทธิ์ ดวงคํา ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 3 ท่าน ที่ช่วยตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของแบบสอบถาม
2558-01-01T00:00:00Z
-
โครงการบริหารจัดการชุดโครงการการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์และการประยุกต์ใช้ข้าวเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3438
โครงการบริหารจัดการชุดโครงการการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์และการประยุกต์ใช้ข้าวเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
เทวิกา, กีรติบูรณะ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมในการเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่น (ข้าวจิ๊บ หอมมะลิแดง เหลืองประทิว และขาวตาแห้ง) และน าข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์อาหาร (เส้นก๋วยเตี๋ยวและขนมน้ าดอกไม้) การเร่งความเก่าใช้วิธีอบลมร้อนที่อุณหภูมิ 80 90 และ 100 องศาเซลเซียส นาน 3 5 และ 7 ชั่วโมง
2558-01-01T00:00:00Z
-
เรื่องการเร่งความเก่าของข้าวเปลือกพันธุ์ท้องถิ่น ด้วยวิธีอบลมร้อน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3437
เรื่องการเร่งความเก่าของข้าวเปลือกพันธุ์ท้องถิ่น ด้วยวิธีอบลมร้อน
เทวิกา, กีรติบูรณะ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสภาวะเร่งความเก่าของข้าวพันธุ์ท้องถิ่นด้วยวิธีอบลมร้อน โดยใช้ข้าว 4 สายพันธุ์ (ข้าวจิ๊บ หอมมะลิแดง เหลืองประทิว และขาวตาแห้ง) และเปรียบเทียบ คุณสมบัติด้านเคมีกายภาพและลักษณะเนื้อสัมผัสของข้าวอายุ 6 เดือน 3 เดือน
2558-01-01T00:00:00Z
-
การตรวจวัดหาปริมาณโลหะหนัก (ซีลีเนียม ตะกวั่ และโครเมียม) ในผักพื้นบ้าน ด้วยวิธีแกรไฟต์เฟอร์เนสอะตอมมิกแอบซอร์ปชันสเปกโตรเมตรี (GFAAS)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3436
การตรวจวัดหาปริมาณโลหะหนัก (ซีลีเนียม ตะกวั่ และโครเมียม) ในผักพื้นบ้าน ด้วยวิธีแกรไฟต์เฟอร์เนสอะตอมมิกแอบซอร์ปชันสเปกโตรเมตรี (GFAAS)
ศรัญญา, มณีทอง
ในงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ ซีลีเนียม ตะกั่ว และ โครเมียม ในผักพื้นบ้าน (ผักโขม ผักปลัง ผักแขยง และผักชีฝรั่ง) ในเขตต าบลชุมเห็ด ต าบลในเมือง และต าบลหลักเขต อ าเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งท าการทดลอง
2558-01-01T00:00:00Z
-
การประยุกต์ใช้ข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3435
การประยุกต์ใช้ข้าวที่ผ่านการเร่งความเก่าในผลิตภัณฑ์อาหาร
ชุลีพร, บุ้งทอง
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแปรรูปข้าวพันธุ์ท้องถิ่น (ข้าวจิ๊บ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวเหลือง ประทิว และข้าวขาวตาแห้ง) ที่ผ่านการเร่งความเก่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร 2 ชนิด
2558-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS เพื่อการวิจัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3434
การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป SPSS เพื่อการวิจัย
จรัส, สวางทัพ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค (1) เพื่อพัฒนาชุดการสอน เรื่อง การใชโปรแกรมสําเร็จรูป
SPSS เพื่อการวิจัย ใหมีประสิทธิภาพตามเกณฑ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนกอนและหลังเรียนรูดวยชุดการสอน (3) เพื่อหาคาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนของนักศึกษา
(4) เพื่อประเมินทัศนคติความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีตอชุดการสอน (5) เพื่อประเมินคุณภาพ
ปญหาพิเศษของนักศึกษาภายหลังการเรียนรูจากชุดการสอน
2550-01-01T00:00:00Z
-
ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3433
ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
มิตรธิศาล, อื้อเพชรพงษ์
ความพึงพอใจของผู้ ปฏิบัติงานที่ใช้ ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS)
ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อการศึกษาความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี ้ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ใช้ระบบในคณะวิชา สำนักและสถาบันในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2551 จำนวน 31 คน ประกอบด้วยคณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะครุศาสตร์ คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย ส านักงานอธิการบดี สำนักศิลปะและวัฒนธรรม สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน สถาบันวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความ พึงพอใจของ
ผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี ้ จากผลการวิจัยเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมาก ( X =79.06) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากจ านวน 4 ด้าน คือ ด้านการสืบค้นข้อมูล ด้านการติดต่อผู้ใช้ คู่มือการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) และด้านลักษณะโดยรวมของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (MIS) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีความพึงพอใจในการออกแบบหน้าจอมีความสวยงาม และภาษาที่ใช้ในการกำหนดคำสั่งเมนูมีความชัดเจน เข้าใจง่าย ในระดับปานกลาง
2551-01-01T00:00:00Z
-
สำรวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3432
สำรวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วราลี, โกศัย; นิตยา, บรรณประสิทธ์; วิไลวรรณ, ศิริเมฆา
การศึกษาวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีได้แก่ นักศึกษาภาคปกติสาขาวิชาการศึกษาปฐมวย ั คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่กาลังศึกษาในปี การศึกษา 2550 จ านวน 240 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม
(Questionnaire) ความมีคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาภาคปกติ แบ่งออกเป็ น 3 ตอน ไดแ ้ ก่ ขอ ้ มูล ส่วนตัว ขอ ้ มูลดา ้ นคุณธรรมจริยธรรม และอุปสรรคและปัญหาในการนาคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบัติ
และขอ ้ เสนอแนะ การวเิ คราะห์ขอ ้ มูลใช้ ค่าร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (Mean)
ผลการวจ ิ ย ั พบวา ่ การตอบแบบสอบถามของนักศึกษาภาคปกติ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย
คณะครุศาสตร์ มหาวท ิ ยาลย ั ราชภฏ ั บุรีรัมย์ มีดง ั น้ี
แบบสอบถามตอนที่ 1 ขอ ้ มูลส่วนตัว เพศหญิงคิดเป็ นร้อยละ 96.25 และนักศึกษาเพศชายคิด
เป็ น ร้อยละ 3.75 อายุ 19 ปี คิดเป็ นร้อยละ 25.42 อายุ 20 ปี คิดเป็ นร้อยละ 19.17 อายุ 24 ปี ข้ึนไป
คิดเป็ นร้อยละ 4.58
แบบสอบถามตอนที่ 2 นก ั ศึกษามีการเรียนรู้เรื่องคุณธรรมจริยธรรมจากอาจารยม ์ ีค่าเฉลี่ย
สูงสุดอยใ ู่ นระดบ ั มาก X = 4.26 และการเรียนรู้จากเทป / CD มีค่าเฉลี่ยต่าสุด X = 2.90
แบบสอบถามตอนที่ 3 อุปสรรคและปัญหาในการนาคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบต ั ิที่พบมีดง ั น้ี
3.1 ปัญหาในการน าคุณธรรมจริยธรรมมาปฏิบัติ
3.1.1 นก ั ศึกษามีปัญหาที่ตว ั บุคคล มีความเขินอายในการทาความดี ไม่ตรงต่อเวลา ไม่
รู้
จก ั ประหยด ั ไม่มีความซื่อสัตย์ ขาดแรงจูงใจ เป็ นตน ้
3.1.2 นก ั ศึกษามีปัญหาในการทางานกลุ่ม ไม่ช่วยงานเพื่อน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่
สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็ นตน; The purpose of this study was to survey Early Childhood Education students’ morals and
ethics. The sample in this research was 240 Early Childhood Education students, Faculty of
Education, Buriram Rajabhat University during the 2007 academic year. The instrument was
questionnaire consisting of 3 parts; (1) personal information, (2) questions of morals and ethics and
(3) problems and obstacles of morals and ethics application and recommendation. The statistics used
in this study were percentage and mean.
The results of the study were as follows:
Part 1of the questionnaire revealed that among 240 participants, 96.25% were female students
and 3.75% were male students. There was 25.42% of the participants who were at age 19, 19.17% at
age 20 and 4.58% over 24 years old.
Part 2 of the questionnaire revealed that the students learned morals and ethics from their
teachers at high rank for a score of 4.26. The students learned from cassette tapes and CDs at the
lowest rank for a score of 2.90.
Part 3 of the questionnaire revealed students’ problems and obstacles on morals and ethics as
follows:
3.1 problems and obstacles of morals and ethics application
3.1.1 For individual student problems, the students were shy to behave in good ways,
so they were not being on time, not being honest, not spending reasonably, and they also stated that
they lack the motivation, etc.
3.1.2 For group-work problems, the students did not help their groups; they were not
responsible for their work, etc.
3.2 Recommendation on morals and ethics application in everyday life
3.2.1 Students recommended that every student should follow social rules, do good
things, and not cause anybody’s trouble, etc.
3.2.2 Students also give other suggestions, for example, supporting and praising good
people as a model, setting up project of bringing the students to temples, listening to others’
comments, being true to themselves and others, etc.
2551-01-01T00:00:00Z
-
สภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3431
สภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย
เอมอร, แสวงวโรตม
การวิจัยเรื่อง สภาพปัญหาการจัดทาบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์คร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือนของเกษตรกรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลบางประการที่มีอิทธิพลต่อสภาพปัญหาการจัดทำบัญชีครัวเรือน และเพื่อศึกษาแนวทางหรือรูปแบบการแก้ไขปัญหาของการจัดทำบัญชีครัวเรือน โดยการศึกษาคร้ังน้ีใช้วิธีออกแบบ
สอบถามไปยังเกษตรกรที่เป็ นลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรี รัมย์ มีประชากรรวมท้ง ั สิ้น 1,090 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีได้มาจากการสุ่ มตัวอย่างกลุ่มประชากรข้างต้นโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของยามาเน (Yamane) ที่ระดับความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 สุ่มตัวแย่างโดยการหาสัดส่วน
ของกลุ่มตัวอย่างกับประชากร จำแนกตามหมู่บ้าน คือ หมู่ 1 – 14 แล้วจึงทำการสุ่มตัวอย่าง (Simple random sampling) ในแต่ละหมู่บ้านได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 293 คน ประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ค่าสถิติที่ใชคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รายงาน ผลการศึกษาโดยวิธีบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่าประชากรส่วนใหญ่ของตาบลปังกูเป็นเพศชาย ประกอบอาชีพเกษตรกรระดับการศึกษาส่วนใหญ่อยูในระดับชั้นประถมศึกษา รายไดภ ้ ายในครัวเรือนในการประกอบอาชีพของเกษตรกร (ทานา) รายไดต ้ ่ากวา ่ 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนใหญ่เกษตรกรไดร ้ ับการ
สนับสนุนในเรื่องของการจัดท าบัญชีครัวเรือนจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
เนื่องจากเป็ นนโยบายอยา ่ งหน่ึงที่ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไดก ้ าหนดให้ผู้
ที่เขา ้ กูเ้ งินจากธนาคารหรือสมาชิกของธนาคารจะตอ ้ งมีการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือนและมีกาหนดให้
นาส่งบญ ั ชีครัวเรือนก่อนดว ้ ยถึงจะมีสิทธิในการทานิติกรรมต่าง ๆ กบ ั ทางธนาคาร สภาพปัญหา
ในการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือนของเกษตรในเขตพ้ืนที่ตาบลปังกู อาเภอประโคนชย ั จง ั หวดบุรีรัมย์ ั
ดา ้ นความรู้และความเขา ้ ใจ ดา ้ นการจด ั ทาบญ ั ชี ดา ้ นหน่วยงานสนบ ั สนุน พบวา ่ ผต ู้ อบแบบ ประเมินมีปัญหาในทุกดา ้ นโดยรวมอยใ ู่ นระดบ ั ปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.57 ดังน้น ั จึงควรที่จะมีการ
ส่งเสริมหรือสนบ ั สนุนใหม ้ ีความต่อเนื่องในด้านการให้ความรู้ความเข้าใจมากกวา ่ น้ี เพื่อที่จะให้
เกษตรกรในตาบลปังกูน้น ั รู้ถึงประโยชน์ที่แทจ ้ ริงในการจด ั ทาบญ ั ชีครัวเรือน
2551-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาแบบบูรณาการเพ่ื่อแก้ปัญหาความยากจน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3430
การพัฒนาแบบบูรณาการเพ่ื่อแก้ปัญหาความยากจน
พิศมัย, ประชานันท์; กิ่งแก้ว, ปะติตังโข; สมศักดิ์, จีวัฒนา; บุณย์เสนอ, ตรีวิเศษ; กระพัน, ศรีงาน
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของหมู่บ้านเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะความยากจน กล่าวคือ บริบทชุมชน โครงสร้ างพื ้นฐานของหมู่บ้าน ลักษณะการดำรงชีวิต การกระจายรายได้ การประกอบอาชีพ ปัจจัยสี่ หนี ้สิน วิธีการจัดการเกี่ยวกับรายได้ การกู้ยืมเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น เพื่อศึกษาหาสาเหตุความยากจนที่เกิดขึ ้นกับประชาชนในหมู่บ้าน และ
เพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการในการแก้ปัญหาสภาพความยากจนและประยุกต์ให้เข้ากับการเป็นอยู่ของประชาชนในหมู่บ้าน โดยมีกลุ่มประชากรที่จะศึกษาคือ กลุ่มชาวบ้าน, กลุ่มผู้นำชุมชน และ เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องในหมู่บ้านหมู่บ้านบัว หมู่ 18 ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ผลการศึกษา
2551-07-01T00:00:00Z
-
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ดอกไม้ประดษฐ์จากดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3429
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ดอกไม้ประดษฐ์จากดิน
ธัญรัศม์ิ, ยุทธสารเสนีย์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สําหรับดอกไม้ประดิษฐ์จากดิน
กลุ่มปั้นดินดอกไม้หอมบ้านง้าง ตําบลบ้านยาง อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และประเมินความพึงพอใจ
การออกแบบบรรจุภัณฑ์สําหรับดอกไม้ประดิษฐ์จากดิน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกกลุ่มปั้นดินดอกไม้หอมผู้จําหน่ายดอกไม้
ประดิษฐ์ และผู้ซื้อ จํานวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้เก็บข้อมูลสภาพปัญหา
ด้านบรรจุภัณฑ์ ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มและผู้จําหน่ายดอกไม้ประดิษฐ์ แบบประเมินความพึงพอใจ ใช้เก็บ
ข้อมูลประเมินผลการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ ตราสินค้า(Logo) และกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์การ
วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ใช้วิธีบรรยายและสรุปข้อมูลแนวทางการออกแบบ ส่วนการวิเคราะห์
แบบสอบถามความพึงพอใจใช้ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย
ผลการวิจัยสรุปว่า
1. ผลการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์มีขนาด กว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 21
เซนติเมตร และสูง 25 เซนติเมตร รูปแบบที่ได้ คือ แบบที่ 13 มีคะแนนเฉลี่ย 4.22
2. ผลการออกแบบตราสินค้า ได้แบบที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ย 4.32
3. ผลการออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์ และคุณภาพการออกแบบบรรจุภัณฑ์ จากการ
ประเมินความพึงพอใจ ได้แบบที่ 3 มีค่าเฉลี่ย 4.10 มีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
4. วัสดุจะใช้กระดาษแข็งเคลือบ เพราะมีความแข็งแรง รับน้ําหนักได้ดี และพิมพ์สีได้
สวยงาม; The objective of this research is to study and develop packaging of artificial soil
flowers. The products of artificial flower are based on Pundindokmaihom Group in area
of Ban Ngang Tambon Ban Yang Amphoe Mueang Buriram province. and This research
also assess the satisfaction packaging design.
In this research, the number of sample was 20 persons including to experts,
members of Pundindokmaihom Group, Vendors and consumers. To discover the
problem data, interview was used. Questionnaires was instrument to assess the
satisfaction of packaging design in topics of packing structure, product logo and graphic.
Level of assessment was based on percentage of satisfaction and mean.
The conclusion of this research were as the followings
1. Achievement results of structural packaging design, Packaging size was
15x21x25 cm. This research also found that trend of Packaging was 13th pattern with
mean of 4.22
2. Achievement results of logo design was 2nd pattern with mean of 4.32
3. Achievement results of graphic design and quality of packaging design was 3th
pattern with mean of 4.10
4. Finally, good material of packing product was cardboard coating because this
material has high strength and good printing.
2557-01-01T00:00:00Z
-
การใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3428
การใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จารินี, ม้าแก้ว
งานวิจัยเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ศึกษาข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้
พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 3) หาแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานของมหาวิทยาลัย
ราชภัฏบุรีรัมย์ ท าการเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และอาคาร
กลุ่มตัวอย่างจ านวน 23 อาคาร โดยใช้เครื่องมือวัดพลังงานไฟฟ้า (Kilowatt-hour Meter) ชนิด
3 เฟส 4 สาย ผลการวิจัยพบว่าอาคารกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อพื้นที่อยู่ระหว่าง
0.27 – 6.51 kWh/m2 อาคารที่มีการใช้พลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่เป็นอาคารขนาดใหญ่และ
อาคารเฉพาะ อาคารที่มีการใช้พลังงานต่ ากว่าค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่เป็นอาคารเรียนที่มีขนาดเล็ก
โดยรวมทุกอาคารในปี พ.ศ.2554 ใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงจากปี พ.ศ.2553 คิดเป็น 30.97% การใช้
พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลา P คือ 9.00 – 22.00 น. ของ
วันจันทร์ – ศุกร์ มีการคิดค่าไฟฟ้าแบบ TOU ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ต้องจ่ายเงินค่าไฟฟ้า
เพิ่มจากแบบปกติในปี พ.ศ.2553 เป็นจ านวน 3,032,276.51 บาท และในปี พ.ศ.2554 เป็นจ านวน
3,056,007.68 บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่ใน พ.ศ.2554
ลดลงกว่าปี พ.ศ.2553 คิดเป็น 16.32% ช่วงเดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากคือเดือนพฤษภาคม –
กันยายน เดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดคือเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2553 มีค่าการใช้พลังงานต่อ
พื้นที่ 3.99 kWh/m2 และช่วงเดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อพื้นที่น้อยคือเดือนธันวาคม – เมษายน
เดือนที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่ าสุดคือเดือนมกราคม พ.ศ.2554 มีค่าการใช้พลังงานต่อพื้นที่
1.85 kWh/m2 ค่าไฟฟ้าปี พ.ศ.2554 น้อยกว่าปี พ.ศ.2553 เป็นเงิน 105,031.44 บาท หรือคิดเป็น
19.63% เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายค่าไฟฟ้าปี พ.ศ.2554 น้อยกว่าปี พ.ศ.2553 เป็นเงิน 8,752.62 บาท/
เดือน คิดเป็น 1.64% ต่อเดือน เดือนที่มีการจ่ายค่าไฟฟ้าสูงที่สุดคือเดือนมิถุนายน พ.ศ.2554 เท่ากับ
1,405,210.57 บาท และเดือนที่มีการจ่ายค่าไฟฟ้าต่ าที่สุดคือเดือนมกราคม พ.ศ.2554 เท่ากับ
672,765.15 บาท พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์เริ่มมีการใช้
พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. โดยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวลาประมาณ12.00 น. ค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าจะลดลง กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.
และเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. หลังจากนั้นค่าการใช้พลังงานจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ
จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. คงที่ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลา 8.00 น. ของวันถัดไป ค่าการใช้พลังงาน
ไฟฟ้า (kWh) ในช่วงเวลาตอนกลางคืน คือ ช่วงเวลาประมาณ 17.00 – 8.00 น. ใกล้เคียงกันทุกเดือน
คือประมาณ 50 kWh คิดเป็น 36,000 kWhต่อเดือน หรือคิดเป็น 134,640 บาทต่อเดือน
แนวทางการอนุรักษ์พลังงานควรเน้นการก าหนดมาตรการประหยัดพลังงานไปที่อาคารเรียนขนาด
ใหญ่ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อพื้นที่มาก โดยมาตรการที่ควรเน้นคือมาตรการเกี่ยวกับระบบ
ปรับอากาศซึ่งเป็นระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุด และควรเน้นมาตรการที่ลดการใช้พลังงาน
พร้อมๆ กันในช่วงเวลาที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดคือช่วงเวลา 14.00 น. ควรก าหนดมาตรการเปิด
ใช้เครื่องปรับอากาศในช่วงเวลา 9.30 – 11.30 น. และ 13.00 – 15.30 น. เพื่อลดช่วงเวลาของการ
ใช้พลังงานไฟฟ้าลง ส าหรับอาคารที่มีการใช้งานเฉพาะแต่มีค่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อพื้นที่สูง
ควรเน้นมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรประสิทธิภาพสูง การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบ
มอเตอร์ การติดตั้งอุปกรณ์ปรับค่าตัวประกอบก าลัง การเลือกใช้อุปกรณ์ชนิด 3 เฟสเพื่อรักษาสมดุล
ไฟฟ้า; This research aims to : 1) to study the electric power of Buriram Rajabhat
University. 2) to study behavior of the power of Buriram Rajabhat University.
3) to find ways to conserve energy Buriram Rajabhat University. Data was collected
using the power of Buriram Rajabhat University and Building sample of 23 buildings.
The tool used Kilowatt-hour Meter 3 phase 4 wires type. The results showed that
Building the sample average energy per area between 0.27 - 6.51 kWh/m2. Buildings
with energy higher than average, mainly large buildings and building specific
applications. Buildings with energy below average mostly smaller buildings. In 2011,
every building had a power consumption reduced by 30.97% from 2010.
Electrification of Buriram Rajabhat University, mainly in the period P is 9:00 to 22:00
am Monday - Friday. The electric charge causes the TOU Buriram Rajabhat University
had to pay for electricity in 2010, up from the normal amount of 3,032,276.51 baht
and in 2011 in the amount of 3,056,007.68 baht. Buriram Rajabhat University in 2011
with the use of electricity per area in 2010, representing a decrease of 16.32%. During
the months from May to September with the use of high power. Month with the
highest power in July 2010, with the energy per area 3.99 kWh/m2. And the month
with the least energy per area is December - April. Month with the lowest power
consumption in January 2011 with the energy per area of 1.85 kWh/m2. In 2011,
electricity costs less than the year 2010 in the amount of 105,031.44 baht or 19.63%.
In 2011, the average electricity cost per month is less than the year 2010 in the
amount of 8,752.62 baht / month or 1.64% per month. Month with the highest pay
electricity June 2011 was 1,405,210.57 baht and the month with the lowest
electricity bills for January 2011 were 672,765.15 baht. Behavior electrification ofBuriram Rajabhat University began to use more and more power at approximately
8:00 pm by increasing until approximately 12:00 pm, the energy consumption is
reduced and increase again at about 13:00 pm, the highest increase at about 14.00
pm after which the energy is gradually reduced until it is fixed to approximately
17.00 until 8.00 am the next day. During 17:00 to 8:00 pm, the electricity
consumption is almost the same every month, about 50 kWh or about 36,000 kWh
per month or 134,640 baht per month. The energy conservation determine measures
should focus on energy savings to large buildings. Air conditioning is a system that
uses the most energy should be focused on defining clause. Should reduce the
energy consumption in the range of 14.00 which is the highest power, determine
measures should enable the air conditioning during 9.30 - 11.30 and 13.00 - 15.30.
For buildings with specific applications and use the average energy per area is high
should focus measures on change machine performance, install motor speed control
devices, equipment installation adjustment power factor, selection of equipment to
maintain balanced 3-phase power.
2557-01-01T00:00:00Z
-
การใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ อําเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3427
การใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ อําเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์
กุลธิดา, ธรรมรัตน์; แสงดาว, นพพิทักษ์; กนกเกลา, แกวกลา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงคเพื่อตรวจสอบการใชประโยชนที่ดินปาไมดวยเทคโนโลยีภูมิ
สารสนเทศในเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ จังหวัดบุรีรัมยซึ่งมีพื้นที่ 195,486 ไร รวบรวมขอมูลชั้น
แนวเขตรักษาพันธุสัตวปาดงใหญ จากขอมูลภาพถายดาวเทียม Landsat 8 โดยการหาคา
Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) ดวยโปรแกรม Quantum Geographic
Information System (QGIS) จากนั้นทําการสํารวจภาคสนามโดยเลือกชวงเวลาที่ใกลเคียงกับ
ภาพถายดาวเทียม กําหนดจุดตัวอยางโดยการสุมแบบจําแนกชั้น (Stratified Random Sampling)
ผลที่ไดจากการสํารวจนํามาเปรียบเทียบคาการสะทอนของวัตถุ ณ ตําแหนงของภาพถายดาวเทียม
การทดสอบคาการปะปนกันระหวางขอมูลพบวามีความถูกตองรวมทั้งหมดเทากับรอยละ 85.7
ผลการวิจัยพบวา
1) มีพื้นที่ปาไม 143,561 ไร พื้นที่โลง 41,297 ไร พื้นที่ชุมชน / เกษตรกรรม 9,624 ไร และ
พื้นที่แหลงน้ํา 1,004 ไร
2) มีการบุกรุกพื้นที่ปาไปเปนพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อปลูกยางพาราเปนพืชหลักและปลูก
มันสําปะหลังเปนพืชรอง; Dong-Yai wildlife sanctuary, Buriram province has covering an area of 195,486
hectares. The purpose of this research was to survey the land use of forest area in
this wildlife sanctuary. The information technology used in the present work was the
satellite data in term of Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) values which
were accomplished by using a Quantum Geographic Information System (QGIS). Field
surveys were done at the time match with the satellite data. Stratified random
samplings were performed according to the sample collection sites designed by QGIS
program. The reflection values of real object locations versus satellite data were
used in comparison and interpretation for its accuracy. It exhibited that an overview
of accuracy value is of 85.7 percent.
The results of the study were as follow
1) There are a proportion of 143,561: 41,297: 9,624: 1,004 hectares for
forest area: open spaces: community area/agricultural lands: water area, respectively.
2) Forest encroachment into agricultural areas was found, rubber is the
main crop and cassava crop is the second place.
2557-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3426
การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย
นพพล, เชาวนกุล; นิธินันท, มาตา; ศุภชัย, ชัยชุมพล
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ํา
โครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว อําเภอเมือง จังหวัด
บุรีรัมย และพัฒนาเครื่องตรวจวัดระดับน้ําของระบบรายงานน้ํา สําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการ
ชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) ใหไดขอมูลระดับน้ํารายวัน และระดับน้ําที่
เปลี่ยนแปลงของโครงกาชลประทาน บุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ของผูใชงานระบบรายงานน้ําสําหรับการบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวย
จระเขมาก)
เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ประกอบดวยการสํารวจ สัมภาษณและการสนทนากับผูใชงาน
ระบบ และผูที่เกียวของกับระบบงานเดิม และใชแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบวา 1) พบวาการเก็บ
ระดับน้ํารายวันของโครงการชลประทานบุรีรัมยนั้นมีขั้นตอนคือใหบุคลากรฝายที่เกี่ยวของไปจดบันทึก
ระดับน้ําจากแผนวัดระดับน้ํา (แบบไม) ทุกวันและไมมีเวลาที่แนนอนในการจดบันทึกขอมูล เมื่อได
ขอมูลระดับน้ําในแตละวันแลวบุคลากรจะนําขอมูลที่ไดมาบันทึกลงฐานขอมูลที่มีอยู (Excel) และเมื่อ
ตองการใชขอมูลระดับน้ําเพื่อประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ํา (ระบาย – กักเก็บ) ของ
ผูบริหารหรือผูที่เกี่ยวของตองมาคนหาขอมูลที่ฐานขอมูล 2) การพัฒนาระบบรายงานน้ําสําหรับการ
บริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) ผลการใชงานระบบพบวา
ระบบที่ไดพัฒนามีสวนชวยลดปญหาที่เกิดขึ้น ไดแก การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การสืบคน คนหา
ขอมูล และเรียกใชขอมูลตาง ๆ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเรียกดู สืบคน และปรับปรุงขอมูลได
เปนอยางดี 3) การประเมินผลความพึงพอใจผูใชงานในภาพรวมตอการใชงานระบบรายงานน้ําเพื่อ
การบริหารจัดการน้ําโครงการชลประทานบุรีรัมย (อางเก็บน้ําหวยจระเขมาก) บานตนผึ้ง ตําบลบานบัว
อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย อยูในระดับมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.78; The objectives of this research were to developed system of water report
for Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir)
Bantonphueng Srabua District, Muang Province, Buriram and developed water level
monitoring for water report system to give the water daily level data and water
change level data of Buriram Irrigation schemes water management. And to the
satisfaction of the users that use system of water report for Buriram Irrigation
schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir).
The instrument used in this study consisted of survey, interviews and
conversations with users of system and who those related to legacy systems and
used a questionnaire to determine their satisfaction with the system.The results
showed that 1) the collection of water daily level used personnel concern to note
the water level of the sheet water level every day and there is no exact time. When
get level of water each day, the staff will lead the data save to a database that is
available (Excel) and to use for decision making on water management (drainage -
retention) of those management by search on database. 2) The development of
system of water report for Buriram Irrigation schemes water management
(Huayjorakheamak Reservoir), use of the system that developed has helped reduce
the problem, including reducing the operational searched for information and run
various add convenience to browse, search and update information as well. 3)
evaluation of satisfaction for the overall system to use system of water report for
Buriram Irrigation schemes water management (Huayjorakheamak Reservoir) in the
most level has average point = 4.78.
2557-01-01T00:00:00Z
-
ศึกษาความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์, พัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาต่อการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กรณีในเขตพื นทีชุมชนเมืองจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3425
ศึกษาความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์, พัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาต่อการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กรณีในเขตพื นทีชุมชนเมืองจังหวัดบุรีรัมย์
ทศพร แก้วขวัญไกร
การศึกษานีมีวัตถุประสงค์เพือทดสอบสมมติฐานถึงความสัมพันธ์ของการเพิมทุนมนุษย์,
พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาการศึกษาต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั งเพือหาแนวทาง
และข้อเสนอแนะในการพัฒนาทุนมนุษย์ในพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์
การศึกษาครั งนี ได้ทําการศึกษาในพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์ทีมีจํานวน ชุมชน โดยการ
คัดเลือกตัวอย่างจํานวนทั งสิ น คน มาศึกษาความสัมพันธ์ของทุนมนุษย์, การพัฒนา
เศรษฐกิจและการพัฒนาการศึกษาต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึงเป็นการจัดเก็บข้อมูลเชิง
ปริมาณแบบมีโครงสร้างแล้วนํามาวิเคราะห์ข้อมูลสรุปผลด้วยการใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ
ค่าเฉลีย ส่วนเบียงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบการวิเคราะห์แบบถดถอย ผล
การศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีระดับอายุอยู่ระหว่าง - ปี
สถานภาพมีการสมรสเกินครึงหนึง ระดับการศึกษาส่วนมากจบปริญญาตรี ขณะทีการประกอบ
อาชีพส่วนมากเป็นทําอาชีพค้าขายระดับรายได้ส่วนมากอยู่ระหว่าง , - , บาทต่อเดือน
การได้รับข่าวสารของชุมชนท้องถินเมืองบุรีรัมย์ส่วนใหญ่ครึงหนึงได้รับฟังข่าวสารทางวิทยุ ส่วน
การทดสอบสมมติฐานความสัมพันธ์แต่ละตัวแปรความสัมพันธ์ พบว่า การเพิมทุนมนุษย์, การ
พัฒนาการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์ทิศทางบวกต่อการเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญ กล่าวได้ว่า เมือมีการเพิมทุนมนุษย์ การพัฒนาการศึกษาและการ
พัฒนาเศรษฐกิจเพิมขึ นทําให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามมา ขณะทีเมือมีการวิเคราะห์
ข้อมูลทั งหมด กลับพบว่า การพัฒนาเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์ทิศทางลบต่อการเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญ ซึงอาจกล่าวได้ว่าเมือมีการพัฒนาเศรษฐกิจเพิมขึ นก็มิได้ส่งผลให้เกิด
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทียังยืนต่อการพื นทีชุมชนเมืองบุรีรัมย์เสมอไปแต่อย่างใด
2558-01-01T00:00:00Z
-
ภาวะการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2556
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3424
ภาวะการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ปีการศึกษา 2556
รังสิมา สว่างทัพ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ( 1) เพื่อติดตามผลการมีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษา
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปีการศึกษา 2556 และ (2) เพื่อ
ศึกษาความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาการบริหารทรัพยากร
มนุษย์ จากบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ปี
การศึกษา 2556 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาจากหลักสูตรบริหารธุรกิจ
บัณฑิตสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทั้งภาคปกติและภาค กศ.บป. ปีการศึกษา 2556
จ านวน 45 คน โดยใช้ทั้งประชากร ใช้แบบสอบถามที่ปรับปรุงจากแบบสอบถามการติดตามภาวะการ
มีงานท าของบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2556 เป็น
เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเก็บข้อมูลได้ 45 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 วิเคราะห์ข้อมูล
ด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นหญิง ส าเร็จการศึกษาจากโครงการศึกษาภาคปกติ
มีงานท า คิดเป็นร้อยละ 62.20 โดยท างานเป็นพนักงานบริษัทหรือองค์กรธุรกิจ เอกชนคิดเป็นร้อยละ
53.40 มีเงินเดือนเฉลี่ยน้อยกว่า 12,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ได้งานท าภายใน1-3
เดือนหลังส าเร็จการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 22.30 ความรู้ความสามารถ พิเศษที่ช่วยให้ได้งานท าคือความรู้
ความสามารถพิเศษทางคอมพิวเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 55.60 และสามารถน าความรู้จาก สาขาวิชาที่เรียน
มาใช้ในหน้าที่การงานได้ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 28.90 ความคิดเห็นของบัณฑิตเกี่ยวกับคุณลักษณะ
ของบัณฑิตที่พึงประสงค์ต่อการมีงานท าในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X=3.61 จากคะแนนเต็ม 4)
โดยความคิดเห็น ใน 3 ล าดับแรก ได้แก่ การมีทัศนคติเชิงบวกับชีวิตการท างานผู้ร่วมงานและวัฒนธรรม
องค์กร, การมีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น มั่นใจแน่วแน่และมี สมาธิในการท างาน และการสร้างประสบการณ์
ตรงและประสบการณ์เสมือน จากการเรียนการสอน ทั้งในหลักสูตรกิจกรรมและ การอบรม การมีคุณลักษณะ
ของความเป็นไทย มีค่านิยมที่ดีงามกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะมีคุณธรรมมีความซื่อสัตย์เอื้อเฟื้อมีน้ าใจ
มีความพอเพียงความเกรงใจอ่อนน้อมถ่อมตน และสามารถบริหารจัดการเวลาของตน แบ่งเวลาให้กับ
ความสุขของชีวิต (2) บัณฑิตมีความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชา
ในภาพรวมในระดับมากที่สุด (X = 3.69 จากคะแนนเต็ม 4) โดยความพึงพอใจ 3 ล าดับแรก ได้แก่
ด้านการให้ค าแนะน าปรึกษาการใช้ชีวิตและหรือการเรียนในระหว่างการศึกษาตลอดหลักสูตร กับด้าน
นักศึกษาสามารถเข้าพบอาจารย์ประจ าหลักสูตรได้ทุกเวลา ด้านความเหมาะสมของหลักสูตรที่ใช้ใน
กระบวนการเรียนการสอน และด้านสื่อการเรียนการสอนที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2557-01-01T00:00:00Z
-
แนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3423
แนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ประชัน คะเนวัน
ารศึกษาครั้งนี้มีความมุงหมาย เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรรัฐ
ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ใน 4 ดาน คือ ดานการบริหาร
จัดการหลักสูตร ดานวิชาเฉพาะดาน ดานวิชาสัมพันธ และดานวิชาเสริม กลุมตัวอยาง ไดแก
ศิษยปจจุบันและศิษยเกาของหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย
จํานวน 32 คน เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวมขอมูลเปนแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ
แบบตรวจสอบรายการ (Check List) แบบมาตราสวนประมาณคา (Rating Scale) 5 ระดับ
และแบบปลายเปด (Open-ended Form) ไดคาความเชื่อมั่น (Reliability) เทากับ 0.8806
สถิติพื้นฐานที่ใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก รอยละ คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบวา :
1. แนวทางในภาพรวมในการพัฒนาตามความคิดเห็นของศิษยปจจุบันและศิษยเกาของ
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมยโดยภาพรวม อยูในระดับมาก
(X = 4.13) เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ดานวิชาเฉพาะดานอยูในระดับปานกลาง
(X = 3.25) นอกนั้น อยูในระดับมาก โดยดานที่มีคาเฉลี่ยสูงสุด คือ ดานการบริหารจัดการ
หลักสูตร (X = 4.31) รองลงมา คือ ดานวิชาเสริม (X = 4.25) สวนดานที่มีคาเฉลี่ยต่ําสุด
คือ ดานวิชาเฉพาะดาน (X = 4.25)
2. ความคิดเห็นและขอเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจํานวนมากที่สุด คือ ควรมีการจัดหลักสูตร
ไดเหมาะสม นักศึกษามีเวลาในการศึกษาไมมากหรือนอยเกินไป รองลงมา คือ ควรจัดเนื้อหา
แตละวิชาใหมีความเหมาะสม และจัดอาจารยมีความรูความสามารถสอนที่จะทําใหนักศึกษาไดรับ
ความรูอยางแทจริง และควรลดวิชาที่เรียนเกี่ยวกับเนื้อหา และควรเพิ่มวิชา ที่เรียนเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติใหมากที่สุด
2557-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื้นทีตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3422
การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื้นทีตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
จารินี ม้าแก้ว
งานวิจัยเรือง การพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื นทีชุมชนตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ
จังหวัดบุรีรัมย์นี มีวัตถุประสงค์เพือค้นหาปัญหาในพื นทีป่ าชุมชนและชุมชนรอบพื นทีชุมชน
ตําบลโคกกลาง อําเภอลําปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และเพื อพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงพื นที
กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนของผู้นําชุมชน เจ้าหน้าทีหน่วยงานภาครัฐ ผู้สูงอายุ เยาวชน และ
ประชาชนทัวไป ของหมู่บ้ านรอบป่ า จํานวน หมู่บ้ าน ประกอบไปด้ วย บ้านโกรกประดู่
บ้านหนองโดนน้อย บ้านไทรงาม และบ้านร่มเย็น โดยทําการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) และนอกจากนี ยังใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบการเลือก
อาสาสมัคร (Volunteer Sampling)
ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาของตําบลโคกกลางทีชุมชนไม่สามารถแก้ ไขได้เองต้อง
พึงภาครัฐมาช่วยเหลือ คือ ปัญหาการจัดการนํ า และปัญหาทีชุมชนสามารถแก้ไขได้เอง ได้แก่
ปัญหาการบุกรุกทําลายป่ าไม้ ปัญหายาเสพติด ปัญหาหนี สิน ปัญหาทีชุมชนเลือกทีจะดําเนินการ
คือปัญหาการบุกรุกทําลายป่ าไม้โดยต้องการเพิมจิตสํานึกรักษ์ป่ าให้กับคนในชุมชน กระบวนการ
ทํางานจึงจะเป็นการยกระดับจิตสํานึกในการฟื นฟูป่ าให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ทีสุดตามกําลังที
พอจะทําได้ โดยผ่านตัวกิจกรรมต่าง ๆ ทีชุมชนร่วมกันคิดและร่วมกันทดลองปฏิบัติ และสุดท้ายมี
เวทีแลกเปลียนเรียนรู้ จากชุมชนใกล้เคียงและเครือข่ายทีประสบความสําเร็จเพือวางแผนในการ
ขยายผลต่อไป
2557-01-01T00:00:00Z
-
ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3421
ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จุรีพร จันทร์พาณิชย
การวิจัยครังนีมีวัตถุประสงค์เพือ ศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจในบริบทอาเซียนของ
นักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ศึกษาระดับ
ความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์
ประชากรได้แก่ นักศึกษาสาวิชาการจัดการ ชันปี ที 3 และชันปี ที 4 คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ จํานวน 147 คน การศึกษาครังนีใช้ประชากรเป็ นกลุ่มตัวอย่าง
การศึกษาใช้แบบสอบถามซึ งแบ่งเป็ น ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามเกียวกับข้อมูลทัวไปของ
นักศึกษา ส่วนที แบบสอบถามเกียวกับความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาเกียวกับบริบทอาเซียน
ส่วนที ความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ คณะ
วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย และส่วน
เบียงเบนมาตรฐาน
2557-01-01T00:00:00Z
-
ความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3420
ความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อรรถกร จัตุกูล
การวิจัยความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียนของนักศึกษา สาขาวิชาการตลาด
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาความพรอมในการเขาสู
ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด ตามคุณลักษณะของเยาวชนไทยในประชาคม
อาเซียนมี 3 ลักษณะ ไดแก 1. ความพรอมดานความรู 2. ความพรอมดานทักษะ/กระบวนการ
3. ความพรอมดานเจตคติ กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาสาขาวิชาการตลาด คณะ
วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ทุกชั้นป จํานวน 136 ราย สําหรับสถิติที่ใชในการ
วิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณใชคารอยละ คาเฉลี่ย วิเคราะหการแปรปรวนทางเดียว (One-way
ANOVA) และทดสอบความแตกตางรายคูดวยวิธีการของ LSD. (least-Significant Different)
ผลการวิจัย พบวา ขอมูลทั่วไปของผูตอบแบบสอบถามรอยละ 100 จําแนก ตามเพศ
เพศหญิง รอยละ 86.8 เพศชาย รอยละ 13.2 ระดับการศึกษา ชั้นปที่ 1 รอยละ 42.6 ชั้นปที่ 2
รอยละ25.0 ชั้นปที่ 3 รอยละ 22.8 ชั้นปที่ 4 รอยละ 9.6 ความคิดเห็นเรื่องความพรอมในการเขาสู
ประชาคมอาเซียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏบุรีรัมย ในภาพรวมอยูในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวา ดานความรู
ดานทักษะกระบวนการ ดานเจตคติ อยูในระดับปานกลาง ผลการทดสอบความแตกตางของนักศึกษา
ที่ระดับการศึกษาตางกัน มีความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียนแตกตางกัน แตเมื่อพิจารณาเปน
รายดานพบวา นักศึกษาระดับการศึกษาตางกันมีความพรอมในการเขาสูประชาคมอาเซียน ดาน
ความรู ดานทักษะกระบวนการ ดานเจตคติ แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2557-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3419
การพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน
อรรถกร, จัตุกูล
การวิจัยการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เพื่อรองรับการเขาสูประชาคมเศรษฐกิจ
อาเซียนโดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษา เพื่อศึกษาปญหาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เพื่อศึกษา
ความตองการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย และเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาตลาดการ
ทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผูที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยวจังหวัด
บุรีรัมย จํานวน 26 ราย ประชาชนในแหลงทองเที่ยว นักทองเที่ยวชาวไทย และนักทองเที่ยว
ชาวตางชาติ จํานวน 400 ราย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณและแบบสอบถาม แบบ
สัมภาษณใชสัมภาษณผูที่เกี่ยวของกับการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย โดยเปนการสัมภาษณเชิงลึก
แบบสอบถามใชสอบถามประชาชนในแหลงทองเที่ยว นักทองเที่ยวชาวไทย และนักทองเที่ยว
ชาวตางชาติ ในดานปญหาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย ความตองการพัฒนาตลาดการทองเที่ยว
จังหวัดบุรีรัมย และขอเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย
สําหรับสถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณใชคารอยละ คาเฉลี่ย วิเคราะหการแปรปรวนทาง
เดียว (One-way ANOVA) แนวทางในการพัฒนาตลาดการทองเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย เปนคําถาม
ปลายเปด วิเคราะหขอมูลเชิงคุณภาพ และนําเสนอโดยการพรรณนาเชิงวิเคราะห (Analytical
Description)
2557-01-01T00:00:00Z
-
โครงการย่อยที่ ๓ ศึกษาและพัฒนาป้ายและแผ่นพับประชาสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวที่ปราสาทพนมรุ้ง และ ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3418
โครงการย่อยที่ ๓ ศึกษาและพัฒนาป้ายและแผ่นพับประชาสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยวที่ปราสาทพนมรุ้ง และ ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์
พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพ่อืศกึษาสภาพปัญหาและความต้องการ จา เป็นด้านการพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่ือการท่องเที่ยวของ ผู้ประกอบการรา้นขายของท่รีะลกึและรา้นอาหารและเคร่อืงด่มืท่ปีราสาทพนมรุง้และปราสาท เมอืงต่ า จงัหวดับุรรีมัย์ 2) เพ่อืพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่อืการ ท่องเที่ยวฯ และ 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ประกอบการร้านขายของท่ีระลึกและ รา้นอาหารและเคร่อืงด่มืต่อการพฒันาป้ายและแผ่นพบัประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษเพ่อืการ ท่องเท่ยีวฯ ประชากรในการวิจัยครัง้น้ีประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่ 1) เจ้าหน้าท่ีอุทยาน ประวตัศิาสตรพ์นมรงุ้ และปราสาทเมอืงต่ า ผู้ประกอบการรา้นขายของท่รีะลกึ และรา้นอาหาร และเคร่อืงด่มืท่ปีราสาทพนมรงุ้และปราสาทเมอืงต่ า และนักท่องเท่ยีวชาวต่างชาตทิ่ไีปเท่ยีวท่ี ปราสาทพนมรงุ้และปราสาทเมอืงต่า ส่วนกลุ่มตวัอยา่งไดแ้ก่ผปู้ระกอบการรา้นขายของทร่ีะลกึท่ี ปราสาทพนมรงุ้ และปราสาทเมอืงต่ า จา นวน 40 คน และรา้นอาหารและเคร่อืงด่มื จ านวน 10 คน รวมเป็น 50 คน และนักท่องเทย่ีวชาวต่างชาตจิ านวน 15 คน นอกจากนนั้ ยงัคดัเลอืกจาก กลุ่มตวัอย่างผปู้ระกอบการ 50 คนเพ่อืมาสนทนากลุ่มอกีจา นวน 15 คน โดยใชว้ธิกีารเลอืกแบบ เจาะจง และ 2) ป้ายรา้นขายสนิคา้และป้ายประชาสมัพนัธ์ทวั่ไป จา นวน 35 ป้าย รายการสนิคา้ ประเภทของท่ีระลึกและประเภทอาหารและเคร่ืองด่ืมจ านวน 316 รายการ แผ่นพับ ประชาสมัพนัธ์ภาษาองักฤษของปราสาทพนมรุ้งและปราสาทเมอืงต่ า อ าเภอเฉลมิพระ เกียรติ และอ าเภอประโคนชยั จงัหวดับุรรีมัย์ภาคภาษาองักฤษจา นวน 2 ชุด เคร่อืงมอืท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการจ าเป็น 2) แบบ บนัทกึการสนทนากลุ่ม 3) แบบเก็บข้อมูลภาษาต้นฉบบัและภาษาแปล และ 4) แบบประเมนิ ความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพรรณนา คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา
2556-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท จังหวัดสุรินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3417
การศึกษาการถ่ายทอดความรู้ วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท จังหวัดสุรินทร์
พิชชาณัฐ ตู้จินดา; จริานุวัฒน์ ขันธจันทร์
การวิจัยครัง้นีเ้ป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวมรวบมาทงั้หมดได้จากการเก็บ ข้อมูลโดยการลงพืน้ที่ภาคสนาม แล้วน ามาท าการศกึษาวิเคราะห์และเรียบเรียงความส าคญั โดย มีวัตถุประสงค์ดงันี ้๑. ศึกษาความเป็นมาและบริบทที่เกี่ยวข้องวงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรี สวาท ๒. ศึกษาประวัติชีวิตนายเผย ศรีสวาท และ ๓. ศึกษาการถ่ายทอดความรู้วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท ผลการวิจัยพบว่า วงมโหรีอีสานเป็นวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงของเครื่องดนตรี พืน้บ้านหลายชนิด เครื่องดนตรีหลกัได้แก่ปี่สไล ตรัว กลองสองหน้า และกลองกันตรึม โดยมีฉิ่ง ฉาบ และกรับไม้เป็นเครื่องประกอบจังหวะ วงมโหรีอีสาน บ้านระไซร์ ต าบลเฉนียง อ าเภอเมือง จังหวดัสุรินทร์ เกิดจากการรวมตัวของศิลปินพืน้บ้านในชุมชนและเขตพืน้ที่ใกล้เคียง โดยผู้ที่มี ความรู้ความสามารถด้านวงมโหรีอีสาน คือ นายเผย ศรีสวาท อายุ ๘๓ ปี ศิลปินอาวุโสพืน้บ้าน อีสานใต้เป็นผ้ถู่ายทอดความรู้ บทเพลงที่ใช้บรรเลงสามารถแบง่ออกได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ เพลงครู เพลงแห ่และเพลง ส าหรับบรรเลงทวั่ไป ส าหรับการไหว้ครูสามารถแบง่ออกได้ ๓ ลกัษณะ คือ การไหว้ครูก่อนเริ่มต้น เรียนดนตรี การไหว้ครูก่อนการบรรเลง และการไหว้ครูเมื่อนกัดนตรีผิดครู การถ่ายทอดความรู้วงมโหรีอีสาน บ้านนายเผย ศรีสวาท มีการถ่ายทอดทงั้บคุคลภายใน ครอบครัว เครือญาติ และบุคคลภายนอก โดยผ้มูีอาวุโสและมีความรู้ความสามารถด้านวงมโหรี อีสาน ได้แก่ นายเผย ศรีสวาท ทงั้นีจ้ะยึดแนวทางและระเบียบแบบแผนที่โบราณจารย์ได้ก าหนด ไว้อย่างเคร่งครัด วิธีการถ่ายทอดจะเป็นวิธีการแบบมขุปาฐะ คือการถ่ายทอดด้วยระบบความทรง จ าแบบปากตอ่ปาก ไร้ลายลกัษณ์ โดยครูผ้สูอนจะปฏิบตัใิห้ศิษย์ดเูป็นแบบอย่างก่อน เพื่อให้ศิษย์ สงัเกตวิธีการและจดจ าท่วงท านอง จากนนั้ศิษย์จึงปฏิบตัิตาม และฝึกซ้อมจนกระทั่งเกิดความ ช านาญ
2556-01-01T00:00:00Z
-
คุณสมบัติของบัณฑิตสาขาวิชาการบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนที่มีต่อคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3416
คุณสมบัติของบัณฑิตสาขาวิชาการบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนที่มีต่อคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผกามาศ มูลวันดี; ฐิติพร วรฤทธิ์; เกษมะณี การินทร์
การวิจยัครัง้นี ้มีวตัถปุระสงค์เพื่อศกึษาคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชี คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี ความสมัพนัธ์ระหวา่งคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชีกบั คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี ผลกระทบของคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชาการบญัชีที่มีตอ่ คณุภาพข้อมลูทางการบญัชี เปรียบเทียบความคดิเห็นเกี่ยวกบัคณุสมบตัขิองบณัฑิตสาขาวิชา การบญัชีเพื่อเตรียมความพร้อมสปู่ระชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเปรียบเทียบความคดิเห็น เกี่ยวกบัคณุภาพข้อมลูทางการบญัชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกัทรัพย์แหง่ประเทศไทย จ าแนกตามกลมุ่อตุสาหกรรม ทนุจดทะเบียน จ านวนพนกังาน และระยะเวลาในการด าเนินงาน แตกตา่งกนั ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกัทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลลพัธ์ที่ได้จากการวิจยั สามารถน ามาใช้ประกอบการพฒันาศกัยภาพของบณัฑิต เพื่อยกระดบัมาตรฐานการศกึษาของ บณัฑิตให้มีความทดัเทียมกบัสากล พร้อมทงั้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการผลิตบณัฑิต ปรับปรุง ประสิทธิภาพการผลิตบณัฑิต ให้สอดคล้องกบัความต้องการของตลาดแรงงาน และใช้เป็น แนวทางส าหรับการวางแผนผลิตบณัฑิต สาขาวิชาการบญัชี คณะวิทยาการจดัการ มหาวิทยาลยั ราชภฏับรุีรัมย์ ในอนาคตตอ่ไป ซงึ่เก็บรวบรวมข้อมลูจากผ้บูริหารฝ่ายบญัชี บริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลกัทรัพย์แหง่ประเทศไทย จ านวน 214 คน และได้รับแบบสอบถามกลบัมา จ านวน 61 ฉบบั คดิเป็นร้อยละ 28.51 ของกลมุ่ตวัอยา่ง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิตทิี่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมลู ได้แก่ สถิตพิืน้ฐาน ประกอบด้วย คา่ร้อยละ คา่เฉลี่ย และสว่นเบี่ยงเบน มาตรฐาน สถิตทิี่ใช้ทดสอบคณุลกัษณะตวัแปร ประกอบด้วย การทดสอบความสัมพนัธ์ระหวา่ง ตวัแปรอิสระ (Multicollinearity Test) โดยใช้ Variance Inflation Factors (VIFs) และสถิติทดสอบสมมตฐิาน ประกอบด้วย F-test (ANOVA and MANOVA) การวิเคราะห์สหสมัพนัธ์ แบบพหคุณู และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหคุณู
2556-01-01T00:00:00Z
-
ชีววิทยาของสัตว์อันดับค้างคาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3415
ชีววิทยาของสัตว์อันดับค้างคาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
นฤมล ประครองรักษ์; สิริณี ยอดเมือง; ประภาพันธ์ ศริิขันธ์แสง; สมศักดิ์ จีวัฒนา; ณปภัช วรรณตรง; พชิาภพ กะรัมย์
การวิจัยในครัง:นีม:ุ่งศึกษาชีววิทยาในด้านพันธุศาสตร์เซลล์และชีววิทยาโมเลกุล ของสตัว์อนัดบัค้างคาว (Order Chiroptera) จํานวน 5 ชนิดในพืน:ที/ภาคตะวนัออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ได้แก่ (A) ค้างคาวหูหนูตีนโตเล็ก (Myotis horsfiledii) (B) ค้างคาวเพดานเล็ก (Scotophilus kuhlii) (C) ค้างคาวปีกถุงเคราดํา (Taphozous melanopogon) (D) ค้างคาว มงกุฎเล็ก (Rhinolophus pusillus) และ (E) ค้างคาวหน้ายักษ์สามหลืบ (Hipposideros larvatus) เพื/อสร้างระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยการศึกษาพันธุศาสตร์เซลล์พบว่า สตัว์ดงักล่าวมีจํานวนโครโมโซมดิพลอยด์ (2n) เท่ากบั 44 36 42 62 และ 32 มีจํานวนโครโมโซม พืน:ฐาน (NF) เท่ากบั 52 72 72 64 และ 62 ตามลําดบั การศกึษาลกัษณะเฉพาะของเอนไซม์ แอลฟา-แอล-ฟูโคซิเดสโดยใช้วิธี SDS-PAGE พบว่าค้างคาวทัง: 5 ชนิดมีแบบแผนโปรตีนที/ คล้ายคลึงกัน ส่วนการศกึ ษาด้วยวิธี Western analysis พบว่ามีเอนไซม์แอลฟา-แอล-ฟูโคซิเดส ที/มีนํา:หนกัโมเลกลุเท่ากบั (A) 66 (B) 69 และ 57 (C) 66 และ 45 (D) 66 51 และ 37 (E) 67 kDa จากการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที/สร้างขึน:พบว่า มีความพงึพอใจในทกุด้านอยใู่นระดบัมาก
2556-01-01T00:00:00Z
-
ปัจจัยทสี่่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3414
ปัจจัยทสี่่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เมษยา บุญสีลา
การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภฏับุรีรัมย์ โดยมีวตัถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียน ของนกัศึกษาระดบัปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ และเพื่อ เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวทิยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ โดยจ าแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ผลการศึกษาด้าน ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า นกัศึกษาภาคปกติ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภัฏบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาย รองลงมา เป็นนกัศึกษาหญิง เมื่อจ าแนกตามอายุ ส่วนใหญ่มีอายุ 21 – 24 ปี รองลงมา คือ อายุ 17 – 20 ปี และมีระดบัการศึกษาที่ไดร้ับก่อนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ส่วนใหญ่ศึกษาในระดบั มธัยมศึกษาตอนปลาย รองลงมาคือ ระดบัประกาศนียบตัรวิชาชีพ (ปวช.) ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 รองลงมา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ส่วนใหญ่ศึกษาในสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ อุตสาหกรรม รองลงมา คือ สาขาวิชาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผลการเรียน(เกรดเฉลี่ย) ถึง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 อยู่ระดับ 2.50 – 2.99 รองลงมาคือ ระดบั 2.00 – 2.49 ส่วนใหญ่พัก อาศัยในลักษณะเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อน โดยมีระยะทางจากที่พกัไปยงัมหาวิทยาลยั 1 - 10 กม. รองลงมาคือ ระยะทาง 11 – 20 กม. ตามลา ดบั ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก ( = 3.68 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า เกือบทุกด้านเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนมาก โดยด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านหลักสูตรเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนมากที่สุด ( = 3.95) รองลงมาคือ ดา้นนโยบายของมหาวิทยาลยั ( = 3.82) และด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนน้อย ที่สุด ( = 3.38) ตามลา ดบั
(3)
ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนของนักศึกษาภาคปกติ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลยัราชภฏับุรีรัมย์ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีระดับความ คิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 (P < .05) มีจา นวน 2 ดา้น คือ ด้านชั้นปีที่ก าลัง ศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และด้านสาขาวิชาที่ศึกษาในคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ส่วนปัจจัยส่วน บุคคลด้านอื่นๆ มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน
2556-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3413
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จำนวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอ
นางรอง อุโบสถวัดหนองบัวเจ้าป่า อำเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชัย จังหวัด
บุรีรัมย์งานวิจัยมีกลุ่มเป้าหมายในการใช้สารสารสนเทศเป็นนักท่องเที่ยวที่มีการใช้อุปกรณ์สื่อสาร
พกพาในการเข้าเยี่ยมชมอุโบสถ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาแนวความคิดการสร้างสื่อสารสนเทศที่
เป็นตัวอย่างของการเก็บข้อมูลและเผยแพร่ในรูปแบบสารสนเทศส าหรับใช้ประกอบการเยี่ยมชม
อุโบสถ โดยกระบวนการวิจัยเป็นการวิเคราะห์สรุปแนวความคิดหารูปแบบในการสร้างสรรค์สื่อที่
มีความเหมาะสมและจัดสร้างสื่อสารสนเทศจ านวน 3 ชุดความรู้ ได้แก่ การสร้างสื่อชุดความรู้ตาม
กรอบการสารวจสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นการสร้างสื่อชุดความรู้การแสดงแบบทางสถาปัตยกรรม
การสร้างสื่อชุดความรู้ที่อธิบายความถึงหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมทที่สร้างสภาวะน่าสบาย
จากนั้นจึงเผยแพรข้อมูลผ่านแบบเว็บไซต์จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ วัดหนองบัวเจ้าป่า
www.wnbcp.archbru.com วัดขุนก้อง www.wkk.archbru.com วัดชัยมงคล
www.wcmk.archbru.com และจัดทำป้ายข้อมูลสรุปชุดความรู้พร้อมการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านรหัส
คิวอาร์ (QR Code) เพื่อนำไปขยายผลสู่อุโบสถกรณีศึกษาทั้ง 3 แห่ง พร้อมทั้งทดสอบการ
แสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารพกพาผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) ที่สามารถแสดงผลปกติใน
ทุกขนาดหน้าจอแสดงผลที่น ามาทดสอบ เนื่องจากในขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ได้ใช้ระบบการ
แสดงผลแบบ Responsive ผลการวิจัยท าให้ได้ตัวอย่างแนวทางการสร้างสื่อสารสนเทศ
ภูมิปัญญาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและตัวอย่างการสร้างว็บไซต์ส าหรับวัดอื่นๆ ที่มีรูปแบบการ
จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัดและอุโบสถรวมถึงการน าเสนอข้อมูลส าหรับการท่องเที่ยวและใช้ในการ
อนุรักษ์สถาปัตกรรมพื้นถิ่นสืบไป
2557-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3412
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาพื้นถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรเู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จำนวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอ
นางรอง อุโบสถวัดหนองบัว เจ้าป่า อำเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชัย จั
หวัดบุรีรัมย์
2557-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภม ู ิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พืน ้ ถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3411
การพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภม ู ิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถ พืน ้ ถิ่นที่สร้างสภาวะสบาย : กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัดบุรีรัมย์
วิสาข์ แฝงเวียง
โครงการวิจัยการพัฒนาสื่อสารสนเทศชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบ
อุโบสถพื้นถิ่นที่สร้างสภาวะน่าสบาย เพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กรณีศึกษา อุโบสถในจังหวัด
บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อสารสนเทศ จัดทำฐานข้อมูล และศึกษาความเหมาะสมของ
การแสดงผล ผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) จากชุดความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นในการออกแบบอุโบสถพื้นถิ่นเพื่อสร้างสภาวะน่าสบาย จ านวน 3 กรณีศึกษา ได้แก่ อุโบสถวัดขุนก้อง อำเภอนางรอง อุโบสถวัดหนองบัว เจ้าป่าป่า อาเภอสตึก และอุโบสถวัดชัยมงคล อำเภอประโคนชย จังหวัดบุรีรัมย์
งานวิจัยมีกลุ่มเป้าหมายในการใชส ้ ่อ ื สารสนเทศเป็นนก ั ท่องเทย ่ี วทม ่ี ก ี ารใชอ ้ ุปกรณ์ส่อ ื สารพกพาในการเข้าเยี่ยมชมอุโบสถ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงศึกษาแนวความคิดการสร้างสื่อสารสนเทศที่
เป็นตัวอย่างของการเก็บข้อมูลและเผยแพร่ในรูปแบบสารสนเทศส าหรับใช้ประกอบการเยี่ยมชม
อุโบสถ โดยกระบวนการวิจัยเป็นการวิเคราะห์สรุปแนวความคิดหารูปแบบในการสร้างสรรค์สื่อที่
มีความเหมาะสมและจัดสร้างสื่อสารสนเทศจ านวน 3 ชุดความรู้ ได้แก่ การสร้างสื่อชุดความรู้ตาม
กรอบการสารวจสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น การสร้างสื่อชุดความรู้การแสดงแบบทางสถาปัตยกรรม
การสร้างสื่อชุดความรู้ธธิายความถึงหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมทสร้างสภาวะน่าสบาย
จากนั้นจึงเผยแพรข้อมูล ผ่านรูปแบบเว็บไซต์จานวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ วัดหนองบัวเจ้าป่า
www.wnbcp.archbru.com วัดขุนก้อง www.wkk.archbru.com วัดชัยมงคล
www.wcmk.archbru.com และจัดทำป้ายข้อมูลสรป ุ ชุดความรู้พร้อมมการเชื่อมโยงข้อมูล ผ่านรหัส
คิวอาร์ (QR Code) เพื่อนำไปขยายผลสู่อุโบสถกรณีศึกษาทั้ง 3 แห่ง พร้อมทั้งทดสอบการ
แสดงผลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสารพกพาผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) ที่สามารถแสดงผลปกติใน
ทุกขนาดหน้าจอแสดงผลที่น ามาทดสอบ เนื่องจากในขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ได้ใช้ระบบการ
แสดงผลแบบ Responsive ผลการวิจัยท าให้ได้ตัวอย่างแนวทางการสร้างสื่อสารสนเทศ
ภูมิปัญญาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและตัวอย่างการสร้างเว็บไซต์ส าหรับวัดอื่นๆ ที่มีรูปแบบการ
จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัดและอุโบสถรวมถึงการนำเสนอข้อมูลส าหรับการท่องเที่ยวและใช้ในการ
อนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นต่อไป
2557-01-01T00:00:00Z
-
แนวทางการพัฒนาโจทยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3410
แนวทางการพัฒนาโจทยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
อุทิศ ทาหอม
การวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาโจทยวิจัยที่มาจากความตองการของชุมชนบานเสม็ด ตําบล
หนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย มีวัตถุประสงคของการวิจัย คือ 1. เพื่อศึกษาความตองการใน
การแกไขปญหาของชุมชนบานเสม็ดผานกระบวนการพัฒนาโจทยวิจัยระหวางนักวิชาการกับคนในชุมชน2. เพื่อคนหาเทคนิควิธีการใหไดมาซึ่งโจทยวิจัยระหวางนักวิชาการและคนในชุมชนบานเสม็ด ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย 3. เพื่อพัฒนาโจทยวิจัยใหเปนขอเสนอโครงการวิจัยรวมกับชุมชนบานเสม็ด อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมยคณะผูศึกษาใชวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลโดยทําการเก็บรวบรวมขอมูลจากกลุมตัวอยางแบบเจาะจง (Purposive sampling) และใชวิธีการสุมตัวอยางแบบการเลือกแบบอาสาสมัคร (Volunteer Sampling) เก็บขอมูลผูที่เขามาเปนอาสาสมัครนักวิจัยชุมชน พรอมทั้งเขารวมเวทีพัฒนาโจทยวิจัยของชุมชน พรอมทั้งเปนผูรูดานการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมของชุมชน โดยมี กลุมเปาหมายหลัก และ กลุมเปาหมายรอง ประกอบดวย ผูนําชุมชน ผูอาวุโส ประชาชนบานเสม็ด และนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย รวมทั้งสิ้น 210 คนผลการศึกษา พบวา การพัฒนาโจทยวิจัยแบงออกเปน 3 ขั้นตอน ไดแก 1. กอนลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัยกอนจะลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัย 2. การจัดเวทีรวมกับชุมชน 3. การประเมินสรุปผล ดังนั้นกอนลงพื้นที่พัฒนาโจทยวิจัยทีมวิจัยมีการวางแผนกอนทุกครั้ง โดยเปนการเตรียมคําถามในการพัฒนาโจทยวิจัย เทคนิควิธีการคนหาโจทยวิจัยที่มาจากความตองการของชุมชน การลงพื้นที่พัฒนาโครงการวิจัยรวมกับชุมชนในอันดับแรกทีมวิจัยจะศึกษาขอมูล บริบทชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมริมแมน้ําชีที่เกิดปญหาการบุกรุก และการใชประโยชนในเชิงทําลาย พรอมทั้งปญหาการนําขยะเขาไปทิ้งภายในปาชุมชนริแมน้ําชี การจัดเวทีพัฒนาโจทยวิจัยครั้งที่ 1 “ชวนคิด ชวนคุย” คนหาประเด็นวิจัย ทีมวิจัยใชเครื่องมือการสนทนาพูดคุย การแลกเปลี่ยนเรียนรู โดยตั้งคําถามวา สิ่งดี ๆ ที่มีอยูในชุมชน โดยเขียนการแผนที่ความคิด (Mind Map) เปนการวาดแผนฝงเชื่อมโยงความคิด และมีการแยกยอยของแตละสถานการณปญหา เพื่อทําใหคนในชุมชนมองเห็นการเชื่อมโยงของแตละประเด็น พบวา ภายในชุมชนบานเสม็ดมีกลุมอาชีพตาง ๆ หลากหลาย หลังฤดูกาลทํานา ไดแก กลุมทํากระถางตนไม กลุมทําปุย กลุมทําเกษตร กลุมเลี้ยงปลา กลุมเลี้ยงกบ และเพาะปลูกพืชผักสวนครัว เมื่อประชาชนปลูกผักมากขึ้น สงผลใหผลผลิตลนตลาด และประสบปญหาวัชพืชทําลายผลผลิตทางการเกษตร ในที่สุดประชาชนจํานวนมากตัดสินใจเลิกทำเนื่องจากขาดความรูในการจัดการเรื่องผลผลิตและการกําจัดวัชพืช
2557-01-01T00:00:00Z
-
โครงการย่อยที่ 1 ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดของสารสกัดจากเห็ดพื้นบ้านที่พบ บริเวณพื้นที่วนอุทยาน ภูเขาไฟกระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3409
โครงการย่อยที่ 1 ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดของสารสกัดจากเห็ดพื้นบ้านที่พบ บริเวณพื้นที่วนอุทยาน ภูเขาไฟกระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สันธยา บุญรุ่ง, เทพอัปสร แสนสุข
จากงานวิจัยเรื่องการสารวจความหลากหลายทางชีวภาพของเห็ดพื้นบ้านที่รับประทานได้ใน
เขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ของ เทพอัปสรและคณะ (2558) พบว่าที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงมี
เห็ดพื้นบ้านรับประทานได้หลากหลายสายพันธุ์ จึงทาให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่
เข้ามาเก็บเพื่อการบริโภคและจาหน่าย โดยการนาเห็ดมารับประทานนั้นเพื่อเป็นแหล่งโปรตีน และ
เป็นยาสมุนไพร ซึ่งการใช้เห็ดพื้นบ้านเป็นยาสมุนไพรนั้นมีสืบทอดกันมาอย่างช้านาน ไม่ว่าจะเป็นใน
ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีหรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง เห็ดที่นิยมนามาใช้เป็นสมุนไพรได้แก่ เห็ดหอม
เห็ดฟาง เห็ดแครง เป็นต้น สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของเห็ดส่วนใหญ่ถูกนามาใช้ในการช่วยเสริมและ
เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้หรือป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน
พบว่าเกิดการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกในขณะนี้
ดังนั้นงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการสกัดสารสกัดทางชีวภาพจากเห็ดป่าบางชนิดในเขตวน
อุทยานภูเขาไฟกระโดงด้วยตัวทาละลายต่างๆ ได้แก่ เอทานอล น้าอุณหภูมิห้อง และน้าร้อนที่
อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส และเพื่อศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากเห็ดป่าทั้ง 3 ชนิด คือ
เห็ดระโงกขาว เห็ดน้าหมาก และเห็ดเผาะ พบว่าสารสกัดที่สกัดได้จากเห็ดป่านี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ
จุลินทรีย์ที่นามาใช้ในการทดสอบออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้คือ 1) กลุ่มแบคทีเรียแกรมบวก (B. cereus, S.
aureus) 2) กลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ (E. coli) และ 3) กลุ่มยีสต์ (C. albicans) พบว่าสารสกัดหยาบ
ของเห็ดแบบสดและแบบแห้งนั้นมีผลการยับยั้งการเจริญของเชื้อเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยพบว่า
สารสกัดหยาบจากเห็ดระโงกขาในสารละลายเอทานอลสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อในลุ่ม
แบคทีเรียแกรมบวก (B. cereus, S. aureus) ได้ดีที่สุด ส่วนสารสกัดหยาบจากเห็ดน้าหมากในตัวทา
ละลายน้าร้อนจะยับยั้งการเจริญของเชื้อกลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ (E. coli) ได้ดีและในกลุ่มยีสต์ (C.
ค
albicans) นั้นจะถูกยับยั้งโดยสารสกัดหยาบจากเห็ดเผาะในตัวทาละลายน้าร้อนยับยั้งได้ดี จากผล
การศึกษานี้ควรนาไปทดลองในตัวสัตว์และส่งเสริมการนาเห็ดสมุนไพรเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการ
รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ในทางคลินิกต่อไป
2558-01-01T00:00:00Z
-
การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้ว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3408
การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้ว
ภัทรพงศ์ ข้าคม
การศึกษาครั งนี มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาขั นตอนการผลิตน ้ามันไบโอดีเซล เพื่อออกแบบและ
สร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชใช้แล้ว เพื่อหาค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความหนาแน่นค่าความเป็นกรด ค่าจุดไหลเท และค่าความหนืดของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ เพื่อน้าค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความเป็นกรด และค่าจุดไหลเทของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้เปรียบเทียบกับ
คุณสมบัติไบโอดีเซลของส้านักวิชาการพลังงานภาค 1 กระทรวงพลังงาน และเพื่อน้าค่าความ
หนาแน่นของน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานน ้ามันไบโอดีเซลส้าหรับเครื่องยนต์การเกษตร (ไบโอดีเซลชุมชน) ของกรมธุรกิจพลังงาน การสร้างเครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ซึ่งประกอบด้วย 4 ถัง ได้แก่ ถังผสมโซเดียมไฮดรอกไซด์กับเมทานอล ถังส้าหรับต้มน้ำมัน ถังแยกชั นกลีเซอรีนกับไบโอดีเซล และถังล้างน ้ามันไบโอดีเซล ผู้วิจัยท้าการทดลองโดยใช้น ้ามันพืชที่ใช้แล้ว ปริมาตร 5 ลิตร เมทานอล (CH3OH) ปริมาตร 1.25 ลิตร โซเดียมไฮดรอก-ไซด์ (NaOH) ปริมาณ 50 กรัม จ้านวน 5 ชุดการผลิต และเวลาการผลิตในแต่ละครั ง 11ชั่วโมงจากการวิจัยพบว่า ค่าความถ่วงจ้าเพาะที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าความถ่วงจ้าเพาะที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส โดยเฉลี่ยมีค่า 0.8766 ค่าความหนาแน่นที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ โดยเฉลี่ยจะมีค่าความหนาแน่น 876.6 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร ค่าความเป็นกรดที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน
น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้ จะมีค่าความเป็นกรดโดยเฉลี่ยมีค่า 7 ค่าจุดไหลเทที่วัดได้จากน ้ามัน
ไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าที่อยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน น ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้จะมีค่าจุดไหลเทโดยเฉลี่ยมีค่า 1.532 องศาเซลเซียส และค่าความหนืดที่วัดได้จากน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้โดยเฉลี่ยมีค่า 0.0198 นิวตันวินาทีต่อตารางเมตร
ดังนัน เครื่องผลิตน ้ามันไบโอดีเซลจากน ้ามันพืชที่ใช้แล้วเครื่องนี สามารถใช้ผลิตน ้ามัน
ไบโอดีเซลได้ และน ้ามันไบโอดีเซลที่ผลิตได้มีค่าความถ่วงจ้าเพาะ ค่าความหนาแน่น ค่าความเป็น
กรด ค่าจุดไหลเท และค่าความหนืดที่ใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานน ้ามันไบโอดีเซล ตามวัตถุประสงค์
และสมมติฐานของการวิจัย
2557-01-01T00:00:00Z
-
ปจจัยที่สงผลตอการละเมิดทรัพยสินทางปญญาในสังคมออนไลน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3407
ปจจัยที่สงผลตอการละเมิดทรัพยสินทางปญญาในสังคมออนไลน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
รัชฎาภรณ สุวรรณรังษ
โครงการวิจัยครั้งนี้ มีความมุงหมายเพื่อศึกษาปจจัยที่สงผลตอการละเมิดทรัพยสิน
ทางปญญาในสังคมออนไลนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย กลุมตัวอยาง ไดแก
นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ที่กําลังศึกษาอยูในชั้นปที่ 1- 5 ปการศึกษา 2556 ณ
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย จํานวน 400 คนโดยใชการสุมกลุมตัวอยางแบบการสุมอยางงาย
(Random Sampling) เครื่องมือที่ใชคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูลคือ
คารอยละ คาเฉลี่ย (Mean) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัย
พบวา
1. ขอมูลทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะของประชากร มีผูตอบแบบสอบถามทั้งหมด จํานวน
400 คน โดยเปนเพศชาย จํานวน 201 คน เพศหญิง จํานวน 199 คน สวนใหญมีอายุอยู
ระหวาง 18-19 ป ศึกษาอยูคณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร ชั้นปที่ 2 มีรายไดเฉลี่ยตอ
เดือนต่ํากวา 2,000 บาท
2. ปจจัยที่สงผลตอการละเมิดทรัพยสินทางปญญาในสังคมออนไลนของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย จากผลการวิจัย พบวา ปจจัยที่สงผลตอการละเมิดทรัพยสินทาง
ปญญาในสังคมออนไลนอยูในระดับปานกลาง โดยปจจัยดานการเขาถึงสังคมออนไลนมาก
ที่สุด รองลงมา คือ ดานพฤติกรรมที่สงผลตอละเมิดทรัพยสินทางปญญาในสังคมออนไลน
ดานกฎหมายและดานความรูความเขาใจเกี่ยวกับการละเมิดทรัพยสินทางปญญาในสังคม
ออนไลน ตามลําดับ
2557-01-01T00:00:00Z
-
กระบวนการคนโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมสรางเสริมสุขภาวะชุมชนดวยภูมิปญญาทองถิ่น บานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3406
กระบวนการคนโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมสรางเสริมสุขภาวะชุมชนดวยภูมิปญญาทองถิ่น บานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
คคนางค ชอชู
กระบวนการคนหาโจทยวิจัยแบบมีสวนรวมการจัดการภูมิปญญาทองถิ่นเพื่อสรางเสริมสุขภาวะ
ชุมชนบานหวา ตําบลหนองเต็ง อําเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย มีวัตถุประสงค 2 ประการ คือ 1) เพื่อ
ศึกษาบริบทชุมชนบานหวา 2) เพื่อศึกษากระบวนการมีสวนรวมของคนหาประเด็นภูมิปญญาทองถิ่นที่
ใชในการสรางเสริมสุขภาวะชุมชนบานหวา กลุมตัวอยางที่เปนตัวแทนชุมชนบานหวา ประกอบดวย หมู 5 หมู 9 และหมู 15 ไดแก ผูนําชุมชน ผูอาวุโส ปราชญชาวบาน อสม. ชาวบาน ดวยการวิจัยเชิงพื้นที่(Community-based Research : CBR) ใชกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสวนรวม
(Participatory Action Research : PAR) ผลการวิจัยพบวา บริบทชุมชนบานหวาเปนกลุมชนชาติพันธุเขมรที่อพยพมาจากจังหวัดสุรินทรกอตั้งชุมชนมายาวนานกวา 111 ป กลุมชาติพันธุเขมรจะมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ การเคารพบรรพบุรุษยึดมั่นในขนบ ธรรมเนียม ประเพณีดั้งเดิม มีผลตอ
ความสัมพันธทางสังคมที่ดี และเอื้ออาทรตอกันมี สถานที่สําคัญที่เชื่อมโยงผูคน ไดแก วัดบานหวา
วัดทุงตะวัน ศาลเจาพอโพธิ์ทอง โรงเรียน แหลงน้ําหนองหวา เปนศูนยรวมกิจกรรมของคนในชุมชน
การคนหาประเด็นภูมิปญญาเพื่อการสรางเสริมสุขภาวะดวยกระบวนการมีสวนรวมเริ่มจากการ
หาทีมนักวิจัยที่เปนคนที่อยูในชุมชน ใชเวทีการประขุมแลกเปลี่ยนสนทนากลุมรวมกันในประเด็นนิยาม
สุขภาวะ บริบทชุมชน ภูมิปญญาทองถิ่นชุมชนบานหวา การคัดเลือกภูมิปญญาเพื่อสรางเสริมสุขภาวะ
ชุมชน ดวยการพิจารณาภูมิปญญาที่เปนภูมิปญญาชุมชนมากกวาภูมิปญญาระดับปจเจก การหารือ
รวมกันของคนในชุมชนจนสามารถเลือกภูมิปญญาที่นานําไปสงเสริมสุขภาวะชุมชน คือ 1) ดนตรี
พื้นบานดวยมีเหตุผลรวมกันที่วาดนตรีสามารถเชื่อมโยงคนหลายวัย หลายกิจกรรมของชุมชน ดนตรีไดนั้นตองใชความสัมพันธเปนกลุมที่สงผลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสังคม นอกจากนี้ดนตรียังเปนสามารถบําบัดรักษาในพิธีกรรม “รํามะมวด” ที่เปนความเชื่อตอการทํานายตามความเชื่อของชาวเขมรเปนการรักษาผูที่เจ็บปวยอันเนื่องมาจากการทําผิดผีบรรพบุรุษ 2) ประเพณีทองถิ่น เชน แซนโดนตาตามความเชื่อเคารพบรรพบุรุษ ชวงเทศกาลแซนโดนตาชาวบานจะไปทําบุญที่วัด สะทอนใหเห็นวาการไปวัดนั้นมีผลตอจิตใจไปแลวสบายใจโดยเฉพาะการไดทําบุญใหตายายที่เปนบรรพบุรุษ ไดรวมญาติ ยิ่งทําใหมีความสุข เทศกาลออกพรรษา สงกรานต เปนตน
2557-01-01T00:00:00Z
-
พฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์ของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3405
พฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์ของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
อนงค์ ทองเรือง
พฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์ของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มี
วัตถุประสงค์เพือศึกษาพฤติกรรมการใช้เครือข่ายทางสังคมออนไลน์ของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และเพือเปรียบเทียบ
พฤติกรรมการใช้ สังคมออนไลน์ของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่ม
ตัวอย่างทีใช้ ในการวิจัยคือ นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ ระดับปริญญาตรี ชันปีที - จํานวนประชากรคน ใช้ วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ได้ กลุ่ม
ตัวอย่างจํานวน คน เครืองมือทีใช้ ในการเก็บรวบรวมข้ อมูล ประกอบด้ วยแบบสอบถามเกียวกับ
พฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์ของนักศึกษาผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วน
ใหญ่ใช้อินเตอร์เน็ตเพือหาความรู้ เกียวกับการเรียน โดยการเลือกใช้เว็บไซต์ทีให้บริการด้านสืบค้นข้อมูล เลือกทีจะแลกเปลียนข้อมูลข่าวสารกับเพือนร่วมห้องผ่านทาง
Facebook เพราะเป็นช่องทางทีดีทีสุดในปัจจุบันทําให้ได้รับประโยชน์ด้านการแลกเปลียนข้อมูลข่าวสารได้ทันทีมากทีสุด ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เมือ
เปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์ของนักศึกษาจําแนกตามเพศ นักศึกษามีการแลกเปลียน
ความคิดเห็นและการสือสารกันเกียวกับข้อมูลข่าวสารด้านการเรียนและนํามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ เมือเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้ สังคมออนไลน์ของนักศึกษาจําแนกตามสาขาวิชา นักศึกษาแต่ละสาขาวิชาจะมีพฤติกรรมการใช้สังคมออนไลน์เหมือนกันทุกคน แต่จะแตกต่างกันว่านักศึกษาจะนํามาประยุกต์ใช้กับตนเอง กับสาขาวิชาทีเรียนอย่างไร เพราะบางสาขาวิชาอาจจะต้องอาศัยสังคมออนไลน์ในการเรียนการสอนมากน้อยต่างกัน
2556-01-01T00:00:00Z
-
โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อราของสารสกัดจากแก่นครี้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3404
โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาฤทธิ์ต้านเชื้อราของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
แก่นครี้เป็นสมุนไพรไทยที่มีสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์หลากหลายชนิด การศึกษาครั้งนี้จึงใช้สารสกัดหยาบจากแก่นครี้ที่สกัดด้วยเมทานอลมาทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อราชนิดต่างๆ 4 สายพันธุ์ (Alternaria brassicicola, Candida albicans, Curvularia lunata และ Magnaporthe grisea) การทดสอบใช้เทคนิควิธีทางสเปกโตรฟลูออโรเมตรี ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากแก่นครี้มีผลยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Magnaporthe grisea ได้เพียงเล็กน้อย โดยมีค่า IC50 เป็น 91.31 μg/mL ซึ่งยังถือมีประสิทธิภาพต่ากว่ายาปฏิชีวนะ Amphotericin B ที่ใช้เป็นเป็นชุดการทดลองควบคุมผลบวก ในขณะเดียวกันผลการศึกษาการยับยั้งการเจริญในเชื้อราชนิดอื่นๆ พบว่าสารสกัดไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญได้เลยในความเข้มข้นสูงสุดของสารสกัดที่ใช้ในการทดลองนี้
2558-01-01T00:00:00Z
-
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3403
ชุดโครงการ : การศึกษาฤทธ์ิต้านจุลชีพของสารสกัดจากแก่นครี้
วรวัฒน์ พรหมเด่น, เทพพร โลมารักษ์
งานวิจัยนีม้ ุ่งหาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่พืชสมุนไพรที่มีการใช้อยู่ทวั่ ไป พร้อมทัง้
ตรวจสอบหาสารต้านจุลชีพชนิดใหม่ แก่นครีเ้ ป็นสมุนไพรไทยที่มีสารพฤกษเคมีกลุ่มฟลาโวนอยด์
หลากหลายชนิด การศึกษาครัง้ นีจึ้งใช้สารสกัดหยาบจากแก่นครีที้่สกัดด้วยเมทานอลมาทดสอบ
ประสิทธิภาพการยับยัง้ จุลชีพชนิดต่างๆ โดยเป็นแบคทีเรียแกรมบวก 2 สายพันธ์ุ (Bacillus
cereus แ ล ะ Enterococcus faecium) แบค ที เรี ย แก รม ลบ 4 ส ายพัน ธ์ุ (Acenetobactor
baumannii ATCC 19606, Escherichia coli ATCC 25922, Klebsiella pneumoniae ATCC
70 0 6 03 แ ล ะ Pseudomonsa aeruginosa PAO1 ) ก ลุ่ม เชื ้อ รา 4 ส ายพั น ธ์ุ (Alternaria
brassicicola, Candida albicans, Curvularia lunata และ Magnaporthe grisea) การทดสอบ
ใช้เทคนิควิธีทางสเปกโตรโฟโตรเมตรีและสเปกโตรฟลูออโรเมตรี และรายงานค่าความเข้มข้นที่
น้อยที่สุดของสารสกัดที่สามารถยับยัง้ การเจริญของจุลชีพได้ที่ร้อยละ 90 (MIC90) ผลการทดสอบ
พบว่าสารสกัดจากแก่นครีมี้ผลยับยัง้ การเจริญของเชือ้ B. cereus ได้ดีที่สุด โดยมีค่าและมีค่า
MIC90 เป็น 12.5 μg/mL และสามารถยับยัง้ การเจริญเติบโตได้ถึง 99.85% และ 100% ที่ความ
เข้มข้น 25 และ 50 μg/mL ตามลาดับ ศักยภาพในการยับยัง้ เชือ้ B. Cereus ของสารสกัดจาก
แก่นครีจ้ ะสามารถนาไปพัฒนาเป็นสารป้องกันการบูดเน่าของอาหารประเภทแป้งได้ ในขณะที่การ
ทดสอบฤทธิ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ เมื่อใช้สารสกัดจากแก่นครีที้่ความเข้มข้นสูงสุดในการทดลอง (50
μg/mL) พบว่ายังไม่สามารถยับยัง้ การเจริญได้ ดังนัน้ จึงประเมินได้ว่าสารสกัดจากแก่นครียั้งไม่มี
ประสิทธิภาพพอที่จะนามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต้านจุลชีพชนิดอื่นๆ ยกเว้น B. cereus
2558-01-01T00:00:00Z
-
กลไกการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ กรณีศึกษา พื้นที่ชุมชน เทศบาลตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3402
กลไกการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ กรณีศึกษา พื้นที่ชุมชน เทศบาลตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และ ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
สมมาตร์ ผลเกิด; สมมาตร์ ผลเกิด
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยให้มีคุณภาพสามารถ
สนับสนุนการด าเนินงานวิจัยเชิงพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและคล่องตัวสูง โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้
เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ภายใต้บริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการ
วิจัยเชิงพื้นที่ให้เหมาะสมกับบริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาประเด็นโจทย์วิจัยเชิงพื้นที่บนพื้นฐานการ
มีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนด้วยวิธีการ สร้างความร่วมมือกับส านักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายชุมชน ค้าหานักวิจัยร่วมกัน (ทีมนักวิชาการและทีมชาวบ้าน)
พัฒนาโจทย์วิจัยโดยลงไปพื้นที่เป้าหมายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมสังเคราะห์ประเด็ นกับพื้นที่
เป้าหมายและผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมวิพากษ์ประเด็นกับชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบจาก
การด าเนินงานวิจัย เป็นต้น ผลการด าเนินงาน ท าให้ได้งานวิจัยเชิงพื้นที่ที่ คาดว่าจะสามารถน าไป
ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และเป็นความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของชาวบ้านให้สามารถน าไป
ด าเนินการให้ประสบความส าเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนได้
อย่างเป็นรูปธรรมประกอบด้วย 3 โครงการคือ โครงการยกระดับจิตส านึกท้องถิ่นเพื่อการฟื้นฟูป่าชุมชน
อย่างยั่งยืน ต าบลโคกกลาง อ าเภอล าปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะ
ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนบ้านหว้า ต าบลหนองเต็ง อ าเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และโครงการ
กระบวนการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน
บ้านเสม็ดต าบลหนองเต็ง อ าเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย; งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยให้มีคุณภาพสามารถ
สนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเชิงพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบและคล่องตัวสูง โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้ เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนานักวิจัยเชิงพื้นที่ภายใต้บริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนการ วิจัยเชิงพื้นที่ให้เหมาะสมกับบริบทของมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาประเด็นโจทย์วิจัยเชิงพื้นที่บนพื้นฐานการ มีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนด้วยวิธีการ สร้างความร่วมมือกับส านักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายชุมชน ค้าหานักวิจัยร่วมกัน (ทีมนักวิชาการและทีมชาวบ้าน) พัฒนาโจทย์วิจัยโดยลงไปพื้นที่เป้าหมายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมสังเคราะห์ประเด็ นกับพื้นที่ เป้าหมายและผู้เชี่ยวชาญจาก สกว. ร่วมวิพากษ์ประเด็นกับชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบจาก การดำเนินงานวิจัย เป็นต้น ผลการดำเนินงาน ทำให้ได้งานวิจัยเชิงพื้นที่ที่ คาดว่าจะสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และเป็นความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาของชาวบ้านให้สามารถนำไป ดำเนินการให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในชุมชนได้ อย่างเป็นรูปธรรมประกอบด้วย 3 โครงการคือ โครงการยกระดับจิตสำนึกท้องถิ่นเพื่อการฟื้นฟูป่าชุมชนอย่างยั่งยืน ตำบลโคกกลาง อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการกระบวนการสร้างเสริมสุขภาวะ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนบ้านหว้า ตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และโครงการ กระบวนการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการตนเองบนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชน บ้านเสม็ดตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
2557-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรูปตลอดชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3401
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรูปตลอดชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง; เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านภูมิหลังและลักษณะส่วนตัว และด้านสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนกับศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา และเพื่อสร้างสมการพยากรณ์
ศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน
410 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
2555-01-01T00:00:00Z
-
สมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3400
สมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เบญจพร, วรรณูปถัมภ์; บุญเลี้ยง, ทุมทอง
โครงการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อประเมินระดับสมรรถนะของบุคลากรใน
มหาวิทยาลัย และเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การเสริมพลังอํานาจในงาน
บรรยากาศองค์กรกับสมรรถนะของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากร
ที่ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้นจํานวน 72 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบ
สอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
แบบเพียร์สัน
2555-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3399
การศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
บุญเลี้ยง, ทุมทอง; เฉลิมชัย, โสสุทธิ์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านภูมิหลังและลักษณะส่วนตัว และด้านสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนกับศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา และเพื่อสร้างสมการพยากรณ์
ศักยภาพการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน
410 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน
2555-01-01T00:00:00Z
-
การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่เหมาะสมกับชุมชนเลี้ยงช้าง บ้านตากลาง ตา บลกระโพ อา เภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3398
การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่เหมาะสมกับชุมชนเลี้ยงช้าง บ้านตากลาง ตา บลกระโพ อา เภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
วชิรภัทรกลุ, วัชระ
โครงการวิจัยเรืองการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เครืองปันดินเผาทีเหมาะสมกับชุมชน
เลียงช้าง บ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพือศึกษา
แนวทางและความเป็นไปได้ ของเนือดินบริเวณในพืนทีทำการศึกษาหาอัตราส่วนผสมของวัตถุดิบ
ในท้องถิน ทีเหมาะสมในการผลิตเครืองปันดินเผา และทำการออกแบบผลิตภัณฑ์เครืองปันดินเผา
ให้มีความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิน และเหมาะสมกับการผลิตโดยใช้วัตถุดิบในท้องถินเป็น
วัตถุดิบหลัก
2553-01-01T00:00:00Z
-
การแยกและคัดเลือกจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มเซลลูโลติก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3397
การแยกและคัดเลือกจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตเอนไซม์กลุ่มเซลลูโลติก
ภักดีเดชาเกียรติ, วรนุช; ศิริขันธ์แสง, ประภาพันธ์
เซลลูเลสเป็นเอนไซม์ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและการย่อยสลายวัสดุ
เหลือทิ้งทางการเกษตร การวิจัยในครั้งนี้สามารถแยกจุลินทรีย์ที่มีกิจกรรมเซลลูเลสได้จากมูลสัตว์ในเขต
อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้อาหาร CMC agar ได้จำนวน 31 ไอโซเลท ผลการย้อมสีคองโก เรด
พบว่าจุลินทรีย์จำนวน 23 ไอโซเลทที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของโซนใสในช่วง 0.5-1 เซนติเมตร สำหรับ
8 ไอโซเลท ซึ่งได้แก่AF1 ED1 EF1 EC1 GC1 GC3 ID2 และ IC3 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของโซนใส
เท่ากับ 1.2 1.54 1.21 1.29 1.33 1.33 1.28 และ 1.23 เซนติเมตร ตามลำดับ ผลการเพาะเลี้ยงในอาหาร
CMC broth ที่ไม่มีสารสกัดจากยีสต์แสดงให้เห็นว่าจุลินทรีย์ทั้ง 8 ไอโซเลท ดังกล่าวไม่มีกิจกรรมของ
เอนไซม์คาร์บอกซีเมทธิลเซลลูเลส นอกจากนี้ยังพบว่าที่อุณหภูมิ45 องศาเซลเซียส พีเอช 7.0 โดยบ่ม
ร่วมกับสารตั้งต้น CMC เป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตได้จากไอโซเลท GC1
2553-01-01T00:00:00Z
-
การจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรี ในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3396
การจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรี ในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์
ธิติ, ปัญญาอินทร์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนและปัญหาการเรียนการสอนวิชาทฤษฎีดนตรีสากลของครูผู้สอนดนตรีในโรงเรียนมัธยมจังหวัดบุรีรัมย์ ประชากร คือครูผู้สอนดนตรีในโรงเรียนมัธยม จังหวัดบุรีรัมย์ จา นวน50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
2553-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3395
การศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เวียงวิเศษ, ฐิตาภรณ์
ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษาทังของรัฐและเอกชนมีอยู่ ประการ คือ
การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และการทำนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรม นอกจากภารกิจหลักทัง ประการ ทีทุกมหาวิทยาลัยต้องยึดถือปฏิบัติแล้ว
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังมีภารกิจทีต้องปฏิบัติเพิมเติมตามสภาพแวดล้อมความพร้อมและจุดเน้น
ของมหาวิทยาลัยแตกต่างกันไป เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีภารกิจอยู่ ประการ ได้แก่
ภารกิจหลักของสถาบันอุดมศึกษา ประการ และเพิมเติมภารกิจปรับปรุงถ่ายทอดและพัฒนา
เทคโนโลยี ผลิตครูและส่งเสริมวิทยฐานะครู และส่งเสริมสืบสานโครงการอันเนืองมาจาก
พระราชดำริ ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้จัดการเรียนการสอนตังแต่ระดับปริญญาตรี
ถึงระดับปริญญาเอก รวมทังสิน สาขา มีนักศึกษารวม , คน แยกเป็นระดับปริญญาตรี
, คน ปริญญาโท คน และปริญญาเอก คน
2553-01-01T00:00:00Z
-
Vocabulary Learning Strategies Buriram Rajabhat University Students Use to Deal with New Words in their English Lessons
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3394
Vocabulary Learning Strategies Buriram Rajabhat University Students Use to Deal with New Words in their English Lessons
Prachanant, Nawamin
This study aimed to investigate and compare vocabulary learning strategies
use by Buriram Rajabhat university students in their English lessons. The subjects
were 300 students who enrolled in the course “English for communication and study
skills (1500103)” for the 2nd semester in academic year 2006, Buriram Rajabhat
University. These subjects were randomly selected from each faculty using the 20%
technique developed by Krejcie & Morgan. The collected data were analyzed by
using percentage, means, standard deviation, t-test and one way ANOVA.
2553-01-01T00:00:00Z
-
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3393
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
จรัส, สว่างทัพ
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุนของเกษตรกร ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยการใช้การจัดการความรู้ ในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย ์ เป็นการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเลี้ยงโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดบุรีรัมย์
2) เพื่อพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยวิธีการจัดการ
ความรู้ 3) เพื่อศึกษาการพัฒนาการของการประกอบอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้ดัชนีชี้วัดในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสี่เหลี่ยมเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 12 ราย
เกษตรกรสมาชิกกลุ่ม ผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านโนนสว่าง หมู่ที่ 12 ตำบลด้านด่าน อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 24 ราย บ้านหนองตะเคียน หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านกรวด อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 29 ราย เกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ และเกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสองห้อง หมู่ที่ 1 ตำบลสองห้อง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 17 ราย รวมทั้งสิ้น 82 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถาม แบบตรวจสอบรายการ การสังเกต การอภิปรายกลุ่มและการจัดการความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการใช้แผนที่ความคิด ผลการศึกษา พบว่ากลุ่ม ผู้เลี้ยงโค มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 5 คน มีจำนวน
สมาชิกในครัวเรือน ที่ใช้แรงงานเฉลี่ย 3 คน ประกอบทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลักและเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้สูงสุด เลี้ยงโคเป็นอาชีพรองอันดับหนึ่ง และรับจ้างเป็นอาชีพรองอันดับสอง มีรายได้ต่อเดือนต่อครัวเรือนเฉลี่ย 12,600 บาท มีรายได้จากการเลี้ยงโคเนื้อต่อปีเฉลี่ย 15,012.20 บาท เพิ่มจำนวนโคโดยการผสมเทียม เกษตรกรทุกคนรู้จักการสังเกตสัดแม่โค เกษตรกรส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ไม่ปัญหาที่ประสบจากการได้ลูกที่เกิดจากการผสมเทียม ส่วนน้อยที่พบว่าลูกที่เกิดมาได้แต่ลูกเพศผู้และแม่โคคลอดลูกยาก ลูกโคส่วนใหญ่ร้อยละ 60 ที่ได้มีความแตกต่างจากเดิมโดยมีขนาดใหญ่กว่ามีสายเลือดชาโรเลส์ ปัญหาการผสมเทียมส่วนใหญ่ร้อยละ 72 มีปัญหาการผสมติดยาก ผสมซ้ำ จำนวนเฉลี่ย 3 ครั้งจึงจะผสมติด เกษตรกรสมาชิก ร้อยละ 69.5 ไม่ให้อาหารข้นแก่โค แหล่งน้ำของโคได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เกษตรกรสมาชิกร้อยละ 62.2 ไม่ให้อาหารแร่ธาตุแก่โค เกษตรกรสมาชิกให้วัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย ให้ยาถ่ายพยาธิไอเวอร์เม็ก-เอฟ และพ่นยาเห็บด้วยยาอาซุนโทล ใช้สมุนไพรบางชนิด เช่น สมุนไพรรักษาแผล กีบ-เท้าเป็นแผล สมุนไพรถ่ายพยาธิ สมุนไพรรักษา
ท้องอืด เป็นต้น และฉีดไวตามินและยาบำรุงหรือยาเพิ่มประสิทธิภาพสมบูรณ์พันธุ์
2549-01-01T00:00:00Z
-
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหาร ของนักศึกษาวิชาทหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3392
การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหาร ของนักศึกษาวิชาทหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
ธงรบ, ขุนสงคราม
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมหลังเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาทหารและความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกกับความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันภายหลังจากเข้ารับการฝึกวิชาทหารของนักศึกษาวิชาทหารมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550
2549-01-01T00:00:00Z
-
ทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3391
ทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน
ธิติ, ปัญญาอินทร์
การวิจัยครั้งนีมี้จุดประสงค์ศึกษาและเปรียบเทียบทัศนคติของผู้ปกครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน ประชากร คือ ผู้ปกครองที่มีต่อกิจกรรมดนตรีของบุตรหลาน ซงึ่ กาลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาขัน้ พืน้ ฐานครองในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ระดับช่วงชั้นที่ 3-4 จานวน 86 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยทดสอบค่าที
(t-test) ค่าความแปรปรวน แบบทางเดียว (One – Way ANOVA) ดังนี้
2549-01-01T00:00:00Z
-
ความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3390
ความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ
สุธามาศ, คชรัตน์
งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษ และเพื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของสาขาวิชา โดยแยกตามชั้นปีและสาขาวิชาที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ – ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษธุรกิจ ชั้นปีที่ 2, 3 และ 4 จานวน 121 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ F - test
2549-01-01T00:00:00Z
-
พฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงาน สรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3389
พฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงาน สรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
สุพัตรา, รักการศิลป์
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ประกอบการในองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จา นวนประชากรจา นวนทั้งสิ้น 951 ราย ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งชั้น ได้กลุ่มตัวอย่างจา นวน 149 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบสร้างมาตรวัดทัศนคติตามเทคนิคการวัดของลิเกริต์ แบ่งเป็น
5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สาหรับสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเพื่อหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 กลุ่มโดยใช้สถิติ F-test (One-Way Analysis of Variance) ผลการศึกษา พบว่า
2549-01-01T00:00:00Z
-
ปัญหาและความต้องการในการฝึกซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3388
ปัญหาและความต้องการในการฝึกซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์
สุภาพ, สมศรี; บุญเลี้ยง, ศรีสุข; สราวุธ, ทัศนาวิวัฒน์
การวิจัย ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการในการฝึ กซ้อมของนักกีฬามวยไทยอาชีพ จังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้จัดการค่ายผู้ฝึกสอน และนักกีฬามวยไทยอาชีพ รวมทั้งหมด จำนวน 298 คนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การแจกแจงความถี่ การหาค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2549-01-01T00:00:00Z
-
ความพึงพอใจของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยาง ระยะที่ 1 กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3387
ความพึงพอใจของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยาง ระยะที่ 1 กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์
สมเกียรติ, กัลยพฤกษ์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย เพื่อศึกษาความพึงพอใจและต้องการของเกษตรกรต่อโครงการปลูกยางพารา เพื่อศึกษาถึงปัญหาการปฏิบัติงานของโครงการปลูกยางพารา เพื่อนำข้อเสนอแนะไปพัฒนาประสิทธิภาพของการดาเนินงานโครงการปลูกยางพารา
2549-01-01T00:00:00Z