คณะเทคโนโลยีการเกษตร (Faculty of Agricultural Technology)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/359
2024-03-29T08:26:49Zการศึกษาผลิตภัณฑ์จากน้ำมันสมุนไพร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8526
การศึกษาผลิตภัณฑ์จากน้ำมันสมุนไพร
บรรเทิงใจ, สุทัศน์; เกียนกุ, อณารินทร์; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการขั้นตอนการทำน้ำมันสมุนไพรและเพื่อเปรียบเทียบน้ำมันสมุนไพรสูตรใดที่ผู้บริโภคมีความพึงพอใจมากที่สุด สูตรน้ำมันสมุนไพรทั้ง 3 สูตร ทำการทดลองที่ 54/2/2 ถ.ธานี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ 31000 ระหว่างเดือน
กรกฎาคม ถึง เดือนตุลาคม 2565 โดยตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม แล้วหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่า SD ส่วนตอนที่ 2 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (RCBD) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 3 การทดลอง (Treatment) จำนวน 40 ซ้ำ (Replication) ได้แก่ T1: น้ำมันไพล T2: น้ำมันมะกรูด และ T3: น้ำมันตะไคร้หอม ผลการทดลองพบว่า
ตอนที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศ คือ เพศชาย ร้อยละ 50 เพศหญิง ร้อยละ 50 เท่ากัน มีอายุระหว่าง 21-25 ปี มากที่สุด ร้อยละ 72.5 ส่วนใหญ่เป็นนิสิตนักศึกษามากที่สุด ร้อยละ 50 ไม่เคยใช้น้ำมันสมุนไพรมากที่สุด ร้อยละ 52.5 ความเห็นของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์น้ำมันสมุนไพรพบว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ มากที่สุด ร้อยละ 35.29
ตอนที่ 2 ลักษณะปัจจัยคุณภาพ ด้านกลิ่นของน้ำมันสมุนไพรที่ผู้ประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ T2:น้ำมันมะกรูด เฉลี่ย 4.15 T3:น้ำมันตะไค้หอม เฉลี่ย 4.15 ด้านสีของน้ำมันสมุนไพรที่ผู้ประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ T3:น้ำมันตะไคร้หอม เฉลี่ย 4.15 ด้านประสิทธิภาพของน้ำมันสมุนไพรที่ผู้ประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ T1:น้ำมันไพล เฉลี่ย 4.13 ด้านความชอบโดยรวมของน้ำมันสมุนไพรที่ผู้ประเมินมีความพึงพอใจมากที่สุด คือ T3:น้ำมันตะไคร้หอม เฉลี่ย 4.28 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัจจัยคุณภาพของลักษณะ กลิ่น สี ประสิทธิภาพ และความชอบโดยรวม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชอบน้ำมันสมุนไพร T3: น้ำมันตะไคร้หอม มากที่สุด
ความสำคัญ : ไพล , มะกรูด , ตะไคร้หอม , การสกัด
วท.บ.เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2023-02-25T00:00:00Zศึกษาและพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8525
ศึกษาและพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า
แข็งกล้า, สุดารัตน์; กัลยาณรุจ, ไอลดา; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าทั้ง 4 สูตร คือ สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าดั้งเดิม สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันม่วง สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าคลุกผงชีส และสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เพื่อศึกษาว่าข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าสูตรใดที่คนนิยมรับประทานเป็นส่วนใหญ่ และศึกษากระบวนการและขั้นตอนการทาข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า ทาการทดลองที่หอพักเลขที่ 447/17 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เคหะชุมชน 356/218 หมู่ 17 ต.อีสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และตึก 20 ชั้น 5 คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยตอนที่ 1 หาค่าร้อยละ ค่า ��̅ และค่า sd. ส่วนที่ 2 ใช้แผนการทดลองแบบ RCBD โดยทดลองเปรียบเทียบ 4 สิ่งการทดลอง คือ (T1 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าดั้งเดิม) (T2 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันม่วง) (T3 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าคลุกผงชีส) (T4 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า) ผลการทดลองพบว่า
ตอนที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 42.0 มีอายุระหว่าง 21-25 ปีร้อยละ 78.0 ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีร้อยละ 92.0 อาชีพนักศึกษาร้อยละ 84.0 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยรับประทานข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าทั้ง 4 สูตรมาก่อนร้อยละ 48.0 มีความคิดเห็นว่าข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจร้อยละ 36.0 และผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าร้อยละ 100.0
ตอนที่ 2 คะแนนความชอบของข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าด้านสีคือ T4 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เฉลี่ย 4.50a ด้านกลิ่นคือ T4 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เฉลี่ย 4.34 ด้านความกรอบคือ T4 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เฉลี่ย 4.48 ด้านขนาดของแผ่นคือ T2 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันม่วง เฉลี่ย 4.44 ด้านความหวานคือ T2 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันม่วง เฉลี่ย 4.30a ด้านความมันคือ T4 : สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เฉลี่ย 4.40 ด้านความชอบโดยรวมคือ T4 :
ข
สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า เฉลี่ย 4.50 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่บริโภคข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าสูตรสมุนไพรกัญชาคลุกผงปาปริก้า และสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันม่วง มากกว่าสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าดั้งเดิม และสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าคลุกผงชีส โดยทั้ง 4 สูตร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
คาสาคัญ : ข้าวเกรียบ, เห็ดนางฟ้า, มันเทศสีม่วง, ผงปรุงรสชีส, สมุนไพรกัญชา, ผงปรุงรสปาปริก้า; Buriram Rajabhat University
วท.บ.เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2023-02-25T00:00:00Zการศึกษาการแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำพริกเห็ดทอด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8523
การศึกษาการแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำพริกเห็ดทอด
แสนลด, ปนัดดา; พรมชาติ, ศิริยุพา; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสูตรน้ำพริกทั้ง 4 สูตร ว่าน้ำพริกสูตรใดเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการแปรรูปเห็ดเข็มทอง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดชิเมจิ เป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากที่สุดและเพื่อศึกขั้นตอนการทำน้ำพริกเห็ดแก่เห็ด ทำการทดลองที่บ้าน20 หมู่ 11ต.หนองกง อ.นางรอง จ .บุรีรัมย์ 31000 ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง เดือนตุลาคม 2565
โดยตอนที่1หาค่าร้อยละค่าเฉลี่ยและ หาค่าSD ส่วนตอนที่2 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์(RCVD)โดยแบ่งการทดลองเป็น4การทดลอง (Treatment) จำนวน 50ซ้ำ (Replication) ได้แก่T1: น้ำพริกเห็ดเข็มทอง T2: น้ำพริกเห็ดนางฟ้าทอด T3: น้ำพริกเห็ดหอม T4: น้ำพริกเห็ดชิเมจิทอด
ผู้สอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 78.0 มีอายุระหว่าง 21-25 ปี มากที่สุดร้อยละ 70.0 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับการศึกษาปริญญาตรีมากที่สุด ร้อยละ 68.0 ประกอบอาชีพนิสิตนักศึกษามีจำนวนมากที่สุด ร้อยละ 60.0 ผู้บริโภคเคยรับประทาน น้ำพริกเห็ดทอด เป็นร้อยละ 50.0 ความคิดเห็นต่อผลิตภัณฑ์ น้ำพริกเห็ดทอดพอว่าเป็นทางมีความแปลกใหม่ เป็นร้อยละ 38.0
ตอนที่2 ลักษณปัจจัยคุณภาพพบว่าด้านสีของน้ำพริกผู้ประเมินมีความพอใจมากที่สุดคือ T1:น้ำพริกเห็ดชิเมจิทอดเฉลี่ย 3.74a
โดยผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบในลักษณะของกลิ่นคือ T3:น้ำพริกเห็ดหอมเฉลี่ย3.60 โดยผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบในลักษณะของรสชาติความหวานคือ T2:น้ำพริกเห็ดนางฟ้าทอดมากที่สุด เท่ากันกับ T4:น้ำพริกเห็ดชิเมจิทอด เฉลี่ย3.52a
ค
ด้านความเค็มของน้ำพริกที่ผู้ประเมินมีความพึ่งพอใจมากที่สุด คือ T4: เห็ดชิเมจิทอด3.96a
ด้านรสชาติความเปรี้ยวของน้ำพริกผู้ประเมินมีความพอใจมากที่สุดคือ T2:น้ำพริกเห็ดนางฟ้าทอด และ T4:น้ำพริกเห็ดชิเมจิทอด 4.34a
ด้านความเผ็ดของน้ำพริกที่ผู้ประเมินมีความชอบมากที่สุดคือ T2:น้ำพริกเห็ดนางฟ้าทอด 4.46a
ด้านความชอบโดยรวมของน้ำพริกผู้ประเมินมีความพอใจมากที่สุดคือ T2: น้ำพริกเห็ดนางฟ้าทอด 4.44a
วท.บ.เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2023-02-25T00:00:00Zการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์แหนมเห็ดทอด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8522
การศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์แหนมเห็ดทอด
แพงประโคน, ญาตาวี; ดงนางรัมย์, แสงอรุณ; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสูตรแหนมเห็ดทอดทั้ง 4 สูตร คือ สูตรแหนมเห็ดตามท้องตลาด สูตรแหนมเห็ดนางฟ้าทอด สูตรแหนมเห็ดออรินจิทอด สูตรแหนมเห็ดหอมทอด เพื่อศึกษาผลิตภัณฑ์สูตรใดที่คนส่วนใหญ่นิยมรับประทาน และศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าให้แก่แหนมเห็ดทอด ทำการทดลองที่บ้าน เลขที่ 435/108 ม.จิระนคร ซอย 2 ต.ในเมือง อ.เมือง บุรีรัมย์ โดยตอนที่ 1 โดยใช้แบบสอบถามและวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนที่ 2 ใช้แผนการทดลองแบบ RCBD โดยทดลองเปรียบเทียบ 4 สิ่งการทดลอง คือ
(T1: สูตรแหนมเห็ดทอดตามท้องตลาด) , (T2: สูตรแหนมเห็ดนางฟ้าทอด) , (T3: สูตรแหนมเห็ดออรินจิ),
(T4: สูตรแหนมเห็ดหอมทอด) ผลการทดลองพบว่า
ตอนที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 54.0 มีอายุ 21-25 ปี ร้อยละ 70.0 อยู่ในระดับการศึกปริญญาตรี 68.0 อาชีพนักเรียน/นักศึกษา 78.0 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เคยรับประทานแหนมเห็ดทอดมาก่อนร้อยละ 66.0 มีความคิดเห็นว่าแหนมเห็ดทอดเป็นผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่ ร้อยละ 44.0 และผู้ตอบแบบสอบถามไม่ยอมรับร้อยละ 54.0
ตอนที่ 2 คะแนนความชอบในลักษณะของสี คือมากที่สุด แหนมเห็ดทอดตามท้องตลาด เฉลี่ย 4.06
ด้านกลิ่น คือ แหนมเห็ดออรินจิทอด เฉลี่ย 3.86 ด้านความนุ่ม คือ แหนมเห็ดหอมทอด เฉลี่ย 4.00
ด้านขนาด คือ แหนมเห็ดออรินจิ เฉลี่ย 3.88 ความเปรี้ยวคือ แหนมเห็ดออรินจิ เฉลี่ย 3.76
ด้านความหวาน คือ แหนมเห็ดตามท้องตลาด เฉลี่ย 3.66 ด้านความเค็ม คือ แหนมเห็ดตามท้องตลาด เฉลี่ย 3.86 โดยทั้ง 4 สูตร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
วท.บ.เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2023-02-25T00:00:00Zการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8520
การศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุง
มุสิกา, อารยา; ข้อสกุล, ศศิธร; กาหลง, สุดารัตน์
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการทาเทียนหอมสมุนไพรและเพื่อเปรียบเทียบสมุนไพรที่แตกต่างกันในการทาเทียนหอมสมุนไพร ทาการทดลองที่ บ้านเลขที่228 หมู่9 ตาบลโคกมะม่วง อาเภอปะคา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยแบ่งการทดลองเป็น 2 ตอนคือ ตอนที่1 หาค่าร้อยละค่า x̄และค่า SD ตอนที่2 ใช้แผนการทดลองแบบ RCBD โดยทดลองเปรียบเทียบ 4 สูตรการทดลองคือ T1เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงตะไคร้ T2เทียนหอมสมุนไพรส้ม T3เทียนหอมสมุนไพรมะกรูด และT4เทียนหอมสมุนไพรสะระแหน่ ผลการทดลองพบว่า
ตอนที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 78.2 มีอายุ 19-24 ปี ร้อยละ 90.9 อาชีพนิสิตนักศึกษา 72.7
ตอนที่ 2 คะแนนความชอบของผลิตภัณฑ์เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงด้านกลิ่นคือ T3เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงมะกรูด เฉลี่ย 4.36 ด้านสีสันคือ สีสันของเทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงส้ม เฉลี่ย 4.65 ด้านภาชนะคือ T1เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงตะไคร้ เฉลี่ย 4.67 ด้านผลในการไล่ยุงคือ T4เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงสะระแหน่ เฉลี่ย 4.40 ด้านความพึงพอใจในการใช้ผลิตภัณฑ์คือ T2เทียนหอมสมุนไพรไล่ยุงส้ม เฉลี่ย 4.44
คาสาคัญ : เทียนหอม สมุนไพรไล่ยุง ตะไคร้ ส้ม มะกรูด สะระแหน่
วท.บ. สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.2566
2023-02-25T00:00:00Zการเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตขึ้นฉ่าย โดยการใช้ปุ๋ยฮอร์โมนไข่และนมสดในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/8446
การเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตขึ้นฉ่าย โดยการใช้ปุ๋ยฮอร์โมนไข่และนมสดในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่ง
สมเสนาะ, พรพิมล; ทวีสิน, ศศิธร; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การเปรียบเทียบอัตราการเจริญเติบโตขึ้นฉ่ายโดยการใช้ปุ๋ยฮอร์โมนไข่และนมสดในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่ง การทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการใช้ฮอร์โมนที่มีผลต่อการปลูกขึ้นฉ่ายในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำนิ่ง เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาหาความรู้และใช้ประโยขน์จากวัสดุในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดการทดลองนี้จัดทำขึ้นที่ บ้านเลขที่ 78 ม.3 ต.สระขุด อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม – 30 สิงหาคม 2565 การทดลองมีดังนี้ ใช้แบบการทดลองแบบ (Completely Randomized Design) CRD โดยทดลองเปรียบเทียบ 4 การทดลอง กรรมวิธีที่ 1 ใส่ปุ๋ยA B ไม่ใส่ฉีดพ่นฮอร์โมน กรรมวิธีที่ 2 ใส่ฮอร์โมนนมสด อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร กรรมวิธีที่ 3 ใส่ฮอร์โมนไข่เป็ด อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร กรรมวิธีที่ 4 ใส่ฮอร์โมนไข่ไก่+นมสด อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร
จากผลการวิจัย พบว่า (T4) ฮอร์โมนไข่ไก่+นมสดอัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร ให้ผลการเจริญเติบโตของขึ้นฉ่ายด้านของจำนวนก้านใบและใบดีที่สุด และ รองลงมาจะเป็นในส่วนของ (T3) ฮอร์โมนไข่เป็ดอัตราฉีดพ่นทางใบ1มิลลิลิตรต่อน้ำ 500 มิลลิลิตร ที่ให้ผลการเจริญเติบโตของขึ้นฉ่ายได้ดีในด้านของความสูงต้นและความยาวราก จากผลการวิจัยนี้จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยให้เกษตรกรได้เพิ่มผลผลิตพืชผักในระบบการปลูกแบบไร้ดิน และเป็นการช่วยเกษตรกรลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูงในปัจจุบันได้
วท.บ. สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2555
2023-02-01T00:00:00Zผลการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งรากต่ออัตราการงอกเมล็ดออร์เร้นเน็ตเมล่อนและกรีนเน็ตเมล่อน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6373
ผลการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งรากต่ออัตราการงอกเมล็ดออร์เร้นเน็ตเมล่อนและกรีนเน็ตเมล่อน
เหลือประเสริฐ, ภาวิณี; กริมรัมย์, สุพรรณี; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการใช้อุณหภูมิและฮอร์โมนเร่งราก ปริมาณที่แตกต่างกันที่จะส่งผลต่ออัตราการงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) และศึกษาการเจริญเติบโตของต้นกล้าพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) โดยเก็บข้อมูลในด้านความสูงต้นของต้นกล้า และความกว้างใบต้นกล้า เป็นระยะเวลา 30 วัน โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ Completely randomized design (CRD)ประกอบด้วย 2 ทรีทเมนต์ทรีทเมนต์ละ 2 ซ้าการทดลอง เมื่อทดสอบหาความงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ต เมล่อน (เนื้อสีเขียว) และเมล็ดพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) พบว่า อัตราการงอกของพันธุ์ เมล่อนมีอายุ 7 วัน จานวน 20 เมล็ด มีการงอกของเมล็ดพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) T1R1 และ T1R2 (แช่เมล็ดในน้าอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง และนาเมล็ดขึ้นไปบ่มต่อในกระติกน้าที่มีอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 36 ชั่วโมง) มีอัตราการงอกสูงสุด คือ T1R1 จานวน 17 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 85 % และ T1R2 15 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 75 % สาหรับการงอกของเมล็ดพันธุ์เมล่อนพันธุ์แสนหวาน (เนื้อสีส้ม) T2R1 และ T2R2 (แช่เมล็ดในน้าอุ่นอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสและใส่ฮอร์โมนเร่งรากจานวน 8 ml ต่อน้า 300 ml. เป็นเวลา 12 ชั่วโมง และนาเมล็ดขึ้นไปบ่มต่อในกระติกน้าที่มีอุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส นาน 36 ชั่วโมง) มีอัตราการงอกต่าสุด คือ จานวน 13 ต้น คิดเป็น ร้อยละ 65 % ในด้านการเจริญเติบโตของต้นกล้าพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) ครบ 15 วัน พบว่า ความสูงต้นของเมล่อน มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ ( P<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 0.85 และ 11.90 เซนติเมตร และความกว้างใบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3.97 เซนติเมตร มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ การทดลองเมื่อพันธุ์กรีนเน็ตเมล่อน (เนื้อสีเขียว) และพันธุ์ออร์เร้นเน็ตเมล่อน (เนื้อสีส้ม) ครบ 30 วัน พบว่า ความสูงต้นมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 15.80 เซนติเมตร และความกว้างใบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4.39 เซนติเมตร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P<0.05); This study is the use of temperature and hormonal roots. The amount different to affect the germination rate of seeds Melon Green Zone. Meat (green) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) and the growth of seedlings Green Zone melon. Meat (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) by storing data on the height of the tree seedlings. The broad leaves of seedlings for a period of 30 days using randomized completely Completely randomized design (CRD) consists of 2 treatments for treatment of two repeat experiments on test determinations seed Green. net melon (green flesh and Oscar potential net melon seeds (orange flesh), the rate of proliferation of melon varieties last 7 days, the number 20 seed germination of seeds melon green zone. (Green flesh) T1R1 and T1R2 (soak the seeds in warm water at 50 ° C for 12 hours and brought the seeds to mature in the bottle at a temperature of 50 ° C for 36 hours) with a germination rate was the highest T1R1 number. 17 the percentage of 85% and T1R2 15 the figure was 75% for the germination of seeds, melon seeds sweet (orange flesh) T2R1 and T2R2 (soak the seeds in warm water temperature is 50 degrees Celsius and put hormones. roots of 8 ml per 300 ml. for 12 hours and brought the seeds to mature in the bottle at a temperature of 55 ° c for 36 hours) with a germination rate of a minimum of 13 trees representing 65%. the growth of seedlings Green zone melon. (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) at 15 days showed that the height of melon. The difference was statistically significant (P <0.05), with an average maximum of 0.85 and 11.90 centimeters wide leaves. With an average of 3.97 cm, the maximum difference was statistically significant. Experiments on the Green Zone melon varieties. (green flesh) and hybrid organic potential net melon (orange flesh) found that 30 days is the average height of 15.80 cm and a maximum
width of the blade. With an average of 4.39 cm, the maximum difference was statistically significant (P <0.05).Keywords: Melon, Stimulating the regeneration with warm water ,
Catalyst root proliferation ,Factors attesting the germination of seeds
2562-05-24T00:00:00Zแนวทางการใช้ประโยชน์จากเปลือกกล้วยบด ร่วมกับเปลือกไข่ไก่บด เพื่อใช้เป็นวัสดุบารุงมะเขือเทศพันธุ์สีดา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5907
แนวทางการใช้ประโยชน์จากเปลือกกล้วยบด ร่วมกับเปลือกไข่ไก่บด เพื่อใช้เป็นวัสดุบารุงมะเขือเทศพันธุ์สีดา
อุดชา, แก้วมณีงาม; นามวงศ์, ถนิฐา; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากเปลือกกล้วยบด ร่วมกับเปลือกไข่ไก่บด เพื่อใช้เป็นวัสดุบำรุงมะเขือเทศพันธุ์สีดา ประกอบด้วย 4 กรรมวิธีการทดลองละๆ 3 ซาละๆ 4 ต้น รวม 48 หน่วยการทดลอง โดยทำการปลูกมะเขือเทศพันธุ์สีดาใส่ในถุงกระสอบปุ๋ย วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely Randomized design , CRD) โดยแต่ละหน่วยการทดลอง กำหนดตามกรรมวิธีทดลองดังต่อไปนี้ กรรมวิธีที่ 1 ไม่ใส่เปลือกไข่ไก่และเปลือกกล้วยบด กรรมวิธีที่ 2 ใส่เปลือกกล้วยนาว้าบด 20 กรัม เปลือกไข่ไก่บด 10 กรัม กรรมวิธีที่ 3 ใส่เปลือกกล้วยไข่บด 20 กรัม เปลือกไข่ไก่บด 10 กรัม กรรมวิธีที่ 4 ใส่เปลือกกล้วยหอมบด 20 กรัม เปลือกไข่ไก่บด 10 กรัม เก็บข้อมูลการเจริญเติบโตในด้านความสูงต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม ที่อายุการปลูกมะเขือเทศพันธุ์สีดา 100 และ 120 วัน ส่วนด้านผลผลิต น้ำหนักสดผลมะเขือเทศที่อายุการเก็บเกี่ยว 120 วัน ผลการทดลอง พบว่า การใช้ (T3) เปลือกกล้วยไข่บด 20 กรัม เปลือกไข่ไก่บด 10 กรัม มีผลต่อการเจริญเติบโตในด้านความสูง แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (P<0.05) ความกว้างทรงพุ่ม ความยาวใบ และด้านความกว้างใบของมะเขือเทศพันธุ์สีดาในช่วงอายุ 100 และ 120 วัน แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.01) เนื่องจากในเปลือกกล้วยบดให้สารโพแทสเซียม มีสารแทนนิน ไฟเบอร์และโพลีแซคคาไรด์ กลุ่มเพคติน และแร่ธาตุที่จาเป็นต่อพืช ช่วยบำรุงให้ต้นมะเขือเทศเติบโตแข็งแรง เมื่อนำมาผสมร่วมกับเปลือกไข่ไก่ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ไนโตรเจน และมีแมกนีเซียมช่วยเสริมสำหรับกลุ่มพืชที่ต้องการให้ติดผลที่มีคุณภาพ จึงทำให้เมื่อนำ เปลือกกล้วยไข่บดมาผสมร่วมกับเปลือกไข่ไก่บด สามารถช่วยให้มะเขือเทศพันธุ์สีดามีการเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น เป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งจากการบริโภคภายครัวเรือนนามาใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชให้เกิดประโยชน์ได้ดี ส่วน (T1) (Control) ไม่ใส่เปลือกไข่ไก่และเปลือกกล้วยบดมีการเจริญเติบโตต่ำที่สุดทุกด้าน; Study on ways to make use of crushed banana peel Together with crushed chicken egg shells To be used as a nourishing material for Sida tomato varieties. Consisting of 4 experimental processes, 3 repeated 4 plants, a total of 48 experimental units. By planting Tomato Sida varieties in fertilizer sack bags. Plan a complete randomized trial. (Completely Randomized Design; CRD ) In each experimental unit Determined according to the following experimental process. Method 1: No eggs and banana peels are used. Method 2: Put 20 grams of Namwa banana peel: 10 grams of eggshells. Method 3: Put 20 grams of Egg banana peel: 10 grams of ground eggshell, and ground egg. Method 4 Put 20 grams of fragrant banana peel: 10 grams of ground egg peel. The growth data was collected in terms of plant height, leaf width, leaf length, diameter of the canopy. At the age of planting Tomato Sida varieties 100 and 120 days. As for the production. The fresh weight of tomato fruit at the harvest date of 120 days. The results showed that Use (T3) Put 20 grams of Egg banana peel: 10 grams of ground eggshell, and ground egg. Affecting the growth in height Statistically significant difference (P <0.05)Bush width, leaf length and leaf width of Tomato Sida varieties in the 100 and 120 days age range Statistically significant difference (P<0.01)Because the banana peel contains potassium, contains tannins, fiber and polysaccharides, pectin groups and essential minerals for plants. Helps to grow healthy tomato plants. When mixed with eggshells that are rich in calcium, nitrogen and magnesium, supplementary for plants that want to have quality fruit. So when mixed banana peel with crushed egg shell. Can help Tomato Sida varieties to grow and produce better is the use of waste from domestic consumption used as fertilizer to nourish plants to benefit well. Section (T1) (Control) without eggshell and banana peel, the lowest growth in all areas.
Keyword :
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2562
2019-11-25T00:00:00Zผลของการใช้สารเร่งใบปริมาณแตกต่างกัน จากเครื่องดื่มชูกาลัง กะปิ และผงชูรสที่ส่งผลต่อการปลูกผักกาดเขียวปลี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5906
ผลของการใช้สารเร่งใบปริมาณแตกต่างกัน จากเครื่องดื่มชูกาลัง กะปิ และผงชูรสที่ส่งผลต่อการปลูกผักกาดเขียวปลี
บุญครอง, สุภาพร; ยึนประโคน, รัตนกรณ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
งานวิจัยนี้ศึกษาผลของการใช้สารเร่งใบปริมาณแตกต่างกัน จากเครื่องดื่มชูกาลัง กะปิ และผงชูรสที่ส่งผลต่อการปลูกผักกาดเขียวปลี ดาเนินการวิจัย ณ บ้านเลขที่ 502 หมู่ที่ 3 ต.ประโคนชัย อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ 31140 วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design; CRD) นาข้อมูลมาทาการวิเคราะห์ความแปรปรวน แบ่งเป็น 4 กรรมวิธีการทดลอง (T1) CONTROL ไม่รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ (T2) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 50 มิลลิลิตร (T3) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 80 มิลลิลิตรและ (T4) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 100 มิลลิลิตร ผลการวิจัย พบว่า (T3) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 80 มิลลิลิตร มีผลทำให้มีความสูงต้นผักกาดเขียวปลี ความกว้างใบ ความยาวใบ และจานวนใบมากที่สุด โดยไม่มีความแตกต่างกันทางนัยสำคัญทางสถิติที่ (p>0.05) เนื่องจากการใช้เครื่องดื่มชูกาลัง มีวิตามินบี 12 ที่ช่วยในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของผักกาดเขียวปลีได้ดี และยังพบสารไคโตไคนิน เป็นฮอร์โมนที่พบได้ในพืช คือ ซีอะติน ที่พบสะสมในปมรากพืชมีคุณสมบัติช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์พืช ส่งเสริมการเจริญเติบโตของลาต้น ช่วยในกระบวนการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารจากปลายรากพืชสู่ส่วนยอดกระตุ้นกระบวนการสร้างคลอโรฟิลล์ในพืช เมื่อนำมาใช้ร่วมกับโมโนโซเดียมกูลตาเมต ซึ่งเป็นเกลือของ กรดกูลตามิก ที่เป็นองค์ประกอบสาคัญของโปรตีนในพืช จึงมีผลร่วมกันทาให้การใช้ในการปลูกผักกาดเขียวปลีมีผลผลิตที่ดี ส่วนการใช้ (T2) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 50 มิลลิลิตร มีผลในด้านการให้น้าหนักสดที่มากที่สุด การใช้ (T4) รดฮอร์โมนสูตรเร่งใบ 100 มิลลิลิตร เป็นปริมาณที่มีความเข้มข้นสูงเกินไปสาหรับพืชทาให้ผลผลิตในทุกด้านต่าสุด; In this study The effect of using different leaf accelerators From energy drinks, shrimp paste and monosodium glutamate which affects the turnip plantation. Research at house number 502 Moo 3. Prakonchai York. Prakonchai e. Ram 31 140 The experimental design was completely random (Completely Randomized Design; CRD) Data were analyzed variance is divided into 4 treatment trials. (T1) CONTROL non-hormonal formula accelerates the water. (T2) Brad hormonal formula accelerates leaves 50 mL (T3) Brad hormonal formula accelerates leaves 80 ml and (T4) Brad hormonal formula accelerates a 100 ml The results showed that (T3) Brad hormonal formula accelerates leaves 80 ml. the high leaf mustard leaves, leaf length and width of the blade. With no significant difference statistically significant (p> 0.05) due to the use of energy drinks, vitamin B12, which helps to promote the growth of turnip greens as well. They also found the compound chitosan Chi Nin. Is a hormone found in plants is that it's Latinos that accumulates in the plant helps in the breakdown of plant cells. Promote the growth of the stem Assist in the movement of nutrients from the roots to the top, prompting the creation of chlorophyll in plants. When used in conjunction with closed eyes monosodium Maitland. The acid salt Mick closed eyes is an essential component of proteins in plants. As a result, together making use of growing mustard greens with a good yield of the (T2) Brad hormonal formula accelerates leaves 50 mL effect of the fresh weight of the use (T4) Brad hormonal formula accelerates. 100 ml is the volume concentration is too high crop yields in the low end.
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.)สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2019-11-25T00:00:00Zผลการใช้น้้าหมักฮอร์โมนจากผักบุ้งนา ถั่วงอกและ หัวไชเท้าที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5806
ผลการใช้น้้าหมักฮอร์โมนจากผักบุ้งนา ถั่วงอกและ หัวไชเท้าที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้า
วงศ์ศรีแก้ว, อธิรัฐ; วาปีโส, นันทวัฒน์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การศึกษาอิทธิพลอัตราส่วนที่เท่ากันของ การใช้น้ำหมักฮอร์โมนจากผักบุ้งนา ถั่วงอกและหัวไชเท้าที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้า โดยวิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนทางสถิติของการทดลองแบบ (Completely Randomized Design : CRD ) เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยวิธี (LSD) แบ่งการทดลองเป็น 4 ทรีตเมนต์ จำนวน 8 ซ้้า รวมทั้งสิ้น 32 หน่วยการทดลอง โดยแต่ละกรรมวิธีการทดลองใช้อัตราผสมของน้ำหมักฮอร์โมน คือ น้ำหมักฮอร์โมน1 มิลลิลิตร:น้ำ100 มิลลิลิตร ประกอบด้วย ( T1 ) Control ไม่ใส่น้ำหมักฮอร์โมน ( T2 ) ใส่น้ำหมักฮอร์โมนผักบุ้งนา( T3 ) ใส่น้ำหมักฮอร์โมนหัวไชเท้า ( T4 ) ใส่น้ำหมักฮอร์โมนถั่วงอก ศึกษาการเจริญเติบโตในที่อายุการปลูก 31 , 38 และ 45 วัน เก็บข้อมูลในด้านความสูงต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ น้ำหนักสด และน้ำหนักแห้ง ด้านการให้ผลผลิตน้ำหนักสด
จากการวิจัย พบว่า การใช้น้ำหมักฮอร์โมนหัวไชเท้า (T4) ส่งผลดีที่สุดด้านการเจริญเติบโตของต้นผักคะน้าแต่ละสิ่งทดลองแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) มีผลต่อด้านความสูงของต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ น้้าหนักสด และ น้้าหนักแห้ง ที่อายุ 31 , 38 และ 45 วัน สามารถนำหัวไชเท้าที่มีสารไซโตไคนินเป็นกลุ่มของสารควบคุมการเจริญเติบโตที่มีบทบาทส้าคัญในการควบคุม การแบ่งเซลล์ การขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์พืชน้ามาหมักเป็นฮอร์โมนพัฒนาการเจริญเติบโตพัฒนาการปลูกคะน้าเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตและขยายขนาดของพืช สามารถใช้แทนฮอร์โมนไซโตไคนินได้ ช่วยให้ประหยัดต้นทุนการผลิต; The study of equal influence ratio of The use of hormones fermented from morning glory Radish, sprouts and bean sprouts that affect the growth and yield of Chinese kale The statistical analysis of variance (Completely Randomized Design: CRD) was used to compare the difference of mean values (LSD). The experiment was divided into 4 treatments with 4 treatments, totaling 32 trials. Each method of experiment using hormonal mixed rate is 1 milliliter of fermentation hormone: 100 milliliters of water contains (T1) Control without hormonal fermentation (T2), fermented with morning glory hormone (T3), with radish hormone fermentation ( T4) Add fermented bean sprouts Study on growth at the age of 31, 38 and 45 days, collected data on plant height, leaf width, leaf length, fresh weight and dry weight. In the production of fresh weight.
From the research, it was found that the use of radish fermentation hormone (T4) had the best effect on the growth of Chinese kale, each experiment was statistically significant (p <0.05) affecting the Plant height, leaf width, leaf length, fresh weight and dry weight at the age of 31, 38 and 45 days can be taken radish with cytokinin as a group of growth regulators that play an important role in controlling. Sharing Mill expansion and modification of plant cell fermentation, is a hormone used to improve plant growth, development kale leaves a hormone to stimulate the growth and expansion of the plant. Can be used instead of the cytokinin hormone Helps to save production costs
ปริญญานิพนธ์วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์.2562
2019-09-21T00:00:00Zค่าโลหิตวิทยาของกระบือปลักที่เป็นโรควัณโรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5604
ค่าโลหิตวิทยาของกระบือปลักที่เป็นโรควัณโรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
เจริญพจน์, ปัญญา; ชุ่มเจริญ, พิชิต; สางห้วยไพร, นิกร; บุญโปร่ง, สุวิช
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าโลหิตวิทยาของกระบือปลัก เพศเมีย ไม่อุ้มท้อง อายุระหว่าง 3 - 6 ปี ที่ผ่านการทดสอบโรควัณโรค (Mycobacterium bovis) โดยวิธีทูเบอร์คูลิน (Tuberculin Skin Test) ในสถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ทำการสุ่มกระบือเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 13 ตัว ได้แก่ กลุ่มปกติ (negative, N) และกลุ่มให้ผลบวก (positive, P) โดยเก็บตัวอย่างเลือดของกระบือในเดือนสิงหาคม 2556 วิเคราะห์หาค่าโลหิตวิทยาในเลือด ผลการศึกษา พบว่า ค่าฮีโมโกลบิน ค่าฮีมาโตคริต จำนวนเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดของกระบือกลุ่ม N มีค่าสูงกว่ากลุ่ม P (P<0.05) ส่วนจำนวนเม็ดเลือดขาว และชนิดเม็ดเลือดขาวของกระบือทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ; The objectives of this study were to examine and compare hematology of cyclic female swamp buffaloes (3 to 6–year–old) with different Tuberculosis test results. These animals were Tuberculosis checked using Tuberculin Skin Test. The random animals were experimented to comprise of 13 positives (P) and 13 negatives (N). Blood samples were taken and body score conditions were recorded at the same time in September 2013. The buffaloes were kept at Buriram Livestock Research and Testing Station, Buriram province. The hematology showed that buffaloes in N group had significantly (P<0.05) higher hemoglobin, hematocrit, red blood cell and platelet than the animals in P group. However, white blood cell and types of white blood cell were not different between two groups.
2012-08-25T00:00:00Zผลของการเสริมยีสต์ในอาหารต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตของกบนา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5595
ผลของการเสริมยีสต์ในอาหารต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตของกบนา
ดนัย, รัชตะวราเศรษฐ์; บุญเรียน, คะเรียงรัมย์
บทคัดย่อ ผลของการเสริมยีสต์ในอาหารต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตของกบนา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับ
การเสริมยีสต์ที่เหมาะสมในอาหารกบนา 2) เพื่อศึกษาสมรรถภาพของกบนาที่ได้รับอาหารเสริมยีสต์ วางแผนการทดลอง
แบบสุ่มสมบูรณ์โดยการเสริมยีสต์ในอาหารระดับต่างกัน 0, 2, 4 และ 6 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 4 ซ้ำ อาหารทดลองมีโปรตีน
35 เปอร์เซ็นต์ กบนามีน้ำหนักเริ่มต้นเฉลี่ย 6.10±0.14, 5.34±1.14, 5.95±0.10 และ 5.34±0.97 กรัมต่อตัว เลี้ยงใน
กระชังขนาด 1.2×1.2×1.2 เมตร ด้วยความหนาแน่น 100 ตัวต่อกระชัง ให้อาหารกินจนอิ่มวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 60
วัน ผลการวิจัยพบว่า การเสริมยีสต์ในอาหารระดับต่างกัน มีผลต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตของกบนา (p<0.05) โดย
กบนาที่เลี้ยงด้วยอาหารเสริมยีสต์ 4 เปอร์เซ็นต์ มีสมรรถภาพการเจริญเติบโตดีที่สุด (p<0.05) ในด้านของน้ำหนักเฉลี่ย
(107.17±3.14 กรัมต่อตัว) น้ำหนักเพิ่มต่อวันเฉลี่ย (1.69±0.05 กรัมต่อตัวต่อวัน) ประสิทธิภาพของโปรตีนเฉลี่ย
(1.47±0.05) ประสิทธิภาพของอาหารเฉลี่ย (0.51±0.02) อัตราการกินอาหารเฉลี่ย (5.81±0.22 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน) และ
อัตราแลกเนื้อเฉลี่ย (1.95±0.07) เมื่อเทียบกับกบนาที่เลี้ยงด้วยอาหารเสริมยีสต์ 0 เปอร์เซ็นต์ และไม่แตกต่างกัน
(p>0.05) กับกบนาที่เลี้ยงด้วยอาหารเสริมยีสต์ 2 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามความยาวเฉลี่ย อัตราการรอดตายเฉลี่ย และ
ปริมาณอาหารที่กินเฉลี่ยของกบนาทุกชุดการทดลองมีค่าแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05)
จากการศึกษาสรุปได้ว่าการเสริมยีสต์ 4 เปอร์เซ็นต์ในอาหารเป็นระดับที่เหมาะสมต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต
ของกบนา
2018-09-07T00:00:00Zสื่อการสอนรายวิชาเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืช
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5571
สื่อการสอนรายวิชาเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืช
มุสิกา, อารยา
สื่อการสอนรายวิชาเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืช
เอกสารการสอนการผลิตสัตว์ปีก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5531
เอกสารการสอนการผลิตสัตว์ปีก
เจริญพจน์, ปัญญา
เอกสารประกอบการสอนการผลิตสัตว์ปีก
Blood Biochemical Profiles of Mehsana Riverine and Thai Swamp Buffaloes under Tropical Conditions in the Northeast Thailand Tossaporn
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5495
Blood Biochemical Profiles of Mehsana Riverine and Thai Swamp Buffaloes under Tropical Conditions in the Northeast Thailand Tossaporn
CHAROENPOJANA, Panya; SRISAKDI, Tossaporn; CHUMCHAROEN, Pichit; CHUMCHEEN, Chalongchai; Nikorn, SANGHUAPHRAI; SAWASDEE, Prapawan; BOONPRONGa, Suvit
Objectives of this study were to estimate and compare some blood parameters between Mehsana riverine and Thai swamp buffaloes under tropical conditions of the Northeast Thailand. Plasma biochemical profiles were studied in 50 mature (4 to 7-year-old) healthy cyclic buffaloes comprised of 25 Mehsana riverine which were given to His Majesty the King of Thailand by the Government of India in 2002 as the Golden Jubilee gifts and 25 Thai swamp buffaloes. These animals were raised and managed under Buriram (northeast Thailand) Livestock Research and Testing Station, Thailand conditions at 14°26′18″N, 102°43′30″E and 150 m above sea level with an average temperature 27°C, average relative humidity of 75% and average of 1,096.60 mm annual rainfall. The data were recorded from February to April, 2012 which was summer season in Thailand. The results found that the plasma the glucose, creatinine, albumin, blood urea nitrogen levels and albumin : globulin ratio in Thai swamp were significantly (P<0.05) higher than in Mehsana riverine buffaloes. Furthermore, total protein, globulin in Mehsana riverine were significantly (P<0.05) higher than in Thai swamp buffaloes. In the other hand, aspartate amino transferase (AST) alanine amino trasferase (ALT), alkaline phosphatase (ALP) and gamma-glutamyl transferase (GGT) did not significantly differ between Mehsana riverine and Thai swamp buffaloes. In conclusion, the data presented in this communication suggest that Mehsana riverine buffaloes could be well adapted, and are a dual purpose (meat and milk) buffaloes under tropical conditions of Thailand.
2012-09-25T00:00:00Zค่าชีวเคมีในเลือดของกระบือปลักที่เป็นโรควัณโรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5479
ค่าชีวเคมีในเลือดของกระบือปลักที่เป็นโรควัณโรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
เจริญพจน์, ปัญญา; ชุ่มเจริญ, พิชิต; สางห้วยไพร, นิกร; บุญโปร่ง, สุวิช
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าทางชีวเคมีในเลือดของกระบือปลัก เพศเมีย ไม่อุ้มท้อง อายุ 3 - 6 ปี ที่ผ่านการทดสอบโรควัณโรค (Mycobacterium bovis) โดยวิธีทูเบอร์คูลิน (Tuberculin Skin Test) ในสถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์บุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ทำการสุ่มกระบือเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 13 ตัว ได้แก่ กลุ่มปกติ (negative, N) และกลุ่มให้ผลบวก (positive, P) เก็บตัวอย่างเลือดของกระบือ ในเดือนสิงหาคม 2556 วิเคราะห์หาค่าต่างๆ ในเลือด ผลการศึกษา ค่าชีวเคมีในเลือด พบว่า กลุ่ม N มีค่า glucose สูงกว่ากลุ่ม P (P<0.05) ระดับค่า blood urea nitrogen และค่า creatinine พบว่า กลุ่ม P มีค่าสูงกว่ากลุ่ม N อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) สำหรับระดับเอ็นไซม์ในพลาสม่า พบว่า กระบือกลุ่ม N มีค่า aspartate amino transferase (AST), alanine amino transferase (ALT), alkaline phosphatase (ALP), gamma–glutamyl transferase (GGT) และ lactate dehydrogenase (LDH) ต่ำกว่ากลุ่ม P (P<0.05) ระดับแร่ธาตุในพลาสม่า พบว่า กลุ่ม N มีระดับคลอไรด์ (Cl-) สูงกว่ากลุ่ม P (P<0.05) แต่ระดับโพแตสเซียม (K+) และ แมกนีเซียม (Mg+2) ของกระบือทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันทางสถิติ; The objectives of this study were to examine and compare to blood biochemical profiles of cyclic female swamp buffaloes (3 to 6–year–old) with different Tuberculosis test results. These animals were Tuberculosis checked using Tuberculin Skin Test. The random animals were experimented to comprise of 13 positives (P) and 13 negatives (N). Blood samples were taken and body score conditions were recorded at the same time in September 2013. The buffaloes were kept at Buriram Livestock Research and Testing Station, Buriram province. The results in the terms of blood biochemical profiles found that N group had a higher (P<0.05) plasma glucose than P group. The blood urea nitrogen and creatinine levels in P group were significantly (P<0.05) higher than in N group. The activity of enzyme in plasma found that N group had significantly (P<0.05) lower aspartate amino transferase (AST), alanine amino transferase (ALT), alkaline phosphatase (ALP), gamma–glutamyl transferase (GGT) and lactate dehydrogenase (LDH) levels than in P group. The electrolyte levels in plasma found that N group had significantly higher chloride (Cl-) than the animals in P group, but potassium (K+) and magnesium (Mg+2) were not significantly different.
2556-08-25T00:00:00Zแบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4688
แบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
chanpenkun, lertpoom
แบบฟอร์มใบเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
แบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4687
แบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
chanpenkun, lertpoom
แบบฟอร์มใบเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
แบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4686
แบบฟอร์มเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร
chanpenkun, lertpoom
แบบฟอร์มใบเก็บชั่วโมงจิตอาสา คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
คิวอาร์โค้ชการดาวน์โหลดสื่อการสารอ.เลิศภูมิ จันทรเพ็ญกุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4666
คิวอาร์โค้ชการดาวน์โหลดสื่อการสารอ.เลิศภูมิ จันทรเพ็ญกุล
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
ช่องทางQR CODE ดาสน์ดหลดเอกสารประกอบการเรียนการสอน อ.เลิศภูมิ จันทรเพ็ญกุล
สื่อการสอนpower point รายวิชาศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด บทที่ 4-6
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4616
สื่อการสอนpower point รายวิชาศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด บทที่ 4-6
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
สื่อประกบอบการสอนPower point รายวิชาศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด บทที่ 4-5 อ.เลิศภูมิ
การศึกษาวัสดุเพาะที่แตกต่างกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4423
การศึกษาวัสดุเพาะที่แตกต่างกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้า
แช่มรัมย์, ธนกาญจน์; สุวรรณพัฒน์, สุรีรัตน์; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัสดุเพาะที่แตกต่างกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้า เพื่อหาวัสดุที่เหมาะสมในการเพาะเห็ดนางฟ้า และเพื่อลดต้นทุนการผลิตเห็ดนางฟ้า ทำการทดลอง ณ บ้านพักอาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน 2561 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) ประกอบด้วย 4 Treatment มี Treatment ละ 15 ก้อน ดังนี้ (T1) สูตรขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ (T2) สูตรขี้เลื่อยไม้ยางพาราเก่า (T3) สูตรฟางข้าว (T4) สูตรแกลบดิบ บันทึกข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนักสด(กรัม) น้าหนักแห้ง(กรัม) และจำนวนดอก(ดอก)ทุกวันจนครบ 2 สัปดาห์ เมื่อสิ้นสุดการทดลองวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของ Treatment ด้วยวิธี Duncan s Multiple Range Test (DMRT) และวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป SPSS For Window ผลการทดลองทั้ง 4 Treatment ได้แก่ (T1) สูตรขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ (T2) สูตรขี้เลื่อยไม้ยางพาราเก่า (T3) สูตรฟางข้าว (T4) สูตรแกลบดิบ พบว่าขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ให้น้าหนักสด น้ำหนักแห้งและจำนวนดอกมากที่สุด รองลงมาคือ ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเก่าที่ให้ผลผลิตด้านน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง และฟางข้าวที่ให้ผลผลิตด้านจำนวนดอก
ดังนั้นจากผลการทดลองเกษตรกรสามารถนำสูตรขี้เลื่อยไม้ยางพาราเก่า ซึ่งจะส่งผลด้านน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง ส่วนจำนวนดอกเกษตรกรสามารถนาเอาฟางข้าวมาเป็นวัสดุในการผลิตก้อนเห็ดได้ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตก้อนเห็ดได้อย่างยั่งยืน; The experiment, this time with the purpose of Study of different culture materials that affect the growth of Phoenix Mushrooms to find the suitable materials of Phoenix Mushroom cultivation and to reduce the cost of producing Phoenix Mushrooms. Conducted a principal residence Buriram Rajabhat University. During the month of June 2561 to September 2561, using a completely randomized design (Completely Randomized Design, CRD) Consisting of 4 treatments for treatment of 15 repetition thus (T1) New rubber wood sawdust (T2) Old rubber wood sawdust (T3) Rice straw (T4) Raw husk. Recorded by fresh weight (grams), dry weight (grams) and number of flowers (flowers) every day until 2 weeks. When the variance analysis and comparison of treatment with Duncan s Multiple Range Test (DMRT) and analyzed with the program SPSS for Window.The experimental results of both 4 treatments are include (T1) New rubber wood sawdust (T2) Old rubber wood sawdust (T3) Rice straw (T4) Raw husk. Found that the New rubber wood sawdust can give fresh weight dry weight and the number of flowers the most followed by the old rubber wood sawdust yield the fresh weight and dry weight And straw yield the number of flowers.
Therefore, from the results of experiments, farmers can bring old rubber wood sawdust formula. Will result in fresh weight and dry weight and the number of flowers, farmers can bring rice straw as materials in the production of the mushroom to reduce the cost of production of mushrooms Sustainable.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zการพัฒนาสูตรน้้าหมักจากดีปลี สาบเสือและน้อยหน่าที่เหมาะสม ในการปลูกขึ้นฉ่ายในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบกะละมัง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4422
การพัฒนาสูตรน้้าหมักจากดีปลี สาบเสือและน้อยหน่าที่เหมาะสม ในการปลูกขึ้นฉ่ายในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบกะละมัง
เวารัมย์, ชลิตา; ครุฑประโคน, เสาวลักษณ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การพัฒนาสูตรน้ำหมักจากดีปลี สาบเสือและน้อยหน่าที่เหมาะสมในการปลูกขึ้นฉ่ายในระบบไฮโดรโปนิกส์แบบกะละมัง จุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการใช้สารกำจัดแมลงชีวภาพชนิดต่างๆ ต่อการก้าจัดแมลงและการเจริญเติบโตของผักขึ้นฉ่ายในระบบไฮโดรโปนิกส์ในกะละมัง โดยเปรียบเทียบสารกำจัดแมลงแต่ละชนิด วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ Completely Randomized Design (CRD) ประกอบด้วย 4 วิธีการทดลอง จำนวน 4 ซ้ำ จัดกรรมวิธีการทดลองดังนี้ กรรมวิธีที่ 1 Control ไม่ฉีดพ่นสารกำจัดแมลง อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตร:600 มิลลิลิตร กรรมวิธีที่ 2 ใช้สารกำจัดแมลงชีวภาพจากใบน้อยหน่า อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตร:600 มิลลิลิตร กรรมวิธีที่ 3 ใช้สารกำจัดแมลงชีวภาพจากใบสาบเสือ อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตร:600 มิลลิลิตร และกรรมวิธีที่ 4 ใช้สารกำจัดแมลงชีวภาพจากผลดีปลี อัตราฉีดพ่นทางใบ 1 มิลลิลิตร:600 มิลลิลิตร ด้าเนินการทดลองในโรงเรือนขนาด 0.7 X 3.8 เมตร ระหว่างวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2561 ถึง วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561 บ้านเลขที่ 67 หมู่ 6 ตำบลสะแกวซ้ำ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จากนั้นวิเคราะห์ดูจำนวนแมลงและการเจริญเติบโตของผักขึ้นฉ่าย จากการทดลองพบว่า การใช้(T1) Control ปลูกผักขึ้นฉ่ายระบบไฮโดรโปนิกส์ในกะละมัง ไม่ฉีดสารกำจัดแมลงชีวภาพ มีผลต่อด้านการพัฒนาความสูงของต้นขึ้นฉ่ายดีที่สุด ส่วนการในด้านการควบคุมแมลงศัตรูควรใช้ (T2) ปลูกผักขึ้นฉ่ายระบบไฮโดรโปนิกส์ในกะละมัง ฉีดสารกำจัดแมลงชีวภาพจากใบน้อยหน่า 1 มิลลิลิตรต่อน้้า 1.5 ลิตร และ(T4) ปลูกผักขึ้นฉ่ายระบบไฮโดรโปนิกส์ในกะละมัง ฉีดสารกำจัดแมลงชีวภาพจากผลดีปลี 1 มิลลิลิตรต่อน้้า 1.5 ลิตรจะให้ผลในการควบคุมแมลงศัตรูเข้าทำลายได้ดีที่สุด; The development of fermented water from Long Pepper. Bitter bush and Sugar Apple suitable for growing celery in a basin hydroponics system. Aims to compare the use of various biological insecticides. The insecticides and growth of celery in hydroponics systems in the basin. Comparing each insecticide. Completely Randomized Design (CRD) was composed of 4 replication methods. The experiment was conducted as follows: Method 1 Control not spray insecticide 1 ml. Of spray: 600 ml. The second method uses biological insecticide from Sugar Apple. 1 ml. Of spray application: 600 ml. 1 ml. Of spraying: 600 ml. And 4 treatments of biological insecticide from Long Pepper. Spray application rate of 1 ml: 600 ml. Experimentally conducted in a house of 0.7 X 3.8 meters between September 28, 2061 and October 19, 2018, at 67 Moo 6, Sakae District. Buriram Province Then analyzed the number of insects and the growth of celery. The experiment showed that the use of (T1) Control to grow celery, hydroponic system in the basin. Do not inject bio-pesticides. Effect on the development of the height of celery best. In the control of insect pests should be used (T2) to grow celery, hydroponic system in the basin. Insecticide pesticides from 1ml of Sugar Apple per 1.5 liters of water and (T4) Hydroponics in basin. Biological insecticide spray from Sugar Apple 1 ml of water to 1.5 liters of water will result in the best control of insect damage.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4421
ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า
แขพิมาย, นพรุจ; แนบทางดี, ปิ่นญาภา; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสูตรข้าวเกรียบเห็ดทั้ง 2 สูตร คือ สูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันเทศ และสูตรข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมกล้วยหอมทอง เพื่อศึกษาผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าสูตรใดที่คนส่วนใหญ่นิยมรับประทาน และ เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าให้แก่ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้า ทาการทดลองที่บ้านเลขที่ 9 หมู่ 9 หมู่บ้านตะลุงเก่า ต. โคกม้า อ. ประโคนชัย จ. บุรีรัมย์ ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง เดือนกันยายน 2561 โดยตอนที่ 1 หาค่าร้อยละ ค่า x̄ และค่า sd. ส่วนตอนที่ 2 ใช้แผนการทดลองแบบ t-test โดยทดลองเปรียบเทียบ 2 สิ่งการทดลอง คือ (T1 : ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันเทศ) และ (T2 : ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมกล้วยหอมทอง) ผลการทดลองพบว่า
ตอนที่ 1 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 60.0 มีอายุระหว่าง 21- 25 ปี ร้อยละ 54.0 อยู่ในระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 56.0 อาชีพนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 52.0 โดยผู้ตอบแบบสอบถามไม่เคยทานข้าวเกรียบทั้ง 2 สูตรมาก่อน ร้อยละ 82.0 มีความคิดเห็ดว่าข้าวเกรียบมีความแปลกใหม่ ร้อยละ 42.0 และผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบ ร้อยละ 98.0
ตอนที่ 2 คะแนนความชอบข้าวเกรียบด้านสี ด้านกลิ่น ด้านความกรอบ ความหนา ความหวาน ความมัน และความชอบรวม ของข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมกล้วยหอมทอง เฉลี่ย 4.52 , เฉลี่ย 4.36 , เฉลี่ย 4.46 เฉลี่ย 4.36 , เฉลี่ย 4.14, เฉลี่ย 4.10 , เฉลี่ย 4.38 มากกว่า ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันเทศ เฉลี่ย 4.12 , เฉลี่ย 3.88 , เฉลี่ย 3.46 เฉลี่ย 3.30 , เฉลี่ย 3.18, เฉลี่ย 3.40 , เฉลี่ย 3.50ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่บริโภคข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมกล้วยหอมทอง ทั้งด้านสี กลิ่น ความกรอบ ความหนา รสหวาน รสมัน และความชอบรวม มากกว่า ข้าวเกรียบเห็ดนางฟ้าผสมมันเทศ โดยทั้ง 2 สูตร มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ; This test has a purpose for education comparison mushroom product recipe the two recipes are mushroom cracker with sweet potato and mushroom cracker with banana. Study Products mushroom which formula is popular. and study value dded approach Per product mushroom. Experiment at 9 moo 9 Bantalongkao, Kokma subdistrict, Prakonchai district, Buriram province,Thailand. Between August and September 2561. Chapter 1 find the percentage average and Sd. Chapter 2 Use a trial plan t – test Compare 2 experiments are (T1: mushroom cracker with sweet potato ) and ( T2 : mushroom cracker with banana ). The results showed that. Chapter 1 The majority of respondents were female percent 60.0 Age between 21-25 years percent 54.0 Undergraduate percent 56.0 Occupation Student percent 52.0. Respondents never eat mushroom products percent 82.0. Have a comment that is an exotic product percent 42.0 and Product Accepters percent 98.0. Chapter 2 Likes score color side smell frame thickness sweetness taste it and overall liking. mushroom cracker with banana average 4.52, average 4.36 average 4.46 average 4.36 average 4.14 average 4.10 average 4.38 more mushroom cracker with sweet potato average 4.12, average 3.88 average 3.46 average 3.30 average 3.18 average 3.40 average 3.50 respectively. So it will be seen most people like to eat is mushroom cracker with banana. color side smell frame thickness sweetness taste it and overall liking. more mushroom cracker with sweet potato. Both formulas are different.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zผลของปุ๋ยคอกมูลกระบือ ปุ๋ยน้ำหมักหอยเชอรี่ และปุ๋ยพืชสด ที่มีผลต่อการให้ผลผลิตของมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4420
ผลของปุ๋ยคอกมูลกระบือ ปุ๋ยน้ำหมักหอยเชอรี่ และปุ๋ยพืชสด ที่มีผลต่อการให้ผลผลิตของมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม
ซ่อนกลิ่น, เกรียงไกร; เอี่ยมรัมย์, ประกาศ; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
Study on the effect of manure buffaloes Fertilizer fermentation, cherry and fresh manure. Effect of yield on hybrid varieties. Four replicates were used for the experiment. The treatments were as follows: Method 1 Controlled Growing Tomatoes Hybrid Non-Fertilized Treatment 2 Tomato Growing Hybrid Manure 500 kg / rai. Treatment 3: Grow hybrid tomatoes. Add 1 liters of cherry juice: 10 liters of water every 7 days. And the fourth method of growing hybrid tomatoes. Add fresh green manure at preparation. The experiment on yield of hybrid tomato The average yield and fresh weight of hybrid tomatoes showed that during the two harvesting periods, 106 days of harvesting and 120 days of harvesting were found. Manure for buffaloes at 1 sack per plot. Can help yield in the number of results. The size of the fruit The highest yield of hybrid tomato. The first was control of tomato hybrid cultivars without fertilizers. It can be seen that the use of manure gives the highest amount of hybrid varieties. Therefore, it should be used to manure buffalo manure in tomato. For better returns.; กำรศึกษำผลของปุ๋ยคอกมูลกระบือ ปุ๋ยน้ำหมักหอยเชอรี่และปุ๋ยพืชสด ที่มีผลต่อการให้ผลผลิตของมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม วางแผนกำรทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) มี 4 สิ่งการทดลอง การทดลองละ 10 ซ้ำ โดยทำการปลูกในระบบไร่ แบ่งกรรมวิธีการทดลองได้ดังนี กรรมวิธีที่ 1 Control ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ไม่ใส่ปุ๋ย กรรมวิธีที่ 2 ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 500 กิโลกรมต่อไร่ กรรมวิธีที่ 3 ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ใส่น้ำหมักจำกหอยเชอรี่ ปริมำณ 1ลิตร:น้ำ10 ลิตรรดทุกๆ7วัน และกรรมวิธีที่ 4 ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ใส่ปุ๋ยพืชสดแบบไถกลบตอนเตรียมแปลง จำกกำรทดลองด้านการให้ผลผลิตของมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ขนาดของผลและน้ำหนักสดเฉลี่ยของผลมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม เห็นได้ว่ำ ในช่วงกำรเก็บผลผลิตทั้ง 2 ช่วง คือที่อายุการเก็บเกี่ยว 106 วันและอายุการเก็บเกี่ยว 120 วัน พบว่ากรรมวิธีที่ 2 ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ใส่ปุ๋ยคอกมูลกระบืออัตรา 1 กระสอบต่อ1แปลง สามำรถช่วยให้ผลผลิตในด้านจำนวนผล ขนาดของผลทะเขือเทศ และน้ำหนักของผลผลิตมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสมมีปริมาณมากที่สุด รองลงมาคือปุ๋ยน้ำหมักหอยเชอรี่และ ปุ๋ยพืชสด ส่วนกรรมวิธีที่ 1 Control ปลูกมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสม ไม่ใส่ปุ๋ย ให้ผลผลิตในทุกด้้านน้อยที่สุด จะเห็นได้ว่าการใช้ปุ๋ยคอกให้ปริมาณในด้านต่างๆของมะเขือเทศพันธุ์ลูกผสมมากที่สุด ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ปุ๋ยคอกมูลกระบือในการปลูกมะเขือเทศ เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่ำ
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zการศึกษาต้นทุนการผลิตอ้อยและการขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน กรณีศึกษา : พื้นที่ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการผลิต 2560/2561
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4418
การศึกษาต้นทุนการผลิตอ้อยและการขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน กรณีศึกษา : พื้นที่ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการผลิต 2560/2561
แก้วหล่อ, นราวิชญ์; ปักเสติ, มุตติวัชญ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การศึกษาต้นทุนการผลิตอ้อยและการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานกรณีศึกษา : พื้นที่ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการผลิต 2560/2561 มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา (1) เพื่อศึกษาถึงต้นทุนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร (2) เพื่อศึกษาถึงต้นทุนตามรูปแบบการเพาะปลูกอ้อยของเกษตรกร และ (3) เพื่อศึกษาถึงปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขปัญหาในการปลูกอ้อย การเก็บเกี่ยว และการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร ในการวิจัยครั้งนี้ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างจากประชากรทั้งหมดคือ 321 คนโดยใช้สูตรของTaro Yamane ทำการรวบรวมข้อมูลจากเกษตรผู้ทำการผลิตอ้อยโรงงานในตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการเพาะปลูก 2560/2561 จานวน 42 ราย เป็นกลุ่มเกษตรกรกรณีลูกไร่ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์จากการศึกษาพบว่า ต้นทุนการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร กรณีลูกไร่ในพื้นที่ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า การปลูกอ้อยด้วยแรงงานเครื่องมี จานวน 42 คน ต้นทุนค่าแรงงานการปลูกอ้อยเฉลี่ยต่อไร่เท่ากับ 1,415.05 บาทต่อไร่หรือ ค่าแรงการปลูกอ้อยเฉลี่ยต่อตันเท่ากับ 85.45 บาทต่อตัน และค่าวัสดุในการปลูกอ้อยเฉลี่ยต่อไร่เท่ากับ 4,558.61 บาทต่อไร่ หรือค่าวัสดุในการปลูกอ้อยเฉลี่ยต่อตันเท่ากับ 275.28 บาทต่อตันปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขปัญหาในการปลูก การเก็บเกี่ยวและการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร มีปัญหาหลายด้าน กล่าวคือ ปัญหาด้านการปลูก ได้แก่ การขาดแคลนแหล่งน้าในการปลูกหรือแหล่งน้ำที่มีอยู่ไกลจึงทาให้การขนส่งน้ำลำบากล่าช้าต่อการปลูก แนวทางแก้ไขคือการขุดสระเก็บน้าหรือเจาะน้ำบาดาลเพื่อให้มีแหล่งน้าสาหรับการปลูกหรือการซื้อน้าจากพื้นที่ใกล้เคียงที่ให้สะดวกต่อการปลูกอ้อย ปัญหาสภาพพื้นที่ในแปลงมีตอไม้หรือต้นไม้กีดขวางทำให้ไม่สะดวกในการใช้รถปลูกอ้อยทำให้เกิดความล่าช้าในการปลูกแนวทางแก้ไข้ คือ การขุดตอทิ้งหรือนาเครื่องจักรกลที่สามารถเอาตอไม้หรือต้นไม้ออกได้มาใช้งานปัญหาการขาดแคลนท่อนพันธุ์ที่ดีในการปลูก แนวทางแก้ไข คือ การหาท่อนพันธุ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือซื้อจากโรงงานที่มีการเพาะพันธุ์ขายเพื่อให้ได้ท่อนพันธุ์ที่มีคุณภาพและปัญหาด้านการขนส่ง ได้แก่ ทางขนส่งไม่สะดวก แนวทางแก้ไขคือ ปรับปรุงทางขนส่งให้ดีขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการขนส่งปัญหาหารเก็บเกี่ยวคือการขาดแคลานแรงงานคนในการเก็บเกี่ยวอ้อยแนวทางแก้ไขคือการร่วมกลุ่มของบุคคลในพื้นที่ที่ว่างงานเพื่อให้เป็นกลุ่มในการเป็นผู้รับจ้างตัดอ้อยด้วยแรงงานคน ปัญหารถตัดอ้อยเหยียบอ้อยหรือทาอ้อยหล่นเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากเนื่องจากรถตัดอ้อยเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่จึงยากที่จะหลบหลีกการเหยียบอ้อย ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่มีความเปลี่ยนแปลงไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ และปัญหาการขนส่งปัญหาการติดคิวอ้อยนานทาให้การขนส่งอ้อยล่าช้า แนวทางแก้ไขคือ โรงงานควรกาหนดคิวอ้อยให้เหมาะสม เพื่อให้เกษตรกรไม่ต้องขับรถอ้อยไปรอคิวที่โรงงานเป็นเวลานานซึ่งจะส่งผลต่อค่าความหวานและน้าหนักอ้อยลดลง; Study on Cost of Sugarcane Production and Sugarcane Transport to the Factory Case Study: Tambon Tambol, Amphoe Mueang, Buriram Province Production Year 2560/2561 The objectives of this study (1) to study the cost of cultivation harvesting (2) to study the costs of sugarcane cultivators and (3) to study the problems and obstacles in sugarcane cultivation. harvesting And sugar cane transportation to the plant. In this research, 321 people were randomly sampled using the Taro Yamane formulation. Data were collected from agro-based sugarcane farmers in Thalung Subdistrict, Muang District, Buriram Province. Crop year 2560/2561, 42 farmers were farmers. The questionnaire was used as an educational tool. And the data was analyzed.
According to studies, it has been found that Cost of cultivation harvesting And sugar cane transportation to the plant. In the case of rai in Thalung steel district, Muang district, Buriram province, there were 42 workers in sugarcane plantation. Cost of labor was about 1,415.05 baht per rai. Average yield of sugarcane per ton was 85.45 baht / ton and average material cost per rai was 4,558.61 baht / rai or average material cost of sugarcane per ton was 275.28 baht / ton.
Problems, obstacles and solutions to problems in planting. Harvesting and transportation of sugarcane into the farmer's factory. There are many problems, such as planting problems, lack of water sources in the plantation or distant water sources, which makes water transportation difficult to delay planting. The solution is to dig a pond or drill groundwater to provide water for planting or purchase water from nearby areas that are convenient for sugarcane cultivation. The problem of thearea in the plots with stumps or tree obstacles makes it difficult to use the sugarcane plant, causing delays in planting. The solution is to dig a dump or to remove the mechanical stumps or trees. The problem of shortage of good varieties to grow solutions is to find the species from a reliable source, or buy from a plant that has been breeding to sell. At the variety, quality and transportation issues, including the inconvenient transportation. Solution is The solution is to reduce the number of laborers involved in harvesting sugarcane. The solution is to join the group of unemployed people in order to be a group of sugar cane cutters. Human labor The problem of cane cutter or cane fell is difficult to solve because the cane cutter is a big machine so it is difficult to dodge the sugar cane. Incorrect climate change is an uncontrollable problem. The problem of sugarcane crashes has been causing delays in transportation of sugarcane. Solution is The factory should set the sugar cane properly. The farmers do not have to drive sugarcane to wait at the plant for a long
time, which will affect the sweetness and sugar cane weight decreased. Keywords: cost of production, harvesting, transportation, sugarcane planting
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zศึกษาสีของผ้าสแลนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4417
ศึกษาสีของผ้าสแลนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อย
จงรัมย์, บุรินทร์; บุษบา, วิภาพร; มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสีของผ้าสแลนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อยทำการทดลอง ณ คณะเทคโนโลยีการเกษตรมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ระว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2561 – 13 สิงหาคม 2561 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design: CRD) แบ่งการทดลองเป็น 4 ทรีตเมนต์ ทรีตเมนต์ละ 4 ซ้า ได้แก่ 1. ผ้าสแลนนสีขาว 2. ผ้าสแลนสีน้าเงิน 3. ผ้าสแลนสีเขียว 4. ผ้าสแลนสีกำผลการทดลองพบว่า ด้านน้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง และจำนวนดอกมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยทรีตเมนต์ที่ 4 ผ้าสแลนสีดามีผลทำให้น้ำนักสด น้ำหนักแห้ง และจำนวนดอกสูงสุด เฉลี่ย 18.72 2.95 17.37 กรัม ตามลำดับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การนำผ้าสแลนสีดำมาใช้ในการคุมกองเห็ดโคนน้อย สามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตด้านน้าหนักสด น้ำหนักแห้ง และจำนวนดอก เนื่องจาก ผ้าสแลนสีกำมีความเข้มของแสงต่ำทำให้เห็ดเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าสีอื่น; This experiment the objective of the study was color of fabric salan affects the growth of shaggy mane cap. Which Faculty of Agriculture Buriram Rajabhat University during 30, 2018 - August, 2018. Completely randomized design, CRD consisting of 4 treatment repetition of 4 methods as methods 1.Was blue fabric methods 2Was green fabric methods 3.Was black fabric methods 4.Was white fabric
This study found to insert live weight, dry weight and number flowers there was
statistically significant difference with treatment 4 Black fabric result live weight, dry weight and high flowers number average 18.72 2.95 17.37 gram Respectively.
So can see that black fabrication used to control shaggy mane cap can help promote growth live weight, dry weight and number flowers. Due to black fabric of low light intensity. Make shaggy mane cap growth better than other colors.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zการใช้อัตราส่วนที่เหมาะสมของปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผักกาดขาวโตเกียวเบกานา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4416
การใช้อัตราส่วนที่เหมาะสมของปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผักกาดขาวโตเกียวเบกานา
ดวงสัมฤทธิ์, อนันต์; มิ่งขวัญ, อาริยา; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
การใช้อัตราส่วนที่เหมาะสมของปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัสที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของผักกาดขาวโตเกียวเบกานา วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design, CRD)ทาการทดลองในดินปลูกที่ มีค่าpH ประมาณ 6.5 (กรดอ่อน) ซึ่งเหมาะแก่การปลูกผักกาดขาว ทำการทดลองที่ บ้านหนองแสง ตาบลหนองกุง อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคามประกอบด้วย 4 กรรมวิธีทดลอง จานวน 3 ซ้ำ ได้แก่1) ไม่ใช้ปุ๋ยในการปลูกผักกาดขาว 2) ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส 75 มิลลิลิตรต่อน้ำ1000 มิลลิลิตร 3) ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส 90 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร และ 4)ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากยูคาลิปตัส 105 มิลลิลิตรต่อน้ำ1,000 มิลลิลิตร เก็บข้อมูลทางด้านความสูงของต้น และวิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความสูงเก็บข้อมูลความยาวของใบ ความกว้างของใบ และน้ำหนักสดในระยะเก็บเกี่ยว ผลการศึกษา พบว่า T4 ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากยอดยูคาลิปตัส 105 มิลลิลิตรต่อน้ำ1,000 มิลลิลิตร มีผลต่อการปลูกผักกาดขาวทาให้ผักกาดขาวมีค่าเฉลี่ยความสูงแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) ด้านความยาวใบ ความกว้างใบ และน้ำหนักสดมากที่สุดคือ T4 ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากยูคาลิปตัส 105 มิลลิลิตรต่อย้ำ1,000 มิลลิลิตร รองลงมาคือ T3 ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส 90 มิลลิลิตรต่อน้า 1,000 มิลลิลิตร T2 ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส 75มิลลิลิตรต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร และที่ส่งผลต่อการปลูกผักกาดขาวได้ผลผลิตต่ำที่สุดในทุกด้าน คือ T1 การไม่ใช้ปุ๋ยในผักกาดขาว จึงกล่าวได้ว่า T4 ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพจากใบยูคาลิปตัส 105 มิลลิลิตรต่อน้ำ1,000 มิลลิลิตร สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของผักกาดขาวได้เป็นอย่างดี; Application of optimal ratio of bio-compost from eucalypt leaf shoots on growth of Tokyo cabbage, Beggar Completely randomized design (CRD) was performed in soils with a pH value of about 6.5 (mild acid), suitable for growing Tokyo cabbage. Experiment at Ban Nong Saeng, Tambon Nong Kung, Amphoe Na Chueak, ahasarakham Province.There are 4 treatments: 1) No fertilizer for growing Tokyo cabbage. 2) Bio-compost from 75 ml of eucalyptus to 1000 ml of water. 3) Use of bio-compost from eucalyptus. Ml of water per 1000 ml; and 4) use of bio-compost from 105 ml of eucalyptus per 1000 ml of water. And analysis of variance data and comparing the average height of leaf length. Leaf width and fresh weight at harvest. It was found that T4 used 100% Eucalyptus compost from 1000 ml. Of Eucalyptus. The effect on growth of Tokyo cabbage was significantly different (p < 0.01). The leaf length, leaf width, and fresh weight were the highest. T4 used bio-compost from 105 cm elixir per 1000 ml of water, followed by T3 using bio-compost from eucalyptus. 90 milliliters per 1000 millimeters Paul L. T2 using bio-fertilizer from eucalyptus. 75 ml per 1000 ml of water ML and the effect on cultivating Tokyo cabbage were lowest in all aspects, namely, T1, no fertilizer application in Tokyo cabbage. T4 uses bio-compost from 105 ml of eucalyptus to 1000 ml of water. It can increase the yield of Tokyo cabbage.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-11-26T00:00:00Zจำนวนต้นต่อหลุมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2769
จำนวนต้นต่อหลุมต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูก ในระบบไฮโดรโปนิกส์
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; แก้วศรีหา, สุพรรณ; ชุมตรีนอก, จิตรกร; chanpenkun, lertpoom
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของจำนวนต้นต่อหลุมที่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของคะน้าเห็ดหอมที่ปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) ประกอบด้วย 4 กรรมวิธี จำนวน 3 ซ้า กรรมวิธีทดลองจำนวนต้นคะน้าเห็ดหอม/หลุมแตกต่างกันคือจำนวน 1 ต้นต่อ 1 หลุม 2 ต้นต่อ 1 หลุม 3 ต้นต่อ 1 หลุม และ 4 ต้นต่อ 1 หลุมเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของผักคะน้าเห็ดหอมในด้านจำนวนใบ ความสูงลำต้น ความกว้างใบ ความกว้างลำต้น ความยาวราก และผผลิตน้ำหนักสดรวม เมื่อครบอายุ 35 วันหลังปลูกผลการทดลอง พบว่า การปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ใช้จำนวนต้นต่อหลุมต่างกันไม่มีผลทำให้ จำนวนใบ ความกว้างของใบ ผลของความสูง และความยาวราก มีความแตกกันทางสถิติแต่จำนวนต้นต่อหลุม มีผลต่อ ความกว้างของลำต้นและน้ำหนักสดรวม โดยการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ ที่จานวน 4 ต้น ต่อหนึ่งหลุม ความสูง ความกว้างของลำต้นและผลผลิตน้าหนักสดรวม โดยการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโปนิกส์ ที่จำนวน 4 ต้น ต่อหนึ่งหลุมมีความสูงลำต้นเฉลี่ยสูงสุดและความยาวรากเฉลี่ยสูงที่สุด เท่ากับ 31.41 ซม. และ 29.77 ซม. ตามลำดับและการปลูกจำนวน 1 ต้นต่อหนึ่งหลุมมีน้ำหนักสดรวมเฉลี่ยสูงที่สุด มีค่าเท่ากับ 48.78 กรัมการปลูกผักคะน้าเห็ดหอมในระบบไฮโดรโพนิกส์ จำนวน 1 ต้นต่อหลุม จึงเป็นปริมาณที่มีความเหมาะสม
2558-07-14T00:00:00Zคู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4373
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
คณะเทคโนโลยีการเกษตร, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์; chanpenkun, lertpoom
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปี 2560
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4372
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
คณะเทคโนโลยีการเกษตร, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์; chanpenkun, lertpoom
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปี 2560
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4371
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร ประจำปี 2560
คณะเทคโนโลยีการเกษตร, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
คู่มือปัญหาพิเศษคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปี 2560
การเปรียบเทียบปุ๋ยสูตรมาตรฐาน A,B กับปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไป ใน การปลูกแตงกวาญี่ปุ่นในระบบไฮโดรโปนิกส์ แบบ NFT (Nutrient Film Technique)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4368
การเปรียบเทียบปุ๋ยสูตรมาตรฐาน A,B กับปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไป ใน การปลูกแตงกวาญี่ปุ่นในระบบไฮโดรโปนิกส์ แบบ NFT (Nutrient Film Technique)
เทียนทอง, รวิภา; เอี่ยมตา, สิริวิภา; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การเปรียบเทียบปุ๋ยสูตรมาตรฐาน A,B กับปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไป ในการปลูกแตงกวาญี่ปุ่นในระบบไฮโดรโปนิกส์ แบบ NFT (Nutrient Film Technique) กรรมวิธีการทดลอง 4 กรรมวิธี จำนวน12 ซ้ำ โดยมีการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) มีกรรมวิธีดังนี้ กรรมวิธีที่ 1 ใส่ปุ๋ย A,B 200 ซีซี กรรมวิธีที่ 2 ใส่ปุ๋ย A,B 150 ซีซี และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 50 ซีซี กรรมวิธีที่ 3 ใส่ปุ๋ย A,B 125 ซีซี และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 75 ซีซี และ กรรมวิธีที่ 4 ใส่ปุ๋ย A,B 100 ซีซี และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 100 ซีซี ตามลำดับ เก็บข้อมูลด้านการเจริญเติบโตและผลผลิต ความกว้างของใบ ความสูงของลำต้น จำนวนใบ น้ำหนักผลสดความยาวผล ความหวาน ผลการวิจัยพบว่า จากการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของแตงกวาญี่ปุ่นใน
ระยะก่อนเก็บเกี่ยว ผลปรากฏว่า สิ่งทดลองที่ 3 มีการเจริญเติบโตมากที่สุด และตามด้วยสิ่งทดลองที่1 , สิ่งทดลองที่2 และสิ่งทดลองที่ 4 มีการเจริญเติบโตต่ำที่สุดน้ำหนักสดจากการทดลอง ปรากฏว่า สิ่งทดลองที่ 3 ให้น้ำหนักมากที่สุดคือใส่ปุ๋ย A,B 125 ซีซี และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 75 ซีซี มีน้ำหนักผลสด เฉลี่ย ในรุ่นที่ 2 เท่ากับ 110.83 กรัม ลองลงมาได้แก่สิ่งทดลองที่ 4 ใส่ปุ๋ย A,B 100 ซีซี และใช้ปุ๋ย อินทรีย์ 100 ซีซี , สิ่งทดลองที่ 1 ใส่ปุ๋ย A,B 200 ซีซี มีค่าเฉลี่ยผลสดในรุ่นที่ 2 เท่ากับ 98.33 กรัม และ 82.54 กรัม แลที่มีน้ำหนักผลสดน้อยที่สุดคือ สิ่งทดลองที่ 2 ใส่ปุ๋ย A,B 150ซีซี และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 50 ซีซี มีน้ำหนักผลสดเฉลี่ยเท่ากับ 80.83 กรัม ความยาวผลของแตงกวาญี่ปุ่น ปรากฏว่าสิ่ง ทดลองที่ 3 มีความยาวผลในรุ่นที่ 2 มากสุดคือ 11.20 เซนติเมตร รองลงมาได้แก่ สิ่งทดลองที่ 1 , สิ่งทดลองที่ 2 มีค่าความยาวผลเฉลี่ย 10.80 เซนติเมตร และ 10.62 เซนติเมตร และที่มีความยาวผลเฉลี่ยต่ำสุดคือสิ่งทดลองที่ 4 มีความยาวเฉลี่ย 8.12 เซนติเมตร และความหวาน ผลปรากกว่าสิ่ง ทดลองที่ 2 ให้ความหวานสูงสุดเท่ากับ 10.33 องศาบริกซ์ รองลงมาคือสิ่งทดลองที่ 3 , สิ่งทดลองที่ 1 มีค่าเฉลี่ยความหวานอยู่ที่ 10.16 องศาบริกซ์ และ 9.00 องศาบริกซ์ และที่มีความหวานต่ำสุดคือ สิ่งทดลองที่ 4 มีค่าความหวานเฉลี่ยเท่ากับ 8.66 องศาบริกซ์ ดังนั้นกรรมวิธีที่ 3 ใส่ปุ๋ย A,B 125 ซีซี และ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 75 ซีซี ให้ผลการทดลองดีที่สุด
Comparison of standard fertilizer A, B with organic fertilizer. A total of 12 replications were used for the cultivation of Japanese cucumbers in NFT (Nutrient Film Technique). The experiments consisted of 4 replications (CRD). cc treatment 2, fertilizer A, B 150 cc and organic fertilizer 50 cc, treatment 3, fertilizer A, B 125 cc and organic fertilizer 75 cc and process 4, fertilizer A, B 100 cc and organic fertilizer 100 cc. Collected data on growth and Little Leaf width Height of stem, number of leaves, weight, freshness, fruit length, sweetness. By comparing the growth of Japanese cucumber in the pre-harvest period, it was found that the third experiment was the most abundant. And followed by Experiment 1, Experiment 2 Experiment 4 showed that most of the experiment 3 was weighted with fertilizer A, B 125 cc and 75 cc organic fertilizer with average fresh weight in 2nd generation. 110.83 grams. Experiment 4: Fertilizer A, B 100 cc and 100 cc organic fertilizer. Experiment 1: Apply fertilizer A, B 200 cc with average fresh weight of 98.33 g and 82.54 g. The fresh weight. Invisible Things Lab 2 fertilizer A, B 150 cc and 50 cc organic fertilizer weighing 80.83 grams of fresh average length of the cucumber Japan. It was found that experiment 3 was the longest in the second generation, 11.20 centimeters, followed by experiment 1, experiment 2 had the average length of 10.80 cm and 10.62 cm, and the average length The lowest was the experiment 4, the average length was 8.12 cm and the sweetness was higher than that of the second experiment. The maximum sweetness was 10.33 deg Brix, followed by experiment 3, experiment 1 was An average sugar content of 10.16 degrees and 9.00 degrees Brix, Brix sweetness and a minimum of 4 treatments with the sweetness average of 8.66 degrees Brix.
(ว.ทบ.) วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย,2561
2561-12-26T00:00:00Zศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กากข้าวตอกร่วมกับมูลกระบือและ มูลไส้เดือนในการพัฒนาปลูก มะเขือยาว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4367
ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กากข้าวตอกร่วมกับมูลกระบือและ มูลไส้เดือนในการพัฒนาปลูก มะเขือยาว
เตาะครบุรี, กฤษณา; ฉัตรไธสง, พรปวีณ; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้กากข้าวตอกร่วมกับมูลกระบือ และมูลไส้เดือนในการ พัฒนาการปลูกมะเขือยาวกรรมวิธีการทดลอง 4 กรรมวิธี จานวน 16 ซ้า วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) มีกรรมวิธีดังนี้ กรรมวิธีที่ 1 ไม่ใส่วัสดุอินทรีย์ (ใช้ดิน 100%) กรรมวิธีที่ 2 ใส่กากข้าวตอกล้วน (ใช้ดิน70% กากข้าวตอก 30% ) กรรมวิธีที่ 3 ใส่กากข้าวตอกและมูลไส้เดือนดิน(ใช้ดิน70% กากข้าวตอก15% มูลไส้เดือนดิน15%) และ กรรมวิธีที่ 4 ใส่กากข้าวตอกและมูลกระบือ (ใช้ดิน70% กากข้าวตอก15% มูลกระบือ 15%) ตามลำดับ เก็บข้อมูลด้านการเจริญเติบโตและผลผลิตความกว้างของใบ ความสูงของลาต้น จานวนใบ น้าหนักผลสด ความยาวผล ผลการวิจัยพบว่า การทดลองเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของต้นมะเขือยาวในระยะก่อนเก็บเกี่ยว ผลปรากฏว่า สิ่งทดลองที่ 3 มีการเจริญเติบโตที่ดีมากที่สุด และตามด้วย (T4), (T2) และ (T1) มีการเจริญเติบโตต่าที่สุดน้ำหนักผลสด จากผลการทดลอง พบว่า (T4) ให้น้ำหนักมากที่สุดคือใส่กากข้าวตอกและมูลกระบือ(ใช้ดิน70% กากข้าวตอก15% มูลกระบือ 15%) มีน้ำหนักเฉลี่ยของผลสด ในรุ่นที่ 2 เท่ากับ 207.50กรัม รองลงมาได้แก่ (T3) ใส่กากข้าตอกและมูลไส้เดือนดิน(ใช้ดิน70% กากข้าวตอก15% มูลไส้เดือนดิน15%) (T2) ใส่กากข้าวตอกล้วน (ใช้ดิน70% กากข้าวตอก 30% ) มีน้ำหนักเฉลี่ยของผลสด ในรุ่นที่ 2 เท่ากับ 120.00 กรัม และ 95.00 กรัม และที่มีน้ำหนักผลสดน้อยที่สุดคือ (T1) ไม่ใส่วัสดุอินทรีย์ (ใช้ดิน 100%) มีน้าหนักผลสดเฉลี่ยเท่ากับ 60.00 กรัม และความยาวผลของมะเขือ สิ่งทดลองที่ 4 มีความยาวมากที่สุดคือใส่กากข้าวตอกและมูลกระบือ (ใช้ดิน70% กากข้าวตอก15% มูลกระบือ 15%) มีความยาวผล ในรุ่นที่ 2 เท่ากับ 33.62 เซนติเมตร รองลงมาได้แก่ (T3), สิ่งทดลองที่
2 มีความยาวผลเฉลี่ย 24.25 เซนติเมตร และ 17.25 เซนติเมตร ตามลาดับ และที่มีความยาวผลเฉลี่ยต่าสุด คือ(T1) มี่ค่าเฉลี่ยความยาวผลเท่ากับ 14.87 เซนติเมตร เมื่อนาค่าเฉลี่ยมาวิเคราะห์ทางสถิติพบว่ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ
Feasibility study on the use of rice bran and buffaloes. And the earthworm in the development of eggplant. Method 1: No organic material (100% of soil). Method 2: Put all the rice residue (use 70% of soil, 30% of rice). Method 3: Add rice residue and Vermicompost (70% of soil, 15% of soil, 15% of worm) and 4 methods of rice husking and buffaloes (70% of soil, 15% of 15% of buffalo). Storage sequence Data on the growth and yield. Leaf width Height of stem, number of leaves, weight,freshness, fruit length. The results showed that Trichoderma 3 had the best growth,followed by (T4), (T2) and (T1) the lowest growth rates. The results of the experimentshowed that (T4) gave the highest weight of rice husk and buffaloes (70% of soil,15% of 15% buffaloes). The average weight of fresh fruit in 2nd generation was207.50 grams. Come down (T3) Wrap residue and soil (use 70% soil 15%Vermicompost 15% worm) (T2) Put all the rice residue (70% soil 30% rice) In thesecond generation were 120.00 g and 95.00 g, and the lowest fresh weight was (T1). No organic material (100% soil) had an average fresh weight of 60.00 g and fruit length of 4 The longest is the amount of rice and manure. The results of the second experiment were 33.62 centimeters (70%) and the second (33.62 centimeters). The second experiment was (T3). The second experiment had the average fruit length of 24.25 centimeters and 17.25 centimeters, respectively. The average length of fruit was (T1), mean length of fruit was 14.87 cm. When the mean was analyzed statistically significant difference was found.
(ว.ทบ.) วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2561
2561-12-26T00:00:00Zสื่อpower point ประกอบการสอนรายวิชาการผลิตผัก 5011205
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4248
สื่อpower point ประกอบการสอนรายวิชาการผลิตผัก 5011205
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
สื่อประกอบการสอนรายวิช่4า5011205 การผลิตผัก อ.เลิศภูมิ จันทรเพ็ญกุล สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรรีรัมย์
ส้ารวจการเลี้ยง นheหนักตัวและลักษณะทางกายวิภาคของ กระบือนมชุมชนบ้านสี่เหลี่ยมน้อย ตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4219
ส้ารวจการเลี้ยง นheหนักตัวและลักษณะทางกายวิภาคของ กระบือนมชุมชนบ้านสี่เหลี่ยมน้อย ตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ทีประโคน, นพดล; ตาชูชาติ, ปัญญา; ที่รัก, วิณากร
การศึกษาการสำรวจการเลี้ยง น้าหนักตัวและลักษณะทางกายวิภาคของกระบือนมชุมชนบ้านสี่เหลี่ยมน้อย ตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ในชุมชนบ้านสี่เหลี่ยมน้อย ตำบล หนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ถึง วันที่ 30 เมษายน 2561 โดยศึกษาสภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรที่เลี้ยงกระบือนม การเลี้ยงกระบือนม ศึกษาน้ำหนักตัวและลักษณะทางกายวิภาคของกระบือนม โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ และการท้าประชาคม เพื่อศึกษา สภาพเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรที่เลี้ยงกระบือนม การเลี้ยงกระบือนม ศึกษาน้ำหนักตัวและลักษณะทางกายวิภาคของกระบือนมที่เลี้ยงโดยเกษตรกร ชุมชนบ้านสี่เหลี่ยมน้อย ตำบลหนองโสน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงนำข้อมูลความยาวรอบอก (GIR) ประเมินหาน้าหนักตัว (WT) จากสูตรของวัฒนา และรุจิรา (2557) ที่ว่า WT = -982.39+7.56 (GIR) พบว่า ลักษณะพื้นฐานทางสังคมสภาพการเลี้ยงและเศรษฐกิจของเกษตรกร สถานภาพของเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบือนมส่วนใหญ่สถานภาพสมรส อายุของเกษตรกรผู้เลี้ยงส่วนใหญ่อายุ 51 – 60 ปี รองลงมาคืออายุ 41 – 50 ปีและระดับการศึกษาส่วนใหญ่ระดับประถมศึกษา รองลงมาคือมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนใหญ่
ประกอบอาชีพทำนา รองลงมาคือเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรที่เลี้ยงกระบือนมมีสมาชิกในครัวเรือน4 – 6 คน ส่วนใหญ่เกษตรกรผู้เลี้ยงกระบือนมถือครองที่ดินน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินส่วนตัว เกษตรกรใช้แรงงานในครัวเรือนที่ใช้เลี้ยงกระบือนม 1 – 2 คน ประสบการณ์ของเกษตรกรในการเลี้ยงกระบือนม 2 – 3 ปี ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงกระบือนมต่อปี มากกว่า 10,000บาท แหล่งเงินทุนในการเลี้ยงกระบือนมส่วนใหญ่ใช้เงินตนเองและเงินอื่นๆ รองลงมาคือ เงินกองทุนหมู่บ้าน การเลี้ยงกระบือนมของเกษตรกร พบว่า รูปแบบของการเลี้ยงส่วนใหญ่เลี้ยงเฉพาะกระบือนมสายพันธุ์เดียวและเลี้ยงรวมกระบือนมกับกระบือปลัก เกษตรกรใช้เวลาในการเลี้ยงกระบือนมวัน
ละมากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งรูปแบบโรงเรือนหรือคอกในการเลี้ยงเป็นคอกที่อยู่นอกบ้านมีหลังคากันแดดกันฝน เกษตรกรให้กระบือนมกินหญ้าในแปลงเอง และตัดหญ้าสดให้กิน แหล่งอาหารหยาบที่ใช้เลี้ยงกระบือนมส่วนใหญ่เกษตรกรจะเลี้ยงในทุ่งหญ้าสาธารณะและทุ่งหญ้าของผู้อื่น น้ำที่ใช้เลี้ยงกระบือนมใช้น้าบ่อธรรมชาติ และน้าบาดาล เกษตรกรสำรองอาหารหยาบไว้เพียงพอต่อความต้องการของกระบือนม ลักษณะทางกายวิภาคมีสีด้าหรือสีน้าตาลเข้ม อาจมีขาวบริเวณหน้าผากและปลายพู่หางเขามีลักษณะม้วนงอ ล้าตัวหนาลึก เป็นกระบือนมขนาดกลาง เต้านมมีขนาดใหญ่ได้สัดส่วน เพศเมียมีลักษณะการให้นมดีและสมบูรณ์พันธุ์ดี น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ เพศผู้หนักประมาณ 550 - 600กิโลกรัม เพศเมีย หนักประมาณ 400 - 450 กิโลกรัม ปริมาณการให้นมเฉลี่ย 7 - 8 ลิตร/วัน มีไขมัน
7 - 8 เปอร์เซ็นต์ และมีโปรตีนรวมแร่ธาตุต่างๆ ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลาการให้นมประมาณ 300 วัน; Education body weight and anatomy of buffalo milk in Ban Sileamnoi Community , Nongsano Sub – district , Nangrong District , Buriram Province. From 1 February 2018 to 30 April 2018. By studying the economy and the farmers of the
buffalo milk. Raising buffalo milk. Weight study and anatomy of buffalo milk. Use of research tools. The research instrument was questionnaire interview and community. To study the economic and social status of dairy cattle farmers. Raising
buffalo. Study on body weight and anatomy of buffalo milk. Farmers in Ban Sileamnoi Community , Nongsano Sub – district , Nangrong District , Buriram Province. By specific sampling bring length information (GIR). Assessment body weight (WT). From the formula of Wattana and Rujira (2557) where WT = -982.39 7.56 (GIR). Found that the basic characteristics of society. Farming and economic conditions of farmers. Status of dairy buffalo farmers majority of marital status. The
age of most farmers aged 51to 60 years old. Followed by 41 to 50 years old. And most elementary education. Secondary is secondary. Mostly farming. Secondary is animal husbandry. Farmers raising buffaloes have household members 4 - 6 people.
Most dairy farmers hold less than 20 plantation of land. Mostly private land. Farmers use dairy buffaloes from 1 to 2 households. Farmer Experience in Breeding Buffalo 2 - 3 Years. The cost of raising buffaloes per year is more than 10000 baht.
Most of the money spent on raising buffaloes was spent on self and other money. The next is the village fund. The buffalo raising of the farmers. Most of the buffaloes were buffaloes single breed buffalo and buffalo milk and swamp buffalo. Farmers
raise more than 6 hours a day. The stall outside the house . Farmers provide grassfeeding buffalo milk and cut fresh grass. Coarse feed for dairy buffaloes is mainly raised in public grasslands and the pastures of others. Water used for buffaloes uses
natural water and groundwater. Farmers reserve roughage for buffalo needs. The anatomy is black or dark brown. May have white forehead and tail tip He has a curled appearance. Deep body. Medium sized buffalo milk. Breast size is large.
Female to breastfeed and Completely good. Weight when mature. Male weight 550 - 600 kg. Female weight 400 - 450 kg. Average milk supply is 7 - 8 liters/day. 7 to 8 percent fat. And protein and minerals 9 percent. The milk time is about 300 days.
ปริญญาวิทยศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2560
2561-05-25T00:00:00Zสื่อประกอบการสอนรายวิชาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4208
สื่อประกอบการสอนรายวิชาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
สื่อประกอบการสอนรายวิชาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผลของการใช้ปอเทืองและถัว เขียวในการผลิตผักคะน้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4199
ผลของการใช้ปอเทืองและถัว เขียวในการผลิตผักคะน้า
อุบัติ, กรวิชญ์; ปิ่นเพชร, ชินดนัย; ที่รัก, วิณากร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสันต์, สุชาดา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปอเทืองและถั่วเขียวในการผลิตผักคะน้า โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) หน่วยทดลองคือผักคะน้า อายุ 10 วัน จำนวน 420 ต้น ปลูกในถุงขนาด 5x8 นิ้ว แบ่งการทดลองออกเป็น 7 กรรมวิธีๆ ละ 3 ซํ0าๆ ละ 20 ต้น ใช้ระยะเวลาทดลอง 7 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าที)อายุ 21 วัน พบว่า เส้นผ่านศูนย์กลางต้น ความยาวใบ และความกว้างใบไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ส่วนความสูงต้น จำนวนใบพบว่าที)ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถัว) เขียว 75เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) ทีอายุ 35 วัน พบว่า เส้นผ่านศูนย์กลางต้น และความยาวใบ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) ส่วน ความสูงต้น จำนวนใบ และความกว้างใบพบว่าทีผ) สมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถัว) เขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) และที)อายุ 49 วัน พบว่า ความสูงต้น เส้นผ่านศูนย์กลางต้น จำนวนใบ ความยาวใบ และความกว้างใบ พบว่าที่ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถั่วเขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) ส่วนน้ำหนัก ผลผลิตรวม นํ0าหนักสด และน้ำหนักแห้ง พบว่าที่ผสมดิน 25 เปอร์เซ็นต์กับปุ๋ยหมักถั่วเขียว 75 เปอร์เซ็นต์ดีกว่าการใช้ปุ๋ยหมักกรรมวิธีอื่นๆ โดยมีความแตกต่างกันยิ่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01); This research aimed to study the effect of Crotalaria juncea and Vigna radiate on Chinese kale production with completely randomized design (CRD). The experimental unit was Chinese kale 10 days old plants 420 seedling in 5 * 8 inches bag. The experiment was divided into 7 treatments of 3 replications, each with 20 replications with period of 7 weeks experimental. The results showed that at 21 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were not significantly different (p> 0.05). Height of tree,
number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01). The results showed that at 35 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were not significantly different (p>0.05). Height of tree, number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01).And the results showed that at 49 days of age, It was found that the diameter, leaf length and leaf width were significantly different (p> 0.05). Height of tree, number of leaves results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01). Total weight, fresh weight and dry weight results showed that 25 percent of soil mixed with Vigna radiate compost 75 percent was better than other compost with the difference was statistically significant (p <0.01).
2560-11-16T00:00:00Zผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4198
ผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
อินทะบิน, วรวุธ; ประกอบดี, ศิวกร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสนัต์, สุชาดา; หลวงจำนง, ปรีชา
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารสกัดหยาบสมุนไพรต่อผลผลิตผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์
โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) โดยนำผักกวางตุ้งอายุ 1 สัปดาห์
ย้ายลงปลูกในโรงเรือนไฮโดรโปนิกส์ จากนั,นทุกๆ 3 วันฉีดพ่นสารสกัดหยาบสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ สารสกัดหยาบ
พริก กระเทียม และตะไคร้ ส่วนชุดควบคุมไม่ฉีดพ่น จนกระทัง, ถึงอายุการเก็บเกี่ยว (4 สัปดาห์) จากการทดลองพบว่า
ผักกวางตุ้งทีฉีดพ่นสารสกัดหยาบทั้ง 3 ชนิด ไม่พบรอยโรคและแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย นอกจากนัน, ความสูงต้นมีค่า
ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) แต่อย่างไรก็ตามการฉีดพ่นสารสกัดหยาบตะไคร้ทำให้ผักกวางตุ้งมีนํ,าหนักสด
น้ำหนักแห้งมีค่ามากทีสุด ขณะทีไม่ฉีดพ่นทำให้เกิดรอยโรคและแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย ดังนัน, จึงส่งผลให้มีน้ำหนักสด
และนํ,าหนักแห้งน้อยทีสุดจากการทดลองแสดงให้เห็นว่าการฉีดพ่นสารสกัดหยาบทั้ง, 3 ชนิด มีประสิทธิภาพในการ
เพิ่มผลผลิตของผักกวางตุ้งในระบบไฮโดรโปนิกส์; This research aimed to study the effect of herb crude extract on the yield of Chinese cabbage in
hydroponics with completely randomized design (CRD) by transplant one week of Chinese cabbage moved
into a hydroponics system plant. Then, every 3 days, spray 3 courses of herb crude extract: chili crude
extract, garlic and lemongrass with the control unit is not sprayed until the harvest time (4 weeks). It was
found that all three herb crude extracts on Chinese cabbage were not found disease and insect pests. In
addition, the tree height was not significantly different (p> 0.05). However, the spraying of herb crude extracts
of lemongrass makes Chinese cabbage have a fresh weight, dry weight is most valuable. While it is not
sprayed, it causes disease and insect pests that results in a fresh weight and a dry weight as minimum. The
experiments showed that all three herb crude extracts were effective in increasing the yield of Chinese
cabbage in hydroponic system.
2017-12-16T00:00:00Zการใช้ใบกล้วยน้าว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4197
การใช้ใบกล้วยน้าว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่
ที่รัก, วิณากร; อิสรรักษ์, รัญจวน; ศรีขวัญ, ธนศักดิ์; ชมเชย, อภิวัฒน์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ใบกล้วยน้ำว้าในอาหารเลี้ยงไก่ไข่ โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (completely randomized desing; CRD) ทดลองกับไก่ไข่พันธุ์ผสมทางการค้าเพศเมียอายุ 21 สัปดาห์ จำนวน 40 ตัว ใช้ระยะเวลาการทดลอง 8 สัปดาห์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ชุดทดลองๆ ละ 5 ซ้าๆ ละ 2 ตัว แต่ละชุดทดลองผสมใบกล้วยน้ำว้าในสูตรอาหาร 0, 4, 6 และ 8 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ผลการทดลองพบว่าน้ำหนักตัวไก่ไข่เมื่อสิ้นสุดการทดลอง น้าหนักตัวไก่ไข่ที่เพิ่มขึ้น เปอร์เซ็นต์ผลผลิตไข่ น้ำหนักไข่ น้าหนักเนื้อไข่ ความหนาเปลือกไข่ และ ค่า Yolk index แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p>0.05) แต่ปริมาณอาหารที่กินชุดทดลองที่ผสมใบกล้วยน้าว้า 8 เปอร์เซ็นต์กินอาหารน้อยที่สุด รองลงมาคือที่ผสมใบกล้วยน้าว้า 4 และ 6 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ ส่วนที่ไม่ผสมใบกล้วยน้ำว้า (กลุ่มควบคุม) กินอาหารมากที่สุด โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนสีไข่แดง พบว่าการผสมใบกล้วยน้ำว้า 6 และ 8 เปอร์เซ็นต์ สีไข่แดงเข้มกว่าการผสมใบกล้วยน้ำว้า 4 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่าใบกล้วยน้ำว้าสามารถผสมในสูตรอาหารไก่ไข่ได้โดยไม่กระทบกับสมรรถภาพการผลิตไข่
2017-12-25T00:00:00Zผลของปุ๋ยอินทรีย์ต่อการงอกและการเจริญเติบโตของอ้อยชาถุง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4193
ผลของปุ๋ยอินทรีย์ต่อการงอกและการเจริญเติบโตของอ้อยชาถุง
งามเหลือ, พิไลพร; สานุสันต์, สุชาดา; สัดชำ, นภัสสร
การศึกษาการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากมูลวัว,มูลสุกรและมูลไก่ที่ส่งผลตํอการงอกของอ้อยพันธุ์ระยอง 95 วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) มี 4 กรรมวิธี จานวน 4 ซ้า คือ (T1)การไมํใสํปุ๋ย(T2)การใช้ปุ๋ยมูลวัว(T3)การใช้ปุ๋ยมูลสุกรและ(T4)การใช้ปุ๋ยมูลไกํ เก็บข้อมูล ความสูงของต้น,ความยาวของราก,น้าหนักแห้งราก,น้าหนักแห้งลำต้นและใบ,จำนวนใบและการแตกกอ พบว่า ในระยะ 60 วันหลังการปลูกกรรมวิธีการใส่ปุ๋ยมูลไก่ (T4) ให้ความสูงของต้นสูงที่สุดคือ 91.02 รองลงมา ปุ๋ยมูลสุกร ปุ๋ยมูล ให้ความสูง 89.42 และ 62.85 เซนติเมตร ตามลำดับ ที่ระยะ 60 วันหลังการปลูก กรรมวิธีการใสํปุ๋ยมูลไก่ (T4) ให้ความยาวราก สูงที่สุดคือ 31.6 รองลงมาปุ๋ยมูลสุกร 26.3 สํวนปุ๋ยมูลวัวมีความยากรากน้อยที่สุด 18.97 เซนติเมตร เชํนเดียวกับที่ระยะ 60 วันหลังจากปลูก การใสํปุ๋ยมูลไก่ ให้ น้าหนักแห้งของลาต้นและใบ น้าหนักแห้งราก จำนวนใบ มากที่สุด; A study on the use of organic fertilizers derived from cow manure, pig manure and chicken manure resulted in the germination of Rayong 95 sugarcane. The experimental design was completely randomized design (CRD). 4 replications (T1), no fertilizer (T2), use of cow dung (T3), use of pig manure and (T4). Application of chicken manure, storage of root height, root length, dry weight Roots, dry weight, stem and leaf, number of leaves and cracking. It was found that during the 60 days after planting, T4 treatment gave the highest plant height (91.02), followed by manure (89.42 and 62.85 cm). At 60 days after planting The treatment of manure (T4) gave the highest root length (31.6), followed by manure (26.3). The manure had the least root difficulty (18.97 cm) as well as 60 days Applying chicken manure to dry weight of stem and leaf. Root dry weight, maximum number of leaves
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (ว.ทบ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2560-12-16T00:00:00Zเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยเคมี อินทรีย์ และอินทรีย์เคมีตามค่าการวิเคราะห์ดินที่มีผลต่อการปลูกผักกาดเขียว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4192
เปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยเคมี อินทรีย์ และอินทรีย์เคมีตามค่าการวิเคราะห์ดินที่มีผลต่อการปลูกผักกาดเขียว
chanpenkun, lertpoom; เครืองรัมย์, ปรัชญา; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; สุทธิ, ยืนยง; chanpenkun, lertpoom
เปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยเคมี อินทรีย์ และอินทรีย์เคมีตามค่าการวิเคราะห์ดินที่มีผลต่อการปลูกผักกาดเขียว วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ Completely Random Design (CRD) ทาการทดลองในสภาพดินที่ปลูกเป็นดินเหนียวปนร่วน มีค่าpH ประมาณ 6.5 (กรดอ่อน) มีปริมาณไนโตรเจนต่า ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ระดับธาตุอาหารปานกลาง และมีโพแทสเซียมที่ละลายนาได้ระดับธาตุอาหารปานกลาง ที่ สวนริมห้วย บ้านสวายจีกน้อย ตาบลสนวน อาเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วย 4 กรรมวิธีทดลอง จานวน 4 ซา ได้แก่ 1) ไม่ใช้ปุ๋ยในการปลูกผักกาดเขียว 2) ใช้ปุ๋ยเคมีในการทดลอง หลังจากปลูกเบี ย10วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-20 0.135 กิโลกรัม หลังจากใส่ปุ๋ยครั่งแรกอีก 10 วันใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 0.036 กิโลกรัม 3) ใช้ปุ๋ยหมักเติมอากาศในการทดลอง(ปุ๋ยอินทรีย์) ใส่ปุ๋ยหมักเติมอากาศก่อนลงเบี ยผักกาดเขียว 16 กิโลกรัม และ 4) ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีในการทดลอง ใส่ปุ๋ยหมักเติมอากาศก่อนลงเบี ยผักกาดเขียว 10 กิโลกรัม หลังจากลงเบี ยผักกาดเขียวได้15วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-20 0.1กิ โลกรัม เก็บรวมทางด้านความสูงของต้น และวิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความสูง เก็บข้อมูลความยาวของใบและ นาหนักสดในระยะเก็บเกี่ยว ผลการศึกษา พบว่า T2 ใช้ปุ๋ยเคมีในการทดลอง หลังจากปลูกเบี ย10วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-20 0.135 กิโลกรัม หลังจากใส่ปุ๋ยครั่งแรกอีก 10 วันใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 0.036 กิโลกรัม มีผลต่อการปลูกผักกาดเขียวทาให้ผักกาดเขียวมีค่าเฉลี่ยความสูงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ (p>0.05) รองลงมาด้านความยาวใบ และนาหนักสดมากที่สุด คือ T2 ใช้ปุ๋ยเคมีในการทดลอง หลังจากปลูกเบี ย10วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-20 0.135 กิโลกรัม หลังจากใส่ปุ๋ยครั่งแรกอีก 10 วันใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 0.036 กิโลกรัม รองลงมาคือ T3 ใช้ปุ๋ยหมักเติมอากาศในการทดลอง(ปุ๋ยอินทรีย์) ใส่ปุ๋ยหมักเติมอากาศก่อนลงเบี ยผักกาดเขียว 16 กิโลกรัมและที่ส่งผลต่อการปลูกผักกาดเขียวได้ผลผลิตต่าที่สุดในทุกด้าน คือ T1 การไม่ใช้ปุ๋ยเป็นธาตุอาหารแก่ผักกาดเขียว จึงกล่าวได้ว่า T2 ใช้ปุ๋ยเคมีในการทดลอง หลังจากปลูกเบี ย10วันใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-10-20 0.135 กิโลกรัม หลังจากใส่ปุ๋ยครั่งแรกอีก 10 วันใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 0.036 กิโลกรัม สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของผักกาดเขียวได้เป็นอย่างดี; Comparison of organic and organic chemical fertilizer application based on soil analysis on Chinese Cabbage. Completely Random Design (CRD). The soil is grown in clay soils with a pH value of 6.5 (weak acids) with low nitrogen content. Effective phosphorus, moderate nutrient levels. There are 4 treatments: T1) Do not use fertilizer for growing Chinese Cabbage T2) Use fertilizer Chemical experiments After planting 10 days, 20-25-20 kg of chemical fertilizer was applied. After fertilizing the first 10 days, fertilizing 46-0-0 0.036 kg. T3) Use compost in the experiment (organic fertilizer). Fermentation before the premium of 16 kg of Chinese Cabbage and T4) use of organic fertilizer in the experiment. Compost the air before the premium Chinese Cabbage 10 kg after the Chinese Cabbage for 15 days, enter the chemical fertilizer formula 20-10-20 0.1 geranium total height. Analysis of variance and mean height. Keeps the leaf length and the results showed that T2 used chemical fertilizer in the experiment. After planting 10 days, 20-25-20 kg of chemical fertilizer was applied. After fertilizing the first 10 days, fertilizer 46-0-0 0.036 kg was applied to green leafy vegetables. The difference was significant (p> 0.05). T2 was used for chemical fertilizers. After planting 10 days, chemical fertilizer 20-10-20 0.135 kg was applied. After fertilizing the first 10 days with fertilizers 46-0-0 0.036 kg, followed by T3 composted air in the experiment (organic fertilizer. Incubate the compost before the Chinese Cabbage weight of 16 kg, and the effect on the greenhouse. The lowest yield in all aspects is T1. The use of fertilizer as a nutrient to Chinese Cabbage. T2 used chemical fertilizers in experiments. After planting 10 days, add 20-10-20 kg of chemical fertilizer 0.135 kg. After fertilizing the first 10 days, fertilizer fertilizer 46-0-0 0.036 kg can help increase the yield of Chinese Cabbage as well.
ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (ว.ทบ.) เกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ,2560
2561-05-26T00:00:00Zผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4181
ผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
ชัยรินทร์, ทักษะ; ดียิ่ง, ทศพร; วัฒนพายัพกุล, วนิดา; สานุสันต์, สุชาดา; หลวงจำนง, ปรีชา
งานวิจัยนี/มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโคในการผลิตหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล๊อค (Randomized complete block design: RCBD) ทดลองกับหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 ปลูกในแปลงขนาด 1x4 เมตร แบ่งการทดลองออกเป็น 4 กรรมวิธีๆ ละ 4 ซํ/าๆ ละ 14 หลุมๆ ละ 3ท่อนพันธุ์ ใช้ระยะเวลา 45 วัน โดยมีกรรมวิธีดังนี/ กรรมวิธีที่ 1 ดินศูนย์ปฏิบัติการอุดมศึกษาหนองขวางไม่ปรับปรุงดิน กรรมวิธีที่ 2 ดินศูนย์ฯปรับปรุงดินด้วยมูลโค 5 กิโลกรัม กรรมวิธีที 3 ดินศูนย์ฯ ปรับปรุงดินด้วยปอเทือง และมูลโค 5 กิโลกรัม และกรรมวิธีที่ 4 ดินศูนย์ฯ ปรับปรุงดินด้วยปอเทืองและมูลโค 6 กิโลกรัม ผลการศึกษาพบว่า ความสูงต้น จำนวนหน่อต่อกอ และจำนวนใบต่อต้นทีปลูกได้ 21, 35 และ 45 วัน มีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง ทางสถิติ (p<0.01) โดยทีก ารใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมส่งผลต่อการเจริญเติบโตมากทีส) ุด รองลงมาคือการใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 5 กิโลกรัม ส่วนการใช้มูลโคอย่างเดียวไม่แตกต่างจากการทีไม่ใช้ ส่วนผลิตรวมต่อกรรมวิธี น้ำหนักสด และน้ำหนัก
แห้งมีความแตกต่างกันอย่างยิ่งทางสถิติ (p<0.01) โดยที่การใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมได้ผลดีทีสุด สรุปควรใช้ปอเทืองร่วมกับมูลโค 6 กิโลกรัมในการปรับปรุงดินเพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1; The purpose of this research was to investigate the influence of Crotalaria Juncea and cattle manure
on the production of Napier Pakchong 1. Randomized complete block design (RCBD) was experimented withNapier Pakchong 1. Planted in a plot of 1 * 4 meters, the experiment was divided into 4 treatments of 4 replications, each with 14 holes and each with 3 breed pieces. The method takes 21, 35 and 45 days as follows: Process 1 the soil of Nong Khwang Higher Education Operation Center does not improve the soil.Process 2 the Soil of the Center was improved with 5 kilograms of cattle manure. Process 3 the soil of the Center was improved with Crotalaria Juncea and 5 kilograms of cattle manure. Process 4 the soil of the Center was improved with Crotalaria Juncea and6 kilograms of cattle manure. The results showed that height of the tree, number of shoots per clump and number of leaves per plant grown in 45 days was statistically significantly different (p <0.01). By the using of Crotalaria Juncea and 6 kilograms of cattle manure affects most growth, secondary is the use of Crotalaria Juncea and 5 kilograms of cattle manure and the use of cattle manure alone is not different from not using. Total production per process, weight before drying andweight gain after drying were significantly different (p <0.01). By the using of Crotalaria Juncea and 6 kilograms of cattle manure works the best result. It should be used together with 6 kg of cattle manuretoimprove the soil to grow Napier PakChong 1.
2561-02-26T00:00:00Zศึกษาเปรียบเทียบวัสดุผสมในการปักชำใบจากขุยมะพร้าว พีทมอส หินพัมมิซ และหินลาวาดำร่วมกับทรายและแกลบดำต่ออัตราการเจริญเติบโตของบีโกเนีย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/4055
ศึกษาเปรียบเทียบวัสดุผสมในการปักชำใบจากขุยมะพร้าว พีทมอส หินพัมมิซ และหินลาวาดำร่วมกับทรายและแกลบดำต่ออัตราการเจริญเติบโตของบีโกเนีย
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; เสริมชัยรัมย์, อาทิตย์; chanpenkun, lertpoom
การทดลองปลูกบีโกเนีย (Begonia) ในวัสดุชนิดต่างๆในเรือนเพาะชำ วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design : CRD การทดลองประกอบด้วย 4 ทรีตเมนต์ ๆ ละ 5 ชุด ชุดละ 4 ซ้ำ งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเปรียบเทียบวัสดุผสมในการปักชำใบจาก ขุยมะพร้าว พีทมอส หินพัมมิซ และหินลาวาดำร่วมกับทรายและ แกลบดำที่ส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของบีโกเนีย โดยเก็บข้อมูลในด้านการเจริญเติบโตของบีโกเนีย ได้แก่ ความสูงของทรงพุ่มบีโกเนีย (เซนติเมตร), ความกว้างของทรงพุ่มใบ(เซนติเมตร), ขนาดความกว้างของใบ(เซนติเมตร), ขนาดความยาวของใบ(เซนติเมตร), จำนวนใบ(ใบ)จากการทดลองการปลูกบีโกเนีย ในวัสดุปลูกชนิดต่างๆ ซึ่งใน Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่าในสภาพและระยะเวลาการปลูกที่เท่ากันโดยค่าเฉลี่ยความกว้างทรงพุ่ม จากการทดลองค่าเฉลี่ยความกว้างทรงพุ่มรวมพบว่าบีโกเนียที่ใช้วัสดุปลูกจาก Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) ให้ค่าเฉลี่ยความกว้างทรงพุ่มมากที่สุด คือ 14.660 เซนติเมตร ค่าเฉลี่ยความสูงทรงพุ่ม จากการทดลองค่าเฉลี่ยความสูงทรงพุ่มรวมพบว่าบีโกเนียที่ใช้วัสดุปลูกจาก Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) ให้ค่าเฉลี่ยความสูงทรงพุ่มมากที่สุด คือ 4.185 เซนติเมตร ค่าเฉลี่ยความกว้างใบ จากการทดลองค่าเฉลี่ยความกว้างใบรวมพบว่าบีโกเนียที่ใช้วัสดุปลูกจาก Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) ให้ค่าเฉลี่ยความกว้างใบมากที่สุด คือ 3.740 เซนติเมตร ค่าเฉลี่ยควายาวใบ จากการทดลองค่าเฉลี่ยความยาวใบรวมพบว่าบีโกเนียที่ใช้วัสดุปลูกจาก Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) ให้ค่าเฉลี่ยความยาวใบมากที่สุด คือ 3.705 เซนติเมตร ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ จากการทดลองค่าเฉลี่ยจำนวนใบรวมพบว่าบีโกเนียที่ใช้วัสดุปลูกจาก Treatment ที่ 4 (หินลาวาดำ) ให้ค่าเฉลี่ยจำนวนใบมากที่สุด คือ 6.400 ใบ ซึ่งจากการวิจัย พบว่า บีโกเนียที่ปลูกใส ทราย แกลบดำ หินลาวาดำ มีการเจริญเติบโตที่ดีกว่าวัสดุอื่นๆ; Begonia experiments in various materials in the nursery. The experimental design was a completely randomized design: CRD. The experiment consisted of 4 treatments of 5 sets of 4 replicates. Each of 4 replicates was used to compare the composite materials of coconut husk, peat moss, pumyl stone. G and black lava with sand and sand. Black Husks Affecting Begonia Growth Rates The data on the growth of Begonia include the height of the Begonia (cm), the width of the shrub (centimeters), the width of the leaf (centimeters), the length of the leaf (cm) Centimeters), number of leaves (leaves) In different planting materials, treatment 4 (black lava) exhibited better growth rates in equal conditions and planting times, with average bush widths. Based on the average width of the canopy, it was found that Begonia, treated with Treatment 4 (Black Lava) gave the highest average bush width of 14.660 cm. From the experiment, the average height of the canopy was found that the bevarians using treatment material 4 (black lava) gave the highest average height of bushes is 4.185 cm. From the experiment, the mean width of the leaves was found that the bevarias treated with Treatment 4 (Black lava) gave the highest average leaf width of 3.740 cm. From the experiment, the mean length of the leaves was found to be the average of leaf length of 3,705 cm. Based on the experiment, the average number of leaves was found that the bevarians using treatment material 4 (black lava) gave the highest number of leaves is 6,400. Black lava black is growing better than other materials.
วิทยาศาสตรบัณฑิต (ว.ทบ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2560-10-23T00:00:00Zการเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยฟางข้าวแห้ง และก้อนเชื้อเห็ดเก่า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3999
การเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยฟางข้าวแห้ง และก้อนเชื้อเห็ดเก่า
มุสิกา, อารยา; อินทะนู, คำภีรภาพ; วงศ์ชำนาญ, ตรีรัตน์
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้าที่เพาะด้วยฟางข้าวแห้ง และก้อนเชื้อเห็ดเก่า เพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้าที่เพาะด้วยฟางข้าวแห้งและก้อนเชื้อเห็ดเก่า และเพื่อนาผลการวิจัยไปเผยแพร่ ส่งเสริมการมีอาชีพอิสระและการมีรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกรและผู้ที่มีความสนใจในการเพาะเชื้อเห็ดได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืนโดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomize Design , CRD) ประกอบด้วย 6 Treatment Treatment ละ50 ก้อน ได้แก่ (T1) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ 100% (T2) ฟางข้าวแห้ง (T3) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่:เก่าอัตรา 50:50 (T4) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่:เก่า อัตรา 60:40 (T5) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่:เก่า อัตรา 55:45 (T6) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่:เก่า อัตรา 70:30 บันทึกข้อมูลโดยการนับจานวนดอก(ดอก) วัดความกว้าง(ซ.ม.)และชั่งน้าหนักสด(กรัม) ทุกวันจนครบ 2 เดือน เมื่อสิ้นสุดการทดลองวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของTreatment ด้วย Duncan ,s New Multiple Range Test (DMRT) และวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ
ผลการทดลองพบว่า สิ่งทดลองทั้ง 6 Treatment มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P≤0.05) ด้านจานวนดอก Treatment ที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่100% คือ 23.94 รองลงมาคือ (T6) ขี้เลื่อยใหม่: เก่า อัตรา 70:30 คือ 23.47 และ(T5) ขี้เลื่อยใหม่: เก่า อัตรา 55:45 คือ 21.75 ตามลาดับ ด้านความกว้างTreatment ที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่100% คือ 11.00 ซ.ม รองลงมาคือ(T4)ขี้เลื่อยใหม่: เก่า อัตรา 60:40 คือ 10.47 ซ.ม และ(T6) ขี้เลื่อยใหม่: เก่า อัตรา 70:30 คือ 10.34 ซ.ม ตามลาดับและด้านน้าหนักสด Treatment ที่ได้ผลผลิตสูงสุดด้านจานวนดอกคือ(T1) ขี้เลื่อยใหม่100% คือ 91.69 รองลงมาคือ(T6) ขี้เลื่อยใหม่:เก่า อัตรา 70:30 คือ 84.26 และ(T4) ขี้เลื่อยใหม่:เก่า อัตรา 60:40 คือ 72.09 ตามลาดับ แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรสามารถที่จะนาสูตรขี้เลื่อยใหม่:เก่า อัตรา 70:30 ที่ให้ผลในด้านจานวนดอกและ น้าหนักสด และขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่:เก่า อัตรา 60:40 ที่ให้ผลในด้านความกว้างของดอก ไปใช้ในการเพาะเห็ดนางฟ้าเพื่อทดแทนสูตรขี้เลื่อยใหม่ 100% รวมถึงเป็นการลดต้นทุนในการผลิตก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าได้เป็นอย่างดี; This experiment aims to study the growth of Phoenix mushroom to dried rice straw and old mycelium spawn and compare the growth of Phoenix mushroom to dried rice straw and old mycelium spawn and widespread the result of the study, promote a career and increase the income for farmers. The usage plan is Completely Randomized Design (CRD); it contains 6 Treatments as follows (T1) new formula sawdust 100% (T2) dried rice straw (T3) new formula sawdust: old formula sawdust 50:50 T3) new formula sawdust: old formula sawdust 60:40 (T5) new formula sawdust: old formula sawdust 55:45 (T6) new formula sawdust: old formula sawdust 70:30. Data recorded counts the number of flowers (flowers), measure the width (cm) and weight (g), daily recorded until 2 months. At the end of the experiment, it analyses the variance and the average of treatment with Duncan,s New Multiple Range Test (DMRT) and the statistics for data analysis.
The result of the experiment found that the 6 Treatments were different with statistical significance (P <0.05). The number of flowers was high result, it was (T1) new formula sawdust 100% (23.94 flowers) and (T6) new formula sawdust: old formula sawdust 70:30 (23.47flowers) and (T5) new formula sawdust: old formula sawdust 55:45 (21.75 flowers) respectively. The width was high result, it was (T1) new formula sawdust 100% (11.00 cm) and (T4) new formula
sawdust: old formula sawdust 60:40 (10.47 cm) and (T6) new formula sawdust: old formula sawdust 70:30 (10.37 cm) respectively. The fresh weight was high result, it was (T1) new formula sawdust 100% (91.69 g) and (T6) new formula sawdust: old formula sawdust 70:30 (84.26 g) and (T4) new formula sawdust: old formula sawdust 60:40 (72.09 g) respectively. It showed that farmers are able to apply new formula sawdust: old formula sawdust 70:30 to produce lots of flower and fresh weight and new formula sawdust: old formula sawdust 60:40 to produce the width of flowers to grow Phoenix mushroom spawn instead of (T1) new formula sawdust 100% in order to reduce the budget to grow Phoenix mushroom spawn as well.
2556-05-06T00:00:00ZAllelopathy : อีกหนึ่งทางเลือกในการควบคุมวัชพืช
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3998
Allelopathy : อีกหนึ่งทางเลือกในการควบคุมวัชพืช
สานุสันต์, สุชาดา
การจัดการวัชพืชโดยใช้สารเคมีนับเป็นวิธีที่นิยมปฏิบัติกันมากในปัจจุบันเนื่องจากมีความรวดเร็วมีประสิทธิภาพสามารถเลือกทำลายวัชพืชได้อีกทั้งยังใช้ได้ดีกับพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่า ในแต่ละปีมีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชสูงถึง 3 ล้านตันในระบบการเกษตร (Stephenson, 2000) แต่หากการใช้สารเคมีควบคุมวัชพืชติดต่อกันนานๆนั้น นอกจากจะเป็นอันตรายโดยตรงต่อผู้ใช้ยังมีผลทำให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันการพยายามใช้สารที่ได้จากพืชหรือวัชพืชมาควบคุมการเจริญเติบโตของพืชข้างเคียงเป็นวิธีการที่น่าสนใจ
ปัจจุบันมีรายงานค่อนข้างมากที่ยืนยันว่าพืชและวัชพืชหลายชนิดมีสารอยู่ในตัวเองและสามารถขับหรือปลดปล่อยสารนั้นออกมาแล้วไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชข้างเคียงหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ เรียกกระบวนการนี้ว่า allelopathy และเรียกสารที่มีในต้นพืชนั้นว่าสาร allelopathic ซึ่งถูกค้นพบโดย Molisch ในปี 1937 ซึ่งคุณสมบัตินี้มีผลได้ทั้งทางบวกหรือทางลบคืออาจจะกระตุ้นหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของอีกพืชหนึ่ง
ดังนั้นการนำความรู้ความเข้าใจด้านนี้มาใช้ประโยชน์ในการควบคุมและวางแผนการจัดการวัชพืชให้อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตของพืชปลูกในระดับเศรษฐกิจ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและสามารถนำมาใช้ในการจัดการและควบคุมวัชพืชได้เพื่อเป็นการลดการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช อีกทั้งยังเป็นการลดปริมาณสารเคมีตกค้างในสิ่งแวดล้อมและในสินค้าเกษตรได้อีกทางหนึ่งด้วย
2557-04-23T00:00:00Zสื่อประกอบการสอนpower pointรายวิชาการตลาดเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3877
สื่อประกอบการสอนpower pointรายวิชาการตลาดเกษตร
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
สื่อประกอบการเรียนpower point รายวิชาการตลาดเกษตร
สื่อประกอบการสอนpower pointรายวิชาอาหารและการให้อาหารสัตว์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3876
สื่อประกอบการสอนpower pointรายวิชาอาหารและการให้อาหารสัตว์
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
สื่อประกอบการสอนpower point รายวิชาอาหารและการให้อาหารสัตว์
สื่อประกอบการสอนรายวิชาหลักส่งเสริมการเกษตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3700
สื่อประกอบการสอนรายวิชาหลักส่งเสริมการเกษตร
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
สื่อประกอบการสอนPower point รายวิชาหลักการส่งเสริมการเกษตร (Principles of Agricultural Extension)
การศึกษาผลของขี้เลื่อยไม้ยางพารา แกลบ ฟางข้าว และชานอ้อย ที่มีผลต่อการให้ผลผลิตของเห็ดนางฟ้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3699
การศึกษาผลของขี้เลื่อยไม้ยางพารา แกลบ ฟางข้าว และชานอ้อย ที่มีผลต่อการให้ผลผลิตของเห็ดนางฟ้า
นุชนารถ, สุนารี; ชาญณรงค, ทินวัฒน์; มุสิกา, อารยา; chanpenkun, lertpoom
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเปรียบเทียบชนิดของวัสดุเพาะที่แตกต่างกันซึ่ง ได้แก่ ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ฟางข้าวสับ ต้นกล้วยสับ และใบจามจุรี ในอัตราส่วน 70:30 ที่มีผลต่อการ เจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้า โดยการทดลองนี้วางแผนการทดลองแบบ (Completely Randomized Design: CRD) ประกอบด้วย 4 สิ่งการทดลอง 30 ซ้ำ ซ้ำละ 1 หน่วยการทดลองรวมเป็น 120 หน่วย
การทดลอง บันทึกข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนักสด(กรัม) น้ำหนักแห้ง(กรัม) จำนวนดอก(ดอก) และขนาด ของดอก(เซนติเมตร) เมื่อสิ้นสุดการทดลองวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของแต่ละกรรมวิธี ด้วย Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) ผลการทดลอง พบว่า ด้านน้ำหนักสดที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ T3(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา + ต้นกล้วยสับ อัตราส่วน 70:30) รองลงมาคือ T1(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100%) มีน้ำหนักสด 41.76, 38.02 กรัม ตามลำดับ
ด้านน้ำหนักแห้งที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ T3(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา + ต้นกล้วยสับ อัตราส่วน70:30) รองลงมาคือ T1(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100%) มีน้ำหนักแห้ง 4.47, 3.39 กรัม ตามลำดับด้านจำนวนดอกเห็ดที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ T3(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา + ต้นกล้วยสับ อัตราส่วน70:30) รองลงมาคือ T2(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา + ฟางข้าวสับ อัตราส่วน 70:30) มีจำนวนดอกเห็ด 8.02,5.80 ดอก ตามลำดับ
ด้านขนาดของดอกเห็ดที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ T3(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา + ต้นกล้วยสับ
อัตราส่วน 70:30) รองลงมาคือ T1(ขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100%) มีขนาดดอกเห็ด 6.72, 6.24เซนติเมตร ตามลำดับดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การนำต้นกล้วยสับผสมขี้เลื่อยไม้ยางพาราในอัตราส่วน 70 : 30 สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะทดแทนขี้เลื่อยไม้ยางพารา 100% เนื่องจากให้ผลผลิตด้านน้ำหนักสด น้ำหนักแห้ง จำนวนดอก และขนาดดอกมากที่สุด ตลอดจนเป็นการนำวัสดุที่เหลือใช้ในท้องถิ่นมาทำให้เกิด
ประโยชน์และมีคุณค่ามากขึ้น
คำสำคัญ : การเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้า, ขี้เลื่อยไม้ยางพารา, ฟางข้าว, ต้นกล้วย, ใบจา,จุรี; The aim of this study was to Comparative study Kind of material at
Different These include rubber wood sawdust, rice straw chopped, banana tree chopped and rain tree in ratio 70:30 Affect Growth of sarjor-caju mushrooms the experimental model (Completely Randomized Design: CRD) contains 4 treatments 30 repeated and repeated by one of the trials a total of 120 units of the trial. Save the information by fresh weight (g), dry weight (g), number of mushroom, mushroom size (cm). At the end of the trial analysis of the variance and compare the average of Treatment with Duncan’s Multiple Range Test (DMRT)
The fresh weight with the highest average is (T3 rubber wood sawdust +
banana tree chopped in ratio 70:30) minor the (T1 rubber wood sawdust 100%) had fresh weight 41.76, 38.02 g. respectively. The dry weight with the most average is (T3 rubber wood sawdust + banana tree chopped in ratio 70:30) minor the (T1 rubber wood sawdust 100%) had dry weight 4.47, 3.39 g. respectively.
The number of mushroom with the highest average is (T3 rubber wood sawdust + banana tree chopped in ratio 70:30) minor the (T2 rubber wood sawdust +
rice straw chopped in ratio 70:30) had number of mushroom 8.02, 5.80 respectively. The mushroom size that are on average the most is (T3 rubber wood
sawdust + banana tree chopped in ratio 70:30) minor the (T1 rubber wood sawdust
100%) had mushroom size 6.72, 6.24 cm. respectively. These results suggest that piloting rubber wood sawdust of blend banana tree chopped in ratio 70:30 Can be used as seeding material 100% rubber wood sawdust owing to The yield fresh weight, dry weight, number of flowers, and mushroom size as well as bringing local materials to the benefit and more valuable.
Keywords: Growth of fairy mushrooms, Rubber wood sawdust, Straw, Banana tree,
Rain tree
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์,2560
2560-12-23T00:00:00Zเปรียบเทียบอัตราส่วนของการใช้น้ำทิ้งโรงงานแปรรูปนม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ร่วมกับธาตุอาหารพืชไร้ดิน A+B เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตโหระพา (Ocimum Basilicum Linn) ระบบไฮโดรบล็อกแบบระบบน้ำหมุนเวียน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3583
เปรียบเทียบอัตราส่วนของการใช้น้ำทิ้งโรงงานแปรรูปนม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ร่วมกับธาตุอาหารพืชไร้ดิน A+B เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตโหระพา (Ocimum Basilicum Linn) ระบบไฮโดรบล็อกแบบระบบน้ำหมุนเวียน
ศรีโสดา, ธีระศักดิ์; เจิงรัมย์, อัษฏาวุฒิ; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
เปรียบเทียบอัตราส่วนของการใช้น้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ร่วมกับธาตุอาหารพืชไร้ดิน A+B เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตโหระพาที่ปลูกในระบบไฮโดรบล็อกแบบระบบน้้าหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ประโยชน์จากน้ำทิ้งของโรงงานแปรรูปนม และศึกษาอัตราส่วนของน้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมร่วมกับสารละลายธาตุอาหารพืชที่เหมาะสมในการใช้ปลูกผักโหระพา โดยใช้สารละลายธาตุอาหาร A และ B ร่วมกับน้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ในอัตราส่วนต่างๆ วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) มี 4 ชุดการทดลอง ได้แก่ 30:0 (น้ำประปา 30 ลิตร : ปุ๋ย A 60 ml +B 60 ml) 0:30(น้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมฯ 30 ลิตร ไม่ผสมปุ๋ยA+B) 15:15 (ประปา 15 ลิตร : ปุ๋ย A 30 ml +B 30 ml : น้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมฯ 15 ลิตร) 10:20(น้ำประปา 10 ลิตร ไม่ใส่ปุ๋ยA+B : น้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมฯ 20 ลิตร) ทำการทดลองจำนวน 2 ซ้ำ ๆ ละ 8 ต้น พืชที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ผักโหระพา โดยเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของพืชทุก 14 วัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ และควบคุมค่า Ec อยู่ในช่วง 1.0-1.5 และ pH อยู่ในช่วง 6.0–6.5 ผลการทดลอง พบว่า น้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการนำมาปลูกพืชในระบบไร้ดินได้ เมื่อพิจารณาจากการเจริญเติบโตของผักโหระพาจะเห็นได้ว่าผักโหระพามีการเจริญเติบโตด้านความกว้างใบ และ จำนวนใบ และเมื่อนำน้ำทิ้งจากโรงงานแปรรูปนมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ใช้ร่วมกับสารละลายธาตุอาหาร A และ B ในอัตราส่วน 15:15 จะมีความเหมาะสมที่สุดในการปลูกผักโหระพาในระบบไร้ดิน เนื่องจากมีปริมาณธาตุอาหารที่เหมาะสมที่พืชสามารถน้าไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยA+B ลงได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของปริมาณการใช้ปุ๋ยตามปกติ
ค้าส้าคัญ : ผักโหระพา, น้้าทิ้ง, โรงงานแปรรูปนมฯ ,ระบบพืชไร้ดิน, ไฮโดรบล็อก; Comparison of ratio of effluent from dairy processing plant Buriram Agriculture and Technology College together with A + B soil nutrient to improve the quality of basil (Ocimum basilicum Linn) in hydrobox system Using renewable water system. The purpose of this study was to investigate the use of wastewater from dairy processing plants. The ratio of effluent from dairy processing plant to the appropriate plant nutrient solution was determined. Using a solution of nutrients A and B together with the effluent from the dairy processing plant at Buriram Agriculture and Technology College in various ratios, the experiment was completed in a completely randomized design (CRD) with 4 sets of experiments, namely 30: 0 (water supply 30 liters: 0:30 (30 liters of milk from a dairy plant, no fertilizer A + B) ,15:15 (30 liters of milk from a dairy plant, no fertilizer A + B) and 10: 20 (10 liters of water, no fertilizer A + B: 20 liters of milk HMS) was performed 2 to 8 replications of the plants used in the trial. Basil The plant growth data were collected every 14 days for 6 weeks and control of Ec value ranged from 1.0 to 1.5 and the pH ranged from 6.0 to 6.5.
The results showed that the wastewater from the Buriram Agriculture and Technology College could be utilized to grow plants in a soilless system. Based on the growth of basil, it was found that basil leaves affected leaf and leaf growth, and
ง
when the wastewater from the dairy processing plant, Buriram Agricultural and Technology College, was mixed with nutrient solutions A and B at a ratio of 15:15. It is best to plant basil in a soilless system. Because of the appropriate amount of nutrients that plants can use. It also reduces the amount of fertilizer A + B. At least half of normal fertilizer consumption.
Keywords: basil, wastewater milk processing , hydroponics, hydrobox
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-24T00:00:00Zผลการผ่าหน่อกล้วยน้ำว้าต่อการเจริญเติบโตของกล้วยน้าว้าพันธุ์พื้นเมือง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3582
ผลการผ่าหน่อกล้วยน้ำว้าต่อการเจริญเติบโตของกล้วยน้าว้าพันธุ์พื้นเมือง
บุญล้อม, วรากรณ์; เสาวพันธ์, วิศรุศ
การขยายพันธุ์กล้วยน้ำว้าพันธุ์พื้นเมืองโดยการผ่าหน่อ เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ผลิตต้นให้ได้จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ก่อนน้าต้นไปปลูกในดินการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบวิธีการผาหน่อกล้วยน้ำว้าพันธุ์พื้นเมืองที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตในระยะที่1 (30วัน) ระยะที่ 2 (60วัน)ทำการทดลองที่ศูนย์ปฏิบัติการอุดมศึกษาหนองขวาง คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วางแผนการทดลองสมบูรณ์แบบ Completely Randomized Design:, (CRD) มี 4 กรรมวิธีจำนวน 4 ซ้ากรรมวิธี 1 ไม่ผ่าหน่อ (ควบคุม) กรรมวิธีที่ 2 ผ่าหน่อสองส่วน กรรมวิธีที่ 3 ผ่า หน่อสามส่วน กรรมวิธีที่ 4 ผ่าหน่อสี่ส่วน ผลการทดลอง พบว่าวัดความสูงของกล้วยน้ำว้า จำนวนใบของกล้วยน้ำว้า ความกว้างของใบกล้วยน้ำว้า ความยาวของใบกล้วยน้าว้าทั้ง 2 ระยะการเจริญเติบโตไม่มีความแตกต่างทางสถิติ แต่มีแนวโน้มว่า กรรมวิธีแบบไม่ผ่าหน่อกล้วยมีผลทำให้ความสูง ความกว้าง ความยาวใบ ในระยะที่1 และระยะที่ 2 มีความสูงถึง 17.25 และ 23.25 เซนติเมตร ความกว้าง 14.79 และ 18.39 เซนติเมตร ความยาวใบ 22.12 และ 30.69 เซนติเมตร ตามลำดับ ส่วนกรรมวิธีที่ 3 มีผลทำให้จำนวนใบกล้วยในระยะที่ 2 มีมากที่สุดถึง 3 ใบ
คำส้าคัญ: รูปแบบการผ่าหน่อ , กล้วยน้ำว้าพันธุ์พื้นเมือง , สำหรับการขยายพันธุ์; Propagation of Namwa native banana variety is the way to produce a large number of plants in a short time before planting in soil. The objective of this study aim to suitability performance of corm division for banana growth in phase 1 (30days) and phase 2 (60 days). The experimental were done at Nong Kwang academic training center, faculty of Agricultural technology, BuriramRajabhat University.
A Completely randomized design: CRD of four treatments and four replications was used in this study. The performance of corm division consisted of treatment 1)no corm division (control), treatment 2) 2 corm division, treatment 3) 3 corm division and treatment 4) 4 corm division in this experiment. The results showed thatheight,leaf number, leaf width and length of growth were not significantly different. Therefore, no corm division resulted in height; width and length of leaves in the first and second stages were 17.25 and 23.25 cm in height, 14.79 and 18.39 cm in width, leaf length of 22.12 and 30.69 cm, respectively. The 3 of corm division The third
treatment resulted in the highest number of banana leaves in the second stage.
Keywords: Corm division, Namwa native banana variety, propagation
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-24T00:00:00Zการศึกษาเปรียบเทียบอาหารเสริมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3581
การศึกษาเปรียบเทียบอาหารเสริมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อย
ไกรกูล, นัจพร; โสรัมย์, พรรณพา; มุสิกา, อารยา; chanpenkun, lertpoom
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอาหารเสริมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดโคนน้อย ทาการทดลองที่บ้านเลขที่ 186 หมู่ที่ 13 บ้านละหาร ตำบลร่อนทอง อาเภอสตึกจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 14-30 เดือนกรกฎาคม 2560 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์(Completely Randomized Design: CRD) แบ่งการทดลองออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ซ้าประกอบด้วย 1. ยูเรีย2. อีเอ็ม3. กkกน้าตาล 4. มูลวัว
ผลการทดลองพบว่า ด้านน้ำหนักสดที่มีค่ามากที่สุดคือ มูลวัว รองลงมาคือ กากน้าตาลอีเอ็มและยูเรีย ให้ผลผลิตเฉลี่ย 72.57 66.14 59.43 และ 58.57 กรัม ตามลำดับ ด้านน้ำหนักแห้งที่มีค่ามากที่สุดคือมูลวัวรองลงมาคือกากน้ำตาล อีเอ็ม และ ยูเรีย ให้ผลผลิตเฉลี่ย 5.70 5.29 4.44และ 4.31 กรัม ตามลำดับ ด้านจำนวนดอกที่มีค่ามากที่สุดคือ มูลวัว รองลงมาคือ กากน้าตาล อีเอ็มและ ยูเรีย ให้ผลผลิตเฉลี่ย 20.81 20.43 18.66 และ15.38 ดอก ต่อก้อนเพาะดังนั้นจะเห็นได้ว่า การนามูลวัวมาใช้เป็นอาหารเสริมในการเพราะเห็ดโคนน้อย สามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตด้านน้าหนักสด น้าหนักแห้ง และจานวนดอก เนื่องจากมีธาตุอาหารในมูลวัวมี11 ธาตุ ได้แก่ N, P, K, Ca, Mg, S, Na, Fe, Cu, Mn, และ Zn ซึ่งเหมาะสมกับการนามาเป็นอาหารเสริมและช่วยให้เกษตรลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
คำสำคัญ: เห็ดโคนน้อย ยูเรีย อีเอ็ม กากน้าตาล มูลวัว; This experiment is intended to compare the supplements that affect the growth of mushrooms, connoi mushroom (Coprinus fimetarrius). Experiments at the number 186 Moo 13 Banlahan, Ronthong Sub-district, Satuek District, Buriram, 31150. During July, 14-30 2017. Using a completely randomized design (Randomized Completely Design: CRD). The study was divided into 4 groups 3 repeated consists of
1. Urea 2. EM 3. Molasses 4. The cow dung. The results showed that the fresh weight of the most valuable is the cow dung, followed by molasses EM and urea yield and average 72.57 66.14 59.43 58.57 grams respectively. Terms of that data is the most valuable cow is molasses EM and urea. The average yield per mushroom : lump 15.38 20.81 20.43 18.66 cultivation.Therefore, it can be seen that application of cow dung used as a supplementto, because the connoi mushroom (Coprinus fimetarrius). Can help to promote thegrowth in weight and increase the mushroom. Since the nutrients in cow manure contains 11 elements, including N, P, K, Ca, Mg, S, Na, Fe, Cu, Mn, and Zn. Which is suitable to the application of a dietary supplement and help farmers to reduce the use of chemicals, reduce the production cost.
Keywords: Mushrooms, Urea, EM, Molasses, Cow dung
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-23T00:00:00Zการศึกษาเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์จาก โค ไก่และสุกร ในการพัฒนาการปลูกบวบเหลี่ยมสายพันธุ์การค้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3580
การศึกษาเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์จาก โค ไก่และสุกร ในการพัฒนาการปลูกบวบเหลี่ยมสายพันธุ์การค้า
ศรีผดุง, ธิดารัตน์; ขู่คำราม, ทองคำ; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์จากโค ไก่และสุกรในการพัฒนาการปลูกบวบเหลี่ยมสายพันธุ์การค้า ดาเนินการทดลอง ณ บ้านเลขที่ 78 ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 31000 ตั้งแต่เดือน 7 มิถุนายน 2560 – วันที่ 10 กันยายน 2560 ใช่แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 กรรมวิธี จานวน 4 ซ้า ดังนี้ ไม่ใส่ปุ๋ยControl (T1) ใส่ปุ๋ยเคมีอะโกรเฟตสูตร 15-15-15 รองก้นหลุม และใส่ปุ๋ยมูลวัว อัตรา ระบุ 15 กรัม/ 1 ต้น/ครั้ง (T2) ใส่ปุ๋ยเคมีอะโกรเฟตสูตร 15-15-15 รองก้นหลุม และใส่ปุ๋ยมูลไก่ อัตรา ระบุ 15 กรัม/ 1 ต้น/ครั้ง (T3) ใส่ปุ๋ยเคมีอะโกรเฟตสูตร 15-15-15 รองก้นหลุม และใส่ปุ๋ยมูลสุกร อัตรา ระบุ 15 กรัม/ 1 ต้น/ครั้ง (T4) ผลการทดลองพบว่า ความสูงของต้นบวบเหลี่ยม พบว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบผลการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์จาก โค ไก่และสุกรในการพัฒนาการปลูกบวบเหลี่ยมเพื่อการค้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดใดจะสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตของบวบเหลี่ยม โดยใช้แผนการทดลองแบบ (CRD) แบ่งเป็น 4 กลุ่มทดลอง กลุ่มทดลองละ 4 ซ้า ซ้าละ 4 หลุมใช้ระยะเวลาในการทดลอง 45 - 60 วัน พบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยเคมีอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยความสูงในช่วงเวลา 30-40 วันมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ในส่วนของขนาดความกว้างของใบจะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยมากที่สุด ในส่วนของจานวนการติดดอก จะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยมากที่สุด ในส่วนของจานวนการติดผล จะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยมากที่สุดในส่วนของน้าหนักสด จะพบว่ากลุ่มทดลองที่2 คือในส่วนของจานวนการติดดอก จะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยมากที่สุดและสุดท้ายในส่วนของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก จะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือในส่วนของจานวนการติดดอก จะพบว่ากลุ่มทดลองที่ 2 คือใส่ปุ๋ยอะโกรเฟตสูตร 15-15-1515:ปุ๋ยมูลโค30:ดิน55 จะให้ค่าเฉลี่ยมากที่สุด ดังนั้นสามารถใช้ (T2) ใส่ปุ๋ยเคมีอะโกรเฟตสูตร 15-15-15 รองก้นหลุม และใส่ปุ๋ยมูลวัว อัตรา ระบุ 15 กรัม/ 1 ต้น/ครั้ง เพื่อช่วยพัฒนาการปลูกบวบเหลี่ยมเชิงการค้าให้ได้ผลดีได้เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายและยังช่วยในการปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของดินให้อุดมสมบูรณ์ได้ดีอีกด้วย
คำสาคัญ: ปุ๋ยมูลโค, ปุ๋ยมูลไก่, ปุ๋ยมูลสุกร, บวบเหลี่ยม; comparison of the use of manure from cattle. Chickens and pigs grow zucchini in the development species trade. The experiments were conducted at house number 78, Tambon Muang Buriram 31000 since June 7, 2560 - On September 10, 2560 No randomized complete (Completely Randomized Design, CRD) by were divided into 4 treatment 4. repeat theFertilizer Control (T1) fertilizer Agro Buffett 15-15-15 bottom hole and manure of cattle identification rate of 15 g / 1 plant / time (T2) fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-15 bottom hole and put chicken manure specified rate of 15 g / 1 plant / time (T3) fertilizer Agro Buffett 15-15-15 bottom hole and swine manure rate 15 states. g / 1 plant / time (T4) results showed that. The height of the triangle zucchini found from a study comparing the use of manure from cattle, poultry, pigs grow zucchini in the development triangle trade. The objective was to compare the use of any type of organic fertilizer could increase the yield of zucchini Square. Using experimental design (CRD) were divided into 4 groups of 4 groups of 4 holes occur repeatedly in the trial period 45-60 days, the experimental group 2 is chemical fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. It provides an average height in the period of 30-40 days, with most average. In most of the width of the blade is found that the experimental group 2 was fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. To most average In many parts of the flower. It found that the experimental group 2 was fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. To most average The number of. fruiting. It found that the experimental group 2 was fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. To the average in most parts of the fresh weight. It found that the experimental group 2. Is part of the flower. It found that the experimental group 2 was fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. To most average and final sections of a diameter flowers. It found that the experimental group 2 is in excess of the flowers. It found that the experimental group 2 was fertilizer Agro Buffett formula. 15-15-1515: Cattle Manure 30: 55 clay. To most average So you can use (T2) fertilizer Agro Buffett 15-15-15 bottom hole and manure of cattle identification rate of 15 g / 1 from / to improve plant zucchini Cut to commercial results. have The material is easily available and also helps to improve the physical characteristics of soil fertility, too.
Keywords : manure of cattle, manure of Chickens, manure of pings, Zucchini
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-23T00:00:00Zศึกษาศักยภาพของการใช้พืชตระกูลถั่วพุ่ม ปอเทือง และถั่วนิ้วนางแดงในการการปรับปรุงดินและพัฒนาการปลูกต้นหอมในระบบแปลงอินทรีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3578
ศึกษาศักยภาพของการใช้พืชตระกูลถั่วพุ่ม ปอเทือง และถั่วนิ้วนางแดงในการการปรับปรุงดินและพัฒนาการปลูกต้นหอมในระบบแปลงอินทรีย์
โคตรสมบัติ, จุฑาทิพย์; ฉ่ำโสฬส, นิภาพร; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การศึกษาศักยภาพของการใช้พืชตระกูลถั่วพุ่ม ปอเทือง และถั่วนิ้วนางแดง ในการปรับปรุงดินและพัฒนาการปลูกต้นหอมในระบบแปลงอินทรีย์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ Completely Random Design (CRD) ทำการทดลองที่ บ้านเลขที่ 78 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ประกอบด้วย 4 กรรมวิธีทดลอง จำนวน 3 ซ้ำ ได้แก่ 1) ปลูกและไถกลบถั่วพุ่มในระยะออกดอกและเตรียมแปลงปลูกต้นหอม 2) ปลูกและไถกลบปอเทืองในระยะออกดอกและเตรียมแปลงปลูกต้นหอม 3) ปลูกและไถกลบถั่วนิ้วนางแดงในระยะออกดอกและเตรียมแปลงปลูกต้นหอม และ 4) ไม่ใช้ปุ๋ยพืชสดเตรียมแปลงปลูกต้นหอม ระหว่างเวลาการทดลอง คือ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2560 สิ้นสุดการทดลองวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2560 จากนั้นเก็บข้อมูลทางด้านความสูงของต้น การแตกกอ และวิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความสูง การแตกกอ น้ำหนักสด และ น้ำหนักแห้งของต้นหอม ผลการศึกษา พบว่า การปลูกและไถกลบถั่วนิ้วนางแดง (Phasecolus vulgaris L.) ในระยะออกดอก มีผลต่อการปลูกต้นหอมทำให้ต้นหอมค่าเฉลี่ยความสูงและน้ำหนักสดมากที่สุด (p<0.01) รองลงมาคือการปลูกและไถกลบถั่วพุ่ม ( Vigna unguiculata (L.) ในระยะออกดอก ถัดมาคือ การปลูกและไถกลบปอเทือง (Crotalaria juncea L.) ในระยะออกดอก และที่ส่งผลต่อการปลูกต้นหอมได้ผลผลิตต่ำที่สุดในทุกด้าน คือ การไม่ใช้ปุ๋ยพืชปุ๋ยสดเตรียมแปลงปลูกต้นหอม จึงกล่าวได้ว่าการปลูกและไถกลบถั่วนิ้วนางแดง (Phasecolus vulgaris L.) ในระยะออกดอกเพื่อเป็นการปรับปรุงบำรุงดินในการเตรียมแปลงปลูกพืช สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตของต้นหอมที่ปลูกในแปลงระบบอินทรีย์ได้ เป็นทางเลือกในการเพิ่มผลผลิตพืชที่ปลูกในระบบอินทรีย์อย่างได้ผลดี
คำสำคัญ: ต้นหอม, ถั่วพุ่ม, ถั่วนิ้วนางแดง, ปอเทือง, ปุ๋ยพืชสด; A study on the potential of Bush Bean , Red Kidney bean and sunn hemp. Soil improvement and development of onion plants in organic conversion systems. Completely Random Design (CRD) was conducted at 78 Tambon Nai Muang, Amphoe Mueang, Buriram. The experiment consisted of 3 treatments: 1) planting and plowing of Bush Bean at flowering stage and preparation for planting. 2) Planting and plowing of sunn hemp at the flowering stage and preparation of spring onion. 3) Planting and pulping of red kidney bean at flowering stage and preparation of spring onion and 4) Do not use the key. A fresh crop planted onions. The experiment was conducted on June 7, 2017. The experiment was completed on September 10, 2017. The data was then collected at the height of the tree, analyzed and analyzed for variance and mean height. The results of the study indicated that planting and incubation of (Phasecolus vulgaris L.) at the flowering stage affected the onion yield, (Vigna unguiculata (L.) at the later flowering stage was the sunn hemp (Crotalaria juncea L.) Flowering and the effect on the onion plant production is lowest in all aspects, ie, no use of fertilizer, Red Kidney bean (Phasecolus vulgaris L.) was planted and cultivated in the flowering stage to improve the soil preparation. Can improve the yield of onion grown in organic systems. It is an alternative to increase the yield of plants grown in organic systems.
Keywords: green onion, Bush Bean , Red Kidney bean, sunn hemp, Green Manure.
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-23T00:00:00Zความพึงพอใจและปัญหาของเกษตรกรต่อการปลูกฝรั่งกิมจู หมู่บ้านหนองปรือ ตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3577
ความพึงพอใจและปัญหาของเกษตรกรต่อการปลูกฝรั่งกิมจู หมู่บ้านหนองปรือ ตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
เดี่ยวไธสง, รัชนีกร; อัครศรี, ชานนท์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การศึกษาความพึงพอใจและปัญหาของเกษตรกรต่อการปลูกฝรั่งกิมจูในหมู่บ้านหนองปรือ ตาบลสวายจีก อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อศึกษาลักษณะส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคม และการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่งกิมจู 2)เพื่อศึกษาถึงระดับความพึงพอใจของเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่งกิมจู และ3)เพื่อศึกษาถึงปัญหาและข้อเสนอแนะในการปลูกฝรั่งกิมจูของเกษตรกรผู้ปลูก ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย คือ เกษตรกรผู้ปลูกฝรั่งกิมจู จานวน 30 คน จากนั้นนาข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบสัมภาษณ์ มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน และค่าความเชื่อมั่น สถานภาพส่วนบุคคล เศรษฐกิจ สังคม และการเกษตรของผู้ให้ข้อมูลพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ย 50 ปี จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีจานวนแรงงานในครอบครัวเฉลี่ย 2 คน และส่วนมากคืออาชีพทานามาก่อนการปลูกฝรั่งกิมจู ซึ่งอาชีพหลัก คือ การทานา ส่วนอาชีพรอง คือ รับจ้าง มีระบบการปลูกฝรั่งกิมจู แบบเกษตรผสมผสาน มีประสบการณ์ในการปลูกฝรั่งกิมจูมากกว่า 3 ปี ได้รับผลผลิตฝรั่งกิมจูเฉลี่ย 1.63 กิโลกรัมต่อต้น มีผลิตเฉลี่ยต่อไร่ในการปลูกฝรั่งกิมจู ได้ผลผลิตมากที่สุด มากกว่า 50,000 กิโลกรัม และเกษตรกรที่ให้ข้อมูลมีผลผลิตผลผลิตต่อต้นต่อไร่เฉลี่ยประมาณ 151-200 ต้น/ไร่ รายได้นอกเหนือจากการปลูกฝรั่งกิมจูเกือบทั้งหมดเป็นภาคเกษตร ใช้แหล่งทุนส่วนตัวในการปลูกฝรั่งกิมจู เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และรับคาปรึกษาจากญาติและเพื่อน ส่วนใหญ่เปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับการปลูกฝรั่งกิจูจากญาติและเพื่อน มีจานวนแรงงานที่ใช้ในการทาสวนฝรั่งกิมจูเฉลี่ยประมาณ 3 คน ผู้ให้ข้อมูลเกือบทั้งหมดมีลักษณะการถือครองพื้นที่ปลูกเป็นของตนเอง สภาพพื้นที่ก่อนปลูกฝรั่งกิมจูเป็นพื้นที่ทาการเกษตรมาก่อน
ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อการปลูกฝรั่งกิมจูพบว่า ผู้ให้ข้อมูลมีความพึงพอใจระดับมากด้านกลุ่มเกษตรกร การปลูกดูแลรักษา ผลผลิตช่องทางการตลาด โดยพึงพอใจมากในประเด็น 1)กล้า/ท่อนพันธุ์ฝรั่งกิมจูที่ปลูกเป็นสายพันธุ์ที่มีความนิยมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 2)
ค
การเจริญเติบโตของฝรั่งกิมจู 3) การดูแลรักษาฝรั่งกิมจูสามารถทาได้ง่าย สะดวก 4) ผลผลิตฝรั่งกิมจูที่ได้รับ 5) ราคาฝรั่งกิมจูที่จาหน่ายในท้องตลาด 6)การตลาดและช่องทางการจาหน่ายฝรั่งกิมจู มีที่รับซื้อฝรั่งกิมจูที่แน่นอน 7) ท่านสามารถหาตลาดต่อสถานที่จาหน่ายผลผลิตเอง และยังพบว่าผู้ให้ข้อมูลพึงพอใจน้อยในประเด็น 1) การได้รับความช่วยเหลือจากทางภาครัฐหรือท้องถิ่นในด้านการพัฒนาการปลูกฝรั่งกิมจู 2)มีเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่งกิมจูในพื้นที่ 3)การติดต่อรับความช่วยเหลือกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ความรู้ในการปลูกฝรั่งกิมจู ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีปัญหามากเกี่ยวกับความเข้าใจด้านโรคและแมลงศัตรูอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมจัดการได้ แต่มีปัญหาน้อยในประเด็น 1)ปัญหาโรคแอนแทรคโนส 2) ปัญหาโรคจุดสนิม 3) ปัญหาอาการผลเน่า 4)ปัญหาด้านราคาจาน่าย และปัญหาอื่น ๆ ส่วนข้อเสนอแนะของเกษตรกรในการวิจัยครั้งนี้ คือการติดต่อรับความช่วยเหลือกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ความรู้ในการปลูกฝรั่งกิมจู หาตลาดและช่องทางการจาหน่ายมากนัก และเกษตรกรยังหาสถานที่ที่จัดจาหน่ายได้นัก หากมีการจัดสถานที่ มีที่รับซื้อ และช่องทางในการจัดจาหน่ายได้ที่แน่นอนให้แก่เกษตรกร เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
คาสาคัญ : สภาพพื้นฐานส่วนบุคล, สภาพพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ,สภาพพื้นฐานทางสังคม, สภาพทางการเกษตร, ความพึงพอใจของเกษตรกรผู้ปลูกฝรั่งกิมจู; Study of Satisfaction and Problems of Farmers on grow guava, Kim Ju-on.Nong Prue district's Svay Chik District, Buriram Province. 1) to study the personal, economic, social and agricultural characteristics of the guinea pig farmers. 2) to study the level of satisfaction of the farmers And 3) to study the problems and suggestions in the cultivation of guinea pigs. The data were collected from the interviews. Analyze the data to find the mean, percentage deviation. And confidence
From the research, it was found that most of the informants were mostly female, average age 50 years old, graduated from elementary school the average number of family workers is 2 and most of them used to work in the field before planting. The main occupation is farming, the secondary occupation is the contracting staff. Integrated Agriculture Experienced in growing Kim Ju guava more than 3 years, the farmers received the average yield of Kim Ju guava 1.63 kg per plant. The average yield per hectare per year in the cultivation of Kim Ju guava. The farmers who gave information on the cultivation of Kim Ju guava per hectare averaged about 151-200 plants / rai. In addition to the cultivation of Kim Ju guava, almost all of them were agricultural. Farmers have used private capital to invest in the cultivation of Kim Ju guava. And a member of the Bank for Agriculture and Cooperatives Get advice from relatives and friends. Mostly exposed to information about planting Kim Ju guava from relatives and friends. There is an average of 3 laborers employed in the Kim Jiu Ju Garden. Most informants have their own planted area. The area before the cultivation of Kim Ju guava is an agricultural area.
จ
The results of the study on the level of satisfaction with the cultivation of Kim Ju guava found that the respondents were very satisfied with the farmer group. Planting Product Marketing Channel Very satisfied with the issue. 1) seedlings of the Kim Ju guava are cultivated as the preferred species of consumers. 2) the growth of Kim Ju guava. 3) the maintenance of Kim Ju guava is easy. 4) 5) Kim Ju guava is sold in the market. 6) Marketing and Sales Channels 7) You can find the market place to sell products. In addition, the respondents were less satisfied with the issues. 1) The government or local government assistance in developing the Kim Ju guava. 2) There is a network of growers in the area. 3) Contact with other agencies to educate the cultivation of Kim Ju guava.
Most informants have a very problematic understanding of disease and insect pests at a manageable level. But there are few issues. 1) Anthracnose problem 2) Rust problem 3) Rotten fruit problem 4) Problems in price and other problems. It is contacted to help other agencies to educate the cultivation of Kim Ju guava. Market and distribution channels. And farmers also find a place to sell. If there is a place to buy and distribution channels for the farmers. Farmers will have more incom
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-23T00:00:00Zการทดสอบอัตราส่วนการใช้ปุ๋ยชีวภาพจากปลาที่เหมาะสมต่อการปลูกถั่วฝักยาวอินทรีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3576
การทดสอบอัตราส่วนการใช้ปุ๋ยชีวภาพจากปลาที่เหมาะสมต่อการปลูกถั่วฝักยาวอินทรีย์
ศรีเหรา, อัญมณี; อุรีรัมย์, ณภัทร; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การทดสอบหาอัตราส่วนการใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากปลาที่เหมาะสมต่อผลผลิตของถั่วฝักยาวอินทรีย์ที่มีอัตราส่วนแตกต่างกันที่มีผลต่อความยาวและน้ำหนักผลผลิตของถั่วฝักยาว โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ Complete Randomize Design (CRD) แบ่งหน่วยทดลองออกเป็นกลุ่มๆการทดลองออกเป็น 3 สิ่งทดลอง (Treatments) 3 ซ้ำ ดังนี้ สิ่งทดลองที่1 ไม่ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลา สิ่งที่ 2 ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลาในอัตราความเข้มข้น 10 ซีซี/น้ำ1ลิตร สิ่งทดลองที่ 3 ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลาในอัตราความเข้มข้น 15 ซีซี/น้ำ1ลิตร ทำการทดลอง ณ ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 4 อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก จ.บุรีรัมย์ เก็บข้อมูลในลักษณะน้ำหนักของถั่วฝักยาวผลปรากฏว่า สิ่งทดลองที่ให้น้ำหนักมากที่สุดคือใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลาในอัตราความเข้มข้น 10 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร มีน้ำหนักเฉลี่ย 466.67 กรัม รองลงมาได้แก่ ไม่ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลา มีน้ำหนักเฉลี่ย 366.67 กรัม และสุดท้ายคือใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลา ในอัตรา 15 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร มีน้ำหนักเฉลี่ย 346.67 กรัม เมื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และความยาวของผลผลิตถั่วฝักยาว ผลปรากฏว่าสิ่งทดลองที่ให้ความยาวมากที่สุดคือใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลา ในอัตราความเข้มข้น 10 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร มีความยาวเฉลี่ย 23.52 เซนติเมตร รองลงมาได้แก่ ไม่ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลา มีความยาวเฉลี่ย 22.23 เซนติเมตร และสุดท้ายคือ ใส่ปุ๋ยชีวภาพจากปลาในอัตราความเข้มข้น 15 ซีซี/น้ำ1ลิตร มีความยาวเฉลี่ย 22.08 เซนติเมตร เมื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติพบว่ามีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2560
2017-12-23T00:00:00Zศึกษาผลของการใช้น้าหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ ใบสาบเสือ กากกาแฟ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตของดาวเรืองในกระถางปลูก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3105
ศึกษาผลของการใช้น้าหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ ใบสาบเสือ กากกาแฟ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตของดาวเรืองในกระถางปลูก
เรืองรัมย์, กัญญาลักษณ์; พิมพ์จันทร์, วิไลวรรณ; chanpenkun, lertpoom
ศึกษาผลของการใช้น้ำหมักชีวภาพจากกอยเชอรี่ ใบสาบเสือ และกากกาแฟ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตของดาวเรืองในกระถางปลูกดำเนินงานวางแผนการทดลองที่มีแผนแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design:CRD) ประกอบด้วย 4 กรรมวิธีการทดลอง จำนวน 4 ซ้ำ ได้แก่ T1 ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก T2 น้ำหมักจากหอยเชอรี่ T3น้ำหมักจากใบสาบเสือ และT4น้ำหมักจากกากกาแฟ ดำเนินการทดลองระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2559 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ณบ้านพักอาจารย์อารยา มุสิกา มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จากการวิเคราะห์การแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในด้านของความสูง,ความกว้างใบ,ความยาวแขนง,จำนวนกิ่งแขนง,น้ำหนักสดของดอก,น้ำหนักแห้งของดอก พบว่าผลของการทดลองด้านการเจริญเติบโต ด้านความสูงของต้นดาวเรือง และด้านความยาวกิ่งแขนงที่อายุ 39 วัน มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) ที่ช่วงอายุ 53 วัน มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ในด้านของความสูงต้นและด้านความยาวกิ่งแขนง ส่วนช่วงวันที่ 46มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ(p<0.05) และ 60 วัน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) ด้านของความกว้างใบค่าเฉลี่ยที่มีค่ามากที่สุด คือ T2 (น้ำหมักหอยเชอรี่)18.39 เซนติเมตร รองลงมาเป็น T3 (น้ำหมักใบสาบเสือ) 18.06 เซนติเมตร T4 (น้ำหมักกากกาแฟ)16.96 เซนติเมตร และ T1 (ไม่ใส่น้ำหมัก)มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 8.97 เซนติเมตรและอายุวันที่ 39,53และ 60 วันไม่มีค่าของความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) ด้านของความยาวกิ่งแขนงต้นที่ และอายุที่ 46 และ 60 วัน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) ค่าเฉลี่ยที่มีค่ามากที่สุด คือ T2 (น้ำหมักหอยเชอรี่) 16.47 เซนติเมตร รองลงมาเป็น T3 (น้ำหมักใบสาบเสือ) 15.15เซนติเมตร T4 (น้ำหมักกากกาแฟ) 13.36 เซนติเมตร และ T1 (ไม่ใส่น้ำหมัก)มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 9.64 เซนติเมตรจำนวนของกิ่ง ต้นที่ 53 วัน ไม่มีค่าของความแตกต่างทางสถิติ(p>0.05) และต้นที่ 39,46,60 วัน มีค่าของความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยที่มีค่ามากที่สุด คือ T3 (น้ำหมักใบสาบเสือ) 8.75 รองลงมาเป็น T4 (น้ำหมักกากกาแฟ)8.42 T2 (น้ำหมักหอยเชอรี่)8.00 และ T1 (ไม่ใส่น้ำหมัก)มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด7.00ส่วนด้านคุณภาพของผลผลิตด้านน้ำหนักดอกสด ที่อายุ 46 และ 60 วันไม่มีค่าของความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ค่าเฉลี่ยด้านน้ำหนักดอกสดที่มีค่ามากที่สุด คือ T2 (น้ำหมักหอยเชอรี่) 11.54 รองลงมาเป็น T4 (น้ำหมักกากกาแฟ) 10.99 กรัมT1 (ไม่ใส่น้ำหมัก) 10.78 กรัม และ T3 (น้ำหมักใบสาบเสือ)มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด9.56 กรัม ส่วนด้านน้ำหนักของดอกแห้งที่ได้นำดอกดาวเรืองไปอบแห้งโดยใช้ตู้ Hot Air Oven ใช้อุณหภูมิในการอบที่ 60 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากนั้นนำมาชั่งน้ำหนักหาค่าDry Meterพบว่าดอกดาวเรืองที่อายุ 46 และ 60 วันไม่มีค่าของความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) มีแนวโน้มว่า ค่าเฉลี่ยน้ำหนักของดอกแห้งที่มีค่ามากที่สุด คือ T2 (น้ำหมักหอยเชอรี่) 1.06 กรัม รองลงมาเป็น T4 (น้ำหมักกากกาแฟ) 0.98 กรัมT1 (ไม่ใส่น้ำหมัก) 0.96 และ T3 (น้ำหมักใบสาบเสือ)มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 0.87 จึงสรุปได้ว่า การใช้น้ำหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ มีผลในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลผลิตดอกดาวเรืองที่ปลูกในกระถางได้ดีที่สุด
วท.บ. วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ,2559
2559-01-01T00:00:00Zวิธีการให้น้าส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพปลาที่เหมาะสมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกวางตุ้งฮ่องเต้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3104
วิธีการให้น้าส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพปลาที่เหมาะสมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกวางตุ้งฮ่องเต้
แปลนดี, ณัฐกานต์; กลิ่นขจร, หทัยวัลลภ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
วิธีการให้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพปลาที่เหมาะสมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกวางตุ้งฮ่องเต้ด้วยวิธีการใช้ 4 วิธีการคือ T1.ไม่ใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพจากปลารดด้วยน้ำเปล่าT2.วิธีการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้ำหมักชีวภาพจากปลาโดยวิธีการรดโคนต้นT3วิธีการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพจากปลาโดยวิธีการใช้แบบน้ำหยด และ T4 วิธีการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพจากปลาโดยวิธีการใช้แบบฉีดพ่นทางใบที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตของผักกวางตุ้งฮ่องเต้ที่ปลูกในกระถางจากผลการทดลองพบว่า ผลของการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้ำหมักชีวภาพปลา ในช่วงอายุ 21และ28 วัน วิธีการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพปลาโดยวิธีการแบบฉีดพ่นทางใบ ( T4 ) มีผลต่อความสูงต้น มีค่าเฉลี่ยความสูงสูงสุด 13.00 เซนติเมตรความกว้างใบ มีค่าเฉลี่ยความกว้างใบสูงสุด 15.27 เซนติเมตร ด้านคุณภาพผลผลิตด้านน้ำหนักสด มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักสดสูงสุด 112.22 กรัมมีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p< 0.05) และด้านคุณภาพผลผลิต ด้านน้ำหนักแห้ง มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักแห้งเมื่อนาไปอบด้วยHot AIR OVEN ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานาน 24 ชั่วโมงพบว่าค่าเฉลี่ยของน้ำหนักแห้งสูงสุด คือ 2.21 กรัม มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p< 0.05) จึงมีแนวโน้มว่าวิธีการใช้น้ำส้มควันไม้ร่วมกับน้าหมักชีวภาพจากปลาโดยวิธีการแบบฉีดพ่นทางใบ มีผลต่อการปลูกผักกวางตุ้งฮ่องเต้ในกระถาง
วท.บ. วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ , 2559
2559-01-01T00:00:00Zการทดสอบประสิทธิภาพน้ำหมักชีวภาพจากมูลจิ้งหรีด มูลแมงสะดิ้ง และมูลไส้เดือนที่ส่งผลต่อการปลูกดาวเรือง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3103
การทดสอบประสิทธิภาพน้ำหมักชีวภาพจากมูลจิ้งหรีด มูลแมงสะดิ้ง และมูลไส้เดือนที่ส่งผลต่อการปลูกดาวเรือง
ศรีวิโรจน์, กฏษฏา; บุญคร, กิตติศักดิ์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
ศึกษาประสิทธิภาพน้้าหมักชีวภาพจากมูลจิ้งหรีด มูลแมงสะดิ้งและมูลไส้เดือนที่ส่งผลต่อการปลูกดาวเรือง ดำเนินการทดลอง ณ บ้านเลขที่ 153/14 ต.อีสาน. อ. เมือง จ. บุรีรัมย์ ตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายน 2559 - วันที่ 27สิงหาคม 2559 ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 กรรมวิธี จำนวน 4 ซ้้า ดังนี้ ไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด 50ml/น้ำ500ml (T2) (ปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง 50ml/น้ำ500ml (T3)และปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้ำ500ml (T4)ผลการทดลองพบว่า ด้านความสูงที่อายุ 57วัน แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.01)และช่วงอายุที่50และ 64 แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่าปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง 50ml/น้ำ500ml (T3)มีค่าความสูงของต้นดาวเรืองที่มีค่ามากที่สุดคือ คือ70.88เซนติเมตรรองลงมา ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด 50ml/น้ำ500ml (T2)68.81 เซนติเมตร,ปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้ำ500ml (T4)63.81เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยด้านความสูงที่มีค่าน้อยที่สุด คือไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)40.50 เซนติเมตร ที่อายุ 50 และ74 วัน แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง 50ml/น้้า500ml (T3) มีค่าเฉลี่ยด้านความสูงต้นมากที่สุดคือ 90.81 เซนติเมตร รองลงมา ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด 50ml/น้้า500ml (T2)89.38 เซนติเมตร,ปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้้า500ml (T4)83.19เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยด้านความสูงที่มีค่าน้อยที่สุด คือไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)51.31เซนติเมตร ด้านความกว้างทรงพุ่มมีแนวโน้มว่าช่วงอายุที่ 50 และ 57วันแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่าปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง 50ml/น้้า500ml (T3)มีค่าความความกว้างทรงพุ่มที่มีค่ามากที่สุดคือ34.69 เซนติเมตรรองลงมา ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด 50ml/น้้า500ml (T2)31.56 เซนติเมตร,ปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้้า500ml (T4)29.19เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยด้านความสูงที่มีค่าน้อยที่สุด คือไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)18.44เซนติเมตร ที่อายุ 64 วัน พบว่าค่าเฉลี่ยด้านความกว้างทรงพุ่ม ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05)ด้านน้้าหนักสดแนวโน้มว่าช่วงอายุที่ 64 (รุ่นแรก) แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด50ml/น้้า500ml (T2) มีค่าเฉลี่ยด้านน้้าหนักสดของดอกมากที่สุดคือ 112.50 เซนติเมตร รองลงมา ปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง50ml/น้้า500ml (T3)95.00 เซนติเมตร,ปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้้า500ml (T4)90.00เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยด้านน้้าหนักสดที่มีค่าน้อยที่สุด คือไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)0.00เซนติเมตร(เนื่องจากยังไม่ออกดอก) ที่อายุ 78 วัน(รุ่นสอง) พบว่าค่าเฉลี่ยด้านน้้าหนักสดไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05)ด้านน้้าหนักแห้งโดยการน้าดอกสดไปอบในตู้ Hot airoven ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสนาน 24 ชั่วโมง แนวโน้มว่าช่วงอายุที่ 64 และ78วัน(รุ่นแรกและรุ่นที่สอง) แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส้าคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยน้้าหมักมูลจิ้งหรีด50ml/น้้า500ml (T2) มีค่าเฉลี่ยด้านน้้าหนักแห้งของดอกมากที่สุดคือ 26.65 เซนติเมตร รองลงมา ปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง50ml/น้้า500ml (T3)25.57 เซนติเมตร,ปุ๋ยน้้าหมักมูลไส้เดือน 50ml/น้้า500ml (T4)24.53เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยด้านน้้าหนักแห้งที่มีค่าน้อยที่สุด คือไม่ใส่ปุ๋ยน้้าหมักControl (T1)0.00 เซนติเมตร(เนื่องจากยังไม่ออกดอก) จึงสรุปได้ว่าปุ๋ยน้้าหมักมูลสะดิ้ง 50ml/น้้า500ml (T3) มีผลต่อด้านความสูงและความกว้างทรงพุ่ม,น้้าหนักสดและน้้าหนักแห้ง สามารถช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตเละการให้ผลผลิตในการปลูกดอกดาวเรืองพันธุ์ทองเฉลิม5011
วท.บ. เกษตรศาสตร์ สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2559
2559-01-01T00:00:00Zการใชประโยชนและการขับถายไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจากอาหารในปลาทับทิม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3102
การใชประโยชนและการขับถายไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจากอาหารในปลาทับทิม
สอนสุภาพ, บรรเจิด; ตาบทิพยวรรณ, ประทักษ์; จินตสถาพร, อรพินท์; มหาสวัสดิ์, ส่งศรี; อิงธรรมจิตร, สุชาติ
การศึกษาการใชประโยชนและการขับถายไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในปลาทับทิม ทําการทดลองในปลา3 ขนาด คือปลาทับทิมขนาดเล็กน้ำหนัก 28-30 กรัม ปลาทับทิมขนาดกลางน้ำหนัก 140-150 กรัมและปลาทับทิมขนาดใหญน้ำหนักเฉลี่ย 300-320 กรัม การทดลองที่ 1 ศึกษาผลของความถี่ในการใหอาหารตอประสิทธิภาพการใชประโยชนไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจากอาหารในปลาทับทิม โดยปลาในแตละขนาดจะไดรับอาหาร 2,3 และ 4 ครั้งตอวัน พบวาปลาทับทิมขนาดเล็กและขนาดใหญที่ไดรับอาหารซึ่งมีความถี่ในการใหตอวันตางกัน มีผลทําใหประสิทธิภาพการยอยอาหารการยอยโปรตีนและฟอสฟอรัสในอาหารแตกตางกันอยางไมมีนัยสําคัญ(P>0.05) ปลาทับทิมขนาดกลางที่ไดรับอาหาร 3 และ 4 ครั้งตอวันมีประสิทธิภาพการยอยโปรตีนสูงกวาไดรับอาหาร 2 ครั้งตอวันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (P<0.05) การใชประโยชนไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในปลาทั้ง 3ขนาดมีความแตกตางกันทางสถิติอยางไมมีนัยสําคัญ (P>0.05) การทดลองที่ 2 ศึกษาการขับถายไนโตรเจนรวมและฟอสฟอรัสรวมในน้ําที่เลี้ยงปลาทับทิมขนาดขนาดเล็กขนาดกลางและขนาดใหญ หลังจากไดรับอาหารอยางเต็มที่ 1 ครั้งตอวัน พบวามีการขับถายไนโตรเจนรวมเฉลี่ยเทากับ 0.016 ± 0.00, 0.010 ± 0.00 และ 0.007 ±0.00 กรัมตอกิโลกรัมปลาตอชั่วโมง โดยขับสูงสุดในชั่วโมงที่ 5 ซึ่งมีคาเทากับ 0.022, 0.022 และ 0.021 กรัมตอกิโลกรัมปลาตามลําดับ การขับถายฟอสฟอรัสรวมเฉลี่ยตอชั่วโมงมีคาเทากับ 0.003 ± 0.00, 0.006 ± 0.00 และ0.001 ± 0.00 กรัมตอกิโลกรัมปลาตามลําดับ โดยปลาขนาดเล็กและขนาดใหญขับฟอสฟอรัสรวมสูงสุดในชั่วโมงที่ 6 หลังจากไดรับอาหารแลวซึ่งมีคาเทากับ 0.008, 0.004 กรัมตอกิโลกรัมปลาตามลําดับ สวนปลาขนาดกลางขับฟอสฟอรัสรวมสูงสุดในชั่วโมงที่ 4 หลังจากไดรับอาหารแลวและ มีคาเทากับ 0.004 กรัมตอกิโลกรัมปลา
2545-01-01T00:00:00Zศึกษาประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยรองพื้นร่วมกับน้้าหมักชีวภาพ จากมูลวัว มูลไก่ มูลค้างคาว ต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตแตงโม ที่ปลูกในระบบอินทรีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3101
ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยรองพื้นร่วมกับน้้าหมักชีวภาพ จากมูลวัว มูลไก่ มูลค้างคาว ต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตแตงโม ที่ปลูกในระบบอินทรีย์
พิมศร, ภาณุกูล; รอบไธสง, อานนท์; chanpenkun, lertpoom
ศึกษาประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยรองพื้นร่วมกับน้ำหมักชีวภาพจากมูลวัว มูลไก่ มูลค้างคาว ต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพผลผลิตแตงโมที่ปลูกในระบบอินทรีย์ วางแผนการทดลองแบบสมบูรณ์ (completely Randomized Design, CRD ) ประกอบด้วย 4 กรรมวิธี กรรมวิธีที่ 1 (T1) ขนาดแปลง 1.30×3 เมตร ไม่ใส่ปุ๋ย (Control) กรรมวิธีที่ 2 (T2) ขนาดแปลง 1.30×3 เมตร ใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลวัว 1 ลิตร/แปลง กรรมวิธีที่ 3 (T3) ขนาดแปลง 1.30×3 เมตร ใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ 1 ลิตร/แปลง กรรมวิธีที่ 4 (T4) ขนาดแปลง 1.30×3 เมตร ใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพมูลค้างคาว 1 ลิตร/แปลง จำนวน 4 ซ้ำ พบว่า จากการทดลองใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลไก่ในปริมาณ 1 ลิตร/แปลง ซึ่งอยู่ในระดับอัตราที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของแตงโม เนื่องจากปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจาก มูลไก่ มีฟอสฟอรัส (P) สามารถสลายตัวได้เร็ว พืชดูดซับธาตุอาหารไปใช้ได้ง่าย ใช้ประโยชน์เพื่อเป็นธาตุอาหารหลักของพืช ทำให้ผลของแตงโม มีขนาดใหญ่และน้ำหนักเยอะ รวมถึงให้ความหวานสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการใส่ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลค้างคาวและปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากมูลวัว ในปริมาณ 1 ลิตรให้ผลผลิตของแตงโมรองลงมาตามลำดับ การใส่น้ำหมักชีวภาพจากมูลวัว มูลไก่ และมูลค้างคาว ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ( p>0.05 )
ปัญหาพิเศษ วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร, 2559
2559-01-01T00:00:00Zศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์ใบไม้จากท้องถิ่นจาก ใบก้ามปู ใบมะขาม และใบขี้เหล็ก ในการผลิตเป็นปุ๋ยหมักเพื่อพัฒนาผลผลิตของดาวเรือง พันธุ์ เทวีF1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3100
ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์ใบไม้จากท้องถิ่นจาก ใบก้ามปู ใบมะขาม และใบขี้เหล็ก ในการผลิตเป็นปุ๋ยหมักเพื่อพัฒนาผลผลิตของดาวเรือง พันธุ์ เทวีF1
จารุทรัพย์สดใส, ธีระพงษ์; สิทธิสาร, ภูวิชญา; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของดาวเรืองพันธุ์ เทวีF1 จากการใช้ ปุ๋ยหมักใบก้ามปู ปุ๋ยหมักใบมะขาม และปุ๋ยหมักใบขี้เหล็กวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบรูณ์ (Completely Randomized Design, CRD) ประกอบไปด้วย 4 กรรมวิธี จำนวน 3 ซ้ำ ได้แก่ (T1)ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก, (T2)ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก., (T3)ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก., (T4)ปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก. ผลการวิจัยพบว่าที่อายุ15 วัน ส่งผลต่อด้านความสูงของต้นดาวเรือง แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก.(T2)การใส่ (T2) มีค่าเฉลี่ยด้านความสูงต้นมากที่สุด คือ 33.27 เซนติเมตร รองลงมาคือ ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก.(T3)32.56 เซนติเมตรปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก.(T4)27.51เซนติเมตรและค่าเฉลี่ยความสูงต้นที่ต่ำที่สุดคือ ไม่ใส่ปุ๋ยหมักControl (T1) เท่ากับ24.44 เซนติเมตร และความสูงที่อายุ35และ 45 วัน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05) เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่มของต้นดาวเรืองที่มีอายุ 15, 30 และ45 วัน หลังจากการปลิดยอด ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (>0.05) จำนวนกิ่งแตกแขนงของต้นดาวเรืองที่มีอายุ 45 วัน หลังจากการปลิดยอด แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก.(T2) มีค่าเฉลี่ยจำนวนกิ่งสูงสุด คือ33.89กิ่ง รองลงมาคือ ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก.(T3)32.22กิ่ง ปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก.(T4)26.89กิ่ง และค่าเฉลี่ยจำนวนกิ่งต่ำสุดคือ ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก Control (T1) 20.22 กิ่ง และจำนวนกิ่งอายุ 15, 30 วัน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05) ดาวเรืองพันธุ์เทวี F1 ที่ระยะ 45 (ออกดอกรุ่นที่1) และ50 วัน(ออกดอกรุ่นที่ 2) จำนวนการติดดอกของดาวเรืองที่มีอายุ 50 วัน หลังจากการปลิดยอด ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก.(T2) มีค่าเฉลี่ยการติดดอกสูงสุดคือ 6.44ดอก รองลงมาคือ ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก.(T3)5.22ดอก ปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก.(T4)4.78ดอก และค่าเฉลี่ยจำนวนการติดดอกต่ำที่สุดคือ ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก Control (T1)4.56ดอกและจำนวนการติดดอกอายุ 45 วัน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (>0.05) เส้นผ่าศูนย์กลางของดอกดาวเรืองที่มีอายุ 50 วัน หลังจากการปลิดยอด แตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) แต่มีแนวโน้มว่า ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก.(T2) มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ15.9เซนติเมตร รองลงมาคือ ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก.(T3)12.77เซนติเมตร ปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก.(T4) 11.54เซนติเมตร และค่าเฉลี่ยเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกต่ำสุดคือ ไม่ใส่ปุ๋ยหมัก Control (T1)11.03เซนติเมตร ดังนั้นจากการวิจัยพบว่าการใช้ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก. เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของดาวเรืองพันธุ์ เทวีF1 ส่งผลต่อด้านความสูงของต้น เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม จำนวนแตกกิ่งแขนง และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอกให้ผลดีมากที่สุด รองลงมาคือ (T3)ปุ๋ยหมักใบขี้เหล็ก 1กก./ดิน1⁄2กก. และ(T4) ปุ๋ยหมักใบมะขาม 1กก./ดิน1⁄2กก. ตามลำดับ ดังนั้นการใส่ปุ๋ย (T2)ปุ๋ยหมักใบก้ามปู 1กก./ดิน1⁄2กก. สามารถใช้เป็นตัวเลือกในการเพิ่มผลผลิตในการปลูกดาวเรืองพันธุ์ เทวีF1; Factors affecting the growth of marigold Devi F1 from the use of compost, leaf claw. Compost leaves, tamarind and compost leaves, cassia planning randomized trials staph (Completely Randomized Design, CRD) consists of four three creators of repetition (T1) no compost, (T2), compost, leaves claw. 1 kg / Clay 1/2 kg., (T3), cassia leaf compost. 1 kg / Clay 1/2 kg., (T4), tamarind leaf compost. 1 kg / 2.1 kg soil. The results showed that at 15 days affect the height of the marigold. The difference was statistically significant (p <0.01), but that trend. Compost leaves claw 1 kg / 2.1 kg soil. (T2) input (T2), with an average height of 33.27 cm is the most followed by composting leaves, cassia. 1 kg / 2.1 kg soil. (T3) 32.56. Cm compost leaves, tamarind 1 kg / 2.1 kg soil. (T4) 27.51 cm and the average height from the lowest. Do not compost Control (T1) of 24.44 cm and height at age 35 and 45 days, no statistically significant difference (> 0.05) in diameter canopy of trees Marigold aged 15, 30 and 45 days after the top kill. No difference was statistically significant (> 0.05) Number of branches branching tree marigold aged 45 days after the top kill. The difference was statistically significant (p <0.05), but that trend. Compost leaves claw 1 kg / 2.1 kg soil. (T2) with an average of 33.89 is the highest branches, twigs, followed by composting leaves, cassia. 1 kg / 2.1 kg soil. (T3) 32.22 King. Compost leaves, tamarind 1 kg / 2.1 kg soil. (T4) 26.89 King. And the average number of branches is lowered. Do not compost Control (T1) 20.22 King and King, aged 15, 30 days, no significant difference statistically (> 0.05), marigold Devi F1 at 45 (flowering version 1) and 50 days (flowering version 2. ) the number of flowers of calendula to between 50 days after the top kill. No statistically significant difference (> 0.05), but that trend. Compost leaves claw 1 kg / 2.1 kg soil. (T2) with an average of 6.44 is the highest flowering flowers followed by composting leaves, cassia. 1 kg / 2.1 kg soil. (T3) 5.22 flowers. Compost leaves, tamarind 1 kg / 2.1 kg soil. (T4) 4.78 flowers. And the average number of flowers is low. Do not compost Control (T1) 4.56 Number of flowers and flowering 45 days, no statistically significant difference (> 0.05) between the diameter of marigold 50 days after the top kill. The difference was statistically significant (p <0.01), but that trend. Compost leaves claw 1 kg / 2.1 kg soil. (T2), with an average maximum of 15.9 cm, followed by composting leaves, cassia. 1 kg / 2.1 kg soil. (T3) 12.77 cm. Compost leaves, tamarind 1 kg / 2.1 kg soil. (T4) 11.54 cm. And the average diameter of the flower is the lowest. Do not compost Control (T1) 11.03 cm. Thus, the researchers found that the use of compost, leaf claw. 1 kg / 2.1 kg soil. Suitable for the growth of marigold F1 Devi affect the height of the tree. Diameter canopy The number of branches And a diameter of flowers to benefit the most, followed by the (T3), cassia leaf compost. 1 kg / 2.1 kg soil. And (T4), tamarind leaf compost. 1 kg / 2.1 kg soil. Respectively fertilization (T2), compost, leaves claw. 1 kg / 2.1 kg soil. Can be used as an option to increase the productivity of planted marigold Devi F1.
ปัญหาพิเศษ วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2559-01-01T00:00:00Zศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากมูลไก่ ปุ๋ยถ่านไม้ไผ่ และปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 ที่ส่งผลต่อการผลิตคะน้าเห็ดหอม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3099
ศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากมูลไก่ ปุ๋ยถ่านไม้ไผ่ และปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 ที่ส่งผลต่อการผลิตคะน้าเห็ดหอม
ดำนอก, กรชนก; มงคลเคหา, อมรรัตน์; จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
งานทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากมูลไก่ ถ่านไม้ไผ่ และปุ๋ยยูเรียสูตร46-0-0 ที่ส่งผลต่อการผลิตคะน้าเห็ดหอมดำเนินการทดลอง ณ โรงเรือนเพาะชำคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 ถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559 วิเคราะห์ข้อมูลความแปรปรวนทางสถิติของการทดลองแบบCRD และการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยวิธี LSD โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4สิ่งการทดลอง จำนวน 4ซ้ำได้แก่ ไม่ใส่ปุ๋ย (T1) มูลไก่ (T2) ถ่านไม้ไผ่(T3) ปุ๋ยยูเรีย(T4) โดยทำการศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความสูงของลำต้น ความกว้างของใบ ความยาวของใบ และน้าหนักสดไม่รวมรากของผักคะน้า ผลการทดลอง พบว่าความกว้างของใบผักคะน้าในระยะ 30วัน มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.05) ในระยะ 40วัน มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.01) ในระยะ 50วัน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p>0.05) ในด้านการเจริญเติบโตความกว้างใบผักคะน้า โดยถ่านไม้ไผ่ ให้ค่าเฉลี่ยความกว้างใบสูงที่สุดคือ 5.78 เซนติเมตร รองลงมาคือ มูลไก่คือ 5.21 เซนติเมตร ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 คือ 5.13 เซนติเมตร ไม่ใส่ปุ๋ย คือ 4.75 เซนติเมตร ความยาวใบผักคะน้ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) โดยถ่านไม้ไผ่ให้ค่าเฉลี่ยความยาวใบสูงที่สุดคือ 10.63 เซนติเมตร รองลงมาปุ๋ยยูเรียสูตร (46-0-0)คือ 10.46 เซนติเมตร มูลไก่ คือ 9.48 เซนติเมตร ไม่ใส่ปุ๋ย คือ 8.45 เซนติเมตร ความสูงต้นผักคะน้ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.01) โดยปุ๋ยยูเรียสูตร(46-0-0) ให้ค่าเฉลี่ยความยาวใบสูงที่สุดคือ 32.34 เซนติเมตร รองลงมา ถ่านไม้ไผ่ คือ 28.07 เซนติเมตร มูลไก่ คือ 27.07 เซนติเมตร ไม่ใส่ปุ๋ย คือ 20.07 เซนติเมตรเส้นรอบวงลำต้นผักคะน้ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยปุ๋ยยูเรียสูตร (46-0-0) ให้ค่าเฉลี่ยความยาวใบสูงที่สุดคือ 4.66 เซนติเมตร รองลงมา ถ่านไม้ไผ่ คือ 4.33 เซนติเมตร มูลไก่ คือ 4.15 เซนติเมตร ไมใส่ปุ๋ย คือ 3.34 เซนติเมตร น้ำหนักสดของผักคะน้ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสาคัญ (p<0.05) โดยปุ๋ยยูเรียสูตร (46-0-0) ให้ค่าเฉลี่ยน้ำหนักสูงสุดที่ 30.76 กรัม รองลงมา ถ่านไม้ไผ่ คือ 26.02 กรัม มูลไก่คือ 24.85 กรัม ไม่ใส่ปุ๋ย คือ 13.23 กรัม น้าหนักสดไม่รวมรากของผักคะน้ามีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) โดยมูลไก่ให้ค่าเฉลี่ยน้ำหนักสูงสุดที่ 19.42 กรัม รองลงมา ปุ๋ยยูเรียสูตร (46-0-0) คือ 19.26 กรัม ถ่านไม้ไผ่ 18.88 กรัม ไม่ใส่ปุ๋ย 11.17 กรัม
ปัญหาพิเศษ วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2559-01-01T00:00:00Zศึกษาอิทธิพลอัตราส่วนที่แตกต่างกันของการใช้ขยะอินทรีย์หมัก จากใบผักกาดที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ดอกเพื่อเพิ่มผลผลิตในการปลูกดาวเรืองพันธุ์ทองเฉลิม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3098
ศึกษาอิทธิพลอัตราส่วนที่แตกต่างกันของการใช้ขยะอินทรีย์หมัก จากใบผักกาดที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ดอกเพื่อเพิ่มผลผลิตในการปลูกดาวเรืองพันธุ์ทองเฉลิม
จริตรัมย์, สถาพร; มีเพ็ชร์, เอกราช; chanpenkun, lertpoom
จากการศึกษาอิทธิพลอัตราส่วนที่แตกต่างกันของการใช้ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาดที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ดอกเพื่อเพิ่มผลผลิตในการปลูกดาวเรืองพันธุ์ทองเฉลิม โดยใช้แผนการทดลองสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design ; RCBD หรือ RBD) ประกอบด้วย 4 ทรีดเมนต์ 3 ซ้า T1 (CONTROL) ไม่ใส่ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด T2 อัตราส่วนผสม (ดิน 30% : ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 70% ) T3 อัตราส่วนผสม (ดิน 50% :ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 50% ) T4 อัตราส่วนผสม (ดิน 70% : ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 30% ) ในอัตราส่วน 2 กิโลกรัม/ถุงเพาะชำ โดยศึกษาการเจริญเติบโตในด้านความสูงต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ เส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม ในทุกๆ 15 , 30 วัน และนับกิ่งแขนงใหม่อายุ 45 วัน และศึกษาในด้านการให้ผลผลิตด้านจำนวนการติดดอก เส้นผ่าศูนย์กลางดอกและน้ำหนักสดดอกดาวเรือง จำนวน 2 รุ่นในช่วง70และ 78 วัน สถานที่ปลูกดาวเรือง บ้านพักอาจารย์อารยา มุสิกา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ตั งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม – 24 สิงหาคม 2559 จากการทดลอง พบว่า ด้านการเจริญเติบโตของดาวเรืองแต่ละสิ่งทดลองไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านความสูงของต้น ความกว้างใบ ความยาวใบ กิ่งแขนงและเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่มของดาวเรืองอายุ ณ 15 , 30และ 45 วัน พบว่า (T4) อัตราส่วนผสม (ดิน70% ,ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 30% ) ส่งผลต่อด้านความสูงที่สุด ด้านการให้ผลผลิตของดอกดาวเรือง พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในด้านจ้านวนการติดดอก เส้นผ่าศูนย์กลางดอกและน้าหนักสดดอก ที่อายุ 70 และ 78 วัน พบว่า (T4) อัตราส่วนผสม (ดิน70% ,ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 30% ) ให้ผลผลิตมากที่สุด รองลงมา คือ (T3) อัตราส่วนผสม (ดิน50% ,ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 50% ) และT2 อัตราส่วนผสม (ดิน 30% ,ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด 70% ) ให้ผลผลิตไม่ต่างกันมากหนัก ส่วน (T1) ไม่ใส่ขยะอินทรีย์หมักจากใบผักกาด ให้ผลผลิตต่ำสุดในทุกด้าน
ปัญหาพิเศษ วิทยาศาสตรบัณฑิต (วท.บ.)สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 2559
2559-01-01T00:00:00Zผลของธาตุอาหาร การขาดน้ำ และไมคอร์ไรซา ต่อปริมาณ ผลผลิตและสารต้านอนุมูลอิสระในการผลิตผักเชียงดา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3097
ผลของธาตุอาหาร การขาดน้ำ และไมคอร์ไรซา ต่อปริมาณ ผลผลิตและสารต้านอนุมูลอิสระในการผลิตผักเชียงดา
ศรีตนทิพย์, ปริญญาวดี; ณ พัทลุง, นิจพร; ศรีสมรรถการ, ภัทราภรณ์; พุทธวรชัย, พิทักษ์; ขันสุภา, นภา; เขาสุเมรุ, ยุทธนา; ศรีตนทิพย์, ชิติ
ผักเชียงดา (Gymnema inodorum Decne.) เป็นผักพื้นบ้านภาคเหนือที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะเพื่อบําบัดรักษาโรคภัยต่าง ๆ ใบมีฤทธิ์บรรเทาอาการต#อโรคเบาหวาน รูมาตอยด์และเกาต์ ยับยั้งการดูดซึมและลดระดับน้ําตาลในลําไส้ สารสกัดจากใบช่วยทําให้นักกีฬาเกิดการพัฒนากล้ามเนื้อมากขึ้น การทดลองในครั้งนี้เพื่อศึกษาหาวิธีการเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระในผักเชียงดา โดยศึกษาผลของปริมาณธาตุอาหารในดิน ธาตุโบรอน การขาดน้ำ และไมคอร3ไรซา ต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต สารต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในการผลิตผักเชียงดา ดําเนินการทดลองที่สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดลําปาง ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ถึงกันยายน พ.ศ. 2556 พบว่า ปริมาณธาตุอาหารในดินและในใบมีความแตกต่างกันทางสถิติตามพื้นที่ที่เก็บตัวอย่าง ถ้ามีปริมาณอินทรียวัตถุและฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน3ในดิน ปริมาณไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในใบสูง จะส่งผล
ให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผักเชียงดาสูง การใส่สารละลายธาตุอาหาร 3 ระดับ (0B 30B100B) ไม่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางลําต้นและผลผลิตของผักเชียงดาทั้งสองสายต้น (4 และ 6) แต่แสดงอาการขาดโบรอนโดยพื้นที่ระหว่างเส้นใบมีสีเหลือง เมื่อใส่ธาตุโบรอนต่ํากว่าร้อยละ 30 สายต้นที่ 4 มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสายต้นที่ 6 ถึงจะใส่โบรอนในปริมาณที่เท่ากัน การขาดน้ําเป็นระยะเวลา 15 วัน ไม่กระทบต่อการให้ผลผลิตในผักเชียงดาที่มีอายุต้น 5 - 12 เดือนหลังย้ายปลูก แต่การขาดน้ำเป็นระยะเวลา 2 เดือนทําให้ผลผลิตผักเชียงดาลดลงประมาณร้อยละ 50 มีความสัมพันธ3เชิงบวกระหว่างปริมาณคลอโรฟnลล3 สารประกอบฟีนอลิกและ
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การเขาอยู่ของเชื้อราอาบัสคูล่า ไมคอร์ไรซา ชนิดต่าง ๆ ในผักเชียงดา พบว่า เชื้อ Glomus sp. 1 มีผลให้จํานวนยอดของผักเชียงดาสูงที่สุด ส#วนเชื้อ Acaulospora sp. มีผลให้ความยาวยอดของผักเชียงดาสูงสุด และ เชื้อ Glomus mosseae มีผลให้การเข้าอยู่ในต้นผักเชียงดาสูงที่สุด
2556-09-01T00:00:00Zอิทธิพลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจากไส้เดือนดิน ต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางฟิสิกส์ดินและการปรับปรุงโครงสร้างของดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2963
อิทธิพลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินจากไส้เดือนดิน ต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางฟิสิกส์ดินและการปรับปรุงโครงสร้างของดิน
อารักษณ์ธรรม, สุลีลัก; สานุสันต์, สุชาดา
การศึกษาผลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน เปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือนดิน ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางฟิสิกส์ของดิน การเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวหอมมะลิ 105 ทำการทดลองที่แปลงนาเกษตรกรในเขตพื้นที่นาอาศัยน้ำฝน ชุดดินร้อยเอ็ด ที่บ้านบัวต.บ้านบัว อ. เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ระหว่างเดือน มิ.ย. –ธ.ค. พ.ศ. 2556 วางแผนการทดลองแบบRandomized Complete Block Design จำนวน 4 ซ้ำ ขนาดแปลงย่อย 4×6 เมตร มี 6 กรรมวิธี คือ 1) ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว 2) ปุ๋ยหมักมูลโค อัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ 3) ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน อัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ 4) ปุ๋ยเคมี ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ 5) ปุ๋ยหมักมูลโค ในอัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ และ 6) ใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ในอัตราส่วน 1,000 ก.ก. ต่อไร่ ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือนผลการทดลอง พบว่า ที่ระดับความลึกดิน 15-30 ซม. การใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวมีแนวโน้มให้ความหนาแน่นรวมสูงสุด (1.38 ก./ซม-3) รองลงมา ได้แก่ การใส่ปุ๋ยหมักมูลโค ร่วมกับการฉีดน้ำหมักชีวภาพ และการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือน มีค่าความหนาแน่นรวม 1.41 และ 1.40ก./ซม-3 ตามลำดับ ส่ วนความชื้นของดิน (%) และค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำการใส่ปุ๋ยเคมีมีแนวโน้มให้ความชื้นของดิน (%) และค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ ต่ำสุด(0.25% และ 2.10 ซม./ชม.-1) ส่วนการใส่ปุ๋ยหมักมูลโค และการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน ที่ระดับความลึกดิน 0-15 ซม. ให้ค่าสัมประสิทธ์ิการนำน้ำของดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ มากที่สุด 2.37 และ 2.77 ซม./ชม.-1ตามลำดับผลของปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินที่มีต่อการเจริญเติบโตของข้าวหอมมะลิ 105 พบว่า การใส่ปุ๋ยเคมีและการใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินร่วมกับการฉีดน้ำหมักมูลไส้เดือน มีแนวโน้มให้ผลผลิตสูง 4,604 และ4,548 ก.ก./เฮกตาร์ ตามลำดับ และเพิ่มจำนวนหน่อต่อตารางเมตร ได้สูง 287 และ 276 หน่อ/ตารางเมตรตามลำดับ ดังนั้น การใส่ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน ร่วมกับการฉีดน้ำหมัก สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้ใกล้เคียงกับการใส่ปุ๋ยเคมี และยังสามารถเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและปรับปรุงสภาพโครงสร้างของดินดีได้อีกด้วย
2557-01-01T00:00:00Zวัสดุรองพื้นต่างชนิดกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตปุ๋ยหมักจากไส้เดือนดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2962
วัสดุรองพื้นต่างชนิดกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตปุ๋ยหมักจากไส้เดือนดิน
สิริฐนกร, พีรยุทธ; พะรัมย์, ไกร์วิทย์; สานุสันต์, สุชาดา
การศึกษาวัสดุรองพื้นต่างชนิดกันที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของและผลผลิตปุ๋ยหมักจากไส้เดือนดิน วางแผนการทดลองแบบ 2x4 Factorial in RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 อัตราการใส่ไส้เดือนดินสายพันธุ์แอฟริกาไนท์ครอเลอร์ (Eudriluseugeniae) 2 อัตรา ที่ 100 กรัม 150 กรัม ต่อกระถาง ปัจจัยที่ 2 คือ วัสดุรองพื้นเลี้ยง 4 ชนิด ดังนี้ขุยมะพร้าว ปุ๋ยหมักผักตบชวา ปุ๋ยหมักต้นกล้วย และปุ๋ยคอกมูลวัว เก็บข้อมูลที่ระยะเวลา 15, 30 และ 45 วันหลังจากมีการใส่ไส้เดือนดินลงในวัสดุรองพื้น พบว่าอัตราการใส่ไส้เดือนดินทั้ง 2 อัตรา มีผลทำให้จำนวนถุงไข่ น้ำหนักตัวของไส้เดือนดิน และผลผลิตปุ๋ยหมัก มีความแตกต่างกันทางสถิติ โดยเฉพาะที่ระยะ 15 วันหลังจากใส่ไส้เดือนดิน อัตราการใส่ไส้เดือนดินที่ 150 กรัมต่อกระถาง ให้จำนวนถุงไข่มากที่สุด 73.92 ฟอง และอัตราที่ 100 กรัมต่อกระถาง ให้จำนวนถุงไข่ 41.50 ฟอง เช่นเดียวกัน วัสดุรองพื้นทั้ง 4 ประเภท มีผลทำให้จำนวนถุงไข่ น้ำหนักตัวไส้เดือนดินและผลผลิตปุ๋ยหมักไส้เดือนดิน มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ส่วนที่ระยะ 30 วันวัสดุรองพื้นทั้ง 4 ประเภท มีผลทำให้จำนวนถุงไข่มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญโดยที่ระยะ 15 วันแรกในวัสดุปุ๋ยคอกมูลวัว พบว่าให้ผลผลิตจำนวนถุงไข่น้ำหนักตัวไส้เดือนดิน และผลผลิตปุ๋ยหมักไส้เดือนดิน ให้ค่าโดยเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือปุ๋ยหมักผักตบชวา วัสดุปุ๋ยหมักต้นกล้วยและวัสดุขุยมะพร้าวตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าวัสดุรองพื้นประเภทปุ๋ยหมักผักตบชวา ปุ๋ยหมักต้นกล้วยสามารถนำมาเลี้ยงไส้เดือนดินได้ แต่ต้องผ่านการหมักที่สมบูรณ์
(วท.บ.) สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ,2557
2557-01-01T00:00:00Zการพัฒนารูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของเกษตรกร รายย่อยในจังหวัดบุรีรัมย์โดยกระบวนการมีส่วนร่วม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2961
การพัฒนารูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของเกษตรกร รายย่อยในจังหวัดบุรีรัมย์โดยกระบวนการมีส่วนร่วม
กิตติชัยศรี, ดำรง; สว่างทัพ, จรัส; ศรีตะวัน, บรรยง; สมคุณา, นฤมล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบริบทเศรษฐกิจวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองเพื่อศึกษารูปแบบการเลี้ยงเดิม และเพื่อพัฒนารูปแบบการเลี้ยงตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการมีส่วนร่วมให้เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อยในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรซึ่งเลือกเจาะจงจากบ้านหนองโก ตำ บลหนองบัวโคก อำ เภอลำ ปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เครื่องมือวิจัยคือ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์แบบสอบถาม การจัดเวทีร่วมมือ และการศึกษาดูงาน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัย พบว่า บริบทเศรษฐกิจวัฒนธรรมที่สำ คัญด้านบวกได้แก่ สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านมีพืชอาหารสัตว์หลายชนิด อยู่ใกล้โรงงานปลาร้าและตลาดสด มีโรงสีเล็กสองโรง เกษตรกรบางรายปลูกมันสำ ปะหลังชาวบ้านมีอัธยาศัยดี พร้อมรับความรู้ใหม่ๆ มีขนบธรรมเนียมการเชื่อฟังผู้สูงอายุ มีวัฒนธรรมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการทำ นาและทำ บุญตลอดปี บริบทที่สำ คัญในด้านลบคือ การเป็นหมู่บ้านตั้งใหม่และขาดงบประมาณในการพัฒนาการเลี้ยงสุกรรูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองเดิมมีผลต่อการพัฒนาด้านบวกได้แก่ ทัศนคติที่ว่า เลี้ยงง่าย ลงทุนน้อยเพื่อเป็นอาหาร และแบ่งขาย ผลกระทบด้านลบได้แก่ การให้อาหารไม่ตรงกับความต้องการของสุกรไม่มีการคัดเลือกพันธุ์ โตช้า การผสมเลือดชิด ไม่ทำ วัคซีน ไม่ถ่ายพยาธิ และราคาขายถูก ทำ ให้การเลี้ยงลดลงรูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองที่พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการมีส่วนร่วมคือจัดตั้งกลุ่มจดทะเบียน สมาชิกมีคุณสมบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงสุกรเพื่อบริโภค ขายและได้ปุ๋ยคอกเป็นผลพลอยได้ ใช้พันธุ์ผสม ใช้คอกหลุม แต่ละรายมีสุกรหนึ่งหรือสองแม่และสุกรขุนสามตัวพ่อพันธุ์ใช้ร่วมกัน หลีกเลี่ยงการผสมเลือดชิด อาหารสุกรใช้รำ กระถินแห้ง มันเส้น ไส้ปลาหมัก และเกลือสุกรขุนใช้โปรตีนร้อยละ 10-12 แม่พันธุ์ใช้โปรตีนร้อยละ 9-10 ให้วัคซีนอหิวาต์สุกร และถ่ายพยาธิ กรณีมีผลผลิตมากให้สมาชิกร่วมกันวางแผนการตลาด สร้างเครือข่ายกับกลุ่มอื่นๆ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
2552-01-14T00:00:00Zคู่มือการใช้สมุนไพรเพื่อเพิ่มสมรรถภาพการผลิตไก่พื้นเมือง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2960
คู่มือการใช้สมุนไพรเพื่อเพิ่มสมรรถภาพการผลิตไก่พื้นเมือง
สมคุณา, นฤมล; สมคุณา, เอกสิทธิ์; ราชวิชา, พีร์นิธิ
คู่มือการใช้สมุนไพรเพื่อเพิ่มสมรรถภาพการผลิตไก่พื้นเมือง จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกอบรมเกษตรกร นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปที่เข้ารับการอบรมให้ความรู้ด้านสมุนไพรสามารถนำไปใชใ้ นการเพิ่ม สมรรถภาพการผลิตของไก่พื้นเมือง โดยเป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของสมุนไพรไทยที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย รวมถึงการใช้ในไก่พื้นเมืองซึ่งเป็นสัตว์ปีกที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ในครัวเรือน เพื่อเป็นแหล่งอาหารโปรตีน หรือเลี้ยงไว้เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริม ในปัจจุบันการเลี้ยงไก่พื้นเมืองได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคชื่นชอบรสชาติของเนื้อไก่ที่แตกต่างจากเนื้อไก่กระทงสายพันธุ์ทางการค้า แต่การเลยี้ งไกเ่ ปน็ จำนวนมากมกั จะประสบปัยหาด้านสุขภาพไก่ ผู้เลี้ยงหรือเกษตรกรจึงใช้ยาปฏิชีวนะทีี่มีขายตามท้องตลาดในการควบคมุ ป้องกันโรคหรือรักษา โดยไม่ทราบว่าจะมีผลตกค้างในเนื้อไก่ และกระทบถึงสุขภาพของผู้บริโภค ทางหนึ่งในการหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ คือ สมุนไพรหรือสารสกัดจากสมุนไพรที่ได้มีการวิจัยมาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งสามารถทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะได้ และยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพการผลิตของสัตว์ได้อีกด้วยจากองค์ความรู้ด้านการใช้สมุนไพรในการเลี้ยงไก่พื้นเมืองที่คณะทำงานโครงการ
นี้ ประกอบไปด้วยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นฤมล สมคุณา อาจารย์เอกสิทธิ์ สมคุณา และอาจารย์พีร์นิธิ ราชวิชา ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นขมิ้นชัน กวาวเครือขาวฟ้าทะลายโจร หรือมะรุม ที่เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ผลของการใช้ในรูปแบบของ
การผสมในอาหารไก่พื้นเมือง สามารถเพิ่มสมรรถภาพการผลิตและลดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ซึ่งนับเป็นทางเลือกหนึ่งในการผลิตไก่พื้นเมือง ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและยกระดับราคาของ เนื้อไก่พื้นเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ห่วงใยสุขภาพ นอกจาก
นี้เกษตรกรยังสามารถพัฒนาการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเพื่อสร้างรายได้หลักหรือรายได้เสริมแก่ครัวเรือน ทำให้เกิดการซื้อขายไก่พื้นเมืองในชุมชน สร้างรายได้ในชุมชน และชุมชนรอบข้างจนถึงระดับจังหวัดและภูมิภาค
2559-01-01T00:00:00Zการเสริมใบหม่อน ต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต ระดับคอเลสเทอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์และ คุณภาพซากไก่สามสายเลือด
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2959
การเสริมใบหม่อน ต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต ระดับคอเลสเทอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์และ คุณภาพซากไก่สามสายเลือด
มะสิการะเต, กรรณิกา; ยุทธพันธ์, มะลิวัลย์; สมคุณา, นฤมล; สว่างทัพ, จรัส; ศรีตะวัน, บรรยง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเสริมใบหม่อนที่ระดับต่างๆ ต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโต ระดับ
คอเลสเทอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ และคุณภาพซากไก่สามสายเลือด โดยใช้ไก่สามสายเลือด (พื้นเมือง X โร็ดไอแลนด์เรด X บาร์พลีมัทร็อค) อายุ 3 สัปดาห์ จำนวน 75 ตัว ให้ได้รับอาหารทดลอง จำนวน 5 ทรีทเมนต์ ทรีทเมนต์ละ 3 ซ้ำๆ ละ 5 ตัว
อาหารทดลองประกอบด้วยสูตรอาหารควบคุมไม่ผสมใบหม่อน กลุ่มที่เสริมใบหม่อนที่ระดับร้อยละ 1 2 , 3 และ 4 ตามลำดับ
ทำการศึกษาเป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งการเก็บข้อมูลตั้งแต่ 3-12 สัปดาห์ ทำการเก็บข้อมูลอัตราการเจริญเติบโต อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ เปอร์เซ็นต์ซาก และสุ่มเก็บตัวอย่างเลือดไก่สามสายเลือดที่สัปดาห์ที่ 12 ของแต่ละทรีทเมนต์เพื่อตรวจหาระดับคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มตลอด (Completely randomize design) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี Duncan’s New Multiple Range Test (DMRT) ผลการทดลองพบว่าการเสริมใบหม่อนที่ระดับต่างๆ มีผลทำให้อัตราการเจริญเติบโต อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ เปอร์เซ็นต์ซาก คอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) จากการทดลองสรุปได้ว่าการใช้ใบหม่อนแห้งบดในสูตรอาหารไก่สามสายเลือดที่ระดับต่างๆ ไม่มี
2555-01-01T00:00:00Zผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการทาเกษตรกรรม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2844
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการทาเกษตรกรรม
พลธานี, อนันต์
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน สาเหตุมาจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศได้ปรากฏชัดเจนในหลายพื้นที่ทั่วโลก ปัจจุบันจึงส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ปริมาณน้ำฝนที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงกว่าเดิม ความแปรปรวนการกระจายของฝน รวมทั้งการเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้นกว่าเดิมในอดีต ในอนาคตข้างหน้าอุณหภูมิมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงกว่าเดิมแล้วแต่พื้นที่ การวิจัยเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศซึ่งเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนจึงควรเป็นประเด็นสาคัญในลำดับแรก นอกจากนั้นการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตพืชการเลี้ยงสัตว์ และการประมง รวมทั้งการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมหรือปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต จึงควรตระหนักและให้ความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเกษตร และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
2557-07-01T00:00:00Zผลของการเสริมฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ในอาหารไก่กระทงต่อสมรรถภาพการผลิต
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2843
ผลของการเสริมฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ในอาหารไก่กระทงต่อสมรรถภาพการผลิต
สมคุณา, เอกสิทธิ์; สมคุณา, นฤมล
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเสริมฟ้าทะลายโจรในอาหารไก่กระทงต่อสมรรถภาพ การผลิต ใช้ไก่กระทงคละเพศ อายุ 2 สัปดาห์ จานวน 90 ตัว ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์แบ่งเป็น 5 ทรีทเมนต์ ทรีทเมนต์ ละ 3 ซ้าๆ ละ 6 ตัว ให้ได้รับอาหารที่เสริมฟ้าทะลายโจรที่ระดับร้อยละ 0 (T1), 0.5 (T2), 1.0 (T3), 1.5(T4) และ 2.0 (T5) ตามลาดับ ทำการทดลองเป็นเวลา 30 วัน เก็บข้อมูลอัตรา การเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน อัตราการเปลี่ยนอาหาร และเปอร์เซ็นต์ซาก และเมื่อสิ้นสุดการวิจัยได้สุ่มตัวอย่างอุจจาระจากไก่กระทงซ้าละ 3 ตัว เพื่อตรวจหาปริมาณเชื้อ E. coli วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการหาค่าความแปรปรวน (Analysis of variance, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้ Duncan’s new multiple range test (DMRT) พบว่าอัตราการเจริญเติบโตในกลุ่มที่ได้รับอาหารที่เสริมด้วยฟ้าทะลายโจรที่ระดับร้อยละ 1.0 สูงที่สุด และมีความแตกต่างจากกลุ่มที่เสริมร้อยละ 0 และ 0.5 (P < 0.05) แต่ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่เสริมที่ร้อยละ 1.5 และ 2.0 (P < 0.05) ส่วนอัตราการเปลี่ยนอาหาร และเปอร์เซ็นต์ซากในไก่กระทงทุกกลุ่มที่ได้รับอาหารที่เสริมด้วย ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างกัน (P > 0.05) กำไรต่อตัวของไก่กระทงกลุ่มควบคุมสูงที่สุด เท่ากับ 77.12 บาทต่อตัว แตกต่างจากกลุ่มที่ได้รับการเสริมฟ้าทะลายโจรที่ร้อยละ 1.0 มีกำไรเท่ากับ 62.60 บาทต่อตัว (P < 0.05) สรุปได้ว่าการเสริมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่ระดับร้อยละ 1.0 มีผลทำให้ไก่กระทงมีสมรรถภาพการผลิตดีที่สุด
2557-07-01T00:00:00Zการเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2842
การเปรียบเทียบการเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน
มุสิกา, อารยา
การทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของเห็ดนางฟ้าที่เพาะด้วยวัตถุดิบต่างชนิดกัน โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD) ประกอบด้วย 6 สิ่งทดลองสิ่งทดลองละ 50 ก้อน ได้แก่ (T1) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ 100% (T2) ฟางข้าวแห้ง (T3) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่าอัตรา 50 : 50 (T4) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 (T5) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่า อัตรา 55 : 45 (T6) ขี้เลื่อยไม้ยางพาราใหม่ : เก่าอัตรา 70 : 30 บันทึกข้อมูลโดยการนับจำนวนดอกวัดความกว้าง (ซ.ม.) และ ชั่งน้าหนักสด (กรัม) ทุกวันจนครบ 2 เดือน วิเคราะห์ความแปรปรวนด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Duncan s Multiple Range Test (DMRT) ผลการทดลองพบว่า สิ่งทดลองทั้ง 6 สิ่งทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P ≤ 0.05) ด้านจำนวนดอก สิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 23.94 ดอก รองลงมาคือ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 23.47 ดอก และ (T5) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 55 : 45 คือ 21.75 ดอกตามลำดับ ด้านความกว้างสิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ (T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 11.00 ซ.ม รองลงมาคือ(T4) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 คือ 10.47 ซ.ม และ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 10.34 ซ.ม ตามลำดับและด้านน้ำหนักสดสิ่งทดลองที่ได้ผลผลิตสูงสุดคือ(T1) ขี้เลื่อยใหม่ 100% คือ 91.69 กรัม รองลงมาคือ (T6) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 70 : 30 คือ 84.26 กรัม และ(T4) ขี้เลื่อยใหม่ : เก่า อัตรา 60 : 40 คือ 72.09 กรัม ตามลาดับ ดังนั้นเกษตรกรสามารถที่จะนำสูตรขี้เลื่อยใหม่ : เก่าอัตรา 70 : 30 ไปใช้ในการเพาะเห็ดนางฟ้าเพื่อทดแทนสูตรขี้เลื่อยใหม่100% เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าได้เป็นอย่างดี
2557-07-01T00:00:00Zการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนที่ปลูกโดยใช้มูลไส้เดือนดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2768
การเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนที่ปลูกโดยใช้มูลไส้เดือนดิน
สานุสันต์, สุชาดา; ชุลีกรกูล, ศรายุทธ; มีแก้ว, ภิญโญ
ผลของปุ๋ยหมักไส้เดือนดินต่อการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีน ในสภาพโรงเรือนปลูกพืช โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ มี 8 สิ่งทดลองจานวน 3 ซ้า ดังนี้ 1) วิธีควบคุม (ไม่ใส่ปุ๋ย : T1) 2) ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15 – 15 – 15 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ 3) ใช้ปุ๋ยคอก (มูลวัวแห้ง) อัตราส่วน 1,600 กิโลกรัม/ไร่ 4) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากปุ๋ยคอกหมัก) 5) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน(วัสดุรองพื้นจากผักตบชวาหมัก) 6) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากขุยมะพร้าวหมัก) 7) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน(วัสดุรองพื้นจากหยวกกล้วยหมัก) และ 8) ใช้ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดิน (วัสดุรองพื้นจากเศษผักหมัก) ส่วนที่ใส่ปุ๋ยไส้เดือนจะใส่ที่อัตรา 1,600 กิโลกรัม/ไร่ เท่ากันทุกกระถาง การใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินที่ผลิตมาจากวัสดุที่แตกต่างกันให้ความสูง จานวนใบและเส้นผ่าศูนย์กลางลาต้นของผักบุ้งจีนไม่แตกต่างกัน แต่จะพบว่าการใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินที่ผลิตจากเศษผักจะให้ความสูง จานวนใบและเส้นผ่าศูนย์กลางลาต้น ตลอดจนผลผลิต ได้เทียบเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนดินสามารถใช้ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีได้กับพืชที่มีอายุสั้นได้ เพราะว่าปุ๋ยมูลไส้เดือนจะค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชปลูก
2557-07-08T00:00:00Zการคัดเลือกลักษณะที่ดีของโคเนื้อตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2766
การคัดเลือกลักษณะที่ดีของโคเนื้อตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์
สว่างทัพ, จรัส; ธูปน้ำคำ, วีระ; เกษพอง, กัณฐ์ธิภากรณ์
การศึกษาการคัดเลือกลักษณะที่ดีของโคเนื้อตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการคัดเลือกโคเนื้อที่มีลักษณะที่ดีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ชาวบ้านที่รู้ลักษณะของโคเนื้อ (ผู้รู้) ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 10 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกอย่างเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์และอภิปรายกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์จัดหมวดหมู่ตามลักษณะของโคเนื้อ จากการพิจารณาลักษณะโคเนื้อที่ดีตามภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยพิจารณาด้านหน้า ด้านข้าง ด้านท้าย และด้านบน เน้นลักษณะโคเนื้อที่ดีให้เนื้อมาก และเลี้ยงลูกดี
ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะด้านหน้า หน้าโคสมส่วนกับลาตัว ยาวปานกลาง หน้าผากกว้าง ปานกลาง เลี้ยงแล้วจะโตเร็วหน้าผากนูนเนื้อจมูกหนา รูจมูกแบนใหญ่จะทนต่อการทางาน ทนแดด เนื้อจมูกใหญ่จะกินเก่ง รูจมูกกลมจะเลี้ยงง่ายปากกว้างใหญ่เท่าจมูก จะกินเก่งกินได้มาก เลี้ยงง่ายโตเร็ว ตากลมโต แจ่มใส จะเลี้ยงเชื่อง ไม่ดื้อ ใบหูยาวและใหญ่ คอลักษณะยาวและใหญ่ให้เนื้อมาก เลี้ยงง่าย คอสั้น จะกินเก่งดูอ้วน ฟันขาวเสมอกันไม่แตกไม่หัก จะกินเก่ง โตเร็วไหล่เต็มหนา กว้าง และสูงเล็กน้อย จะมีกล้ามเนื้อมาก เนื้อดี อกกว้างเป็นลักษณะดี ให้เนื้อมากเหนียงคอ หย่อนยาน ขาหน้าใหญ่เหยียดตรง ไม่เกหรือไม่ถ่าง กระดูกขาใหญ่ จึงจะโตดี มองจากด้านข้างและด้านหลังข้อขาใหญ่เป็นลักษณะดีให้เนื้อมากกีบหน้ากลมใหญ่ แข็งแรง กางออกได้สัดส่วน ปลายเล็บแนบชิดไม่เกย ลักษณะด้านข้าง ลาตัว ใหญ่ กว้าง สูง ยาวเสมอจากหน้าไปหลัง มองจากด้านข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซี่โครงจับสูง โคตัวผู้ตะโหนกจะใหญ่หนาเป็นลักษณะดีให้เนื้อมาก ถ้าตัวเมียตะโหนกจะเล็ก โคหนังหนาถ้าขุนขายจะได้น้าหนักดี เลี้ยงง่ายโตเร็ว อายุยืน ขนยาว ปานกลาง ไม่ยาวเกินไป จะโตเร็ว เลี้ยงง่ายกว่า ขนถี่ กินหญ้าไม่เลือก ขนเรียบ ขนบาง ขนสั้น จะทนร้อนได้ดี ท้องกลม ใหญ่ปานกลาง ไม่หย่อนมาก โค้งเหมือนเรือสาเภา เป็นลักษณะดี เลี้ยงลูกดี สวาบเล็ก ไม่กว้างและลึกมาก เลี้ยงง่าย โตเร็วเต้านมไม่กว้างมาก มีหัวนมสี่เต้า อยู่ในตาแหน่งที่ห่างพอดีกัน หัวนมไม่ใหญ่เกินไป ลูกอัณฑะใหญ่สมบูรณ์และเท่ากันทั้งสองข้าง ไม่บิดเบี้ยว ไม่หย่อนยาวมาก ลึงค์ใหญ่ยาวสมส่วน ปลายลึงค์หย่อนปานกลาง เหมาะในการผสมพันธุ์ ลึงค์คด บิดเบี้ยว ผสมพันธุ์ยากสะดือ (ในเพศเมีย) ไม่หย่อนยานเป็นถุง ลักษณะด้านท้ายโคนขาหลังใหญ่ จะมีเนื้อมาก ขาแข็งแรง ขาไม่โก่ง ขาหลังของเพศผู้จะใหญ่กว่าขาหน้าเล็กน้อยและใหญ่กว่าขาเพศเมีย โคนหางใหญ่ ข้อหางถี่ สมดุล หางยาวเลยเข่าหลัง ปลายหางเป็นพู่สวยงาม และโคที่มีโคนหางใหญ่เต็มเบ้า พู่หางใหญ่ จะเลี้ยงง่ายโตเร็ว สะโพก กว้างและลึก มีเนื้อแน่นเต็ม ถ้ามีกระดูกสะโพกใหญ่ จะให้เนื้อสะโพกมาก อวัยวะเพศเมียมีความสมบูรณ์ ใหญ่สมส่วนกับลาตัว เป็นรูปสามเหลี่ยม รูปใบพลู ใบโพ จะเลี้ยงง่าย คลอดลูกง่าย เลี้ยงลูกเก่ง กีบหลังยาวกว่ากีบหน้าเล็กน้อย กีบเสมอกัน ไม่ยาวไม่สั้น ดูกลม แนบชิด คล้ายกีบม้า ลักษณะด้านบนแนวสันหลังขนานกับพื้นท้อง หลังกว้าง ยาว ตรง ไม่โค้ง ไม่แอ่น เป็นลักษณะที่ดี มีเนื้อสันมาก
2557-07-14T00:00:00Zการควบคุมสารละลายในการผลิตผักไร้ดิน
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2765
การควบคุมสารละลายในการผลิตผักไร้ดิน
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ; chanpenkun, lertpoom
การปลูกพืชไร้ดิน เป็นการปลูกพืชแบบหนึ่งซึ่่งเป็นที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน สามารถปลูกพืชได้ในทุกสถานที่โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะปลูกจำนวนน้อยหรือการปลูกแบบเศรษฐกิจเชิงการค้า สามารถใช้เทคนิคการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินกับพืชได้แทบทุกชนิด ตั้งแต่ผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชไม้เลื้อย จนถึงพืชยืนต้น แต่ส่วนมากนิยมปลูกกับพืชผัก ไม้ผลที่มีระยะเก็บเกี่ยวในช่วงอายุสั้น การปลูกพืชไร้ดินสามารถหลีกเลี่ยงสภาวะต่าง ๆ ที่ไม่อำนวยในสภาพการผลิตจากวิธีการปลูกพืชโดยทั่ว ๆ ไป อาทิเช่น สภาพดินที่ไม่เหมาะสม ดินเค็ม ดินเปรี้ยว สภาพอากาศ ฤดูกาล รวมถึงการขยายตัวของชุมชนทำให้พื้นที่ทาการเกษตรลดลง และราคาที่ดินสูงขึ้น นอกจากนี้การปลูกพืชไร้ดินยังสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างถูกต้องและแน่นอนจึงทาให้ผลผลิตและคุณภาพของพืชที่ปลูกแบบไร้ดินสูงกว่าการปลูกพืชในดิน ยิ่งไปกว่านั้นการปลูกพืช
ไร้ดินยังประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเตรียมดินและกาจัดวัชพืชก่อนการเพาะปลูกเกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ต่อเนื่องตลอดปีในพื้นที่เดิม โดยไม่มีปัญหาการทาลายสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินมาเกี่ยวข้อง ในเรื่องการตลาดเกษตรกรสามารถควบคุมคุณภาพ ปริมาณของผลผลิตให้ได้ตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวโน้มว่าการปลูกพืชไร้ดินจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรของประเทศไทย
2557-05-12T00:00:00Zสื่อPower pointประกอบการสอนรายวิชาการจัดสวนและการตกแต่งสถานที่
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2764
สื่อPower pointประกอบการสอนรายวิชาการจัดสวนและการตกแต่งสถานที่
จันทรเพ็ญกุล, เลิศภูมิ
สวนถาด หมายถึงการจัดจำลองทิวทัศน์ธรรมชาติด้วยการย่อส่วนธรรมชาติลงในภาชนะ ที่มีพื้นที่จำกัด เช่นการปลูกพืชให้เกิดความสวยงามโดยใช้หลักการทางศิลปะลงในภาชนะก้นตื้นปากกว้างหรือกระถางแบน จะเป็นเรื่องราวอะไรก็ได้ตามประสบการณ์ที่เราเคยเห็น เคยรู้ รวมทั้งเรื่องราวที่เราผูกเรื่องขึ้นมาเองตามจินตนาการของเรา เช่นเรื่องราวของสวนสาธารณะ เรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของชนบท โดยเปิดโอกาสให้ผู้จัดได้ใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์และหลากหลายไม่มีที่สิ้นสุด
ผลของนํ้าส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุของข้าวหอมมะลิ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2729
ผลของนํ้าส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุของข้าวหอมมะลิ
วัฒนพายัพกลุ, วนิดา
ศึกษาการใช้น้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอกต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพเมล็ดพันธ์ุข้าวหอมมะลิ2 พันธ์ุ ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 และ กข15 ทำการปลูกในเรือนทดลอง โดยทำการทดลอง 6 กรรมวิธี คือ 1. ไม่ใช้น้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอก (ควบคุม) 2. น้ำส้มควันไม้เจือจาง (300 เท่า) 3. มูลไก่ 300 กก. ไร่-1 4. มูลโค 1,000 กก. ไร่-1 5. น้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลไก่ 300 กก. ไร่-1 และ 6. น้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลโค 1,000 กก. ไร่-1 วางแผนการทดลองแบบ2x6 Factorial in randomized complete block design มี 4 ซ้ำ โดยศึกษาอิทธิพลของ 2 ปัจจัย ดังนี้ปัจจัยที่ 1 เป็นพันธ์ุข้าว และปัจจัยที่ 2 เป็นการจัดการปุ๋ยและน้ำ ส้มควันไม้ การพ่นน้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลโค 1,000 กก. ไร่-1 ทำให้ข้าวกข15 และขาวดอกมะลิ 105 มีความสูง จำนวนหน่อต่อกอ และน้ำหนักเมล็ดดีเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพ่นน้ำส้มควันไม้เจือจาง และมูลไก่ 300 กก. ไร่-1 ทำให้ข้าว กข15 และขาวดอกมะลิ 105 มีผลผลิตมากถึง 224.5 ก. กระถาง-1ซึ่งสูงกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพ่นน้ำส้มควันไม้และปุ๋ยคอกไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความงอกและความแข็งแรงของเมล็ดพันธ์ุ
2015-08-04T00:00:00Zการพัฒนารูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของเกษตรกรรายย่อยในลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยกระบวนการมีส่วนร่วม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2711
การพัฒนารูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของเกษตรกรรายย่อยในลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยกระบวนการมีส่วนร่วม
กิตติชัยศรี, ดำรง; ภาณุรัตน์, อัจฉรา; สว่างทัพ, จรัส; สมคุณา, นฤมล
การพัฒนารูปแบบการเลี้ยงสุกรพื้นเมืองตามปรัช ญาของเศรษฐกิจพอเพียงงของเกษตรกรรายย่อยในล่มุน้ำโขงตอนล่างโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง เลือกพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงจากบ้านสี่เหลี่ยมใหญ่ตำบลหนองบัวโคก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และบ้านหลักสิบเก้า แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย การสังเกต การสัมภาษณ์ การจัดเวทีร่วมมือด้วยเทคนิค A-I-C การศึกษาดูงาน การทำ SWOT analysis และการทดลองเลี้ยงซึ่งใช้แบบ CRD มี 3 ทรีตเมนต์ของระดับโปรตีนในสูตรอาหารและ4 ซ้ำเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยวิธี lsd และยืนยันความเห็นโดยค่าเฉลี่ยของแบบสอบถาม ผลการวิจัย พบว่า บริบทด้านบวก
ได้แก่ บ้านสี่เหลี่ยมใหญ่มีพืชอาหารสัตว์หลายชนิด อยู่ใกล้แหล่งไส้ปลา มีโรงสีชุมชน มีเกษตรกรปลูกมันสำปะหลังชาวบ้านเห็นว่า เลี้ยงง่าย ลงทุนน้อย เพื่อเป็นอาหารและขาย บริบทด้านลบได้แก่ การให้อาหารไม่เหมาะสม ไม่คัดเลือกพันธุ์ ไม่ป้องกันโรค ราคาขายต่ำ และประสบการณ์ความล้มเหลวของกลุ่มในหมู่บ้าน กรณีบ้านหลักสิบเก้าไม่มีปัญหาตลาดแต่การมีส่วนร่วมในชุมชนมีจำกัด ซึ่งรูปแบบที่พัฒนาขึ้นคือ การจัดตั้งกลุ่ม สมาชิกมีคุณสมบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงเพื่อบริโภค จำหน่าย และได้ปุ๋ยคอก ใช้พันธุ์ผสม ใช้คอกหลุม เลี้ยงสุกร 1-2 แม่ สุกรขุน 3 ตัวพ่อพันธุ์ใช้ร่วมกัน ไม่ผสมเลือดชิด อาหารสุกรใช้รำ กระถินแห้ง มันเส้น และไส้ปลาหมัก สุกรขุนใช้โปรตีนร้อยละ 10-12แม่พันธุ์ใช้โปรตีน ร้อยละ 9-10 เสรมิ พชื อาหารสัตว์ ให้ววัคซีนอหิวาต์สกุร ถ่ายพยาธิ สร้างเครือข่าย และพัฒนาอย่างต่อเนื่องคำสำคัญ: การเลี้ยงสุกรพื้นเมือง, ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, การมีส่วนร่วม, ลุ่มน้ำโขง
2544-01-01T00:00:00Zผลการเสริมกวาวเครือขาว ขมิ้นชัน และฟ้าทะลายโจรในอาหารต่อ สมรรถนะการผลิตของไก่กระทง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2703
ผลการเสริมกวาวเครือขาว ขมิ้นชัน และฟ้าทะลายโจรในอาหารต่อ สมรรถนะการผลิตของไก่กระทง
สมคุณา, เอกสิทธิ์; ทิพย์เกียรติกุล, ชาญณรงค์; สายกระสุน, กนกวรรณ; สมคุณา, นฤมล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเสริมกวาวเครือขาว ขมิ้นชัน และฟ้าทะลายโจร ในรูปเชิงเดี่ยวและผสมกันที่ระดับต่างๆ ต่อสมรรถภาพการเจริญเติบโตและคุณภาพซากในไก่กระทง อายุ 21 วัน จำนวน 192 ตัว น้ำหนักเฉลี่ย 0.69±0.22 กรัม ให้ได้รับสูตรอาหารทดลองจำนวน 8 ทรีทเมนต์ ทรีทเมนต์ละ 4 ซ้ำๆ ละ 6 ตัว อาหารทดลองประกอบด้วยสูตรอาหารกลุ่มไม่เสริมสมุนไพรเป็นกลุ่มควบคุม (T1), กลุ่มที่เสริมกวาวเครือขาวร้อยละ 1 (T2), ขมิ้นชันร้อยละ 0.1(T3), ฟ้าทะลายโจรร้อยละ 0.2 (T4), กวาวเครือร้อยละ 1 และขมิ้นชันร้อยละ 0.1 (T5), กวาวเครือขาวร้อยละ 1 และฟ้า
ทะลายโจรร้อยละ 0.2 (T6), ขมิ้นชันร้อยละ 0.1 และฟ้าทะลายโจรร้อยละ 0.2 (T7) และกวาวเครือขาวร้อยละ 1, ขมิ้นชันร้อยละ 0.1 และฟ้าทะลายโจรร้อยละ 0.2 (T8) ทำการศึกษาเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยเริ่มการเก็บข้อมูลตั้งแต่อายุ3 – 6 สัปดาห์ เก็บข้อมูลน้ำหนักเมื่อสิ้นสุดการทดลอง อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน อัตราการเปลี่ยนอาหาร เปอร์เซ็นต์ซาก และกำไรต่อตัว โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design, CRD) วิเคราะห์ค่าความแปรปรวน (Analysis of variance, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี Duncan’s new multiple rangetest (DMRT) จากผลการศึกษาที่พบว่าไก่กระทงที่ได้รับอาหารที่เสริมด้วยกวาวเครือขาวที่ร้อยละ 1 และขมิ้นชันร้อยละ0.1 มีน้ำหนักเมื่อสิ้นสุดการทดลอง น้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย และอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน เปอร์เซ็นต์ซาก และกำไรต่อตัวสูงกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่อัตราการเปลี่ยนอาหารน้อยที่สุด โดยไม่แตกต่างจากกลุ่มอื่น (P>0.05) และสมรรถภาพการผลิตจะสูงกว่าไก่กระทงที่ได้รับกวาวเครือขาวร้อยละ 1.0 และฟ้าทะลายโจรร้อยละ 0.2 (P<0.05) สรุปได้ว่าอาหารที่เสริมด้วยกวาวเครือขาวที่ระดับร้อยละ 1 และขมิ้นชันที่ระดับร้อยละ 0.1 มีผลทำให้สมรรถภาพการผลิตและคุณภาพซากของไก่กระทงดีที่สุด
2558-01-01T00:00:00Zการเสริมกวาวเครือขาวในสูตรอาหารที่มีระดับโปรตีนต่างกันต่อสมรรถภาพการผลิตของ ไก่พื้นเมืองลูกผสม
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2697
การเสริมกวาวเครือขาวในสูตรอาหารที่มีระดับโปรตีนต่างกันต่อสมรรถภาพการผลิตของ ไก่พื้นเมืองลูกผสม
สมคุณา, นฤมล; สว่างทัพ, จรัส; ทับเจริญ, สมโภชน์; อินทชัย, วิพจน์; กางทาสี, จีระศักดิ์
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเสริมกวาวเครือขาวในสูตรอาหารที่มีระดับโปรตีนต่างกัน ต่อ
สมรรถภาพการเจริญเติบโตของไก่พื้นเมืองลูกผสม ที่มีอายุ 30 วัน จำนวน 180 ตัว ใช้แผนการทดลองแบบ 2X3 Factorial in CRD โดยสุ่มไก่เข้าการทดลอง ทรีทเมนต์ละ 3 ซ้ำๆ ละ 10 ตัว ให้ได้รับสูตรอาหารทดลองจำนวน 2 สูตร (ปัจจัยที่ 1) คือ อาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 14.0 และ 20.7 เสริมด้วยกวาวเครือขาวที่ระดับร้อยละ 0, 0.5 และ 1.0 (ปัจจัยทีW 2) ทำการศึกษาเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ทำการเก็บข้อมูลอัตราการเจริญเติบโต อัตราการเปลี่ยนอาหาร และเปอร์เซ็นต์ซาก ทำการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี Duncan ‘s new Multiple Range test (DMRT) พบว่าไก่พื้น เมืองลูกผสมทได้รับอาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 20.7 มีอัตราการเจริญเติบโต และอัตราการเปลี่ยนอาหารดีกว่าไก่ที่ได้รับอาหารที่มีระดับ
โปรตีนร้อยละ 14.0 (P<0.05) โดยมีค่าเท่ากับ 18.62 กรัมต่อตัวต่อวัน และ 2.37 ส่วนเปอร์เซ็นต์ซากไม่แตกต่างกัน (P>0.05) แต่เปอร์เซ็นต์ซากของไก่ที่ได้รับอาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 20.7 และเสริมกวาวเครือขาวที่ระดับร้อยละ 0.5 มีค่าสูงที่สุดเท่ากับ 84.75 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่แตกต่างจากกลุ่มอื่น (P>0.05) จากการทดลองสรุปได้ว่าอาหารที่มีระดับโปรตีนร้อยละ 20.7 และเสริมด้วยกวาวเครือที่ร้อยละ 1.0 ให้ผลดีที่สุดต่ออัตราการเจริญเติบโตต่อวัน และอัตราการเปลี่ยนอาหารของไก่พื้นเมืองลูกผสม
2556-01-01T00:00:00Zการศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยการใช้การจัดการความรู้ กรณีศึกษา: กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสี่เหลี่ยมเจริญ ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2693
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยการใช้การจัดการความรู้ กรณีศึกษา: กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสี่เหลี่ยมเจริญ ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
สว่างทัพ, จรัส
การศึกษาการพัฒนาการประกอบอาชีพเลี้ยงโคขุน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยการใช้การจัดการความรู้ กรณีศึกษา:กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อบ้านสี่เหลี่ยมเจริญ ตำบลแสลงพัน อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็ นการศึกษาเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเลี้ยงโคเนื้อของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยวิธีการจัดการความรู้ 3) เพื่อศึกษาการพัฒนาการของการประกอบอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยใช้ดัชนีชี้วัดในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อบ้านสี่เหลี่ยมเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลแสลงพัน อำเภอ ลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 12 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง เครื่องมือวิจัยที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การสังเกต การอภิปรายกลุ่มและการจัดการความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อ หาและการใช้แผนที่ความคิด ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อบ้านสี่เหลี่ยมเจริญ มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 คน มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนที่ใช้แรงงานเฉลี่ย 3 คนประกอบทำนาทำไร่เป็นอาชีพหลักและเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้สูงสุด เลี้ยงโคเป็นอาชีพรองอันดับหนึ่ง และรับจ้างเป็นอาชีพรอง
อันดับสอง มีรายได้ต่อคนต่อปี เฉลี่ย 45,972.84 บาท มีรายได้จากการเลี้ยงโคเนื้อ ต่อปี เฉลี่ย 19,750.00 บาท ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อบ้านสี่เหลี่ยมเจริญ พบว่า สมาชิกร้อยละ 75 ได้เข้าร่วมอบรม สมาชิกกลุ่มเข้าใจการใช้ชีวิตพอเพียงระดับมากและมากที่สุดร้อยละ 66.7 เกษตรกรสมาชิกส่วนใหญ่ร้อยละ 75 ได้ดำเนินชีวิตพอเพียงมาแล้ว 1-3 ปี และร้อยละ 50 พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีระดับมาก การพัฒนาศักยภาพการประกอบอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ จากข้อมูลบริบท ข้อมูลปัญหา-อุปสรรคและความต้องการของกลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ บ้านสี่เหลี่ยมเจริญ โดยวิธีการจัดการความรู้ ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการปรับปรุงพันธ์ุ ด้านอาหาร ด้านการจัดการและด้านการตลาด เช่น การอบรมให้ความรู้ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การสนับสนุนด้านนำ\ เชือ\ และเมล็ดพันธ์ุพืชอาหารสัตว์ และการติดตามผล กลุ่มผู้เลี้ยงโคระบุยืนยันระดับขั้นสถานภาพปัจจุบัน และระดับขั้นในอนาคตที่กลุ่มมุ่งหวังจะพัฒนาในช่วง 1 ปี ข้างหน้าจากบันไดความรู้ 5ขั้นของการพัฒนาการเลีี้ยงโคเนื้อ การพัฒนาการของประกอบอาชีพของการเลี้ยงโคเนื้อ 4 ด้านเกี่ยวกับระดับบันไดความรู้ 5 ขั้นเมื่อดำเนินโครงการวิจัยได้ 1 ปี พบว่ากลุ่มบ้านสี่เหลี่ยมเจริญมีการพัฒนาบรรลุระดับที่มุ่งหวังทุกด้าน ส่งผลให้กลุ่มบ้านสี่เหลี่ยม
เจริญได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ให้เป็นกลุ่มต้นแบบของกลุ่มอาชีพขนาดเล็ก กลุ่มบ้านสี่เหลี่ยมเจริญมีทักษะปฏิบัติที่ดีในการเลี้ยงโคเนื้อในด้านการปรับปรุงพันธ์ุ ด้านอาหาร ด้านการจัดการและด้านการตลาด ผลลัพธ์และตัวชี้วัดเฉพาะของการพัฒนาในแต่ละด้าน พบว่าด้านการปรับปรุงพันธ์ุ จำนวนโคเมียที่เข้าสู่โครงการวิจัย จำนวนโคเมียที่ได้รับการผสมเทียม และจำนวนลูกโคที่เกิดบรรลุเป้าหมายของโครงการ ด้านอาหาร จำนวนแปลงหญ้าและการเก็บถนอมพืชอาหารสัตว์และฟางข้าวบรรลุเป้าของโครงการ ด้านการจัดการ มีคะแนนรูปร่างโคเมีย การให้วัคซีนและการถ่ายพยาธิ บรรลุเป้าหมายของโครงการ ส่วนด้านการตลาดตัวชี้วัดดการพัฒนายังไม่บรรลุเป้าหมายของโครงการ เพราะลูกโคผลผลิตของโครงการวิจัยยังมีอายุน้อย ไม่ถึงเกณฑ์ส่งตลาด จึงมีข้อมูลจำนวนโคเข้าสู่ตลาดน้อย ไม่มีการสร้างตลาดโคขุนในท้องถิ่น
2013-01-01T00:00:00Zการศึกษาความหลากหลายและประสิทธิภาพของ เชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ ของมันสำปะหลังในสภาพไร่นา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2690
การศึกษาความหลากหลายและประสิทธิภาพของ เชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ ของมันสำปะหลังในสภาพไร่นา
ณ พัทลุง, นิจพร
เพื่อศึกษาความหลากหลายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา (AMF) ในดินที่ปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทย ท้าการการนับจำนวนสปอร์และศึกษาการเข้าอยู่อาศัยของ AMF จากการทำ pot culture วัดความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ปริมาณฟอสฟอรัสในดิน ปริมาณอินทรียวัตถุในดินเพื่อศึกษาความสัมพันธ์กับจำนวนสปอร์ของ AMF และจากนั้นศึกษาเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง วางแผนการทดลองแบบ CRD 6 วิธีการทดลอง ได้แก่ 1) ไม่ใส่เชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา 2) ใส่เชื้อ Acaulospora sp. 3) ใส่เชื้อ Entrophospora schenkii 4) ใส่เชื้อ Glomus mosseae 5) ใส่เชื้อ Glomus aggregatum and 6) ใส่เชื้อ Scutellospora sp. จำนวน 3 ซ้้า โดยทำการศึกษาการเจริญเติบโตของท่อนพันธุ์มันส้าปะหลัง พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 จากศึกษาวิจัย พบว่า มีเนื้อดินตั้งแต่ดินเหนียวจนถึงดินทราย มีค่า pH อยู่ระหว่าง 4-8 ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ อยู่ระหว่าง 0.06 – 583 mg kg-1 และปริมาณอินทรียวัตถุ อยู่ระหว่าง 0.3-6.2% และพบเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา 18 ชนิด มีปริมาณสปอร์ระหว่าง 0.6 – 15 spores g-1 soil และพบ Glomus sp และ Acaulospora sp. แทบทุกแปลงมันสำปะหลัง และจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณอินทรียวัตถุในดินและปริมาณสปอร์ของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรและความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นกรดเป็นด่างของดินและปริมาณสปอร์ของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา แต่พบว่าปริมาณฟอสฟอรัสในดินแปรผกผันระหว่างและปริมาณสปอร์ของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอย่างมีนัยสำคัญ (p>0.05) ดังสมการ y = -0.0289x + 2.9658 r2 = 0.015* ส่วนเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของมันส้าปะหลังได้แก่ Glomus mosseae และ Glotus aggregatum)
2556-01-01T00:00:00Zสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2689
สภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ประสงค์สุข, โกศล; ณ พัทลุง, นิจพร; จุโฑปะมา, ศิราณี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหาร และครูวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ปีการศึกษา 2558 โดยแยกเป็น ผู้บริหาร จำนวน 140 คน และครูวิชาการ จำนวน 140 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 280 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน แล้วใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่น 0.920 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในแต่ละด้านจะทำการเปรียบเทียบเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ โดยกำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05ผลการวิจัย พบว่า
1. ผู้บริหารและครูวิชาการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดผล ประเมินผล รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการวิจัย ด้านการนิเทศและการแนะแนวการศึกษา และด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้ ตามลำดับ
2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง พบว่าความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนากระบวน การเรียนรู้และการวิจัย ด้านการวัดผล ประเมินผล และด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูวิชาการเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่าโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นเดียวกัน
2559-06-17T00:00:00Zการศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพจากสะเดา ข่า ขิง กระเทียม สาบเสือ และยาเส้น ต่อการกำจัดหนอนกระทู้หอมในผักคะน้า
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2688
การศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพจากสะเดา ข่า ขิง กระเทียม สาบเสือ และยาเส้น ต่อการกำจัดหนอนกระทู้หอมในผักคะน้า
ชลพิมาย, ปภาดา; มาศรักษา, ศุภลักษณ์; ณ พัทลุง, นิจพร
การศึกษาผลของน้ำหมักสูตรจากสะเดา หัวข่า ขิง กระเทียม สาบเสือ ยาเส้นอัตราต่างๆ ต่อการกำจัดหนอนกระทู้หอมในผักคะน้า ดำเนินการทดลอง ณ บ้านพัฒนา ต้าบลลำปลายมาศ อ้าเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 กันยายน 2555 โดยปลูกผักคะน้า (ยอด) พันธุ์บิ๊ก 456 จำนวน 5 วิธี 3 ซ้ำดังนี้ 1) ไม่ใช้น้้าหมักชีวภาพ 2) ใช้น้้าหมักชีวภาพอัตรา 0.5 ลิตร ต่อน้้า 100 ลิตร 3) ใช้น้้าหมักชีวภาพอัตรา 0.75 ลิตร ต่อน้้า 100 ลิตร 4) ใช้น้้าหมักชีวภาพอัตรา 1 ลิตร ต่อน้้า 100 ลิตร 5) ใช้สารเคมีคาร์โบซัลแฟน 5 ซีซีต่อน้้า 20 ลิตร วิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย (DMRT) ของการเข้าทำลายของหนอนกระทู้หอม ความสูง จำนวนใบ เมื่อผักคะน้าอายุ 45 วันหลังปลูก น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้ง หลังทำการเกี่ยวอายุ 45 วัน จากผลการทดลองพบว่าการใช้น้้าหมักชีวภาพจากสะเดา หัวข่า ขิง กระเทียม สาบเสือ ยาเส้น มีผลต่อการเข้าทำลายของหนอนกระทู้หอมและจำนวนใบผักคะน้าอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ขณะที่ไม่มีผลต่อความสูง น้้าหนักสดและ น้้าหนักแห้ง ของผักคะน้า (p>0.05) โดยการใช้น้้าหมักชีวภาพในอัตราส่วน 0.75 ลิตร ต่อน้้า 100 ลิตร ลดการเข้าทำลายของหนอนกระทู้หอมได้ดีกว่าการใช้คาร์โบซัลแฟน 5 ซีซีต่อน้้า 20 ลิตร ดังนั้นสามารถนำน้ำหมักชีวภาพจากสะเดา หัวข่า ขิง กระเทียม สาบเสือ ยาเส้น มาใช้แทนสารเคมีเพื่อลดต้นทุนในการผลิตได้ อย่างไรก็ตามการใช้น้ำหมักชีวภาพสูตรนี้ ไม่มีผลในการช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของผักคะน้าแต่อย่างใด (p>0.05) ดังนั้นควรน้ำสกัดสูตรนี้ร่วมกับปุ๋ยในการผลิตผักคะน้า
2555-09-30T00:00:00Zผลของอัตราปุ๋ยซิลิกอนต่อการควบคุมโรคไหม้และผลผลิตข้าวอินทรีย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2687
ผลของอัตราปุ๋ยซิลิกอนต่อการควบคุมโรคไหม้และผลผลิตข้าวอินทรีย์
สำราญรัมย์, วนิดา; พลธานี, อนันต์; ศิริ, บุญมี; ณ พัทลุง, นิจพร
โรคไหม้เป็นโรคที่สำคัญในข้าว เกิดการแพร่ระบาดกันอย่างรวดเร็ว วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาผลของการใส่ปุ๋ยซิลิกอนอัตราต่างกันที่มีต่อความสามารถต้านทานโรคไหม้และผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทำการทดลองที่เรือนทดลองโรคพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วางแผนการทดลองแบบ Factorial in Randomized Block Design จำนวน 4 ซ้ำ ปัจจัยที่ 1 ได้แก่ เนื้อดิน(soil texture) ต่างกันคือ ดินทรายและดินร่วนปนทราย ปัจจัยที่ 2 ได้แก่ อัตราการใส่ปุ๋ยซิลิกอน 0, 40, 80 และ 160 กิโลกรัมต่อไร่ ทุกกรรมวิธีใส่มูลวัวอัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ทดสอบความต้านทานต่อโรคไหม้เมื่อข้าวอายุ 20 วัน โดยใช้ foggy sprayer พ่น inoculums ให้ทั่วใบข้าวและบ่มต้นข้าวในสภาพมืดที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง แล้วจึงย้ายต้นข้าวไปเก็บรักษาในโรงเรือนที่มีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ 95 % เป็นเวลา 7 วันและดูแลรักษาในโรงเรือนระยะกล้าจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างกันของความต้านทานโรคไหม้ระหว่างเนื้อดินทรายและดินร่วนปนทราย การใส่ปุ๋ยซิลิกอนสามารถทำให้ข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีความต้านทานโรคใบไหม้และคอรวงไหม้ได้เมื่อเปรียบเทียบกับที่ไม่ใส่ปุ๋ยซิลิกอน การใส่ปุ๋ยซิลิกอนอัตรา 40, 80 และ 160 กิโลกรัมต่อไร่ไม่มีผลทำให้ค่า severity index (%) มีความแตกต่างกันทางสถิติ การใส่ปุ๋ยซิลิกอนทุกอัตราเพิ่มผลผลิตเมล็ดข้าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับไม่ใส่ปุ๋ยซิลิกอน การใส่อัตรา 160 กิโลกรัมต่อไร่ได้ผลผลิตเมล็ดสูงสุด การปลูกข้าวในดินร่วนปนทรายได้ผลผลิตสูงกว่าปลูกในดินทรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2554-01-02T00:00:00Zผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากกิ่งปักชามะนาว
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2686
ผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากกิ่งปักชามะนาว
แก้วศรี, นิวัฒน์; แก้วมี, สุชาติ; รัตนวรรณ, คมสันต์; ณ พัทลุง, นิจพร
การศึกษาผลของกะปิ เครื่องดื่มชูกาลังและวิตามินบี 1 ต่อการเร่งรากของกิ่งปักชำมะนาว โดยการใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุปักชำ ดำเนินการวิจัยที่บ้านเลขที่ 435/48 หมู่บ้านจิระนคร ตำบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 31000 ระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม 2555 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม 2555 วางแผนการทดลองแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ (CRD : Completely Randomized Design) จำนวน 5 วิธีการทดลอง จำนวน 20 ซ้า ดังนี้ 1) วิตามินบี 1 ยี่ห้อ A 2) วิตามินบี 1 ยี่ห้อ B 3) เครื่องดื่มชูกำลัง (คาราบาวแดง) 4) การจุ่มในสารละลายกะปิ 5) การป้ายกะปิ บันทึกจำนวนรากและความยาวของราก หลังการปักชากิ่งมะนาว 30 วัน จากนั้นทำการวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดยวิธี DMRT จากผลการทดลองพบว่าการใช้ วิตามินบี 1 ทั้งสองยี่ห้อ คาราบาวแดง และกะปิ ทาให้จำนวนรากและความยาวของรากของกิ่งปักชามะนาวแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญยิ่งทางสถิติ (p<0.01) โดยการใช้ วิตามินบี 1 ยี่ห้อ A ทำให้รากของกิ่งปักชำมะนาวมีการเจริญเติบโตดีที่สุด ทั้งจำนวนรากและความยาวราก รองลงมาได้แก่ วิตามินบี 1 ยี่ห้อ B, การป้ายกะปิ, สารละลายกะปิ และการใช้คาราบาวแดง ตามลาดับ อย่างไรก็ตามพบว่าการเจริญเติบโตของรากกิ่งปักชำมะนาวไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p>0.05) เมื่อใช้ วิตามินบี 1 ทั้งสองยี่ห้อและการใช้กะปิโดยวิธีการป้ายที่กิ่งปักชำนั้น อาจกล่าวได้ว่าสามารถใช้กะปิซึ่งมีราคาถูกกว่าทดแทนการใช้วิตามินบี 1 ในการเร่งรากกิ่งปักชำมะนาวได้
2555-08-20T00:00:00Zการใช้กะปิเป็นสารเร่งรากในการตัดชากิ่งเข็ม ชาดัด และเทียนทอง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2681
การใช้กะปิเป็นสารเร่งรากในการตัดชากิ่งเข็ม ชาดัด และเทียนทอง
หอมจันทร์, ธเนศ; โกเมน, อนุสรณ์; แก้วประสงค์, คารน; ณ พัทลุง, นิจพร
ศึกษาการใช้กะปิเป็นสารเร่งในการปักชำกิ่งเข็ม ชาดัดและเทียนทอง เพื่อหาความเข้มข้นที่เหมาะสมของกะปิต่อความยาวและจำนวนของรากพืชดังกล่าว ทำการปักชำเข็มาดัด และเทียนทอง ที่โรงเรือนเพาะชำ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2553 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2554 ในแกลบดำผสมกับดินในอัตราส่วน3:1 วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์(CRD) 5 วิธีการทดลอง 40 ซ้ำ ได้แก่ 1) น้ำเปล่า 2) สารเร่งNAA1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร 3) กะปิ 2 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร 4)สารละลายกระปิ 4 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร และ 5) สารละลายกะปิ 6 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร จากนั้นวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยวิธี DMRT ของความยาวรากและจำนวนรากเมื่ออายุ 30 วันและ 35 วัน หลังจากปักชำ จากผลการทดลองพบว่า การใช้สารละลายกะปิมีผลต่อความยาวของรากกิ่งชำเข็ม กิ่งชำชาดัด และจำนวนรากของกิ่งชำเทียนทองอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง (p<0.01) ขณะที่การใช้สารละลายกะปิไม่มีผลต่อความยาวรากของกิ่งชำเทียนทอง(p>0.05) โดยการใช้กะปิ 6 กรัม ต่อน้ำ 1ลิตร จำทำให้ความยาวและจำนวนรากเข็ม รวมทั้งจำนวนรากเทียนทองมากที่สุด ขณะที่การใช้สารเร่ง NAA จะทำให้จำนวนรากเทียนทองและชาดัดมากที่สุดสำหรับการใช้น้ำเปล่านั้นจำทำให้ชาดัดมีความยาวรากมากที่สุด จากผลการทดลองจะเห็นได้ว่าสามารถใช่สารละลายกะปิทดแทนสารเร่ง NAA ในการปักชำรากเข็ม ชาดัดและเทียนทองได้
2545-07-22T00:00:00Zการวิเคราะห์ความคุ้มทุนของการใช้ปุ๋ยผสมเอง ในการผลิตผักกาดฮ่องเต้
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2668
การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของการใช้ปุ๋ยผสมเอง ในการผลิตผักกาดฮ่องเต้
ณ พัทลุง, นิจพร; สิริชัยเวชกุล, สิริพร; ช่วงชัย, วรนิษฐา; เสาวณี, ชาติเพชร
การศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนของการใช้ปุ๋ยผสมเองในการผลิตผักกาดฮ่องเต้เมื่อใช้สิ่ง
ทดลองชนิดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) ไม่ใส่ปุ๋ย 2) ปุ๋ยคอกอัดเม็ด อัตรา 1,000 กก./ไร่ 3) ปุ๋ยเคมี
สูตร 20-10-10 อัตรา 30 กก./ไร่ 4) ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยคอกแล้วจึงอัดเม็ดสูตร 20-10-10 อัตรา 30 กก./ไร่และ 5) ปุ๋ยเคมีเสริมปุ๋ยคอกอัดเม็ด สูตร 20-10-10 อัตรา 30 กก./ไร่ ณ ศูนย์ฝึกอบรมและวิจัย
ทางการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549-มกราคม
2550 วางแผนการทดลองแบบ RCBD จำนวน 4 ซ้ำ วิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบ
เทียบค่าเฉลี่ยของความสูง ค่าเฉลี่ยของจำนวนใบ ค่าเฉลี่ยของเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นและน้ำหนัก
สดของผักกาดฮ่องเต้ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปพบว่าการใช้ปุ๋ยประเภทต่าง ๆ ทำให้ผักกาดฮ่องเต้มี
การเจริญเติบโตและผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ยกเว้นการใส่ปุ๋ยคอก 1,000 กก./ไร่ โดย
การใส่ปุ๋ยเคมี 20-10-10 อัตรา 30 กก./ไร่ ทำให้ผักกาดฮ่องเต้มีการเจริญเติบโตและผลผลิตมาก
ที่สุด รองลงมาได้แก่การใส่ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยคอกอัดเม็ด การใส่ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยคอกแล้วจึงอัดเม็ดตาม
ลำดับ และการผสมปุ๋ยใช้เองสามารถลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้ โดยต้นทุนการผสมปุ๋ยเคมี
ใช้เองสูตร 20-10-10 มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อปุ๋ยเคมีตามท้องตลาด
การผสมปุ๋ยเคมีใช้เองมีต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 10.35 บาท ในขณะที่ปุ๋ยเคมีตามท้องตลาดกิโลกรัมละ 20 บาท จะเห็นได้ว่าโดยการใช้ปุ๋ยเคมีผสมเองมีความคุ้มทุนในการผลิตผักกาดฮ่องเต้
มากที่สุด อย่างไรก็ตามการใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันระยะเวลานานจะทำให้ลักษณะทางกายภาพของดิน
เสื่อมลงส่งผลให้ผลผลิตพืชลดลง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยคอกเสริมลงไปในปุ๋ยผสมอย่างต่อเนื่องก็จะ
เป็นการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินได้อีกทางหนึ่งด้วย
อาจารย์สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นักศึกษาสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
2009-01-01T00:00:00Zผลของเชื้อรา Arbuscular Mycorrhizal ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ของข้าวโพดฝักอ่อน (Zea mays Linn.) ในดินโครงกระดูกภายใต้ดินที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2660
ผลของเชื้อรา Arbuscular Mycorrhizal ต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต ของข้าวโพดฝักอ่อน (Zea mays Linn.) ในดินโครงกระดูกภายใต้ดินที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
คุณดารัมย์, ชัชชาวลย์; ณ พัทลุง, นิจพร
Effects of Arbuscular mycorrhizal fungi (AMF) on baby corn growth was studied to observe how AMF promoting baby corn. The experiment was set at Faculty of Agriculture Technology, Buriram Rajabhat University. The CRD was designed for this experiment with 5 treatments namely 1) no AMF inoculation 2) inoculated with Glomus sp 2 3) inoculated with Glomus sp 3 4) inoculated with Glomus mosseae and 5) recommended rate of chemical fertilizer using 15-15-15 and 46-0-0. ANOVA and mean comparison using DMRT was analyzed for height, number of leaf, yield, fresh weight and dry weight using DMRT SPSS v 11. AMF colonization was also examined in baby corn root after harvesting. AMF application showed no significantly (p>0.05) increase of baby corn height, number of leaf, fresh weight and dry weight while chemical fertilizer application showed highly significant (p<0.01) increase growth of baby corn. Glomus mosseae showed trend to increase baby corn growth more than Glomus sp 3 and Glomus sp 2 while Glomus sp 2 showed trend to increase baby corn yield more than other. However all of AMF, Glomus sp 2, and Glomus sp 3, showed low colonization (1-5%) in baby corn root under skeletal soil natural condition. The result showed that AMF should not be used as biofertilizer to promote baby corn growth in skeletal soil under natural condition.
2010-08-01T00:00:00Zผลของเชื้อราอัลบัสคูล่าร์ไมคอร์ไรซ่าต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปีย์สายพันธุ์ปากช่อง1
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2616
ผลของเชื้อราอัลบัสคูล่าร์ไมคอร์ไรซ่าต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปีย์สายพันธุ์ปากช่อง1
Siriporn Sirichaiwetchakul, Siwaporn Paengkoum and Nidchaporn Nabhadalung
Study on arbuscular mycorrhizal fungi (AMF) to promote lrfyy cgy nutritive values zf Napier
grzgn kcP 1 (Pennisetum purpureum cv. pakchong 1). The experiment was conducted at Agricultural Research and Training Center 100 rai, Nakorn Rachasima Rajabhat University, Amper Muang, Nakorn Rachasima Province during November 2014 to March 2015. The pot experiment design was RCBD with four treatments and four replications namely 1) control (no AMF inoculated and no urea fertilizer applied) 2) commercial AMF inoculated 3) 20kg/rai urea applied and 4) combination between commercial AM fungi and 20kg/rai urea fertilizer application. The commercial AMF could promote number of tillers per plant (p<0.05) and dry matter (p<0.01), while plant height (P>0.05), the number of leaf per stem (P>0.05), fresh weight (P>0.05) and dry weight (P>0.05) were opposite comparing with control. For chemical composition, AMF decreased of NDF (P<0.05) and ADF (P<0.05). Using of AMF was not increase in crude protein of Napier Pak Chong 1 compared with control. Application of urea fertilizer was higher promote growth and yield of Napier Pak Chong 1 more than other treatment. However, commercial AMF used decreased in dry matter (p<0.01). In addition the combination of commercial AMF and urea fertilizer increased in crude protein of Napier Pak Chong 1. The result indicated that arbuscular mycorrhizal fungi possibly used as biofertilizer for Napier Pak Chong 1. And the more future work will needed
2016-09-28T00:00:00Zผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2615
ผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา
ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์, นิจพร ณ พัทลุง
ศึกษาผลของเชื้อราอาบัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาต่างชนิดต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดา ทาการศึกษาระหว่างเดือนธันวาคม 2555 ถึงเดือนกรกฎาคม 2556 ณ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อ. เมือง จ. บุรีรัมย์ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (CRD) จานวน 6 วิธีการทดลอง 16 ซ้า ได้แก่ (1) Glomus sp.1+Glomus sp.2+ Glomus mosseae (2) Glomus sp.1 (3) Glomus sp.2 (4) Gloms mosseae (5) Acualospora sp. (6) Scutellospora sp. โดยปลูกกล้าเชียงดาจากการปักชา พบว่าเชื้อราต่างชนิดกันมีผลต่อการเจริญเติบโตของผักเชียงดาแตกต่างกันไป เมื่ออายุ 30 วันหลังปลูก การใส่ Scutellospora sp. ทาให้ผักเชียงดามีจานวนยอดมากที่สุดและการใส่ Acualospora sp.ทาให้ผักเชียงดามีความยาวยอดมากที่สุดเมื่ออายุ 120 วันหลังปลูก การใส่ Glomus sp.1 ทาให้ผักเชียงดามีจานวนยอดมากที่สุดแต่พบว่าการใช้Acualospora sp.มีแนวโน้มทาให้ผักเชียงดามีจานวนใบ ความยาวยอดเมื่ออายุ 120 วันหลังปลูก และน้าหนักยอด มากกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ ซึ่งเชื้อราแต่ละชนิดมีความสามารถในการเข้าอยู่อาศัยในรากผักเชียงดาได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญยิ่ง (p<0.01) โดย G. mosseae จะมีความสามารถในการเข้าอยู่ในรากของผักเชียงดามากที่สุด อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการเจริญเติบโตของผักเชียงดาไม่สัมพันธ์กับการเข้าอยู่อาศัยของเชื้อราในรากผักเชียงดาแต่อย่างใด
2559-09-23T00:00:00Z