รายงานการวิจัย (Research reports)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/434
2024-03-28T22:36:08Z
2024-03-28T22:36:08Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ ของนักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศแขนงวิชาการจัดการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2554 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2614
2018-01-09T10:47:21Z
2018-01-08T00:00:00Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ ของนักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศแขนงวิชาการจัดการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2554 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ และ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักศึกษาที่เรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ แขนงวิชาการจัดการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ชันปีที่ 2 ปีการศึกษา 2554 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 42 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครืองมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เรือง วงจรการพัฒนาระบบ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายวิชา การวิเคราะห์และ ออกแบบระบบ เรือง วงจรการพัฒนาระบบ ผลการวิจัยพบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.29 /82.86 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตรายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สูงกว่าก่อนเรียนคิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 31.19 และความพึงพอใจต่อการเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนอินเตอร์เน็ตรายวิชา การวิเคราะห์และออกแบบระบบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 อยู่ในระดับ พึงพอใจมาก
2018-01-08T00:00:00Z
ระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle รายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
ณปภัช วรรณตรง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2613
2018-01-10T08:31:25Z
2014-01-01T00:00:00Z
ระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle รายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
ณปภัช วรรณตรง
ปัจจุบันได้มีซอฟต์แวร์สำเร็จรูปจำนวนมากที่ช่วยในการสร้างเว็บไซต์ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ใช้วานว่ายขึ้น โปรแกรมหนึ่งซึ่งเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ Moodle ซึ่งเป็นโปรแกรมประเภทระบบจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระบบการเรียนแบบออนไลน์ทำให้มีบรรยากาศเหมือนเรียนในห้องเรียนที่ผู้สอนกับผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันการศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle ของรายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาจำนวน 1 ห้องที่ลงทะเบียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าระบบการเรียนการสอนออนไลน์ช่วยทำให้นักศึกษามีประสิทธิภาพในการเรียนมากขึ้น และสะดวกต่อการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยผู้ประเมินผลมีความคิดเห็นต่อระบบการเรียนการสอนออนไลน์ในภาพรวมว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
2014-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำการศึกษา 2556
สุธีรา สุนทรารักษ์, และคณะ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2592
2018-01-10T08:31:49Z
2014-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำการศึกษา 2556
สุธีรา สุนทรารักษ์, และคณะ
การศึกษาติดตามผลบัณฑิต ระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2556 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อทำการศึกษาด้านสถานภาพของบัณฑิต ภาวะการมีงานทำ การศึกษาต่อ และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ ในทัศนะของบัณฑิตเอง ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาตามแบบฟอร์มที่กำหนด การศึกษา และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามอิเลคทรอนิกส์ (Online Questionnaire) โดยสามารถสืบค้นข้อมูลได้จาก URL : http://muagrd.bru.ac.th เพื่อทำการกรอกรายละเอียดของผู้ตอบแบบสอบถามอีกทั้งการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในลักษณะแบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งแยกประเด็นศึกษาออกเป็น 6 ตอน อันประกอบด้วย สถานภาพของบัณฑิต ภาวะการมีงานทำสำหรับผู้ที่มีงานทำแล้ว ภาวการมีงานทำสำหลับผู้ที่ยังไม่มีงานทำ ข้อมูลการศึกษาต่อ ข้อมูลข้อคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณลักษณะที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติงานและข้อมูลข้อเสนอแนะ ซึ่งทำการแจกแบบสอบถาม ณ วันที่บัณฑิตมารายงานตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรและส่งแบบสอบถามคืนทันที ทั้งนี้ประเด็นต่างๆ ในแบบสอบถามได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตามตัวชี้วัด/ตัวบ่งชี้ผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา ปีการศึกษา 2556 รวมทั้งการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 โดยมีผลการศึกษาข้อมูลตามวัตถุประสงค์และขอบเขตข้างต้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คณะวิทยาศาสตร์มาหวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มู้สำเร็จการศึกษา 2556 รวมทั้งสิ้น 306 คน โดยมีบัณฑิตผู้ทำการตอบแบบสอบถาม ทั้งหมด 273 คน คิดเป็น 89.22 ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด โดยกลุ่มสาขาวิชาที่มีผู้สำเร็จการศึกษาสูงสุด คือ สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน โดยผู้จบการศึกษาทุกคนจบการศึกษาตามมาตรฐานหลักสูตรตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรปริญญาตรี พ.ศ. 2548 ทั้งนี้บัณฑิตส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรภายในระยะเวลาที่กำหนดในหลักสูตร โดยมีร้อยละของผู้สำเร็จการศึกษาที่จบการศึกษาตามหลักสูตรตามระยะเวลาที่กำหนดคิดเป็น 75.00 โดยผู้สำเร้จการศึกษามีความพึงพอใจต่อมหาวิทยาลัยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้วยค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับโดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด คือ ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน (3.98) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ำสุด คือ ด้านการให้บริการและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย (3.26) ในด้านภาวะการหางานทำของบัณฑิต ผลการศึกษา พบว่า บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นผู้มีงานทำ โดยร้อยละของผู้สำเร็จการศึกษาที่ได้งานทำ ศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 1 ปี เท่ากับ 79.85 รวมทั้งร้อยละของบัณฑิต ที่ได้งานทำหรือประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 1 ปี (ไม่นับรวมผู้ศึกษาต่อ) เท่ากับ 70.70 ทั้งนี้ บัณฑิตส่วนใหญ่สามารถทำงานตรงตามสาขาที่สำเร็จการศึกษาหรือใกล้เคียง/สัมพันธ์กับสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา (ร้อยละ 66.32) และเงินเดือนตรงตามเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนด (ร้อยละ 88.60) สำหรับด้านการศึกษาต่อ พบว่า มีเพียงร้อยละ 34.43 สำหรับบัณฑิตที่ต้องการศึกษาต่อโดยมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาต่อ คือ ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ สำหรับด้านของคุณลักษณะผู้สำเร็จการศึกษาบัณฑิตทำการประเมินและเห็นว่าตนมีลักษณะในด้านความมีวินัยในการทำงานความซื้อสัตย์มากที่สุด รองลงมาคือความขยัน อดทนและสู้งาน ความรับผิดชอบ ส่วนคุณลักษณะที่บัณฑิตประเมินตนเองต่ำสุด คือ ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้บัณฑิตมีความเห็นว่ารายวิชา ควรเพิ่มในหลักสูตรของคณะวิทยาศาสตร์มาที่สุดคือ รายวิชาคอมพิวเตอร์ รองลงมาคือ รายวิชาที่เน้นการฝึกปฏิบัติงานจริง ภาษาอังกฤษ การใช้งานอินเตอร์เน็ต และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ ส่วนข้อเสนอแนะที่มีบัณฑิตเสนอแนะมากที่สุด ได้แก่ ควรทำการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการทำงานเป็นทีมได้มีการปฏิบัติจริงและสามารถนำไปใช้ทำงานจริงได้และควรให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักศึกษาทั้งด้านภาษาต่างประเทศและคอมพิวเตอร์เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และกิจกรรมพัฒนานักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ต่อไป
2014-01-01T00:00:00Z
ระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle ของรายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
นางสาวณปภัช วรรณตรง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2401
2018-01-10T08:32:18Z
2014-01-01T00:00:00Z
ระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle ของรายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
นางสาวณปภัช วรรณตรง
ปัจจุบันได้มีซอฟต์แวร์สาเร็จรูปจานวนมากที่ใช้ช่วยในการสร้างเว็บไซต์ให้มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น โปรแกรมหนึ่งซึ่งเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ Moodle ซึ่งเป็นโปรแกรมประเภทระบบจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระบบการเรียนแบบออนไลน์ทาให้มีบรรยากาศเหมือนเรียนในห้องเรียนที่ผู้สอนกับผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์บน Moodle ของรายวิชา 0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา0002701 คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาจานวน1ห้องที่ลงทะเบียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าระบบการเรียนการสอนออนไลน์ช่วยทาให้นักศึกษามีประสิทธิภาพในการเรียนมากขึ้น และสะดวกต่อการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยผู้ประเมินผลมีความคิดเห็นต่อระบบการเรียนการสอนออนไลน์ในภาพรวมว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
คาสาคัญ: Moodle,ระบบการเรียนการสอนออนไลน์,รายวิชา0002701
2014-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์: กรณีศึกษา วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
ชลัท รังสิมาเทวัญ จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2270
2018-01-10T08:32:31Z
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์: กรณีศึกษา วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
ชลัท รังสิมาเทวัญ จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูล บริบท แหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ และรูปแบบความต้องการในการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง เพื่อพัฒนาสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และเพื่อประเมินความพึงพอใจที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ กรณีศึกษา วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย การสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อยืนยันสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาระบบจากบุคลากรที่ทำงานในสำนักงานเขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง นักวิชาการ และ ชุมชน ประเมินผลความพึงพอใจระบบโดยใช้แบบประเมินประเภทแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.829 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ บุคลากรที่ทำงานในสำนักงานเขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดงจำนวน 10 คน และ ผู้นำชุมชนองค์กร จำนวน 20 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน โดยทั้งนี้ใช้วิธีเลือกเชิญกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ : กรณีศึกษาวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าได้พัฒนาขึ้น โดยสื่อมัลติมีเดียถูกจัดเก็บในรูปของไฟล์ที่เป็นแอบพลิเคชั่น นำเสนอบนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ และผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นต่อสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ : กรณีศึกษาวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ดานการออกแบบมีคุณภาพ รองลงมาคือ ด้านเนื้อหา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการใช้งาน 2) ความพึงพอใจต่อการใช้งานสื่อมัลติมีเดียส่งเสริมการท่องเที่ยวเสมือนจริงบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ กรณีศึกษาวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเปนรายดาน พบวาด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านประสิทธิภาพของระบบ รองลงมาคือ ด้านความสามารถของระบบกับ ความต้องการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความปลอดภัยของระบบ
2013-01-01T00:00:00Z
การศึกษาพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชนเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์ เปรม อิงคเวชชากุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2269
2018-01-10T08:32:51Z
2013-01-01T00:00:00Z
การศึกษาพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชนเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์ เปรม อิงคเวชชากุล
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาข้อมูลชุมชน สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชนที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของชุมชนเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็ง และเพื่อประเมินผลความพึงพอใจต่อการใช้ระบบสารสนเทศชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยทำการศึกษาข้อมูลชุมชน สภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชนจากองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และจากการสนทนากลุ่มเพื่อยืนยันปัญหา และ ประเมินผลความพึงพอใจระบบโดยใช้แบบประเมินประเภทแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .0895 จากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้นำชุมชน ตัวแทนครัวเรือน และบุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 19 หมู่บ้าน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซี่ มอร์แกน จำนวน 331 คน และใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Positive Sampling)
ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาข้อมูลชุมชนสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก โดยศึกษาข้อมูลจากองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก และจากการสนทนากลุ่ม พบว่า ข้อมูลความต้องการในการพัฒนาระบบสารสนเทศชุมชน ประกอบด้วย 12 ด้าน 2) ระบบสารสนเทศชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก ที่พัฒนาขึ้นสามารถเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศในหมู่บ้าน ชุมชนผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สารสนเทศมีความทันสมัย มีความถูกต้องแม่นยำ และเป็นต้นแบบในการจัดการและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศ ให้กับหน่วยงานอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี 3) ความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบสารสนเทศชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.306
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วย บาร์โค๊ดสองมิติ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
เปรม อิงคเวชชากุล จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2268
2018-01-10T08:37:16Z
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วย บาร์โค๊ดสองมิติ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
เปรม อิงคเวชชากุล จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ และ ศึกษาข้อมูล บริบท แหล่งท่องเที่ยว และ แหล่งเรียนรู้ของวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยบาร์โค๊ดสองมิติ และเพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยบาร์โค๊ดสองมิติวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย การสำรวจ และ ศึกษาข้อมูลบริบทแหล่งท่องเที่ยว และ แหล่งเรียนรู้ของวนอุทยานภูเขาไฟกระโดงโดยใช้อาสาสมัครที่เป็นนักศึกษาร่วมสำรวจข้อมูลและท่องเที่ยว สัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อยืนยันสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาระบบจากบุคลากรที่ทำงานในสำนักงานเขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง นักวิชาการ และ ชุมชน ประเมินผลความพึงพอใจระบบโดยใช้แบบประเมินประเภทแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ บุคลากรที่ทำงานในสำนักงานเขตวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง นักวิชาการ ชุมชน หมู่บ้าน 10 หมู่บ้าน ณ พื้นที่ป่าบ้านน้ำซับ ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ และ บุคคลทั่วไป จำนวนทั้งสิ้น 50 คน โดยทั้งนี้ใช้วิธีเลือกเชิญกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้อมูล บริบท แหล่งท่องเที่ยว และ แหล่งเรียนรู้ ของวนอุทยาน ภูเขาไฟกระโดง ประกอบด้วย ข้อมูลประวัติความเป็นมาการจัดตั้ง ลักษณะที่ตั้ง วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง ประเภทและลักษณะของกิจกรรมด้านการส่งเสริมการอนุรักษ์จัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ประเภทและลักษณะของความหลากหลายทางชีวภาพ ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยการเผยแพร่ข้อมูลทำในรูปแบบแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์และป้ายแหล่งเรียนรู้ไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาตามความต้องการ ทำให้เกิดปัญหาในการให้บริการข้อมูล การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว การเข้าถึงข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และฐานเรียนรู้ต่าง ๆ และการจัดการข้อมูลทำได้ยาก 2) การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยบาร์โค๊ดสองมิติวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ได้ดำเนินการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้เทคโนโลยี
QR Code โดยระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มความสะดวกและมีส่วนช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้ 3) ความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยบาร์โค๊ดสองมิติ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.23
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ : กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
ดรัสวิน วงศ์ปรเมษฐ์ จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2267
2018-01-10T08:09:59Z
2014-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ : กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
ดรัสวิน วงศ์ปรเมษฐ์ จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพปัญหาในการดำเนินงาน ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพัฒนาการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์:กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยการสำรวจ สัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม กลุ่มสตรีและกลุ่มแม่บ้านที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวนหมู่บ้านละ 5 คน ในองค์การบริหารส่วนตำบล เมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 19 หมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 95 คน โดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Positive Sampling) เพื่อทราบสภาพปัญหาในการดำเนินงาน ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และแนวทางในการพัฒนาระบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และใช้แบบสอบถามเพื่อศึกษาความ พึงพอใจต่อการใช้งานระบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาในการดำเนินงาน ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ มีปัญหาและข้อบกพร่องของระบบที่เกิดขึ้นคือ การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เป็นแบบขายหน้าร้าน ไม่มีการประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ยังไม่เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปได้อย่างล่าช้า ไม่มีช่องทางการจัดจำหน่าย จึงทำให้การเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มลูกค้าเป็นไปได้ยาก ตลอดจนระบบการจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย ด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนขององค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ลดระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า 2) การพัฒนาระบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์: กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ผลการใช้งานระบบพบว่าระบบที่ได้พัฒนามีส่วนช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การสืบค้น ค้นหาข้อมูล และเรียกใช้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเรียกดู สืบค้น และปรับปรุงข้อมูล ตลอดจนจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถเพิ่มช่องทางในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และช่องทางจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี 3) การประเมินผลความพึงพอใจของกลุ่มสตรีและกลุ่มแม่บ้านที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน ในภาพรวมต่อการใช้งานระบบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์อยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ย 4.37
2014-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
นิธินันท์ มาตา จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2266
2018-01-10T08:37:37Z
2015-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
นิธินันท์ มาตา จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูลเรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กับการเรียนด้วยวิธีปกติ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (การจัดการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา) ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2557คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 40 คนได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คนโดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วย กลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง รวมกลุ่มละ 20 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูลเรื่อง ฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์ แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูลเรื่อง ฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ มีประสิทธิภาพ 83.75/84.50 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (กลุ่มทดลอง) และการเรียนด้วยวิธีปกติ (กลุ่มควบคุม) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบทบทวนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้การ์ตูนมัลติมีเดีย 2 มิติ รายวิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.56 ซึ่งอยู่ในระดับพอใจมาก
2015-01-01T00:00:00Z
ระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นพพล เชาวนกุล จิรวดี โยยรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2265
2018-01-10T08:37:54Z
2009-01-01T00:00:00Z
ระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นพพล เชาวนกุล จิรวดี โยยรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบพัฒนาระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในรูปแบบ web application และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของการใช้งานระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ดำเนินการพัฒนาระบบโดยใช้ภาษา PHP สร้างระบบฐานข้อมูลโดยใช้ MySQL บนระบบปฏิบัติการ Windows xp ในส่วนการออกแบบหน้าจอการใช้งาน ออกแบบโดยใช้โปรแกรม Macromedia Dream weaver MX ร่วมกับโปรแกรม Adobe Photoshop
ระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ ที่พัฒนาขึ้นแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ส่วนของผู้ดูแลระบบ ส่วนของผู้ใช้งาน และส่วนเจ้าของผลงานวิชาการ
ผลการวิจัยพบว่า ระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สามารถ ค้นหา และแสดงสารสนเทศที่ต้องการได้ถูกต้อง สามารถแก้ไขปรับปรุงข้อมูลที่ต้องการได้ ด้านความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน พบว่า ระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลผลงานวิชาการได้รวดเร็ว ทันต่อการใช้งาน และมีหน้าจอที่ง่ายต่อการใช้งาน ทำให้ลดระยะเวลาในการใช้งานลงได้เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิมและความพึงพอใจของคณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ คณะวิทยาศาสตร์ ที่มีต่อการใช้งานระบบสืบค้นข้อมูลผลงานวิชาการ อยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ย 4.37
2009-01-01T00:00:00Z
ระบบสารสนเทศภาวะการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์, กมลรัตน์ สมใจ และ ณปภัส วรรณตรง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2264
2018-01-10T08:38:12Z
2007-01-01T00:00:00Z
ระบบสารสนเทศภาวะการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
จิรวดี โยยรัมย์, กมลรัตน์ สมใจ และ ณปภัส วรรณตรง
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศภาวะการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในรูปแบบ web application ดำเนินการพัฒนาระบบโดยใช้ภาษา PHP สร้างระบบฐานข้อมูลโดยใช้ MySQL บนระบบปฏิบัติการ Windows xp ในส่วนการออกแบบหน้าจอการใช้งาน ออกแบบโดยใช้โปรแกรม Macromedia Dream weaver MX ร่วมกับโปรแกรม Adobe Photoshop ระบบสารสนเทศภาวการณ์มีงานทำ ที่พัฒนาขึ้นแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1)ส่วนผู้ดูแลระบบ (Admin)ที่สามารถจัดการฐานข้อมูลภาวะการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา จัดการเกี่ยวกับระบบสมาชิก จัดการข้อมูลรายงานสรุปภาวะการมีงานทำ โดยสามารถ เพิ่ม ลบ แก้ไข ข้อมูลได้ 2) ส่วนผู้ใช้งานหรือผู้สำเร็จการศึกษา สามารถลงทะเบียนเพื่อขอใช้งานระบบ แก้ไขข้อมูลส่วนตัว ดูข่าวประชาสัมพันธ์ บันทึกข้อมูลภาวะการมีงานทำและดูสรุปรายงานภาวะการมีงานทำได้
ผลการวิจัยพบว่าระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้น สามารถ บันทึก ค้นหา และแสดงสารสนเทศที่ต้องการได้ถูกต้อง สามารถแก้ไขปรับปรุงข้อมูลที่ต้องการได้ สามารถดูสรุปรายงานที่ต้องการได้ ด้านความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน พบว่า ระบบสารสนเทศภาวะการมีงานทำช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลสรุปผลภาวะการมีงานทำได้รวดเร็ว สามารถจัดทำรายงานได้สะดวกทันต่อการใช้งาน และมีหน้าจอที่ง่ายต่อการใช้งาน ทำให้ลดระยะเวลาในการใช้งานลงได้เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิม
2007-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เปรม อิงคเวชชากุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2262
2018-01-10T08:38:27Z
2011-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เปรม อิงคเวชชากุล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ พัฒนาชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต กับนักศึกษาที่เรียนแบบปกติ ในรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาปฐมวัย ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน โดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วย กลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง รวมกลุ่มละ 20 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 60 ข้อ 30 คะแนน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต แตกต่างกับนักศึกษาที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .01 และความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 อยู่ในระดับ พึงพอใจมาก
2011-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
นิธินันท์ มาตา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2261
2018-01-10T08:36:32Z
2014-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
นิธินันท์ มาตา
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตและเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในรายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นปีที่ 1 จำนวน 50 คนได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต แบบทดสอบเพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนแบ่งออกเป็น แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวนหน่วยละ 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 70 ข้อ และแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 50 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนด้วย สื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต ผลการวิจัยพบว่า สื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ ( / ) เท่ากับ 81.63/80.88 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยสื่อการสอนแบบซ่อมเสริมบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รายวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 อยู่ในระดับ พึงพอใจมาก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
2014-01-01T00:00:00Z
การสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตและประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สำคัญ ฮ่อบรรทัด
อัครวัฒน์ เลียมไธสง
พัชมณฑ์ เดชสง
ธนาภรณ์ แสงน้ำ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2260
2018-01-10T08:36:15Z
2013-01-01T00:00:00Z
การสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตและประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สำคัญ ฮ่อบรรทัด; อัครวัฒน์ เลียมไธสง; พัชมณฑ์ เดชสง; ธนาภรณ์ แสงน้ำ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ รวมถึงประเมินความพอใจของผู้ใช้บัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และนำข้อมูลที่ได้มาพํฒนาหลักสูตร และพัฒนานักศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มาจากผู้ใช้บัณฑิตที่จบปีการศึกษา 2555 ซึ่งมีบัณฑิตทั้งสิ้น 181 คน มีบัณฑิตที่มีงานทำ 140 คน สามารถติดตามแบะผู้ประกอบการสะดวกใหข้อมูล 93 คน ซึ่งผู้ประกอบการเป็นเจ้าของธุรกิจ หัวหน้างานตลอดจนเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่ทำงานในองค์กรณ์นั้น เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
การประเมินคุณบักษณํบัณฑิตตามอัตลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์นั้นจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 93 คนพบว่าบัณฑิตที่รับการประเมินเป็นชาย ละ 41.9 เพศหญิงร้อยละ 58.1 มาจากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาร้อยละ 3.2 สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมร้อยละ 9.7 สาขาสถิติประยุกต์ร้อยละ 9.7 สาขาวิชาชีววิทยาร้อยละ 12.9 สาขาวิชาเคมีร้อยละ 22.6 สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชนร้อยละ 32.3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศร้อยละ 9.7 โดยการประเมินบัณฑิตของคณะวิทยาศาสตร์มีอัตลักษณ์ตามที่คณะกำหนดมีผลการวิจัยเป็นดังนี้ บัณฑิตมีความรู้ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาท้องถิ่นอยู่ในระดับมากบัณฑิตใช้องค์ความรู้ด้วยการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ สร้างนวัตกรรมและนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นในระดับมากบัณฑิตมีคุณธรรม จริยธรรม จิตใจที่ดีงาม ซื่อสัตย์ สุจริต และอนุรักษ์สืบสานประเพณี ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในระดับมากที่สุดบัณฑิตมีความรักความศรัทธา ที่มีต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในระดับมากที่สุด บัณฑิตมีจิตอาสาในระดับมาก และบัณฑิตปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพและประพฤติปฏิบัติตนเหมาะสมตามคุณลักษณะของบัณฑิตที่ประสงค์ในระดับมากหากมองดดยภาพรวมแล้วบัณฑิตมีคุณลักษณะตรงตามอัตลักษณ์คณะวัทยาศาสตร์ในระดับมาก (คพแนนเฉลี่ย 4.31) หรือมีความพึงพอใจร้อยละ 86.2
สำหรับการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตนั้น แบ่งเป็น 5 ด้านตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษาพบว่า ด้านคุณธรรม จริยธรรม ประกอบด้วย 5 ข้อ ดังนี้ คุณธรรมจริยธรรมเสียสละและซื่อสัตย์สุจริต ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก มีวินัย ตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบต่อตนเองวิชาชีพและสังคม ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก มีภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตาม สามารถทำงานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและลำดับความสำคัญ ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก เคารพสิทธิและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก เคารพกฏและข้อบังคับต่างๆ ขององค์กรและสังคม ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก ด้านความรู้ประกอบด้วย 3 ข้อ ดังนี้ มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและทฤษฎีที่สำคัญในเนื้อหา ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก สามารถนำความรู้แบะทักษะที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก ด้านทักษะปัญญา ประกอบด้วย 2 ข้อ ดังนี้ สามารถค้นหาข้อเท็จจริง สรุป ทำความเข้าใจได้ ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก สามารถศึกษาวิเคราะห์ปัญหา และแนวทางแก้ไขผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบประกอบด้วย 2 ข้อ ดังนี้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก พัฒนาความเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงานเป้นทีมพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และมีความรับผิดชอบในงานที่มอบหมายให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมากทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย 2 ข้อ ดังนี้ ทักษะในการเก็บข้อมูล นำเสนอและสามารถเลือกรูปแบบ การนำเสนอที่เหมาะสมโดยผ่านเทคโนโลยีสารสรเทศและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูดและเขียนผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมาก ทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลวิทยาศาสตร์ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในระดับมากหากมองโดยภาพรวมแล้วผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจในคัวบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ในระดับมาก (คะแนนเฉลี่ย 4.19) หรือมีความพึงพอใจร้อยละ 83.8
จากผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นนั้นทางคณะวิทยาศาสตร์ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนานักศึกษาเพิ่มเติมควรมีการชี้แจงหรือการนำเสนออัตลักษณ์ให้แต่ละสาขาได้ทราบเพื่อจะได้เพิ่มการทำงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์และควรเน้นให้บัณฑิตศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อให้มีทักษะและรอบรู้นอกจากนี้ควรสนับสนุนให้มีการพัฒนา และปรับปรุงหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากิจกรรมเพื่อประกอบการเรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
กิตติศักดิ์ นามวิชา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2259
2018-01-10T08:35:30Z
2015-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากิจกรรมเพื่อประกอบการเรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
กิตติศักดิ์ นามวิชา
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อน เรียนและหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพ และเพื่อศึกษาความพึง พอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพ โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ทีjลงทะเบียนเรียนวิชาส่งเสริมสุขภาพ ภาคเรียนที 2 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 50 คน เครื่องมือทีใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามทีผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพทีอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปค่าสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยทีสำคัญพบว่า กิจกรรมทีดีที่สุดตามลำดับดังนี้ กิจกรรมการปฏิบัติการนวดเพื่อสุขภาพ เป็นกิจกรรมทีทำให้นักศึกษาได้คะแนนจากผลการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน มากที่สุด คือ จากจำนวนนักศึกษาทีลงทะเบียนเรียนวิชาการส่งเสริมสุขภาพ จำนวน 50 คน ก่อน เรียนได้ค่าเฉลี่ย (x) = 4.32 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (x) = 7.32 ก่อนเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) = 2.03 หลังเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) = 1.80 รองลงมาลักษณะของความเข้าใจ ในเรืองกิจกรรมปฏิบัติการด้านสื่อสุขภาพ พบว่า จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการ ส่งเสริมสุขภาพ จำนวน 50 คน ก่อนเรียนได้ค่าเฉลี่ย (x) = 3.96 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (X) = 622 ก่อนเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) = 1.69 หลังเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) = 1.99 รองลงมากิจกรรมการศึกษาดูงานและร่วมกิจกรรมเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ พบว่า จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการส่งเสริมสุขภาพ จำนวน 50 คน ก่อนเรียนได้ค่าเฉลี่ย (x) = 4.50 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (x) = 6.16 ก่อนเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) = 2.27 หลังเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) = 2.58 และลักษณะของความเข้าใจในเรืองกิจกรรม ปฏิบัติการด้านการสุขาภิบาลอาหาร พบว่า จำนวนนักศึกษาทีลงทะเบียนเรียนวิชาการส่งเสริม สุขภาพ จำนวน 50 คน ก่อนเรียนได้ค่าเฉลี่ย (x) = 3.78 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (x) = 5.32 ก่อนเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) = 1.86 หลังเรียนได้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) = 2.03
2015-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ซิปปาโมเดล เรื่อง การประยุกต์ใช้สถิติเพื่อการคาดการณ์และการแก้ปัญหา
สุนันทา วีรกุลเทวัญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2257
2018-01-10T08:35:06Z
2012-01-01T00:00:00Z
การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ซิปปาโมเดล เรื่อง การประยุกต์ใช้สถิติเพื่อการคาดการณ์และการแก้ปัญหา
สุนันทา วีรกุลเทวัญ
การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ชิปปาโมเดลเรือง “การประยุกต์ใช้สถิติเพื่อการคาดการณ์และการแก้ปัญหา” มีวัตถุประสงค์ 3 ประการดังนี้ เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชิปปาโมเดลเรือง “การประยุกต์ใชสถิติเพื่อการคาดการณ์และการแก้ปัญหา"เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังการเรียนโดยใช้ซิปปาโมเดล และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้ชิปปาโมเดล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้คือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา "วิทยาศาสตร์ ะคณิตศาสตร์พื้นฐานในชีวิตประจำวัน" ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 49 คน การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนโดยใช้ชิปปาโมเดลตามแนวคิดของ ทิศนา แขมมณี ดำเนินการโดยผ่านกระบวนการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนตามแนวคิดของ Kemmis and McTaggart ซึ่งมี 4 ขั้นตอนคือการวางแผน การปฏิบัติการ การสังเกตและการสะท้อนผล เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ แบบทดสอบแบบสังเกตพฤติกรรมแบบสัมภาษณ์และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test จากการใช้แผนการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นและใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล โดยผ่านกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชันเรียนผลพบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักศึกษาหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล มีคะแนนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเกินกว่าร้อยละ 30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักศึกษามากกว่าร้อยละ 80 มีความพึงพอใจในระดับมาก ถึงมากที่สุด นอกจากนียังพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ซิปปาโมเด ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ โดยผู้วิจัยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 7 คน เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยเป็นลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน เป็นการเรียนรู้ กระบวนการต่าง ๆ เช่นกระบวนการทำงานกระบวนการแสวงหาความรู้ ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวไปมาเนืองจากเป็นการจัดการนั่งเรียนแบบวงกลมผู้เรียนหันหน้าเข้าหากัน และสามารถประยุกต์เนื้อหาใช้กับชีวิต
2012-01-01T00:00:00Z
การจัดทําฐานขอมูลและสื่อสารสาธารณะในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมริมลําน้ำชีของชุมชนบานเสม็ด
พิชิต วันดี, และคณะ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2256
2018-01-10T08:34:43Z
2016-01-01T00:00:00Z
การจัดทําฐานขอมูลและสื่อสารสาธารณะในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมริมลําน้ำชีของชุมชนบานเสม็ด
พิชิต วันดี, และคณะ
การวิจัยครังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี 2) เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและสื่อสารสาธารณะ ในการอนุรักษ์.ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อมริมลำน้ำชี 3) เพื่อประเมินผลการใช้งานฐานข้อมูลและสื่อสารสาธารณะในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี กลุ่มตัวอย่างทีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) นักวิจัยท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้แทนจากคนในชุมชนบ้านเสม็ด ทั้งนี้นักวิจัยท้องถิ่น ได้แก่ ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน พระสงฆ์ ครู นักศึกษา นักเรียน และ 2) ประชากรที เป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรม โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยannunatiu (Non Probabilistic Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (PurposiveSampling) จำนวน 30 คน เครืองมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี 2) ประเด็นการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ร่วมกับชุมชนเพื่อศึกษาสภาพ ความต้องการสื่อสารสาธารณะ แนวทางการพัฒนาฐานข้อมูลและสื่อสารสาธารณะ 3) ฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดล้อมริมลำน้ำชี ของชุมชนบ้านเสม็ด 4) สื่อสารสาธารณะในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี 5) แบบประเมินคุณภาพฐานข้อมูล และสื่อสารสาธารณะ และ 6) แบบประเมินความพึงพอใจทีมีต่อฐานข้อมูลและสื่อสารสาธารณะ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพชุมชนบ้านเสม็ดที่อยู่ติดริมลำน้ำชีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต เป็นแหล่งอาหารและทรัพยากรที่สำคัญของชุมชนโดยมีผืนป่าแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซน A เป็นพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มีลักษณะพันธุ์ไม้พุ่มสลับกับไม้ยืนต้น และมีหนองน้ำ 3 แหล่ง เช่น หนองบัว หนองแสง และหนองตลิ่งหัก โดยชาวบ้านใช้เป็นแหล่งอาหาร พื้นที่โซน B เป็นพื้นที่ส่วนบริเวณตรงกลางผืนป่า มีลักษณะเป็นพื้นที่ลุ่มมีน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลาก ส่งผลให้มีความอุดมสมบูรณ์จากธาตุอาหารที่มากับสายน้ำ พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งหามันป่า หน่อไม้ เห็ดป่า และดักสัตว์ เป็นต้น และพื้นที่โซน C เป็นพื้นที่ติดกับแนวป่าบ้านมะระ ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ และเป็นพื้นที่อนุรักษ์ไม่พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ไม้เต็ง ไม้พลวง ไม้กระโดน 2) การพัฒนาฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมน้ำชีประกอบด้วยข้อมูลป่าไม้ สัตว์น้ำ แมลง ในพื้นที่ป่าจำนวน 5541.74 ไร่ โดยจัดทำเป็นเว็บไซต์นำเสนอข้อมูล และพัฒนาสื่อสารสาธารณะในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี ประกอบด้วยฐานเรียนรู้ทั้ง 5 ฐาน ได้แก่ ฐาน1 การเรียนรู้ธรรมะกับการดูแลรักษาป่า ฐานที่2 ต้นไม้นานาพันธุ์ ฐานที่3 เรียนรู้มันป่า ฐานที่4 ฐานการเรียนรู้เห็ดป่า และ ฐานที่5 ฐานนิเวศป่าชุมชนริมลำน้ำชี 3) ผลการประเมินคุณภาพฐานข้อมูลและสื่อสารสาธารณะพบว่า ฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมริมลำน้ำชี มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก (x = 4.22, S.D. = 0.99) และสื่อสาธารณะที่พัฒนาขึ้นผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ มีคุณภาพรวมในระดับมาก (x = 4.21, S.D. = 0.52) ส่วนความพึงพอใจของผู้ใช้งานฐานข้อมูล อยู่ในระดับมาก (x = 4.12, S.D. = 0.71) และสื่อสารสาธารณะพบว่า มีความพึงพอใจรวมอยู่ในระดับมาก (x = 3.80, S.D. = 0.83)
2016-01-01T00:00:00Z
สํารวจภาวะการมีงานทํา และความพึงพอใจการใชบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ประจําปการศึกษา 2557-2558
พิชิต วันดี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2254
2018-01-10T08:33:53Z
2015-01-01T00:00:00Z
สํารวจภาวะการมีงานทํา และความพึงพอใจการใชบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย ประจําปการศึกษา 2557-2558
พิชิต วันดี
บทคัดย่อ
2015-01-01T00:00:00Z
สำรวจภาวะการมีงานทำ และความพึงพอใจการใช้บัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2559
นายพิชิต วันดี
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2253
2018-01-10T08:33:28Z
2017-01-01T00:00:00Z
สำรวจภาวะการมีงานทำ และความพึงพอใจการใช้บัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2559
นายพิชิต วันดี
บทคัดย่อ
2017-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัญฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553
สุธีรา สุนทรารักษ์, และคณะผู้วิจัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2252
2018-01-10T08:33:12Z
2013-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัญฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553
สุธีรา สุนทรารักษ์, และคณะผู้วิจัย
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลการสำเร้จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2553 ในด้านสถานะภาพของบัณฑิต ภาวะมีงานทำ กาศึกษาต่อ และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ในทัศนะของบัณฑิตเอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บัณฑิตทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษหรือภาค กศ.บป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2553 จำนวนทั้งสิ้น 345 คน โดยมีผู้มารายงานตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรและส่งแบบสอบถามคืน ทั้งหมดทั้งสิ้น 248 คน คิดเป็น 71.88 ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด ผลการวิจัย พบว่า บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ ที่สำเร็จการศึกษาปี 2553 มีทำงานร้อยละ 88.34 โดยมีประเภทงานที่บัณฑิตทำมากที่สุด คือ พนักงานบริษัท/เอกชน ร้อยละ 45.20 และอัตราเงินเดือนที่บัณฑิตได้รับมากที่สุดคือ 7,940-9,000 บาท ร้อยละ 39.10 และระยเวลาที่ได้งานทำหลังสำเร็จการศึกษา คือ ช่วง1 - 3 เดือน เป็นช่วงที่จำนวนบัณฑิตได้งานทำสูงสุด ทั้งนี้มีจำนวนบัณฑิตที่ไม่ได้งานเพียง 26 คน คิดเป็นร้อยละ 11.66 โดยมีบัณฑิตที่มีงานทำก่อนเข้าศึกษา จำนวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 4.04 อีกทั้งมีจำนวนบัณฑิตที่ได้รับการเกณฑ์ทหารจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 1.35 และบัณฑิตที่ได้ลาอุปสมบลจำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 0.49 และงานที่ทำมีลักษณะงานตรงหรือใกล้เคียง/สัมพันธ์กับสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา สูงถึงร้อยละ 70.10 ความสามารถพิเศษที่ช่วยให้บัณฑิตได้งานทำมากที่สุดคือ ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 37.10 และปัญหาที่บัณฑิตพบในการปฏิบัติงานมากที่สุดคือ ขาดความสามารถพิเศษด้านภาษา ร้อยละ 40.61 ด้านการศึกษาต่อพบว่าร้อยละ 56.45 บัณฑิตยังไม่ต้องการศึกษาต่อ สำหรับบัณฑิตที่ต้องการศึกษาต่อ ร้อยละ 66.67 ต้องการศึกษาต่อในสาขาวิชาเดิม โดยมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาต่อ คือ ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ สำหรับของคุณลักษณะผู้สำเร็จการศึกษาบัณฑิตทำการประเมินและเห็นว่าตนเองมีลักษณะในด้านความมีวินัยในการทำงาน ความซื่อสัตย์มากที่สุด รองลงมาคือ ความขยัน อดทนและสู้งาน ความรับผิดชอบ ส่วนลักษณะที่บัณฑิตประเมินตนเองต่ำที่สุด คือ ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้บัณฑิตมีความเห็นว่ารายวิชาที่ควรเพิ่มในหลักสูตรของคณะวิทยาศาสตร์มาที่สุดคือ รายวิชาคอมพิวเตอร์ รองลงมาคือ รายวิชาที่เน้นการฝึกปฏิบัติงานจริง ภาษาอังกฤษ การใช้งานอินเตอร์เน็ต และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ ส่วนข้อเสนอแนะที่มีบัณฑิตเสนอแนะมากที่สุด ได้แก่ ควรทำการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการทำงานเป็นทีมได้มีการปฏิบัติจริงและสามารถนำไปใช้ทำงานจริงได้และควรให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักศึกษาทั้งด้านภาษาต่างประเทศและคอมพิวเตอร์เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และกิจกรรมพัฒนานักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ต่อไป
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูลรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต สำหรับนักศึกาาสาขาวิชา บัญชี ชั้นปีที่ 1 หมู่ 1 ปีการศึกาา 2556 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ศุภชัย ชัยชุมพล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2251
2018-01-10T08:24:57Z
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูลรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต สำหรับนักศึกาาสาขาวิชา บัญชี ชั้นปีที่ 1 หมู่ 1 ปีการศึกาา 2556 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
ศุภชัย ชัยชุมพล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูลเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ และเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนจากการเรียนด้วยการเรียนรู้โดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูล เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาบัญชี ปี 1 หมู่ 2 กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในครั้งนี้ 1 หมู่ จำนวน 60 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยชุดพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูล รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้ชุดพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางการเรียนการสื่อสารข้อมูลผ่านบริการโอนถ่ายข้อมูล รายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต
ผลวิจัยนี้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่ายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต แตกต่างกับนักศึกษาที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .01 และความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรายวิชาคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต อยู่ในระดับพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย 4.54 อยุ่ในระดับ พึงพอใจมาก
2013-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550-2551
วิไลรัตน์ ยาทองไชย, และคณะผู้วิจัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2250
2018-01-10T08:25:22Z
2010-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2550-2551
วิไลรัตน์ ยาทองไชย, และคณะผู้วิจัย
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวการณ์มีงานทำของ บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2550 - 2551 ในด้าน สถานภาพของบัณฑิต ภาวการณ์มีงานทำ การศึกษาต่อ และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ในทัศนะของบัณฑิตเอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ บัณฑิตทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษหรือภาคกศ.บป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2550 - 2551 จำนวน 185 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามการติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิต ผลการวิจัยพบว่า บัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ ที่สำเร็จการศึกษาปี 2550-2551 มีทำงานแล้วร้อยละ 85.4 ประเภทงานทีบัณฑิตทำมากที่สุดคือ พนักงานบริษัท/เอกชน ร้อยละ 36.7 ซึ่งอัตราเงินเดือนที่บัณฑิตได้รับมากที่สุดคือ 7,940 – 9,000 บาท ร้อยละ 48.1 ระยะเวลาที่ได้งานทำหลัง สำเร็จการศึกษาคือช่วง 1 - 3 เดือนหลังสำเร็จการศึกษา ซึ่งงานที่ทำลักษณะงานตรงหรือใกล้เคียง สัมพันธ์กับสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา สูงถึงร้อยละ 77.2 ความสามารถพิเศษที่ช่วยให้บัณฑิตได้งาน ทำมากที่สุดคือ ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 82.9 และปัญหาที่บัณฑิตพบในการปฏิบัติงานมากที่ สุดคือ ขาดความสามารถพิเศษด้านภาษา ร้อยละ 47.2 ด้านการศึกษาต่อพบว่าร้อยละ 55.1 บัณฑิต ยังไม่ต้องการศึกษาต่อ สำหรับบัณฑิตที่ต้องการศึกษาต่อ ร้อยละ 506 ต้องการศึกษาต่อในสาขาวิชา เดิม โดยมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาต่อ คือ ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพ คุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษา บัณฑิตเห็นว่าตนมีคุณลักษณะในด้านความมีวินัยในการทำงาน ความชื่อสัตย์ มากที่สุด รองลงมาคือ ความขยัน อดทนและสู้งาน ความรับผิดชอบ คุณลักษณะที่บัณฑิตประเมินต่ำที่สุดคือ ความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้บัณฑิตมีความเห็นว่ารายวิชาที่ควรเพิ่มใน หลักสูตรของคณะวิทยาศาสตร์มากที่สุดคือ รายวิชาคอมพิวเตอร์ รองลงมาคือ รายวิชาที่เน้นการฝึก ปฏิบัติจริง ภาษาอังกฤษ การใช้งานอินเทอร์เน็ต และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ตามลำดับ บัณฑิต มีข้อเสนอแนะมากที่สุดในการจัดทำหลักสูตรที่เน้นการทำงานเป็นทีมได้มีการปฏิบัติจริงที่สามารถ นำไปใช้ทำงานจริงได้และการให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักศึกษาด้านภาษาต่างประเทศและคอมพิวเตอร์เพื่อการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และกิจกรรมพัฒนานักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ต่อไป
2010-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิทยาศาสตร์ 1 เรื่องลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชันสำหรับนักศึกาาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วชิรารักษ์ ทิพย์จันทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2249
2018-01-10T08:25:45Z
2012-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิทยาศาสตร์ 1 เรื่องลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชันสำหรับนักศึกาาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วชิรารักษ์ ทิพย์จันทร์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุป่ะสงค์เพื่อ พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับวิทยาศาสตร์ 1 เรื่องลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชัน สำหรับนักศึกษษชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ซึ่งมีประสิทธิภาพของบทเรียนเป็น 70/70 และเปรียบเที่ยบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิทยาศาสตร์ 1 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์สำหรับวิทยาศาสตร์1 เรื่องลิมิตและความต่อเนื่องของฟังก์ชัน แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน และ แบบทดสอบระหว่างเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยใช้ค่าเฉลี่ยและร้อยละเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้ matched pairs t-test
ผลการวิจัยพบว่าการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็น 72.84/7030 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เท่ากับ 70/70 และสัมฤทธิ์หลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2012-01-01T00:00:00Z
สภาะปัญหาและแนวทางพัฒนาการเรียนการสอนวิชาการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ (4063206)
รุ่งเรือง บุญส่ง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2248
2018-01-10T08:26:08Z
2013-01-01T00:00:00Z
สภาะปัญหาและแนวทางพัฒนาการเรียนการสอนวิชาการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ (4063206)
รุ่งเรือง บุญส่ง
การวิเคราะห์คุณภาพน้ำเป็นรายวิชาที่จัดการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฏีและปฏบัติควบคู่กันไปเพื่อให้นักศึกษาเกิดความรู้ความเข้าใจและมีทักษะการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องด้วยเนื้อหารายวิชามีความซับซ้อน จึงทำให้นักศึกษาใช้เวลาในการปฏิบัติการนาน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางพัฒนาการเรียนการสอนรายวิชาการวิเคราะห์คุณภาพน้ำ โดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณืเป็นเครื่องมือในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ นักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขชั้นปีที่ 4 จำนวน 90 คน ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ได้แก่ เวลาสอนภาคปฏิบัติการน้อยเกินไป จำนวนนักศึกษาต่อกลุ่มมากเกินไปทำให้นักศึกษาที่เรียนอ่อนไม่กล้าทดลอง ด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน ได้แก่ ขาดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเตรียมสารเคมีและวัสดุอุปกรณ์สำหรับการทดลองไม่เพียงพอ ขนาดของห้องปฏิบัติการไม่เหมาะสมกับจำนวนผู้เรียน สภาพแวดล้อมห้องปฏิบัติการไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน ปัญหาการวัดผลและประเมินผลได้แก่ ไม่มีการวัดผลก่อนและหลังเรียนแต่ละบท และการทดสอบทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ต่อเนื่อง นักศึกษาไม่สามารถค้นคว้าบทความทางวิชาการด้วยตนเองบนฐานขู้ลมูลอินเตอร์เน็ต ปัญหาด้านอาจารย์ ได้แก่ พูดเร็วทำให้นักศึกษาฟังไม่ทัน มีความเป็นกันเองกับนักศึกษามากเกินไป มีภาระงานสอนมากทำให้เวลาว่างในการให้คำปรึกษานอกเวลาเรียนน้อย สอนตรงเวลาเกินไปทำให้นักศึกษามาเรียนไม่ทัน ปัญหาด้านนักศึกษา ได้แก่ ขาดทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ ขาดความมั่นใจและไม่กล้าแสดงออก สำหรับแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอน ได้แก่ การจัดหาอุปกรณ์ทดลองให้เพียงพอ ห้องปฏิบัติควรมีขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนนักศึกษา จัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการ มีรูปแบบการนำเสนองานที่หลากหลาย จัดกิจกรรมเสริมเพื่อการถามตอบในประเด็นที่ไม่เข้าใจ เพิ่มเวลาในภาคปฏิบัติ นักศึกษาต้องเตรียมความพร้อมก่อนการลงมือปฏิบัติ มีส่วนร่วมในการทดลอง เข้าเรียนให้ตรงต่อเวลา กระตือรือร้นในการเรียนให้มากขึ้น จากผลการศึกษษครั้งนี้สรุปได้ว่า การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ควรปรับจำนวนนักศึกษาต่อหมู่เรียนให้น้อยลงเพื่อให้มีความเหมาะสมต่อห้องปฏิบติการและอุปกรณ์ทดลอง จะให้มีเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการ และควรจัดทำสื่อการสอนด้วยอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สามารถเข้าไปศึกษาได้ทางอินเตอร์เน็ต
2013-01-01T00:00:00Z
ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไท้จี๋สำหรับนักศึกษาวิทยาศาสตร์การกีฬา ระดับปริญญาตรี
กริชเพชร นนทโคตร
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2247
2018-01-10T08:26:37Z
2010-01-01T00:00:00Z
ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไท้จี๋สำหรับนักศึกษาวิทยาศาสตร์การกีฬา ระดับปริญญาตรี
กริชเพชร นนทโคตร
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไท้จี้ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ระดับปริญญาตรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 15 คน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลสองแบบ คือ ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณได้มาจากการวัดความแข็งแรงของขา ความจุปอดและความอ่อนตัว ก่อนการเรียน และหลังสัปดาหืที่ 6 และหลังเรียนสัปดาห์ที่ 12 จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ (One Way Analysis of Variance with Repeated Measure) โดยกำหนดระดับความมีนัยสำคัยทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการสัมภาษณ์กลุ่ม (Focus Group Interview) และแบบสอบถาม (Questionnaire) จากนั้นวิเคราะห์ด้วยการเปรียบเที่ยบความแตกต่างและความคงที่ของข้อมูล ผลการสรุปได้ดังนี้
1. คะแนนเฉลี่ยความแข็งแรงของขาและความจุปอดของกลุ่มทดลองภายหลังการเรียนสัปดาห์ที่ 12 ดีกว่าก่อนเรียนและหลังเรียนสัปดาห์ที่6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. ส่วนคะแนนเฉลี่ยของความอ่อนตัวของกลุ่มทดลองไม่มีความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ข้อมูลเชิงคุณภาพพบว่า การเรียนไท้จี๋ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาพ การหายใจ การทรงตัว และมีสมาธิดี นอกจากนี้นักศึกษาสามารถเรียนรู้ขั้นตอนกระบวนการและพึงพอใจกับกิจกรรมการเรียนการสอนไท้จี๋เป็นอย่างดี
2010-01-01T00:00:00Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการปฐมพยาบาลของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สุวรรณา รักพานิชย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2246
2018-01-10T08:26:55Z
2010-01-01T00:00:00Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการปฐมพยาบาลของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สุวรรณา รักพานิชย์
การศึกษาผลสัมฤทธฺืทางการเรียนวิชาการปฐมพยาบาลของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนวิชาการปฐมพยาบาลเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาปฐมพยาบาลเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ต่อกระบวนการเรียนการสอนวิชาการปฐมพยาบาลเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาได้มาจากสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 44 คน เป็นนักศึกษาจากคณะต่างๆ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาเลือกเสรีการปฐมพยาบาลในภาคเรียนที่ 1/2553 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิืทางการเรียนเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพ แบบวัดผลการปฏิบัติระหว่างเรียน และแบบวัดความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าสถิติที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า 1) ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนวิชาการปฐมพยาบาลเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพมีค่าเท่ากับ 0.78 แสดงว่านักศึกษามีความรู้เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 78 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพ แตกต่างจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมีค่าเท่ากับ 0.05 โดยหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน 3) ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อกระบวนการการเรียนการสอนเรื่องการช่วยฟื้นคืนชีพอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากทั้ง 2 ด้าน คือด้านความรู้ และด้านการเรียนการสอนเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีระดับความพึงพอใจสูงสุดในด้านความรู้โดยเรียงตามลำดับคือ การนวดหัวใจ การช่วยหายใจ และการปฏิบัติช่วยฟื้นคืนชีพ ส่วนข้อที่มีระดับความพึงพอใจสูงสุกในด้านกระบวนการเรียนการสอน โดยเรียงตามลำดับคือ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์ รองลงมาคือการใช้เทคนิคการสอนที่กระตุ้นความสนใจและก่อให้เกิดการเรียนรู้และเนื้อหาการสอนที่เรียงตามลำดับอย่างเป็นขั้นตอน
2010-01-01T00:00:00Z
รายงานผลการศึกษาการติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2560
กิติศักดิ์ นามวิชา
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2240
2018-01-10T08:27:07Z
2017-01-01T00:00:00Z
รายงานผลการศึกษาการติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2560
กิติศักดิ์ นามวิชา
รายงานผลการศึกษาการติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2560 ฉบับนี้ จัดทำขึ้น เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษา ภาวะการมีงานทำของบัณฑิต ความพึงพอใจของผู้สำเร็จการศึกษาที่มีต่อมหาวิทยาลัย และความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตที่มีต่อบัณฑิต รวมทั้งแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สำเร็จการศึกษาและผู้ใช้บัณฑิต
ผู้วิจัยขอขอบคุณผู้สำเร็จการศึกษาทุกคน และขอขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาบัณฑิต ทุกท่านที่กรุณาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้การดำเนินงาน ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คณะวิจัยหวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน การวางแผนพัฒนาการจัดการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำเป็นในการประกอบอาชีพให้แก่นักศึกษาปัจจุบันของสถาบัน ให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ท้องถิ่น และสังคมต่อไป หากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะทำงานขออภัยมา ณ โอกาสนี้
2017-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2558
นางสาวสุธีรา สุนทรารักษ์, นายอัครวัฒน์ เลียมไธสง
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2234
2018-01-10T08:27:21Z
2016-01-01T00:00:00Z
การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2558
นางสาวสุธีรา สุนทรารักษ์, นายอัครวัฒน์ เลียมไธสง
การศึกษาติดตามผลบัณฑิต ระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ ประจำปีการศึกษา 2558 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อทำการศึกษาด้านสถานภาพของบัณฑิต ภาวะการมีงานทำ การศึกษาต่อ และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของ ผู้สำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ ในทัศนะของบัณฑิตเอง ซึ่งเก็บรวมรวบข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาตามแบบฟอร์มที่กำหนด การศึกษา และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามอิเลคทรอนิคส์ (Online Questionnaire) โดยสามารถสืบค้นข้อมูลได้จาก URL : http://muagrd.bru.ac.th เพื่อทำการกรอกรายละเอียดของผู้ตอบแบบสอบถาม อีกทั้งทำการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในลักษณะแบบสอบถาม (Questionnaire) ซึ่งแยกประเด็นศึกษาออกเป็น 6 ตอน อันประกอบด้วย สถานภาพของบัณฑิต ภาวะการมีงานทำสำหรับผู้ที่มีงานทำแล้ว ภาวะการ มีงานทำสำหรับผู้ที่ยังไม่มีงานทำ ข้อมูลการศึกษาต่อ ข้อมูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณลักษณะที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติงานและข้อมูลข้อเสนอแนะ ซึ่งทำการแจกแบบสอบถาม ณ วันที่บัณฑิตมารายงานตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรและส่งแบบสอบถามคืนทันที ทั้งนี้ประเด็นต่างๆ ในแบบสอบถามได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลตามตัวชี้วัด/ตัวบ่งชี้ผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย และที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา ปีการศึกษา 2559 รวมทั้งการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 โดยมีผลการศึกษาข้อมูลตามวัตถุประสงค์และขอบเขตข้างต้น สามารถสรุปได้ดังนี้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มีผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2558 รวมทั้งสิ้น 269 คน โดยมีบัณฑิตผู้ทำการตอบแบบสอบถาม ทั้งหมด 267 คน คิดเป็นร้อยละ 99.25 ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด โดยกลุ่มสาขาวิชาที่มีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาสูงที่สุด คือ สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน โดยผู้สำเร็จการศึกษาทุกคนจบการศึกษาตามมาตรฐานหลักสูตรตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2548
ในด้านภาวะการหางานทำของบัณฑิต ผลการศึกษา พบว่า บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นผู้มี งานทำ โดยร้อยละของผู้สำเร็จการศึกษาที่ได้งานทำ ศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 1 ปี เท่ากับ 41.57 รวมทั้งร้อยละของบัณฑิต ที่ได้งานทำหรือประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 1 ปี (ไม่นับรวมผู้ศึกษาต่อ) เท่ากับ 41.20 ทั้งนี้ บัณฑิตส่วนใหญ่สามารถทำงานตรงตามสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา (ร้อยละ 21.35) และเงินเดือน 8,988.89 บาท
2016-01-01T00:00:00Z
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบเลขฐาน สําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นางวชิรารักษ์ โอรสรัมย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2230
2018-01-10T08:27:52Z
2015-01-01T00:00:00Z
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบเลขฐาน สําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นางวชิรารักษ์ โอรสรัมย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื้อ1) สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมเรื้อง
ระบบเลขฐาน สําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการ
เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม 3) ศึกษาความพึงพอใจ
ของการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบเลขฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
วิจัยครั้งนี้คือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ในชีวิตประจําวัน ในภาคเรียนที 1 ปี การศึกษา 2558 จํานวน จํานวน 30 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบเลขฐาน
สําหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์2) แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน
3)แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมเรื่องระบบเลขฐาน
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้ matched pairs t-test และวิเคราะห์ความพึงพอใจโดยใช้ค่าเฉลี่ย
ผลการวิจัยพบว่าการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง
1) ความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องระบบเลขฐาน มีค่าเฉลี่ย
4.42และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.94อยู่ในระดับความพึงพอมาก2) ผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนด้วย
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่
ระดับ.05
2015-01-01T00:00:00Z
รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำ ของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 – 2554”
สุธีรา สุนทรารักษ์และคณะผู้วิจัย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2201
2018-01-10T08:28:12Z
2011-01-01T00:00:00Z
รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง “การติดตามผลการสำเร็จการศึกษาและภาวะการมีงานทำ ของบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 – 2554”
สุธีรา สุนทรารักษ์และคณะผู้วิจัย
การวิจัย เรื่อง การติดตามผลการสาเร็จการศึกษาและภาวการณ์มีงานทาของบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2553 – 2554 สาเร็จลุล่วงได้ดีโดยได้รับความอนุเคราะห์จากบุคคลหลายฝ่าย คณะผู้วิจัย ขอขอบคุณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ ที่สนับสนุนทุนการวิจัย ประจาปี 2555 รวมทั้งข้อมูลสนับสนุนสาหรับการทาวิจัยในครั้งนี้
ขอขอบคุณเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ที่ให้ความช่วยเหลือและให้กาลังใจในช่วงดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล และขอขอบคุณผู้สาเร็จการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ให้ข้อมูลในการตอบแบบสอบถาม
ประโยชน์และคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการวิจัย คณะผู้วิจัยขอมอบบูชาพระคุณบิดามารดา และบุคคลในครอบครัว ที่เป็นกาลังใจและอานวยความสะดวกในด้านต่างๆ ช่วยให้การวิจัยสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขอระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้แก่ผู้วิจัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท้ายนี้หากพบข้อบกพร่องหรือมีข้อผิดพลาดประการใด ในงานวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขออภัยและ น้อมรับข้อผิดพลาดมา ณ โอกาสนี้ด้วย
2011-01-01T00:00:00Z
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการใช้กับไม่ใช้ โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ รายวิชาระบบฐานข้อมูล
แสงดาว นพพิทักษ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2200
2018-01-10T08:28:31Z
2014-01-01T00:00:00Z
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการใช้กับไม่ใช้ โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ รายวิชาระบบฐานข้อมูล
แสงดาว นพพิทักษ์
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการใช้กับไม่ใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ รายวิชาระบบฐานข้อมูล และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่สอนโดยการใช้กับไม่ใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ รายวิชาระบบฐานข้อมูล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้นปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาระบบฐานข้อมูล จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งหมด 73 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรม Netsupport School แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลางภาค ปลายภาค ภาคปฏิบัติ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test
ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจของผู้เรียนที่สอนโดยการใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์โดยรวมอยู่ในระดับความเห็นมากที่สุด และความพึงพอใจของผู้เรียนที่สอนโดยไม่ใช้โปรแกรมควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยรวมอยู่ในระดับความเห็นมากที่สุด
2014-01-01T00:00:00Z
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อม 2 แบบ ในรายวิชาระบบฐานข้อมูล
จิรวดี โยยรัมย์, เปรม อิงคเวชชากุล
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2199
2018-01-10T08:28:51Z
2012-01-01T00:00:00Z
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อม 2 แบบ ในรายวิชาระบบฐานข้อมูล
จิรวดี โยยรัมย์, เปรม อิงคเวชชากุล
การวิจัยครั้งนี้มีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล สถาปัตยกรรมฐานข้อมูล แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และการออกแบบระบบฐานข้อมูล และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำของนักศึกษาที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมทั้ง 2 แบบ คือ เตรียมความพร้อมด้วยการใช้คำถามและเตรียมความพร้อมด้วยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นปีที่ 1 จำนวน 4 ห้องเรียน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 2 ห้องเรียน โดยห้องที่ 1 เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมด้วยคำถาม ห้องที่ 2 เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมด้วยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ห้องที่ 3 และห้องที่ 4 เป็นกลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติ จำนวนห้องละ 30 คน ในแต่ละห้องประกอบด้วย เด็กเก่ง เด็กปานกลาง และเด็กอ่อน รวมทั้งสิ้น 120 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Positive Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสถาปัตยกรรมฐานข้อมูล แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และการออกแบบระบบฐานข้อมูล และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องละ 10 ข้อ รวมจำนวน 40 ข้อ ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกันแต่มีการสลับข้อคำถาม ผลการวิจัยพบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชา ระบบฐานข้อมูล เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสถาปัตยกรรมฐานข้อมูล แบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และ การออกแบบระบบฐานข้อมูล ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ (E1 / E2) เท่ากับ 91.54 /89.79 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนจากการจำของนักศึกษา ที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีการเตรียมความพร้อมทั้ง 2 แบบ คือ เตรียมความพร้อมด้วยการใช้คำถามและเตรียมความพร้อมด้วยการแจ้งจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมไม่แตกแต่งกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
การเปรียบเทียบคะแนนการทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง พบว่าคะแนนการทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษากลุ่มควบคุมที่เรียนแบบปกติ แตกต่างจากคะแนนการทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษากลุ่มทดลองที่มีการเตรียมความพร้อมทั้ง 2 แบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2012-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาสาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยการเรียนการสอนแบบโครงงานและการทำโครงงานประจำภาคการศึกษา รายวิชา : 4131301 หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ปุริม ชฎารัตนฐิติ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2198
2018-01-10T08:29:05Z
2013-01-01T00:00:00Z
การพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาสาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยการเรียนการสอนแบบโครงงานและการทำโครงงานประจำภาคการศึกษา รายวิชา : 4131301 หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ปุริม ชฎารัตนฐิติ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยการเรียนการสอนแบบโครงงานและการทำโครงงานประจำภาคการศึกษา รายวิชา : 4131301 หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาจากการเรียนรู้ในรูปแบบโครงงาน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาในรูปแบบโครงงานโดยการทำโครงงานประจำภาคการศึกษา และเพื่อเพิ่มทักษะของนักศึกษาโดยการเรียนรู้แบบโครงงานและการทำงานโดยใช้รูปแบบโครงงาน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ กลุ่มวิชาการจัดการคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ชั้นปีที่ 1 ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 89 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มโครงงาน กลุ่มละ 6-8 คน โดยแต่ละกลุ่มจะมีโจทย์โครงงานของตนเอง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา เรื่องการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยการเรียนการสอนแบบโครงงานและการทำโครงงานประจำภาคการศึกษา รายวิชา : 4131301 หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนการประเมินคือ 1) ส่วนประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาต่อคุณภาพการสอนของอาจารย์ผู้สอน 2) ส่วนประเมินตนเองและสิ่งสนับสนุนการเรียนของนักศึกษา 3) ส่วนประเมินความพึงพอใจและการนำการเรียนในรูปแบบโครงงานไปใช้
คำสำคัญ : รูปแบบการเรียนการสอน. โครงงาน. หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์.
2013-01-01T00:00:00Z
การสำรวจความต้องการหลักสูตรของผู้ใช้บัณฑิตและประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เทพอัปสร แสนสุข, วิริญรัชญ์ สื่อออก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2197
2018-01-10T08:29:22Z
2011-01-01T00:00:00Z
การสำรวจความต้องการหลักสูตรของผู้ใช้บัณฑิตและประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เทพอัปสร แสนสุข, วิริญรัชญ์ สื่อออก
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการหลักสูตรของผู้ใช้บัณฑิตและประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุง พัฒนาหลักสูตร และพัฒนานักศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ผู้ใช้บัณฑิต ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ หัวหน้างาน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่ทำงานในองค์กรนั้น รวมทั้งสิ้น 300 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามความต้องการหลักสูตรของผู้ใช้บัณฑิตโดยแบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ และแบบสอบถามการประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 30 คน ต่อสาขาวิชา รวมทั้งหมด 10 สาขาวิชา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในสาขาวิชา คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เคมี ชีววิทยาประยุกต์ วิทยาศาสตร์การกีฬา สาธารณสุขชุมชน และสิ่งทอ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเป็นเพศชาย ส่วนสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และสาขาวิชาสถิติประยุกต์ จะมีผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงและเพศชายเท่ากัน และส่วนใหญ่หน่วยงานที่ผู้ตอบแบบสอบถามทำงานนั้นเป็นหน่วยงานในส่วนราชการ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ ตามลำดับ สำหรับความเข้าใจและทิศทางความสนใจในด้านหลักสูตรเป็นการสำรวจระดับความสนใจของหน่วยงานที่มีต่อหลักสูตร เกี่ยวกับเนื้อหา ความจำเป็นในตลาดอาชีพ และการเข้าทำงานของบัณฑิตที่จบจากสาขาวิชาต่าง ๆที่มีในหลักสูตรของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรายละเอียดและผลการศึกษา ดังนี้ โดยส่วนใหญ่หน่วยงานของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจต่อหลักสูตรต่าง ๆในคณะวิทยาศาสตร์ในระดับมาก และเห็นว่าควรมีหลักสูตรทุกหลักสูตรในคณะวิทยาศาสตร์ในระดับมาก และหลักสูตรทั้ง 10 หลักสูตรในคณะวิทยาศาสตร์ มีความจำเป็นในตลาดอาชีพในระดับมาก-มากที่สุด และบัณฑิตสามารถเข้าทำงานตรงตามสาขาวิชาที่จบไปในระดับมาก-มากที่สุด และในส่วนความจำเป็นของหลักสูตรเป็นการประเมินระดับความจำเป็นของหลักสูตรของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ในด้านความจำเป็นต่อหน่วยงาน ความสามารถในการทำงานของบุคลากรที่สำเร็จตามหลักสูตรที่มีต่อหน่วยงาน ความรู้เบื้องต้นของหน่วยงานต่อหลักสูตรที่มีในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และการส่งหรือรับนักศึกษาเข้าฝึกงานในสถานประกอบการต่างๆ โดยมีผลการศึกษาดังนี้หน่วยงานของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าหลักสูตรที่สำรวจมีความจำเป็นต่อหน่วยงานในระดับมาก-มากที่สุด และบุคลากรของหลักสูตรที่จบไปทำงานในหน่วยงานของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถให้คำปรึกษาต่อองค์กร หรือหน่วยงานของผู้ตอบแบบสอบถามในระดับมาก และผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าสถานศึกษาควรมีการจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรให้กับหน่วยงานต่างๆในระดับมาก และสถานศึกษาควรส่งนักศึกษาแต่ละหลักสูตรเข้าฝึกประสบการณ์วิชาชีพในหน่วยงานต่างๆตามความเหมาะสมและความสอดคล้องระหว่างหลักสูตรกับหน่วยงานในระดับมาก-มากที่สุด
สำหรับการประเมินคุณลักษณะบัณฑิตตามอัตลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์นั้น สามารถสรุปได้จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 159 คนโดยไม่แยกตามสาขาวิชา ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นชายร้อยละ 55.35 เพศหญิงร้อยละ 44.65 อายุอยู่ในช่วง 31-35 ปี 32 คน คิดเป็นร้อยละ 20.13 สถานประกอบการอยู่ภายในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ 122 คน คิดเป็นร้อยละ 76.73 และจังหวัดสุรินทร์ 37 คน คิดเป็นร้อยละ 23.27 เป็นสถานประกอบการของส่วนราชการ 87 คนคิดเป็นร้อยละ 54.72 ส่วนใหญ่แล้วผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไปในหน่วยงาน 71 คน คิดเป็นร้อยละ 44.65 โดยการประเมินบัณฑิตของคณะวิทยาศาสตร์มีเอกลักษณ์ตามที่คณะกำหนดมีผลการวิจัยเป็นดังนี้ บัณฑิตมีความรู้ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ตามเนื้อหาและหลักสูตรที่สำเร็จการศึกษาอยู่ในระดับมาก บัณฑิตสามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานและการแก้ไขปัญหาต่างๆในระดับปานกลาง บัณฑิตเป็นผู้มีจริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตในระดับมาก และบัณฑิตมีความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีในระดับมาก
จากผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นนั้นทางคณะวิทยาศาสตร์ ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอาชีพ โดยอาจจะเพิ่ม หรือสอดแทรก หรือจัดการอบรมเนื้อหาที่จำเป็นและไม่มีในวิชาเรียนให้กับนักศึกษาเพิ่มเติม ควรมีการชี้แจงหรือการนำเสนอเอกลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละสาขาให้กับหน่วยงานได้ทราบเพื่อจะได้เพิ่มการทำงานได้ตรงตามสาขาวิชา และควรเน้นให้บัณฑิตศึกษาหาความรู้เพื่อให้มีทักษะและรอบรู้ในงาน
คำสำคัญ : ความต้องการ ผู้ใช้บัณฑิต บัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อัตลักษณ์
2011-01-01T00:00:00Z
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วชิรารักษ์ ทิพย์จันทร์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2196
2018-01-10T08:29:37Z
2013-01-01T00:00:00Z
การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วชิรารักษ์ ทิพย์จันทร์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมเรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม 3) ศึกษาความพึงพอใจของการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องตรรกศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการคิดและการตัดสินใจในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จำนวน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องตรรกศาสตร์ สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมเรื่องตรรกศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้ matched pairs t-test และวิเคราะห์ความพึงพอใจโดยใช้ค่าเฉลี่ย
ผลการวิจัยพบว่าการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง 1) ความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริม เรื่องตรรกศาสตร์ มีค่าเฉลี่ย4.45 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน0.93 อยู่ในระดับความพึงพอมาก 2) ผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซ่อมเสริมสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05
2013-01-01T00:00:00Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง เรื่อง ออโตมาตา โดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาปีที่ 2
นายดรัสวิน วงศ์ปรเมษฐ์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/2179
2018-01-10T08:29:57Z
2013-01-01T00:00:00Z
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง เรื่อง ออโตมาตา โดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาปีที่ 2
นายดรัสวิน วงศ์ปรเมษฐ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง เรื่องออโตมาตา โดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2556 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง จากนักศึกษาที่เรียนรายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง ภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 100 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 50 คน โดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วย กลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง รวมกลุ่มละ 50 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง เรื่องออโตมาตา โดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาดีสครีตและโครงสร้าง เรื่องออโตมาตาโดยใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ตามที่กำหนดไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05
2013-01-01T00:00:00Z