สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/3842024-03-28T11:59:29Z2024-03-28T11:59:29Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4อัจฉริยา, ฤทธิรณhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80112021-11-19T02:17:04Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
อัจฉริยา, ฤทธิรณ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 ตามความคิดเห็นของครู
2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและขนาดโรงเรียน และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพ
การนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูจำนวน 331 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิตามขนาดของโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว ระยะที่ 2 แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้บริหารโรงเรียน ครูวิชาการ และศึกษานิเทศก์ ซึ่งมี จำนวน 7 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาสภาพการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านเทคนิควิธีการนิเทศ
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อการศึกษาสภาพการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียนโดยรวมไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 พบว่า
3.1 ด้านการกระบวนการนิเทศ ควรมีการสำรวจความต้องการโดยสังเกตซักถามและแลกเปลี่ยนอย่างเป็นมิตร
3.2 ด้านเทคนิควิธีการนิเทศ ควรร่วมมือจัดทำแผนการนิเทศให้ตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอน การจัดทำแผนการสอนสอดคล้องตามความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่น การลดบทบาทของครู การจัดกิจกรรมเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม เรียนรู้ด้วยความสุข
3.3 ด้านกิจกรรมการนิเทศ ควรมีการนิเทศอย่างเป็นระบบมีการแจ้งแผนนิเทศไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การนิเทศมีการปฏิบัติได้จริง
3.4 ด้านการประเมินผลการนิเทศ ควรมีการนำข้อมูลการนิเทศมาพัฒนาการเรียน
การสอนร่วมกัน โดยมีการดำเนินการตามแผนและคู่มือการนิเทศ; The purposes of this study were 1) to examine state of administrators’ internal supervision in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 4, according to teachers’ opinion, 2) to compare teachers’ opinion toward internal supervision of administrators in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 4 based on working experiences and school sizes ; and 3) to study development guidelines for internal supervision of administrators in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 4. Two phases were implemented in this study. In phase 1, state of internal supervision of administrators was examined. The sample consisted of 331 teachers, selected by stratified sampling according to the school sizes. The instrument used to collect the data was a questionnaire, and the data were analyzed by using percentage, mean ( ), and standard deviation (S.D.). The hypothesis was tested by using t-test and the analysis of variance in term of one-way ANOVA. Phase 2 was to investigate development guidelines for internal supervision of administrators. 7 experts from school administrators, academic teachers and educational supervisors were chosen by using purposive sampling for interviews. Interview form was used to collect the data and the data were analyzed by using content analysis.
The findings revealed as follows:
1. State of administrators’ internal supervision in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 4 is a high level in overall aspects.The lowest average aspect is supervision technique.
2.Comparison of teachers’ opinions toward the state of internal supervision of administrators based on working experiences and school sizes was not different.
3. Development guidelines for internal supervision of administrators in schools were as follows :
3.1 For a supervision process, a need survey should be conducted by observations, asking questions, and exchanging opinions with a positive and friendly atmosphere.
3.2 For the aspect of supervision techniques, a supervision plan should be implemented according to the objectives of learning and teaching procedures. For a lesson plan design, it should be correlated to the needs of learners and local communities. Reducing the roles of teachers and using the activities that focus on learners should be implemented so that learners could learn by doing and with happiness.
3.3 In terms of supervision activities, they should be systematically organized so that they could be put into practice successfully.
3.4 For the evaluation of supervision, the information getting from the supervision should be used for the learning and teaching development according to the supervision plan and supervision manual.
2563-01-01T00:00:00Zภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32เทพรัตน์, ศรีครามhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80102021-11-19T02:12:35Z2562-01-01T00:00:00Zภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
เทพรัตน์, ศรีคราม
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ
2) เพื่อเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ข้าราชการครู จำนวน 346 คน ได้มาจากการได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครซีและมอร์แกนแล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่ายตามลำดับ เครื่องมือที่ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบคำถามปลายเปิด โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยการทดสอบค่าที และค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. ผลเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการแสดงเป็นแบบฉบับให้บุคลากรเป็นผู้นำตนเอง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารควรให้โอกาสทำงานที่ท้าทายความสามารถของบุคลากร การสนับสนุนให้บุคลากรสามารถนำตนเองได้ของผู้บริหารสถานศึกษา และการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ; The purposes of this research aimed to 1) study the super leadership level of educational administrators as perceived by teachers under the Secondary Educational Service Area Office 32 and 2) compare the super leadership level of educational administrators as perceived by teachers under the Secondary Educational Service Area Office 32, classified by gender, educational background, work experiences, and school sizes. The samples were 346 teachers, selected by using the table of Krejcie and Morgan, stratified random sampling, and simple random sampling, respectively. The research instrument was a three-part questionnaire including checklist, five-rating scale and open-ended question with the reliability of 0.92. The statistics used to analyze the collected data were percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by independent samples t-test and F-test. If the significant differences were found, Scheffe' method was used with the statistical significant set at .05 level. The findings revealed that:
1. The super leadership level of educational administrators as perceived by teachers under the Secondary Educational Service Area Office 32 both in overall and each aspect were at a high level.
2. There were no differences of the super leadership level of educational administrators as perceived by teachers under the Secondary Educational Service Area Office 32, classified by gender, educational background, and work experiences both in overall and each aspect. When classified by school sizes, it showed statistical significant difference at .05 level in the aspect of the role model of the personnel to be leaders themselves. In contrast, the rest aspects were not different.
3. The suggestions for super leadership development of educational administrators were that the administrators should give the opportunity to work that challenges the ability of personnel, support for self-directed personnel of educational administrators, and give the moral support to encourage the personnel to work regularly.
2562-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการส่งเสริมการวิจัย ในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1เอื้อมพร, บ่อไทยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80092021-11-16T03:58:58Z2563-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการส่งเสริมการวิจัย ในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
เอื้อมพร, บ่อไทย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการและการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ตามความคิดเห็นของครู และ2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครู จำนวน 322 คนได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี และมอร์แกน แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า และแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ
สมมติฐานโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ตามความคิดเห็นของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. การส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ตามความคิดเห็นของครูโดยรวมอยู่ในระดับมาก
3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียน
ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 โดยรวม
มีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูง (rXY= .749); The purposes of this research were 1) to study level of academic leadershipandclassroom action research enhancement of school administratorsaccording to school teachers’ opinions underBuriram Primary Educational Service AreaOffice 1 ; and 2) to investigate relationship between academic leadership and classroom action research enhancement of school administrators. The samples consisted of 322 school teachers which were selected by using a table of Krejcie and Morgan. Stratified random sampling technique was also employed according to the school size. The instrument used in this study was a questionnaire which comprised 3 parts : checklist, rating scale and open ended form with reliability value of 0.989. The data were analyzed by using percentage, mean and standard deviation. The hypothesis was tested by using Pearson Correlation Coefficient. The research results revealed that :
1. The opinions of school teachers under Buriram Primary Educational Service Area Office 1 towardsacademic leadershipwere at a high level in overall aspect.
2. The opinions of school teachers under Buriram Primary Educational Service AreaOffice 1 towardsclassroom action research enhancement of school administratorswere at a high levelin overall aspect.
3. The relationship between academic leadership and classroom action research enhancement of school administrators under Buriram Primary Educational Service AreaOffice1in overall aspect was positive at the statistical significant level of .01 with amoderate correlation level (rXY = .749).
2563-01-01T00:00:00Zสภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33วัชรพล, เที่ยงปาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80082021-11-16T03:56:36Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
วัชรพล, เที่ยงปา
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงาน
ห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33และ2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดโรงเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 345 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามประสบการณ์ทำงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน
3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานห้องเรียนแห่งคุณภาพของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05; The purposes of this study were 1) to study the opinions concerning states of quality classroom in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 from teachers; and2) to compare the opinions concerningstates of quality classroom in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 from teachers according to work experience and school size. The samples consisted of 345people selected by using simple random sampling method. The instrument used to collect the data was questionnaire and the data were analyzed by using percentage, mean, Standard Deviation (S.D), t - test (Independent Samples) and one-way ANOVA.
The results revealed that:
1. The states of quality classroom in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 was at a high level.
2. The result from comparing opinions concerning states of quality classroom in schools under Secondary Educational Service Area Office 33which were categorized by work experience wasn’t found the difference.
3. The result from comparing opinions concerning states of quality classroom in school under Secondary Educational Service Area Office 33 which were categorized by school size was found that there was statistically significant difference at 0.5 level.
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์สารินี, นุชนารถhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80072021-11-16T03:54:09Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์
สารินี, นุชนารถ
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์2) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์เนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จึงดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 217 คน ได้จากการสุ่มจากประชากรด้วยวิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบข้อมูล เป็นแบบประเมินมี 5 ระดับวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มเป้าหมายจำนวน 12 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1 สภาพการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากและน้อย โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อม รองลงมา คือด้านอาคารสถานที่ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความปลอดภัย เมื่อพิจารณารายข้อในส่วนของด้านสิ่งแวดล้อมและด้านอาคารสถานที่ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านความปลอดภัยมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง
2 แนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดบุรีรัมย์โดยการสังเคราะห์ผลการสัมภาษณ์ แนวทางแก้ไขปัญหา จุดที่ควรพัฒนาและเร่งปรับปรุง มีดังนี้
2.1 ด้านอาคารสถานที่มีแนวทางแก้ไขได้แก่ เสนอผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปรับปรุงอาคารให้ได้ตามแบบมาตรฐานกำหนด ติดตั้งเครื่องระบายอากาศภายในห้องเรียน จัดทำรั้วกันและแยกบริเวณห้องครัวให้มิดชิด ภาชนะที่ใส่อาหารมีความปลอดภัยถูกสุขลักษณะ ห้องเรียนมีแสงสว่างที่เพียงพอ พื้นที่สำหรับเด็กต้องสะอาด
2.2 ด้านสิ่งแวดล้อมมีแนวทางแก้ไขได้แก่ จัดประชุมชี้แจงผู้ดูแลเด็ก เพื่อดำเนินการคัดแยกขยะ และดำเนินการโครงการธนาคารขยะ ตลอดจนให้ผู้ดูแลเด็กได้ไปศึกษาดูงานกับหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการขยะที่ดี
2.3 ด้านความปลอดภัยมีแนวทางแก้ไขได้แก่ ติดตั้งเครื่องตัดไฟให้ครบทุกอาคาร
ติดตั้งตู้ยาให้ได้มาตรฐานพร้อมทั้งจัดทำบัญชีการใช้ยาตรวจสอบวันหมดอายุของยา มีการซ้อมเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ ผู้ดูแลเด็กบันทึกการรับ - ส่งเด็กทุกวัน; The purposes of this research were 1) to study the state of the environmental management which supports child development and 2) to explore the potential guidelines to manage the environment. As this research was both qualitative and quantitative,it was divided into two phrases. The first phrase focused on studying the state of environmental management which directly supports children development. There were 217 samples selected by stratified sampling. The tool used to collect the data was the evaluation form. The collected data were analyzed by using percentage, mean, and standard deviation. The second phrase was to explore the guidelinesfor environmental management to support children development. The samples were 12 expertsselected by purposive sampling. The instrument used to collect the data was interview form and the data were analyzed by content analysis.
The study found that:
1.The state of the environmental management which supports children development of Child Development Centers under Local Government Organizations in Buriram province in overall aspect was at an average level. When considering in each aspect, it was found that environment aspect received the highest mean followed by buildings aspect. When considering in the environment and building aspects, the action was performed at a high level while security aspect was acted at an average level.
2. The guidelines for environmental management which supports the children development of Child Development Confers under Local Government Organizations in Buriram province were as follows:
2.1 In the building aspect, the board of Local Government Organizations should be proposed to renovate the building according to the regulative standard, the ventilator in the classroom should be installed, the fences should be built and the kitchen should be separated.
Moreover, food containers should be clean and hygienic. In terms of classrooms, there should have enough light and space for the children should be clean.
2.2 For the environment aspect, it was suggested that the meeting with children’s parents should be organized in order to operate the waste management program and establish the waste bank. Further, there should be the program which allows children to participate in the waste management seminar with the organizations that are well waste managed.
2.3 In terms of the security aspect, the circuit breakers should be installed in each building, and also the medicine cupboard and the medicine account should be established to check the expiration date of the medicine. There should be a practice for the emergency situation frequently and regularly. Also, children pick up and drop off should be recorded daily by the staff.
2563-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้วัจนกรรมในการพาดหัวข้อข่าวอาชญากรรมของบางกอกโพสต์และซีเอ็นเอ็นออนไลน์ศรณี, เนลเสนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80062021-11-16T03:51:48Z2020-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้วัจนกรรมในการพาดหัวข้อข่าวอาชญากรรมของบางกอกโพสต์และซีเอ็นเอ็นออนไลน์
ศรณี, เนลเสน
วัจนกรรมเป็นส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในกิจกรรมการสื่อสารของมนุษย์ วัจนกรรมมีอยู่หลายประเภทและหลายแขนงย่อย การศึกษาและแยกแยะประเภของวัจนกรรมเป็นการช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านไดเข้าใจข้อมูลได้ชัดเจนยิ่งขึ้นการวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วยสองจุดประสงค์สำคัญคือ 1) จำแนกประเภทและกลยุทธ์ทางวัจนกรรมที่ใช้ในการเขียนพาดหัวข้อข่าวอาชญากรรมออนไลน์ของสำนักข่าวบางกอกโพสต์ของประเทศไทยและซีเอ็นเอ็นออนไลน์ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้ประเภทวัจนกรรมและกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการพาดหัวข้อข่าวของสำนักข่าวบางกอกโพสต์และซีเอ็นเอ็นออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างคือหัวข้อข่าว 400 หัวข้อข่าว โดยสุ่มเลือกจากเวบไซต์ของทั้งสองสำนักข่าว สำนักข่าวละ 200 ตัวอย่าง การสุ่มตัวอย่างดำเนินการระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ข้อมูลที่ได้นำมาถอดความและเข้ารหัสตามประเภทของวัจนกรรมตามทฤษฎีของเซอร์ล (1969) โดยใช้สถิติค่าความถี่ร้อยละ และนำข้อมูลจากสำนักข่าวทั้งสองมาเปรียบเทียบกันโดยใช้การทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเขียนของทั้งสองสำนักข่าวใช้วัจนกรรม 2 ประเภทคือ วัจนกรรมกลุ่มบอกกล่าวและวัจนกรรมกลุ่มแสดงความรู้สึกในการนำเสนอหัวข้อข่าว โดยประเภทของวัจนกรรมที่ใช้มากที่สุดของทั้งสองสำนักข่าว คือ วัจนกรรมการบอกกล่าว โดยสำนักข่าวบางกอกโพสต์และซีเอ็นเอ็นมีการใช้ประเภทของวัจนกรรมแบบบอกกล่าวในระดับที่เท่ากัน แต่ทั้งสองสำนักข่าวใช้ วัจนกรรมแสดงความรู้สึกมาใช้ในการนำเสนอหัวข้อข่าวที่แตกต่างกัน 2) กลยุทธ์การแจ้งข่าวสารที่เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวให้แก่ผู้อ่านรับทราบถูกนำมาใช้มากที่สุด รองลงมาคือการอ้างอิงข้อมูลจากผู้อื่น การอธิบายและการคาดเดา 3) ทั้งสองสำนักข่าวมีการใช้กลยุทธ์การแจ้งข่าวสาร กลุ่มการคาดเดา การอธิบายและการแสดงความเห็นใจเท่ากัน และ 4) ทั้งสองสำนักข่าวมีการใช้กลยุทธ์แบบการอ้างอิงและการวิเคราะห์วิจารณ์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05
"; Speech acts perform crucial function on human communication. There are many types and sub-types of speech acts, so studied and classifications of speech acts types assist listeners or readers to understand the nformation more clearly. The purposes of this study were 1) to classify types and strategies of speech acts used on crime news of the Bangkok Post of Thailand and CNN online of The United States of America, and 2) to
compare types and strategies of speech acts used on crime news headlines of the Bangkok Post and CNN online. Four hundred crime news headlines were randomly selected from websites of the Bangkok Post and CNN Online by which twohundred headlines were selected from each of these two news websites. The data were collected during April to July 2019. The obtained data were interpreted and coded in line with the speech acts
types purposed by Searle (1969). The data were analyzed by using frequency and percentage, and the data were compared by employing Chi-square test. The research results revealed that 1) two types of speech acts used to write headlines of the Bangkok Post and CNN online were found i.e. assertives and expressives. Moreover, the assertives were mostly utilized in writing the headlines of both news websites. However, the Bangkok Post and CNN Online equally used assertives type of speech acts butdifferently used ofexpressives types on their news headlines writing,2) The strategies of assertives that mostly occurred on the headlines of twonews agencies were informing, followed by claiming, describing and conjecturing, 3) Both news agencies equally used strategies of informing, describing, and conjecturing forpresenting their headlines. and 4) Both news agencies used strategies of claiming and criticizing differently on their headlines with statistical significant level at 0.05.
2020-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการนำแผนปฏิบัติการประจำปี ไปปฏิบัติในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4สุดเฉลียว, ยืนยั่งhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80052021-11-16T03:46:16Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการนำแผนปฏิบัติการประจำปี ไปปฏิบัติในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
สุดเฉลียว, ยืนยั่ง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติ
ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต4 2) เพื่อเปรียบเทียบปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติ จำแนกตามสถานภาพ วุฒิการศึกษา และขนาดสถานศึกษาและ3)เพื่อศึกษาแนวทางการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติในสถานศึกษาของผู้บริหารและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 320คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า5 ระดับและแบบปลายเปิดมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสมมุติฐานใช้การทดสอบค่าt การวิเคราะห์หาค่าความแปรปรวนทางเดียวและการทดสอบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ โดยวิธีการของเชฟเฟ่
ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครู ปัญหาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับจากมีปัญหามากไปน้อย คือด้านการประเมิน สรุปและรายงานผลการปฏิบัติตามแผนด้านการปรับแผนด้านการดำเนินการตามแผนและด้านการทำความเข้าใจและมอบหมายการปฏิบัติตามแผน ตามลำดับ
2. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติพบว่า ผู้บริหารและครูที่มีสถานภาพและวุฒิการศึกษาต่างกันมีปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปีไปปฏิบัติโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ผลการเปรียบเทียบแนวความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาการนำแผนปฏิบัติการประจำปี
ไปปฏิบัติจำแนกตามขนาดสถานศึกษาโดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01
4. แนวทางการนำแผนปฏิบัติการไปปฏิบัติในสถานศึกษาของผู้บริหารและครูสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4ได้แก่มอบหมายผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตรงกับความรู้ความสามารถประชุมและแต่งตั้งคณะกรรมการการจัดทำแผนให้เหมาะสม
มีการจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานรวมของโรงเรียนจัดสรรทรัพยากรให้ตรงกับแผนที่วางไว้
ควรปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการได้ตามความเหมาะสมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องร่วมกันมีการประเมินจากหลายภาคส่วนและมีการประชุมสรุปตามแผนทุกครั้ง; The objectives of this research were 1) to study problems of implementing annual action plan by -schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 4, 2) to compare problems of implementing annual action plan classified by status, educational level and school size; and 3) to examine guidelines of implementing annual action plan in schools by school boards and teachers under Buriram Primary Educational Service Area Office 4.
The samples were 320 school boards and teachers. The data were collected by using questionnaire which comprised 5 - rating scale and open-ended form with the reliability level of 0.874. Statistics used to analyse the data were frequency distribution, percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by using t-test, One - way ANOVA and Scheffé’s Method. The results were as follows:
1. Problems in implementing annual action plan according to the comments of the school boards and teachers were moderate. When considered in each aspect, it was found that every aspect was at a moderate level. Arranging from the highest to the lowest level were assessment, summary and performance report, plan adjustment, plan implementation and make an understanding and plan assignment, respectively.
2. Comparison of problems in implementing annual action plan according to school boards and teachers with different status and educational levels was not different in both overall and each aspect.
3. Comparison of problems in implementing annual action plan according to school boards and teachers with different school size was significantly different in each and overall aspect at the statistical level of .01
4. Guidelines for implementing annual action plan by school boards and teachers under Buriram Primary Educational Service Area Office 4 were that responsible person should be clearly assigned according to knowledge and ability, action plan boards and meeting should be appropriately organized and overall school operation plan should be made. Moreover, resources should be provided in accordance to the plan. The plan should be able to adjust and any mistakes and suggestions should be taken into consideration. Besides, assessment should be made from various sections and summary meeting should be organized accordingly.
2563-01-01T00:00:00Zรูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างเพ็ชรา, พรมตวงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80042021-11-16T03:43:46Z2019-01-01T00:00:00Zรูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
เพ็ชรา, พรมตวง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของ การพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และ 3) ประเมินรูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา ใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ ใช้วิธีการสำรวจและสัมภาษณ์เชิงลึกจากประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 990 คน ใน 145 โรงเรียน ระยะที่ 2 การสร้างและพัฒนารูปแบบ เป็นขั้นตอนการร่างรูปแบบ ตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบด้วยการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ และทดลองใช้รูปแบบตามคู่มือการใช้รูปแบบ ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบ เป็นขั้นตอนประเมินรูปแบบ ด้วยการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับปรุงและนำเสนอรูปแบบที่สมบูรณ์ ในการวิจัยนี้ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมิน วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้บริหารสถานศึกษาและครูมีความคิดเห็นต่อสภาพปัจจุบันของการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างโดยรวม
อยู่ในระดับมาก ( = 4.06) และสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.57)
2. รูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ มีองค์ประกอบการพัฒนา จำนวน 4 ด้าน 50 ตัวบ่งชี้ ประกอบด้วย ด้านการมีภาวะผู้นำทางวิชาการ ด้านการจัดครูผู้สอนปฐมวัย ด้านการจัดโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการ และด้านการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของผู้ปกครองและชุมชน
3. รูปแบบการพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยรวม
อยู่ในระดับมาก ( = 4.28, = 4.22, = 4.29); The purposes of this study were 1) to examine current and desired condition of the development of Early Childhood Model Center of Educational Service Area Office in Lower Northeastern region; 2) to create and develop the Early Childhood Model Center of Educational Service Area Office in Lower Northeastern region; and 3) to evaluate the development of Early Childhood Model Center of Educational Service Area Office in Lower Northeastern region. Research and Development (R&D) approach was applied by divided into 3 phases. Phase 1 was to study current and desired condition by using survey and in-depth interview. The population included 990 school’s administrators and teachers from 145 schools. For phase 2, the model was developed and the possibility of the model was examined by using focus group of the experts. Then, the developed model was implemented according to the manual. In phase 3, the model was evaluated by the experts’ group meeting. The model was edited and the completed model was presented. The data was collected by using questionnaire, interview and evaluation form. Statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation.
The result suggested that:
1. The opinion from school’s administrators and teachers towards current condition of the development of Early Childhood Model Center of Educational Service Area Office in Lower Northeastern region was at a high level in overall aspects (X̄ = 4.06); however, the opinion towards the desired condition was at the highest level in overall aspects (X̄ = 4.57).
2. For developing Early Childhood Model Center, there were 4 aspects with 50 indicators of administrative factors which included Instructional Leadership aspect, Pre-School Teachers Management aspect, Administrative Structure and System aspect and Participation of Parents and Community in Administration aspect.
3. The development of Early Childhood Model Center of Educational Service Area Office in Lower Northeastern region was appropriate, possible and the usefulness as a high level in overall aspects (X̄ = 4.28, X̄ = 4.22, X̄ = 4.29).
2019-01-01T00:00:00Zกระบวนการพัฒนาการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์กริชเพชร, นนทโคตรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80032021-11-16T03:40:39Z2559-01-01T00:00:00Zกระบวนการพัฒนาการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
กริชเพชร, นนทโคตร
2559-01-01T00:00:00Zการบริหารงานพัสดุในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33ศราวุธ, จันทร์วิเศษhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80022021-11-16T03:40:35Z2563-01-01T00:00:00Zการบริหารงานพัสดุในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
ศราวุธ, จันทร์วิเศษ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุเกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุ จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งและขนาดของโรงเรียน และเพื่อศึกษาแนวทางของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุเกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุเกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารจำนวน108คน ครูปฏิบัติงานพัสดุ จำนวน 136 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 244 คน ใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent Sample t-test และ F - test แบบ One way ANOVAระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานพัสดุโรงเรียน กลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้บริหารจำนวน 3 คน ครูปฏิบัติงานพัสดุ จำนวน 3 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 6 คนโดยวิธีเจาะจงจากโรงเรียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยมด้านการปฏิบัติงานพัสดุเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุ เกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจำหน่ายพัสดุ รองลงมา คือ ด้านการควบคุมพัสดุ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการวางแผนงานพัสดุ
2. ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุ เกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง โดยรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูปฏิบัติงานพัสดุ เกี่ยวกับการบริหารงานพัสดุในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการควบคุมพัสดุแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่นๆไม่แตกต่างกัน
4. แนวทางการบริหารงานพัสดุโรงเรียนในเชิงนโยบายควรมีการกำกับติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานการบริหารงานพัสดุอย่างมีคุณภาพ โดยควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และระเบียบ กฎหมาย และหนังสือสังการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และกำชับให้ผู้ปฏิบัติงานด้านพัสดุ ยึดหลักการบริหารจัดการตามหลักธรรมมาภิบาล โดยเน้นเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การมีส่วนร่วมและความยุติธรรม และในเชิงการปฏิบัติงาน ด้านการวางแผนงานพัสดุ โรงเรียนควรมีการประชุมวางแผนดำเนินการในด้านกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุที่ต้องการใช้งาน และควรพัฒนาแผนงานพัสดุและแผนการใช้งบประมาณประจำปีด้านการจัดหาพัสดุ โรงเรียนควรมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุตรงตามคุณลักษณะที่กำหนดโดยการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดคุณสมบัติของพัสดุ การตรวจรับพัสดุ และควรพัฒนาการปฏิบัติงานในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีการจัดซื้อหรือจ้างที่เหมาะสมและถูกต้องตามระเบียบด้านการเบิก - จ่ายพัสดุ โรงเรียนควรมีการเบิกจ่ายพัสดุเป็นระบบและรัดกุม และควรพัฒนาการบริหารงานพัสดุในการเบิก จ่ายพัสดุ ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนพัสดุ ด้านการควบคุมพัสดุ โรงเรียนควรนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารงานการควบคุมพัสดุ และควรพัฒนาหรือปรับปรุงสถานที่เก็บพัสดุให้เพียงพอ เหมาะสมและปลอดภัยด้านการบำรุงรักษาพัสดุ โรงเรียนควรมีการวางแผนบำรุงรักษาพัสดุครุภัณฑ์ และควรพัฒนาการปฏิบัติงานของผู้รับผิดชอบการบำรุง เก็บรักษาพัสดุ ครุภัณฑ์และด้านการจำหน่ายพัสดุ โรงเรียนควรมีการส่งเงินรายได้จากการจำหน่ายพัสดุเป็นรายได้แผ่นดินตามระเบียบพัสดุ และควรพัฒนาการปฏิบัติงานในเรื่องการจำหน่ายพัสดุครุภัณฑ์ออกจากทะเบียนควบคุมเป็นปัจจุบัน; The aims of this study were1) to examine and compare the opinions of administrators and supplies teachers towards supplies administration according to position status and size of schools;and 2) to study guidelines for supplies administration in schools. The data were collected under Secondary Educational Service Area Office 33 and divided into 2 phases. The data in the first phase were collected from 108 administrators and 136 supplies teachers, which were 244 people in total selected by using stratified random sampling method.The instrument was a 5-rating scale questionnairewiht the reliability level of .96.The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, independent sample t-test , andF - test (One way ANOVA). For phase two, 3 administrators and 3 supplies teachers , which were 6 people in total were selected to be the samples by using purposive sampling method from the school of excellent performance in supplies administration.The instrument was a semi – structured interview and the data were analyzed by using content analysis
The results suggested that:
1. Supplies administration in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 according to the opinions of administrators and supplies teachers was at a high level in overall aspects. The aspect with the highest average was Supplies Distribution, followed by Supplies Control. However, the aspect that received the lowest average was Inventory Planning.
2. Supplies administration in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 according to the opinions of administrators and supplies teachers divided by position status in overall aspect was statistically different at the significant level of .05.
3. Comparison of the opinions of administrators and supplies teachers towards supplies administration in schools under Secondary Educational Service Area Office 33 divided by school’s size in overall aspect was not different. When considered in each aspect, the supplies control aspect was also different at statistically significant level of .05.
4. Guidelines for supplies administration in schools,in term of policy was that the quality of the supplies management should be monitored and assessed which should strictly proceed in accordance with rules, regulations, and laws. Also, supplies administrators should follow the principle of good governancewith an emphasis on transparency, accountability, participation and justice. In terms of inventory, there should be a meeting to plan the specifications of the supplies to be used and an inventory plan and annual budget plan should be developed. In terms of procurement, schools should make a plan concerning supplies procurement and assign the board to quality the properties of supplies , supplies inspection , and appropriately improve operational performance in procurement.Also, accurate procurement methods and regulations should be emphasized. In terms of supplies disbursement, systematic and concise procedure should be set and supplies management for goods disbursements should be improved.In terms of supplies control , schools should use the information system in administration and storage facilities should be developed or improved to provide adequate supplies by suitable and safe method. In terms of supplies maintenance , schools should yield some budget and assign a responsible person. Finally, for supplies disposal, schools give income from the sale of supplies to be public revenue and the operation on the distribution of supplies and supplies from the current control registration should be developed.
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32กณวรรธน์, ลาขุมเหล็กhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80012021-11-16T03:37:34Z2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
กณวรรธน์, ลาขุมเหล็ก
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา
ในโรงเรียนขนาดเล็ก 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับสภาพ การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง
และประสบการณ์การทำงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา
ในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับ
สภาพการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ใช้ประชากรจำนวน 33 คน ส่วนครู จำนวน 248 คน ใช้การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี และมอร์แกน แล้วทำการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.980 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์
ความแปรปรวนแบบทางเดียว ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา
ในโรงเรียนขนาดเล็ก จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 6 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้
เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก ตามความคิดเห็น
ของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. การเปรียบเทียบสภาพการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก
ตามความคิดเห็น ของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งและประสบการณ์การทำงาน โดยรวม
และรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการบริหารการทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิใน 4 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล สถานศึกษาควรมีการปฐมนิเทศบุคลากรที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
ในการเริ่มการปฏิบัติงานในสถานศึกษา 2) ด้านการบริหารทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์ สถานศึกษา
ต้องมีการประชุมชี้แจง ให้บุคลากรได้ทราบเกี่ยวกับการจัดหา การใช้วัสดุอุปกรณ์ของหน่วยงาน
การจัดการด้านเครื่องมือเครื่องใช้วัสดุอุปกรณ์ ต้องสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม
3) ด้านการบริหารทรัพยากรงบประมาณ สถานศึกษาต้องให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายงบประมาณตามความประสงค์ในแต่ละฝ่ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และ 4) ด้านการบริหารจัดการ สถานศึกษาควรกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการอย่าง
เป็นรูปธรรมเพื่อให้การบริหารงานได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ; The purposes of this research were to : 1) study states for educational resource management in small- size schools, 2) compare administrators and teachers’ opinions toward states for educational resource management in small- size schools by positions and working experiences ; and 3) study guidelines for educational resource management in small- size schools under Secondary Educational Service Area Office 32. The study was divided into 2 phases. Phase 1 studied and compared the opinions of administrators and teachers concerning the states for educational resource management in small- size schools. The samples consisted of 281 administrators and teachers, selected by using the Table of Krejcie and Morgan. The instrument used in this study was a questionnaire with reliability value of 0.980. The data were analyzed by using percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by using t-test and one-way ANOVA analysis of variance and multiple comparison test (Scheffe¢ Method). Phase 2 studied guidelines for educational resource management in small- size schools. The informants were 6 experts selected by purposive sampling. The instrument was a semi-structured interview form and the data were analyzed by using content analysis. The research results revealed that :
1. States for educational resource management in small- size schools under Secondary Educational Service Area Office 32, according to the opinion of administrators and teachers, in overall and each aspect, were at a high level.
2. The comparison of educational resource management in small- size schools, according to comments of school administrators and teachers under the Secondary Educational Service Area Office 32, classified by status, position and work experience in overall and each aspect were not different
3. The Guidelines for educational resource management in small- size schools under the Office of the Secondary Educational Service Area 32, according to the experts’ opinion were in 4 areas: 1) Management of Human Resource in Educational institutions should have an orientation for appointed personnel. 2 ) Management of educational institutions materials, educational institutions must have an informed meeting to let personnel know about the procurement, use of materials and equipment of the agency. Handling of tools, equipment, materials must be able to be operated properly. 3) Budget resource management, educational institutions must allow personnel to participate in budget expenditures according to the wishes of each department in order to achieve the goals set for the best benefit. 4) Management of educational institutions, there should be
a concrete management structure in order to manage the work clearly and efficiently.
2564-01-01T00:00:00Zแร่ดินและการประยุกต์ใช้ในด้านเครื่องสำอางภัทรนันท์, ทวดอาจhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/80002021-11-16T03:35:17Z2560-01-01T00:00:00Zแร่ดินและการประยุกต์ใช้ในด้านเครื่องสำอาง
ภัทรนันท์, ทวดอาจ
2560-01-01T00:00:00Zการพัฒนาครูโดยกระบวนการสร้างรูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำครูในการทำวิจัยในชั้นเรียนวิทยาลัยครูสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกติกา, ราชบุตรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79992021-11-16T03:33:38Z2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนาครูโดยกระบวนการสร้างรูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำครูในการทำวิจัยในชั้นเรียนวิทยาลัยครูสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
กติกา, ราชบุตร
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายในการวิจัย คือ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อส่งเสริมการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนของครูวิทยาลัยครูสะหวันนะเขต สปป. ลาว และ 2) เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพเชิงประจักษ์รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาครูในการทำวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูในวิทยาลัยครูสะหวันนะเขต สปป.ลาว ดำเนินการวิจัยด้วยวิธีการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำที่จบปริญญาโท มีประสบการณ์ ด้านการสอนและการทำวิจัย และมีผลงานการนำเสนอรายงานการวิจัยทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง จำนวน 10 คน และครูใหม่ที่มีประสบการณ์ด้านการสอนไม่เกิน 5 ปี และมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบ แบบประเมิน แบบบันทึก แบบสังเกต แบบสอบถามและประเด็นการสนทนากลุ่มที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1. รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการทำวิจัยในชั้นเรียน มีชื่อว่า รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำในการทำวิจัยในชั้นเรียน 2 พีเอ็มอี ประกอบด้วยองค์ประกอบเชิงหลักการและวัตถุประสงค์ องค์ประกอบเชิงกระบวนการ และองค์ประกอบ เชิงสนับสนุน รูปแบบการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยกระบวนการ 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เตรียมการ ระยะที่ 2 วางแผนการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ ระยะที่ 3 ดำเนินการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ ระยะนี้ประกอบด้วย 4 ระยะย่อย คือ 1) การประชุมก่อนการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ 2) การสังเกตและการเก็บรวบรวมข้อมูล 3) การร่วมกันวิเคราะห์และการสะท้อน ความคิดเห็นและการปฏิบัติ 4) การประชุมหลังการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ ระยะที่ 4 การประเมินผลการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ ซึ่งรูปแบบการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพโดยการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน และการสะท้อนความคิด และข้อคิดเห็นผลการใช้คู่มือของรูปแบบจากผู้ใช้งานจริง จำนวน 10 คน ที่เป็นครูผู้ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ และครูผู้รับการดูแลในการทำวิจัยในชั้นเรียน
2. ผลการใช้รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำในการทำวิจัยในชั้นเรียน 2 พีเอ็มอี เพื่อพัฒนาสมรรถนะการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูวิทยาลัยครูสะหวันนะ เขต สปป.ลาว สามารถสรุปได้ ดังนี้
2.1 สมรรถนะการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำของครูผู้ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ
หลังการใช้รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ 2 เอ็มพีอี โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับสูง
( = 82.20)
2.2 สมรรถนะการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้รับการดูแลปรึกษาแนะนำในการทำวิจัยในชั้นเรียน หลังจากใช้รูปแบบดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ 2 พีเอ็มอี โดยภาพรวม พบว่า
มีสมรรถนะการทำวิจัยในชั้นเรียนอยู่ในระดับสูง ( = 79.15)
2.3 ความพึงพอใจของครูผู้ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำที่มีต่อรูปแบบการดูแลให้คำปรึกษาแนะนำ 2 พีเอ็มอี ในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ( = 4.78)
2.4 ความคิดเห็นของครูผู้รับการดูแลที่มีต่อครูผู้ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำในการทำวิจัยในชั้นเรียน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ( = 4.40); This research aimed 1) to develop a coaching and mentoring model for promoting teachers to conduct classroom action research at Savannaekhet Teacher Training College; and 2) to examine empirical effectiveness of the constructed model. This study employed Research and Development (R&D) method. The samples included 10 teachers, as a mentor, who graduated with master degree and were advisors with experience in teaching, conducting research and presenting academic research continuously and 10 novice teachers, as a mentee, who hold bachelor degree with less than five years teaching experience. The research instruments were pretest and posttest, competency evaluation form, note taking form, observation sheet, questionnaires, and focus group discussion. These tools were checked by the specific experts under the fixed criteria. The data were analyzed by using mean, percentage, standard deviation, t-test, and content analysis.
The research found that:
1. The coaching and mentoring model for promoting teachers to conduct classroom action research at Savannaekhet Teacher Training College is called 2 PME Model (Preparing, Planning, Mentoring, and Evaluating) which consisted of the following components: Principles and Objective Component, Process Component, and Supporting Component. There were four phrases in the model which included Phase 1: Preparing Phase (P), Phase 2: Planning Phase (P), Phase 3: Mentoring Phase (M) and Phase 4: Evaluating Phase (M). In Phase 3, four sub-phases were included which were 1) Pre Conference, 2) Observation, 3) Observation Reflection and Data Gathering, and 4) Collaborative and Analysis. The 2 PME Model has been proved by 7 qualified experts and users of the model who volunteered to be mentors and mentees.
2. The result of implementing 2 PME Model for promoting teachers to conduct classroom action research at Savannaekhet Teacher Training College can be summarized in the following points:
2.1 The result for the mentors’ competency after using the 2 PME model was at a high level in overall aspect ( = 82.20).
2.2 The result the mentees’ competency after using the 2 PME model was at a high level in overall aspect ( = 79.15).
2.3 The satisfaction of the mentors towards the 2 PME model was at the highest level in overall aspect ( = 4.78).
2.4 The opinions of the mentees towards the mentors in conducting classroom action research showed that they agreed at a high level ( = 4.40) in overall aspect.
2563-01-01T00:00:00Zแทนนิน สารจากธรรมชาติสู่การเป็นสารช่วยให้ติดสีของผ้าภูอัคนี ณ หมู่บ้านเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ชุลีกานต์, สายเนตรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79982021-11-16T03:32:20Z2560-01-01T00:00:00Zแทนนิน สารจากธรรมชาติสู่การเป็นสารช่วยให้ติดสีของผ้าภูอัคนี ณ หมู่บ้านเจริญสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
ชุลีกานต์, สายเนตร
2560-01-01T00:00:00Zความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้พิการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมากันยา, ไชยรินทร์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79972021-11-16T03:30:47Z2564-01-01T00:00:00Zความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้พิการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา
กันยา, ไชยรินทร์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาระดับความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของ ผู้พิการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา และเพื่อศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้พิการ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมของผู้พิการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ใน 4 ด้าน คือ ด้านการมีสุขภาพอนามัยที่ดี ด้านการศึกษาที่ดี ด้านการมีงานทำและมีรายได้ และด้านการบริการสังคมทั่วไป กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คนพิการที่จดทะเบียนคนพิการของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมาที่อาศัยอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย จำนวน 205 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการแบบมาตราส่วนประมาณค่า 6 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9054 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. ความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้พิการในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
โคกกระชาย อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกันโดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุดดังนี้ด้านการมีสุขภาพที่ดีด้านการบริการสังคมทั่วไป ด้านการมีงานทำและมีรายได้ และด้านการศึกษาที่ดีตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ต้องการเบี้ยยังชีพผู้พิการในอัตราที่เพิ่มขึ้น รองลงมา คือ ต้องการให้รัฐฝึกอาชีพให้แก่คนพิการ และต้องการสิทธิในการ
รักษาพยาบาล ตามลำดับ; The objectives of this study were 1) to examine needs of social welfare of the disabled in KhokKra Chai Sub-district Administrative Organization, KonBuri district, NakornRatchasima province and 2) to explore comments and suggestions from the disabled to be a guideline for developing social welfare based on the four aspects which included having good health, good education, employment and income, and general social service. The samples were 205 disabled living in the area of KhokKra Chai Sub-district Administrative Organization who were registered with Office of Social Development and Human Security, NakornRatchasima province. The data were collected by using a questionnaire which consisted of three parts: checklist, 6-rating scale and open-ended with the reliability level of 0.9054. The statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation.
The results were as follows:
1. The need of social welfare of the disabled in KhokKra Chai Sub-district Administrative Organization, KonBuri district, NakornRatchasima province was at a high level in overall aspects. When considering each aspect, it was found that every aspect was at a high level. The aspect with the highest mean was having good health followed by general social service, employment and income and having a good education, respectively.
2. Other comment and suggestion which received the greatest number was that the disabled living allowance should be increased followed by vocational training should be provided and the right for medical treatment was also needed, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโรงพิมพ์ โรงพิมพ์พุทไธสงนริศรา, คิดได้ชาติวุฒิ, ธนาจิรันธรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79962021-11-16T03:30:31Z2560-01-01T00:00:00Zการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโรงพิมพ์ โรงพิมพ์พุทไธสง
นริศรา, คิดได้; ชาติวุฒิ, ธนาจิรันธร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์และออกแบบระบบสารสนเทศเพื่อการ
จัดการโรงพิมพ์ 2) พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโรงพิมพ์ 3) ประเมินความพึงพอใจของ
ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโรงพิมพ์ โดยระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการโรงพิมพ์
พัฒนาโดยใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio 2013 ร่วมกับฐานข้อมูล Microsoft SQL
Server 2008 R2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้ปฏิบัติงานในโรงพิมพ์พุทไธสง จ านวน
15 คนสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ระบบที่ได้ประกอบด้วยโมดูลประมวลผล ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลการ
สั่งผลิตสินค้าตลอดจนควบคุมคลังวัตถุดิบและโมดูลรายงานซึ่งสามารถรายงานผลการประกอบการ
ให้ผู้ใช้งานทราบ จากผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) การ
ออกแบบและการจัดรูปแบบโปรแกรมซึ่ง ปรากฏว่าผู้ใช้มีความพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.21
และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.88 2) ประโยชน์ของโปรแกรมปรากฏว่า ผู้ใช้งานมีความพึง
พอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.33 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.90 เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน
พบว่า ด้านการใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.50 และค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.81
ค าส าคัญ : ระบบจัดการโรงพิมพ์ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ; The purpose of this project is for 1) Analysis and design of Information
System for Printing Store Management System. 2) To develop the Information
System for Printing Store Management System and 3) To evaluate the satisfaction
from the user of Information System Printing Store Management System. The
Printing Store Management System using Microsoft Visual Studio 2013 program in
programming with the database Microsoft SQL Server 2008 R2. The sample of
satisfaction from 15 users of Information System Printing Store Management System
was calculated by using the statistics average value and standard deviation.
The evaluation results of the system is include processing module manages
customer’s order data including stock control and reporting module can report
profit and loss of the printing store the satisfaction of the users in the system
include 1) The design and formatting program satisfaction with the average of 4.21
2) The benefits of the program satisfaction with the average of 4.33. It was found
that the users satisfaction levels overall system level is high. When considering
each side, it was found that all sides are on a high level as well.
2560-01-01T00:00:00Zออนโทโลยีกับการพัฒนาฐานความรู้วิไลรัตน์, ยาทองไชยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79952021-11-16T03:28:07Z2560-01-01T00:00:00Zออนโทโลยีกับการพัฒนาฐานความรู้
วิไลรัตน์, ยาทองไชย
2560-01-01T00:00:00Zความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์คนึงนิตย์, ปุลันรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79942021-11-16T03:27:43Z2564-01-01T00:00:00Zความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์
คนึงนิตย์, ปุลันรัมย์
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาความต้องการการจัดสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ใน 4 ด้าน ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านรายได้ ด้านที่พักอาศัย/ที่อยู่อาศัย และด้านนันทนาการ กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากร โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 297 คน แล้วทำการสุ่มให้กระจายไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามสัดส่วนโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวบข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราประมาณค่า และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.9345 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
1. ความต้องการด้านสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองไผ่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำ จะได้ดังนี้ ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านรายได้ ด้านที่พักอาศัย/ที่อยู่อาศัย และด้านนันทนาการ ตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือผู้สูงอายุต้องการให้มีการจัดกิจกรรมภายในครอบครัวและภายในชุมชน รองลงมา คือ ผู้สูงอายุต้องการเบี้ยยังชีพเพิ่ม และผู้สูงอายุต้องการให้มีการจัดกิจกรรมวันสำคัญต่าง ๆ ของผู้สูงอายุ เช่น วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันสำคัญทางศาสนา เป็นต้น ของผู้สูงอายุตามความเหมาะสม ตามลำดับ; The objective of this study was to examine needs of social welfare of the elderly in MuangPai Sub-district Administrative Organization, Nong Ki district, Buriram province based on the four aspects which included health and medical treatment, income, residence, and recreation. The samples were 297 people selected by using Krejcie and Morgan’s table. Then, the samples were randomly distributed among villages based on the proportion by simple random sampling using lottery. The data were collected by using a questionnaire which consisted of three parts: checklist, 5-rating scale and open-ended with the reliability level of 0.9345. The statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation.
The results were as follows:
1. The need of social welfare of the elderly in MuangPai Sub-district Administrative Organization, Nong Ki district, Buriram province was at a high level in overall aspects. When considering each aspect, it was found that every aspect was at a high level. The aspect with the highest mean was health and medical treatment followed by income, residence, and recreation, respectively.
2. Other comment and suggestion which received the greatest number was that the activities in the family and community should be organized followed by the elderly living allowance should be increased and activities on special occasions or an important days such as
New Year’s day Songkran Festival or Buddhist Holidays and should appropriately be organized for the elderly, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zการชักนำให้เกิดพอลิพลอยด์ในพืชด้วยสารโคลชิซีนอลงกลด, แทนออมทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79932021-11-16T03:24:51Z2560-01-01T00:00:00Zการชักนำให้เกิดพอลิพลอยด์ในพืชด้วยสารโคลชิซีน
อลงกลด, แทนออมทอง
2560-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1จารุกิตติ์, คงลีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79922021-11-16T03:22:27Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
จารุกิตติ์, คงลี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2)เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ใช้กลุ่มตัวอย่างครูจำนวน 327 คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ ส่วนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 5 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือใช้แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1.สภาพการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1ตามความคิดเห็นของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. สภาพการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1จำแนกตามประสบการณ์การทำงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเพิ่มขีดความสามารถส่วนบุคคล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. สภาพการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1จำแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านวัตถุประสงค์ที่มั่นคงด้านควบคุมดูแลโดยผู้อาวุโสด้านการลดต้นทุนด้านการปรับปรุงในการผลิตและการบริการด้านการฝึกอบรมระหว่างปฏิบัติงานด้านภาวะผู้นำด้านเพิ่มขีดความสามารถส่วนบุคคลด้านการรับรู้ด้านการพัฒนาวิชาชีพและด้านความรับผิดชอบต่อการกระทำแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
4. แนวทางการบริหารการจัดการคุณภาพโดยรวมของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 พบว่า สถานศึกษาควรมีการอบรม PCL ศึกษาดูงาน ประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน มีการนิเทศการจัดการเรียนรู้ มีการเผยแพร่สื่อการเรียนรู้ และประเมินผลการจัดการเรียนรู้การวัดนำผลสัมฤทธิ์มาวิเคราะห์หาจุดเด่นหรือจุดบกพร่องในจุดเด่นให้คงไว้หรือพัฒนาในจุดบกพร่องต้องรีบหาวิธีดำเนินการแก้ไข ควรจัดให้มีการจัดทำโครงการและแผนปฏิบัติการ มีการรายงานการดำเนินโครงการ บูรณาการการทำงานและการจัดกิจกรรมจัดเก็บบำรุงวัสดุอุปกรณ์ให้สามารถใช้งานได้ตามอายุการใช้งาน ควรมีการมอบหมายให้ตรงกับความถนัด เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ อบรมพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงาน ให้การสนับสนุนงบประมาณในโครงการที่ปัจเจกบุคคลเสนอมา อันเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมสนับสนุนการขอเลื่อนวิทยฐานะมีการทำงานร่วมกันทำงานเป็นทีม นิเทศภายในเป็นประจำ สนับสนุนให้เข้าร่วมประชุม อบรมเชิงปฏิบัติการในโอกาสต่าง ๆ; The purposes of this research were 1) to study the state of total quality administration of schools under SecondaryEducational Service Area Office 1, 2) to compare the opinions of teachers about the state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1; and 3) to study the guidelines for total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1. There were two phases in this study : Phase1 was to study and compare the state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1. The samples consisted of 327 teachers in total, selected by stratified random sampling technique. The instrument used to collect the data was a questionnaire with its reliability of 0.84. The statistics used to analyze the data were frequency, percentage, mean, standard deviation, one-way ANOVA, and Scheffe’s test. Phrase 2 was to study the guidelines for the state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1. In this phase, there were five key informants, selected by purposive random sampling technique. The instrument used to collect the data was an interview, and the collected data were analyzed by means of content analysis.
The findings of this research were as follows:
1. The state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1 according to the teachers’ opinions was at a high level in overall aspects.
2. Being classified by work experience, the state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1 was, inoverall aspects, at a high level.
When considering each aspect, personal capacity enhancement was significantly different at the statistical level of .05, while other aspects were not different.
3. Being classified by school’s size, the state of total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1 was significantly different in overall aspect at the statistical level of .01. When considering each aspect, the stable objectives, the supervision by the elderly, the cost reduction, the improvements in production and service, the training during work, the leadership, the personal capacity enhancement, the awareness, the professional development, and the responsibility towards action were significantly different at the statistical level of .01, while other aspects were not different.
4. With regard to the guidelines for the total quality administration of schools under Secondary Educational Service Area Office 1, it was found that schools should have PCL training, research tour, information exchange seminars to contribute to the growth of teaching and learning. In addition, oversight of the administration of research, the distribution of learning media and the evaluation of measurement learning management should be promoted. The achievement of this study was analyzed to identify strengths or weaknesses in order to maintain or develop the strengths and also the weaknesses and problems should be solved. Project preparation and action plans should be provided and reported on. Moreover, work and activities should be integrated, and equipment should be maintained.Also, the work assignment should be appropriate for personnel’s knowledge and skills. Training for capacity development should be provided and the budget should be supported for projects proposed by individuals that are useful to students. Academic promotion should be encouraged. In addition, internal supervision as a team should be provided on a regular basis and there should be encouragement to attend the meeting and workshop.
2563-01-01T00:00:00Zการนำวิจัยเชิงคุณภาพมาร่วมกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดผลผ(Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ที่ถูกต้อง ครอบคลุมและลุ่มลึก(Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ที่ถูกต้อง ครอบคลุมและลุ่มลึกลิตจรัส, สว่างทัพhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79912021-11-16T03:20:54Z2560-01-01T00:00:00Zการนำวิจัยเชิงคุณภาพมาร่วมกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดผลผ(Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ที่ถูกต้อง ครอบคลุมและลุ่มลึก(Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ที่ถูกต้อง ครอบคลุมและลุ่มลึกลิต
จรัส, สว่างทัพ
2560-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมปรับเหมาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการจัดสอบ Pre O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2จิราพร, ยายิรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79902021-11-16T03:17:35Z2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนาโปรแกรมปรับเหมาะด้วยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการจัดสอบ Pre O-NET ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
จิราพร, ยายิรัมย์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบ Pre O-NET จัดทำคลังข้อสอบPre O-NETและพัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับการจัดสอบPre O-NET ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4กลุ่มสาระการเรียนรู้ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของ Web Application วิเคราะห์คุณภาพข้อสอบด้วยทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ (Item Response Theory: IRT) แบบ 3 พารามิเตอร์การดำเนินการวิจัยมี 4 ขั้นตอนประกอบด้วย 1) วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบPre O-NET จำนวน4 กลุ่มสาระการเรียนรู้2) จัดทำคลังข้อสอบPre O-NET จำนวน 4กลุ่มสาระการเรียนรู้3) พัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์และ 4) ประเมินความพึงพอใจของผู้ทดลองใช้โปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562จำนวน 2 โรงเรียนคือโรงเรียนบ้านกระสังสามัคคี จำนวน 37 คน และโรงเรียนวัดบ้านโคกเหล็กจำนวน 54คน
ผลการวิจัยปรากฏว่า
1. ข้อสอบPre O-NET ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4กลุ่มสาระการเรียนรู้มีค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ (a) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.82 ค่าความยากของข้อสอบ (b) เฉลี่ยเท่ากับ 2.18และค่าการเดาของข้อสอบ (c) เฉลี่ยเท่ากับ 0.19แสดงให้เห็นว่าข้อสอบที่อยู่ในคลังข้อสอบ
Pre O-NET มีความยากของข้อสอบ (b) ในระดับข้อสอบยากมาก
2. คลังข้อสอบPre O-NET ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สามารถบรรจุข้อสอบแบบหลายตัวเลือกชนิด 4 ตัวเลือกได้โดยไม่จำกัดขึ้นอยู่กับขนาดของ Server ซึ่งมีข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบตามทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ (IRT) แบบ3 พารามิเตอร์ทั้ง 4กลุ่มสาระการเรียนรู้จำนวน575 ข้อ
3. โปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับการจัดสอบPre O-NETระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความเหมาะสมของโปรแกรมอยู่ในระดับมากที่สุดเป็นที่ยอมรับของผู้เชี่ยวชาญและนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ทดลองใช้โปรแกรมมีความเหมาะสมอยู่ในเกณฑ์มาก; This research aimed 1) to analyze the item quality of Pre O-NET examination, 2) to constructthe Pre O-NET item bank, 3) to develop a computerized adaptive testing program for Pre O-NET of Prahomsuksa 6 ; and 4)to investigate the satisfaction towards the use of the computerized adaptive testing program for Per O-Net ofPrathomsuksa 6.The computerized adaptive testing program was developed as a web application. Item quality of Pre O-NET examination was assessed using 3-parameter logistic Item Response Theory. The research methods of this study were divided into 4 steps: 1) Analyze the item quality of Pre O-NET examination in 4 learning areas, 2) Construct the Pre O-NET item bank in 4 learning areas, 3) Develop the computerized adaptive testing program and 4) Evaluate the users’ satisfaction of computerized adaptive testing program. The sample was 91Prathomsuksa 6 students studying in second semester of academic year 2018 which divided into 37 students fromBankrasungsamakkeeSchool Buriram and 54 students from Watbankhocklek School Buriram.
The results were as follows :
1. Analysis of the Pre O-NET items quality for Prathomsukas 6 level in 4 learning areas showed that the mean of discrimination parameter (a), difficulty parameter (b),and guessing parameter (c) were equal to 1.82, 2.18, and 0.19 respectively. These results indicated that the items inPre O-NET item bank were very difficult.
2. The Item bank was able to accept unlimitedamount of 4 multiple choice items depending on the size of the server. The Pre O-NET Item bank consisted of 575 items which were analyzed by 3-Parameter Item Response Theory. These items met the selection criteria of all 4 learning areas for grade six level.
3. The computerized adaptive testing program for Pre O-NET of Prathomsuksa 6 students was appropriate at the highest level which was also accepted by the experts and the sample users with a high suitability level.
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์กุ้งจ่อมด้วยสมุนไพรบางชนิดเทพอัปสร, แสนสุขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79892021-11-16T03:17:28Z2560-01-01T00:00:00Zการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์กุ้งจ่อมด้วยสมุนไพรบางชนิด
เทพอัปสร, แสนสุข
จากการส ารวจตัวอย่างกุ้งจ่อมที่มีการผลิตและจ าหน่ายในเขตอ าเภอประโคนชัย จังหวัด
บุรีรัมย์ จ านวน 20 ผลิตภัณฑ์ โดยน ามาตรวจวิเคราะห์คุณภาพกุ้งจ่อมทางจุลชีววิทยา พบว่า
กุ้งจ่อมจ านวน 10 ตัวอย่าง (ร้อยละ 50) ไม่ผ่านเกณฑ์ มผช.147/2546 ดังนั้นผู้วิจัยจึงท าการหมัก
กุ้งจ่อมให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน มผช. โดยหมักตัวอย่างกุ้งจ่อมสูตรสมุนไพรจ านวน 7 สูตร และ
น ามาวิเคราะห์คุณภาพในสภาวะที่เก็บในอุณหภูมิห้องและที่ 4 ºC เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์
ผลการตรวจวิเคราะห์ พบว่าปริมาณเชื้อแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ รา และเชื้อแบคทีเรียกรดแลกติก
มีปริมาณที่อยู่ในช่วงไม่แตกต่างกันและพบเชื้อ E. coli ใน กุ้งจ่อมสูตรธรรมดา ที่ไม่ได้หมัก
สมุนไพร ส่วนเชื้อ Salmonella sp. และตัวอ่อนพยาธิไม่พบในทุกตัวอย่างตามเกณฑ์คุณภาพทาง
จุลชีววิทยาของอาหาร อีกทั้งพบว่ากุ้งจ่อมที่หมักด้วยสมุนไพรมีอายุการเก็บรักษานานขึ้นที่
อุณหภูมิ 4 ºC และเมื่อน าไปทดสอบความพึงพอใจของอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครพึงพอใจใน
รสชาติแต่ไม่พึงพอใจสีของผลิตภัณฑ์; Twenty of fermented shrimp samples (kung chom) were collected from
Prakhonchai District Buriram Provice, had been investigated for microbiological
quality. The research found that ten of the samples (50%) fail to meet the TCPS
147/2546 for Kungchom. In pursuant to improve the fermented shrimp to meet the
TCPS 147/2546 for Kungchom, the researcher had fermented the shrimp with the
herbs in 7 samples. The Quality of all samples here by was analyzed in room
temperature and controlled temperature of 4 °C for 4 weeks. The result showed
that the quantity of bacteria, yeast and mold were not significantly different in all
samples, while E. coli was detected in ordinary fermented shrimp sample.
Additionally, Salmonella sp. and lavae were not found in all samples according to
microbiology of food’s quality standard. According to the quality analysis of
bacteria in fermented shrimp, bacteria, yeast and mold and lactic acid bacteria
2560-01-01T00:00:00Zประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์จุฑารัตน์, จตุกูลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79882021-11-16T03:13:17Z2564-01-01T00:00:00Zประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
จุฑารัตน์, จตุกูล
การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ใน 4 ด้าน คือด้านความสามารถใน
การวางแผน ด้านความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน ด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และด้านความสามารถในการให้บริการ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ พนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนที่ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 1 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 216 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.8054สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพนักงานสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสามารถในการวางแผนอยู่ในระดับปานกลาง นอกนั้นอยู่ในระดับมากโดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสามารถในการให้บริการ รองลงมาคือ ด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความสามารถในการวางแผน ตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ไม่ควรมีขั้นตอนระเบียบในการปฏิบัติงานหลายขั้นตอนเกินไป ทำให้การปฏิบัติงานล่าช้า รองลงมาคือ ควรจัดภาระ หน้าที่ในแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ปฏิบัติงานและควรให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้เกี่ยวกับงานด้านนั้นและมอบหมายงานให้ตรงกับความเชี่ยวชาญในด้านที่รับผิดชอบ; The objective of this study was to examine performance efficiency of non-academic personnel at BuriramRajabhat University, MuangBuriram district, Buriram province according to the four aspects which included planning ability, knowledge and performance ability, effectiveutilizabilityof resources and service capability. The samples were 216 non-academic personnel who have been working at BuriramRajabhat University for more than one year. The data were collected by using a questionnaire which consisted of three parts: Checklist, 5-rating scale and open-ended with the reliability level of 0.8054. The statistics used for data analysis were percentage, mean and standard deviation.
The results revealed that:
1. Performance efficiency of non-academic personnel at BuriramRajabhat University, MuangBuriram district, Buriram province was at a high level in overall aspect. When considering in each aspect, it was found that planning ability was at a moderate level, while the others were at a high level. The highest mean score was service capability, followed byeffective utilizabilityof resources, while the lowest mean score was planning ability respectively.
2. Other comment and suggestion that were most found were that there should not be too many procedures and regulations in work performance because it may cause a delay in performance, followed by the fact that the duties should be organized in accordance with the number of the employees and that the employees should know how to accomplish the task or be specialized in doing the assigned task, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ไชยยศ, ตันวุฒิบัณฑิตhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79872021-11-16T03:09:35Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์
ไชยยศ, ตันวุฒิบัณฑิต
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับภาวะผู้นำ
เชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนจังหวัดบุรีรัมย์2)เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และระดับชั้นที่จัดการศึกษาของโรงเรียน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษา การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และ
ผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นครูโรงเรียนเอกชนในระบบ จำนวน 265คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.986 สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์
ความแปรปรวนทางเดียวระยะที่ 2ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ โดย
การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ที่ได้จากวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่
แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน
จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และ
ผลิตภาพของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์จำแนกตามประสบการณ์
ในการทำงานและระดับชั้นที่จัดการศึกษาของโรงเรียนโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิใน 4 ด้าน ดังนี้1) ด้านการมีความคิดวิจารณญาณ ควรใช้หลักเกณฑ์ของหน่วยงานเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาปัญหา ปรับทัศนคติให้เป็นเชิงบวก ให้บุคลากร
มีส่วนร่วมในการวางแผนแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ 2) ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ควรใฝ่เรียนรู้ คิดค้น สร้างสรรค์นวัตกรรม มาใช้พัฒนาหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพ3) ด้านการมีความคิดผลิตภาพควรใช้วิธีการที่หลากหลายกระตุ้นให้บุคลากรกล้าแสดงออกที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้และ 4) ด้านการมีความคิดรับผิดชอบ ควรสร้างความตระหนักในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบแก่บุคลากร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและใช้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ; This study aimed 1) to examine teachers’ opinions towards creative and productive
leadership of private schools administrators in Buriram province, 2) to compare teachers’ opinions towards creative and productive leadership of private schools administrators in Buriram province categorized by working experience and educational level of the schools; and 3) to study guidelines for developing creative and productive leadership of private schools administrators. This study was divided in to two phases. Phase one was to examine teachers’ opinions towards creative and productive leadership of private schoolsadministrators by collecting the data from 265 private schools’ teachers selected by stratified random sampling. The instrument was a questionnaire with the reliability level of 0.986. Then, the data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, t-test and one-way ANOVA. For phase two, five experts selected by purposive sampling participated in semi-structure interview to examine guidelines for developing creative and productive leadership of private schoolsadministrators. The data were analyzed by content analysis.
The results suggested that:
1. Creative and productive leadership of private schoolsadministrators in Buriram province was at a high level in overall aspect.
2. Comparison of teachers’ opinions towards creative and productive of private schoolsadministrators in Buriram province categorized by working experience and educational level of the schools was not different in overall and each aspect.
3. Guidelines for developing creative and productive leadership of private schools administrators in Buriram province from interviewing the experts were that 1) in terms of critical thinking aspect, schools administratorsshould employ organization principle in solving problems, positive attitude should be adopted and chance should be provided for the personnel to participate and make alternative plan in decision making, 2) for creativity aspect, schools administrators should always seek knowledge, discover and create innovationswhich could effectively develop the organization, 3) in terms of productive ideas aspect, schools administratorsshould have various methods to encourage personnel to share or exchange their new ideas; and 4) for responsibility aspect, schools administratorsshould encourage the personnel to realize their role and responsibility via appropriate communication channel in order to build a good relationship in the organization.
2563-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์ความหมายชี้บ่งเป็นนัยบทสนทนา: กรณีศึกษาภาพยนตร์เรื่อง เบรคกิ้งดอร์นวารุณี, แซ่เอี๊ยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79862021-11-16T03:06:40Z2018-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์ความหมายชี้บ่งเป็นนัยบทสนทนา: กรณีศึกษาภาพยนตร์เรื่อง เบรคกิ้งดอร์น
วารุณี, แซ่เอี๊ย
เป็นที่ทราบกันดีว่าในวัจนปฏิบัติศาสตร์นั้น ความหมายชี้บ่งเป็นนัยในการสนทนาเป็นการศึกษาเพื่ออธิบายความเข้าใจถึงความแท้จริงที่ถูกสื่อสารเพื่อสื่อความหมายในการสนทนานั้นมีมากกว่าสิ่งที่กล่าวเป็นคำพูด วัตถุประสงค์ประการแรกของการศึกษาในครั้งนี้ คือศึกษาประเภทของความหมายชี้บ่งเป็นนัยบทสนทนา: ในภาพยนตร์เรื่องเบรคกิ้งดอร์น (Breaking Dawn) ประการที่สอง คือ เพื่อศึกษาผลของการกล่าวความหมายชี้บ่งเป็นนัยในสองกรณี คือ กรณีที่ผู้ฟังเข้าใจความชี้บ่งเป็นนัย และกรณีที่ผู้ฟังไม่เข้าใจความชี้บ่งเป็นนัยที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องเบรคกิ้งดอร์น สถิติที่ใช้ในการวิเคระห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่และค่าร้อยละ ส่วนการวิเคระห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคระห์เชิงเนื้อหาในการวิจัยเชิงพรรณนา การศึกษาในครั้งนี้ อาศัยหลักการเรื่องความหมายชี้บ่งเป็นนัยของไกรซ์ (Grice,1975) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเรื่องคติความร่วมมือในการสื่อสาร (Conversational Maxims) ผลการวิจัยพบว่าความหมายชี้บ่งเป็นนัยที่พบในบทสนทนาในภาพยนตร์เรื่องเบรคกิ้งดอร์น มีจำนวนทั้งสิ้น 60 ข้อความ ด้านการศึกษาประเภทของความหมายชี้บ่งเป็นนัยที่พบในบทสนทนา พบว่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่หนึ่ง ความหมายชี้บ่งเป็นนัยในการบทสนทนาแบบทั่วไป และประเภทที่สองความหมายชี้บ่งเป็นนัยในการบทสนทนาแบบเฉพาะเจาะจง โดยประเภทที่สองนำมาใช้ในการสนทนามากกว่า คือ พบถึง 52 ข้อความ (f=52, 86.67%) ในขณะที่ความหมายชี้บ่งเป็นนัยในการบทสนทนาแบบทั่วไป พบว่ามีการนำมาใช้ในการสนทนา 8 ข้อความ (f=8, 13.33%) การใช้ความชี้บ่งเป็นนัยในการสนทนาที่พบเกือบทั้งหมดมีผลทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายแฝงได้ (f=59, 98.33%) มีความหมายชี้บ่งเป็นนัยในบทสนทนาเพียง 1 ข้อความ ที่มีผลทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจความหมายแฝง (f=1, 1.67%) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การใช้หลักคติบทคุณภาพ หรือหลักคุณภาพนั้นสามารถพบได้มากที่สุด กรณีการใช้การเสียดสีและอุปลักษณ์ในการสร้างความหมายชี้บ่งเป็นนัยในการสนทนาพบมากที่สุดในงานวิจัยนี้; In pragmatics, conversational implicature is known to account for the foremost perception of more being communicated than being said. The purposes of this research were 1) to investigate types of conversational implicature produced in the film, and 2) to examine the results of producing conversational implicature in terms of being understood by the hearer (success) and being misunderstood by the hearer (failure) in the film. The samples were the utterances drawn from dialogues in the film Breaking Dawn. The Statistics used to analyzed by a descriptive method using content analysis. This research was conducted in line with the theory of Grice’s conversational implicature (1975), especially in terms of conversational maxims. The results revealed that there were 60 conversational implicature produced through the film and two types of conversational implicature were found. Moreover, particularized conversational implicatures (PCI) were more frequently produced (f= 52, 86.67%), and generalized conversational implicature (GCI) were less frequently produced (f= 8, 13.33%). Almost all conversational implicature found in film dialogues were understood by the listeners (f= 59, 98.33%). Only one particularized conversational implicature was examined being misunderstood by the hearer (f= 1, 1.67%). In addition, the conversational implicature were most produced under the principle of flouting maxim of quality. Additionally, sarcasm and metaphor were the major tools used by the speakers to produce particularized conversational implicatures.
2018-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การบวก การลบ การคูณและการหารเศษส่วนโดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้เทคนนิค TAI ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ณัฏฐพัชร, ปัดภัยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79852021-11-16T03:05:55Z2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การบวก การลบ การคูณและการหารเศษส่วนโดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้เทคนนิค TAI ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ณัฏฐพัชร, ปัดภัย
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียน
กับหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน โดยใช้วิธี
แบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วย
การจัดการเรียนรู้ เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับ
การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และ 3) เพื่อศึกษาความ
พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน
โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนสายมิตรหนองบุญมาก ตำบลบ้านใหม่ อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนนครราชสีมา เขต 2 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน
โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI จำนวน 15 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน ชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.47 มีค่าความยาก ตั้งแต่ 0.06
ถึง 0.80 และค่าความเชื่อมั่น 0.91 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง การบวก
การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน ชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.02 ถึง 0.47 มีค่าความยาก ตั้งแต่ 0.63 ถึง 0.80 และค่าความเชื่อมั่น 0.91 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนแบบประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วย t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2. ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้
เรื่องผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคTAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน โดยใช้วิธีแบบเปิดร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด; The purposes of this research were: 1) to compare students' learning achievement between before and after learning by using learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students ; 2) to compare the analytical thinking abilities of students before and after learning by using learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students; and 3) to study the satisfaction of students towards learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students. The sample of the study consisted of 30 Prathomsuksa 5/1 students of Saimitnongbunmak School, Banmai Subdistrict, Nongbunmak District, Nakhonratchasima Province under Office of Nakhon Ratchasima Private Education Commission Service Area 2, obtained by using cluster random sampling technique.
The research instruments included 15 lesson plans on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI technique;
a 30-item 4 multiple choice learning achievement test on addition, subtraction, multiplication and division of fractions with discrimination ranging from 0.20 to 0.47, with difficulty from 0.60 to 0.80 and the reliability of 0.91; a 30 - item 4-multiple choice analytical thinking abilities test on addition, subtraction, multiplication and division of fractions with Discrimination ranging from 0.20 to 0.47, a difficulty from 0.63 to 0.80, and a reliability of 0.91, and a 10-item 5-rating scale questionnaire. The statistics used in data analysis were percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by t-test (Dependent Samples). The findings were as follows:
1. The students' learning achievement after learning by using learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students was higher than those before learning with significant difference at the level of .05.
2. The analytical thinking abilities of students after learning by using learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students was higher than those before learning with significant difference at the level of .05.
3. The satisfaction of students towards learning management on addition, subtraction, multiplication and division of fractions by using Open Approach together with Cooperative Learning TAI techniques for Prathomsuksa 5 students as a whole was at the highest level.
2564-01-01T00:00:00Zผลของการใช้บัตรภาพเพื่อพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์และความคงทนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ศิวากร, พิลาล้ำhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79842021-11-16T02:59:52Z2018-01-01T00:00:00Zผลของการใช้บัตรภาพเพื่อพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์และความคงทนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ศิวากร, พิลาล้ำ
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการสอนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ 3) ตรวจสอบความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้บัตรภาพ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 13 คน ซึ่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ15102) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบ้านหนองครก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 4 ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ บัตรภาพ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent Sampling t-test โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาว่า
1. แผนการสอนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 79.33/78.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 75/75
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์มีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์
4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้บัตรภาพเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ อยู่ในระดับมากที่สุด
ผลการศึกษาจะเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับครูและนักเรียนในการพัฒนาการเรียนการสอนคำศัพท์เพื่อพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพต่อไป; This quasi-experimental study aimed: 1) to investigate the efficiency of lesson plans using Flashcards to Improve Vocabulary Learning in Prathomsuksa 5 students based on the criterion set at 75/75; 2) to compare the students’ learning achievement before and after learning through flashcards to improve vocabulary learning in Prathomsuksa 5 students; 3) to check students’ retention about English vocabulary after learning through flashcards; and 4) to examine the students’ satisfaction toward vocabulary learning via flashcards for Prathomsuksa 5 students. The samples in this study were 13 Prathomsuksa 5 students who took fundamental English course (EN 15102) in the second semester of academic year 2017 at Bannongkrok School, Satuk district, Buriram Province under Buriram, primary Educational Service Area Office4, selected by using simple random sampling by using school at the sampling unit. The research instruments were flashcards, lesson plans, achievement tests, and the satisfaction questionnaire. The statistics used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation, and dependent samples t-test. The finding of this study were: as follows;
1. The efficiency of lesson plans using Flashcards to Improve Vocabulary Learning in
Prathomsuksa 5 students was 79.33/78.85 which was higher than the criterionset at 75/75
2. The students who learned vocabulary through flashcards had higher learning achievement on the post-test mean scores than in the pre-test mean scores with statistically significant difference at .01 level.
3. The students has retention about English vocabulary after learning through flashcards
4. The students’ satisfactions toward vocabulary learning via flashcards were at the most satisfactory level.
The findings can be significant for teachers and students to develop vocabulary lesson in order to improve the listening skills in EFL settings effectively.
2018-01-01T00:00:00Zการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ขององค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิเดชา, ขาลรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79832021-11-16T02:59:02Z2564-01-01T00:00:00Zการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ขององค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
เดชา, ขาลรัมย์
การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ใน 4 ด้าน คือ ด้านการจัดหาทรัพยากรมนุษย์ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านการให้รางวัลทรัพยากรมนุษย์ และด้านการธำรงรักษาและป้องกันทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลประกอบด้วย พนักงานส่วนตำบล พนักงานครู พนักงานจ้างตามภารกิจ และพนักงานจ้างทั่วไป ที่ปฏิบัติหน้าที่ในองค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ รวมทั้งสิ้นจำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.9793 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า
1. ความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์การบริหาร ส่วนตำบลคูเมือง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำได้ดังนี้ ด้านการจัดหาทรัพยากรมนุษย์ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านการธำรงรักษาและป้องกันทรัพยากรมนุษย์ และด้านการให้รางวัลทรัพยากรมนุษย์ ตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ควรให้ความยุติธรรมกับบุคลากรอย่างเท่าเทียมกัน รองลงมา คือ ควรเปิดโอกาสให้บุคลากรได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน และ ควรมีการแก้ไขระเบียบในการโอนย้ายข้าราชการบรรจุใหม่จาก 2 ปี เป็น 4 ปี เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในการปฏิบัติราชการ ตามลำดับ
2564-01-01T00:00:00Zผลของการารใสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยกช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4วรรณธิดา, ย่อยกระโทกhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79822021-11-16T02:57:20Z2018-01-01T00:00:00Zผลของการารใสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยกช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
วรรณธิดา, ย่อยกระโทก
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางทักษะการอ่านภาษาอังกฤษก่อน และหลังการเรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษ 3)เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนในการฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษ และ 4)เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนบ้านกุดหิน จำนวน 7 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2559 ได้มาโดยวิธีการเลือกการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดแบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษ จำนวน 7 ชุดแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของการสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษ
มีประสิทธิภาพเท่ากับ82.86/87.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางทักษะการอ่านของนักเรียนหลังจากที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ดัชนีประสิทธิผลของชุดแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษคือ .77
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมาก; This purposed of this were 1) to study the efficiency of teaching reading skills by using learning packages on with the efficiency criteria set of 75/75, 2) to compare reading skills’ achievement of students before and after learning reading skills by Using Learning Packages, 3) to study the effectiveness index of students’ learning reading skills by Using Learning Packages, and 4) to survey the students’ satisfaction with learning reading skills by using learning packages. The samples of this study were 7 Prathomsuksa 4 who were studying Fundamental English subject in the first semester of academic year 2016 at Bankudhin School, selected by sample random sampling. The research instruments used in this study were 7 sets of learning packages, the lesson plans, and the learning achievement tests. Statistics used to analyze the data were mean, percentage, standard deviation (S.D), and dependent samples t-test.
The findings were as follows:
1. The efficiency of teaching reading skills by using learning packages was 82.86/87.44 which was higher than the criterion set at 75/75
2. The reading skills achievement of the students after studying the learning packages were significantly higher than before studying at the statistical level
0.01.
3. The effectiveness index of learning packages was 0.77.
4. The students’ satisfactions with learning packages was the high level.
2018-01-01T00:00:00Zผลของการใช้สื่อจริงเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5Decha, Khetklanghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79812021-11-16T02:56:11Z2020-01-01T00:00:00Zผลของการใช้สื่อจริงเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
Decha, Khetklang
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการสอนโดยใช้สื่อจริงเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการพูดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้สื่อจริง และ 3) เปรียบเทียบความสามารถในการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการพูดภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้สื่อจริง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 36 คน ซึ่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ32102) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียน
สตึก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แผนการสอนจำนวน 4 แผน แบบวัดความสามารถในการพูด จำนวน 2 หัวข้อ และแบบสอบถามความสามารถในการรับรู้ความสามารถของตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent Samples t-testผลการศึกษา พบว่า
1. ประสิทธิภาพของแผนการสอนโดยใช้สื่อจริง มีค่าเท่ากับ76.58/78.94 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 75/75
2. ความสามารถในการพูดของนักเรียนโดยใช้สื่อจริง มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. การรับรู้ความสามารถของตัวเองของนักเรียน ต่อการพูดภาษาอังกฤษหลังเรียนโดยใช้สื่อจริง สูงกว่าก่อนเรียนโดยภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01; The main purposes of this study were 1) to investigate the efficiency of authentic materials lessons on enhancing speaking ability of grade 11 students to meet the criterion set at 75/75; 2) to compare theirspeaking ability before and after being taught through authentic materials; and 3) to compare their self-efficacy towards English speaking ability before and after being taught through authentic materials. The samples were 36 grade 11 students who enrolled the Fundamental English Course (E32102) in the second semester of the academic year 2019 at Satuek School, Satuek District, Buriram Province. They were selected by using simple random sampling technique. The research instruments were4 authentic materials lesson plans, 2-item-speaking performance test, and self-efficacy questionnaire.The obtained data were analyzed by usingpercentage, mean, standard deviation, and dependent samples t-test.The findings revealed as follows:
1. The efficiency of lesson plans by using authentic materials was 76.58/78.94, which was higher than the criterion set at 75/75.
2. The speaking ability of students’ post-test mean score was higher than pre-test mean score with statistically significant difference at .01 level.
3. The students’ self-efficacy towards English speaking after learning through authentic materials in overall was higher than before learning with statistically significant difference at .01 level.
2020-01-01T00:00:00Zผลการเรียนแบบเน้นภาระงานที่มีต่อความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6เกษศิรินทร์, แสนกล้าhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79802021-11-16T02:54:02Z2017-01-01T00:00:00Zผลการเรียนแบบเน้นภาระงานที่มีต่อความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เกษศิรินทร์, แสนกล้า
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการเรียนภาษาแบบเน้นภาระงานและ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนภาษาแบบเน้นภาระงานกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 52 คน จากโรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ ซึ่งเลือกโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือในการทำวิจัย ได้แก่ การเรียนภาษาแบบเน้นภาระงาน แบบทดสอบก่อนเรียนหลังเรียนในการวัดความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการเรียนภาษาแบบเน้นภาระงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ Dependent Samples t-test ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้การเรียนภาษาแบบเน้นภาระงานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนภาษาแบบเน้นภาระงานอยู่ที่ระดับความพึงพอใจมาก; This research aimed: 1) to compare the students’ speaking ability before and after using task-based language learning; and 2) to investigate students’ satisfaction after using task-based language learning. The samples were 52 grade 6 students at Anubarn Surin School, selected by using simple random sampling method using classroom as a sampling unit. The research instruments were task-based language learning, lesson plans, English speaking pretest and posttest, and the satisfaction questionnaire. The statistics used to analyze the collected data were percentage, mean, standard deviation, and dependent samples t-test. The finding of this study were that: 1) the students’ post-test mean score was higher than the pretest mean score with statistically significant difference at.05 level; and 2) the students’ satisfaction towards task-based language learning in overall was at the very satisfied level.
2017-01-01T00:00:00Zความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษและการลดความวิตกกังวลของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏุบุรีรัมย์=Tatiya, tanuanramhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79792021-11-16T02:52:20Z2020-01-01T00:00:00Zความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษและการลดความวิตกกังวลของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏุบุรีรัมย์=
Tatiya, tanuanram
The purposes of this study were 1) to find out the English speaking anxiety
of English and Business English major students, 2) to compare English speaking anxiety between English major students and Business English major students; and
3) to explore the ways which English and Business English major students usedto reduce their English speaking anxiety.The quantitative data were collected from
a questionnaire responded by 128 first year English and Business English major studentswho were studying in Introduction to English Listening Speaking Course.The sample were selected by usingKrejcie and Morgan’s sample size determination table by using the simple random sampling. The statistics used for data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, and t-test. For qualitative data,
semi-structure interview was implemented with10 students which were selected by using purposive sampling technique. The samples were divided into 5 students from English majors and 5 students from Business English majorswho got the least grade point in the Introduction to English Listening Speaking Course. The data from the interview were analyzed by using open and axial coding techniques proposed by Punch (2005).The results of the study were as follows: 1)English speaking anxiety
of English and Business English major students was at a moderate level. The highest English speaking anxiety of English and Business English major students was Fears of Negative Evaluate Anxiety, followed by Communication Anxiety and Test Anxiety, respectively.2) There was no statistically significant difference in English speaking anxiety regarding Fears of Negative Evaluate Anxiety and Communication Anxiety. However, the statistically significant difference at .05 level was found in Test Anxiety, and 3) the result of semi-structured interview concerning the ways of reducing English speaking anxiety used by the samples were Preparation which received the highest frequency, followed by Positive Thinking, and Relaxation, respectively.; การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความวิตกกังวลของการพูดภาษาอังกฤษ
ของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษและสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
2) เพื่อเปรียบเทียบความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษระหว่างนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษและนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ และ 3) สำรวจวิธีการลดความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ
และสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ จำนวน 128 คนที่เรียนในรายวิชาการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเบื้องต้น
โดยใช้ตารางของเครซีและมอร์แกนและวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและที่ใช้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกันกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ได้แก่ นักศึกษา จำนวน 10 คน แบ่งเป็นนักศึกษาสาขาวิชาเอกภาษาอังกฤษจำนวน 5 คน และนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ จำนวน 5 คน ที่ได้เกรดน้อยที่สุดในรายวิชาการฟัง-พูดภาษาอังกฤษเบื้องต้น โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ถูกวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการกำหนดรหัสเพื่อจำแนกข้อมูล (Open Coding) และ
การจำแนกข้อมูลออกเป็นกลุ่ม ๆ หรือเป็นหัวข้อย่อย (Axial Coding)ของพันช์ ผลการวิจัยพบว่า
1) ระดับความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษและสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ อยู่ในระดับปานกลาง สาเหตุที่พบมากที่สุดคือ ความวิตกกังวลด้านความกลัวการถูกประเมินทางลบ ตามด้วยความวิตกกังวลในการสื่อสาร และความวิตกกังวลในการทำแบบทดสอบ ตามลำดับ 2) ไม่มีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เกี่ยวกับความกลัวเชิงลบประเมินความวิตกกังวลและความวิตกกังวลในการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05พบในความวิตกกังวลในการทำแบบทดสอบ และ 3) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง พบว่า วิธีการลดความวิตกกังวลของการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาพบมากที่สุด คือ การเตรียมความพร้อม การคิดเชิงบวกและการผ่อนคลายตามลำดับ
2020-01-01T00:00:00Zการพัฒนาชุดการเรียนรู้บนโทรศัพท์มือถือเพื่อพัฒนาความสามารถการแปลสำหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายพีรลักษณ์, รักษะประโคนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79782021-11-16T02:51:18Z2018-01-01T00:00:00Zการพัฒนาชุดการเรียนรู้บนโทรศัพท์มือถือเพื่อพัฒนาความสามารถการแปลสำหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
พีรลักษณ์, รักษะประโคน
The objectives of this quantitative research were 1) to construct and determine the efficiency of mobile learning package on translation from English into Thai ability of higher level secondary school (grade 10-12) students with criterion set at 70/70, 2) to compare students' translation ability before and after learning by using mobile learning package, and 3) to investigate their satisfaction toward learning translation from English into Thai by employing the mobile learning package. The samples were 20 students, three of participants from grade 11 and 15 of participants were from grade 12. They were selected through purposive sampling technique. The instruments consisted of focus group discussion, pre-test and post-test, mobile learning package and satisfaction form. The statistics employed to analyze the data were percentage, mean, standard deviation and dependent sample t-test. The findings were as follows: 1. The efficiency of mobile learning package on translation from English into Thai was 80.17/83.50 which was higher than the criterion set at 70/70. 2. The students' translation from English into Thai ability post-test mean score was higher than the pre- test mean score with statistically significant difference at .01 level. 3. The overall students' satisfaction toward learning translation from English into Thai through mobile learning translation was at very satisfied level.; การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้การแปลบนโทรศัพท์มือถือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบความสามารถการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้การแปลบนโทรศัพท์มือถือ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีต่อการเรียนการแปลโดยใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้การแปลบนโทรศัพท์มือถือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 20 คน ที่เลือกเรียนวิชาชุมนุมนักแปลหน้าใหม่ (Newbie Translator) โรงเรียนกระเทียมวิทยา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 33 โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้การแปลบนโทรศัพท์มือถือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent Samples t-test ผลการศึกษาพบว่า 1.แอพพลิเคชั่นเพื่อการเรียนรู้การแปลบนโทรศัพท์มือถือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 80.17/83.50 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 70/70 ที่ตั้งไว้ 2.นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เลือกเรียนวิชาชุมนุมนักแปลหน้าใหม่ มีความสามารถในการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยหลังเรียนสู.กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3.นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เลือกเรียนวิชาชุมนุมนักแปลหน้าใหม่มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก
2018-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4ไตรรงค์, จันทะบาลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79772021-11-16T02:47:51Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
ไตรรงค์, จันทะบาล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 42) เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามสถานภาพและขนาดสถานศึกษาและ3) ศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4ซึ่งมีการศึกษา 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสภาพการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยใช้การกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกนได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน335คน แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิตามขนาดของสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .987สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าtและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวระยะที่ 2ศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูล มีจำนวน 10 คนโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบริหารงานบุคคลตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูที่มีต่อสภาพการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4จำแนกตามสถานภาพพบว่า โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันเมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05
3. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูพบว่า
สถานศึกษาควรเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในด้านต่าง ๆ ของการบริหารงานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนการยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการครูที่มีผลงานและความดี มีการฝึกอบรมพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฐมนิเทศข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนเข้าปฏิบัติงาน สถานศึกษาควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อจูงใจให้บุคลากรทำงานอย่างมีความสุข สร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคลากรทุกคนและพร้อมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
2563-01-01T00:00:00Zปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2ปราณี, รัตนธีระชัยกุลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79762021-11-16T02:46:16Z2563-01-01T00:00:00Zปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
ปราณี, รัตนธีระชัยกุล
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1)ระดับปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผล
ต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา 2)ระดับความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการบริหารกับความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา4) ค้นหาตัวพยากรณ์ในการทำนายความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา5) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต2กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครู จำนวน 487คนได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน
แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 2ลักษณะ ได้แก่ แบบสำรวจรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า5ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคุณ
ผลการวิจัยพบว่า
1. ระดับปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านโครงสร้างองค์การ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา
คือ ด้านการจูงใจ ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด
คือด้านการติดต่อสื่อสาร
2. ระดับความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 2โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า ด้านความพึงพอใจของบุคลากรมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา คือด้านผลสัมฤทธิ์
ทางวิชาการของผู้เรียนส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านคุณลักษณะของผู้เรียน
3. ปัจจัยทางการบริหารทุกด้านมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิตที่ระดับ .01
4. ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01 คือ ด้านโครงสร้างองค์การ ด้านการจูงใจและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ส่วนด้านภาวะผู้นำ ด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์การ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านงบประมาณ
ด้านการพัฒนาบุคลากร ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และตัวแปรพยากรณ์ดังกล่าวสามารถพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารจัดการสถานศึกษา ได้ร้อยละ 61.60 (R2 = 0.616)
5. สามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ
= 0.460 + 0.317(X6) + 0.224(X3) + 0.175(X7) + 0.116(X1) + 0.086(X5)
- 0.081(X6) + 0.059(X8) - 0.003(X2)
สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน
= 0.325(ZX6) + 0.231(ZX3) + 0.197(ZX7) + 0.116(ZX1) + 0.088(ZX5)
- 0.082(ZX6)+ 0.062(ZX8) - 0.003(ZX2); The purposesof this research were 1) to investigate the levels of administrative factors affecting success in management of schools,2) to investigate the levels of success
in management of schools, 3) to study the relationship between administrative factors
and success in management of schools,4) to find out predicted equation for success in management ofschools ; and 5)to establish predicted equation for success in management of schools underBuriram Primary EducationalService Area office 2. The samples consisted of 487 administrators and teachers, selected by using Krejcie and Morgan’s table and stratified random sampling.The instrument used in this study was a questionnaire comprised two parts : checklist
and five - rating scale with reliability level of0.97. The statisticsused to analyze the collected data were frequency, percentage, mean, standard deviation, Pearson Product Moment Correlation Coefficient and Multiple Regression Analysis.
The results were as follows :
1. Administrative factors affecting success in managementof schools underBuriram Primary Educational Service Area office 2 was at a high levelin overall aspect. Having considered each aspect, it showed that the organization structure was ranked at the highest level, followed by motivation,atmosphere and culture of the organization, respectivelywhile communications was found at the lowest level.
2. The level ofsuccess in management of schools underBuriram Primary Educational Service Area office 2was, in overall aspect, at a high level. Having considered each aspect, it showed that thesatisfaction of the personnelwas ranked at the highest level, followed by academic achievementwhile theirstudent characteristicswas found at the lowest level.
3. All administrative factors had a positive relationship with success in management of schools underBuriram Primary Educational Service Area office 2 at the statistical significance of the .01level.
4. The variables that could predict the success in management of schools underBuriram Primary Educational Service Area office 2 at the statistical significance of the .01level were as follows :organization structure,motivation and information technology. In terms of leadership,atmosphere and culture of the organization,communications,budget, personnel development were not statistically different. These variables could be used together in order
to predict their success in management of schoolsat 61.60 (R2 = 0.616).
5. The predicted equation can be established below.
Predicted equation of raw scores :
= 0.460 + 0.317(X6) + 0.224(X3) + 0.175(X7) + 0.116(X1) + 0.086(X5)
- 0.081(X6) + 0.059(X8) - 0.003(X2)
Predicted equation of standard scores :
= 0.325(ZX6) + 0.231(ZX3) + 0.197(ZX7) + 0.116(ZX1) + 0.088(ZX5)
- 0.082(ZX6)+ 0.062(ZX8) - 0.003(ZX2)
2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2ทวีพงษ์, ดีพันธ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79752021-11-16T02:44:51Z2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ทวีพงษ์, ดีพันธ์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/752) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI 3) เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วย แบบฝึกทักษะเรื่องการคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2และ4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนบ้านดงบังซับสมบูรณ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 22 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
1)แบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 จำนวน 6 ชุด2)แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2จำนวน 6 แผน
3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.44 -0.76ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.38-0.93 โดยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87และ 4)แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1/ E2 และ E.I. การทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ค่าการทดสอบt-test แบบ Dependent Samples
ผลการวิจัย สรุปได้ว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.79/82.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 75/75
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2หลังการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2มีค่าเท่ากับ 0.7110แสดงให้เห็นว่าว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.7110หรือคิดเป็นร้อยละ 71.10
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด
2563-01-01T00:00:00Zปัจจัยสู่ความสำเร็จของวงขับร้องประสานเสียงในโรงเรียนมัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนัทรพงษ์, แพงเพ็งhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79742021-11-16T02:42:56Z2562-01-01T00:00:00Zปัจจัยสู่ความสำเร็จของวงขับร้องประสานเสียงในโรงเรียนมัธยมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นัทรพงษ์, แพงเพ็ง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1)กระบวนการฝึกซ้อมวงขับร้องประสานเสียง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูลโดยการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม2)ศึกษาปัจจัยสู่ความสำเร็จของวงขับร้องประสานเสียง โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยการคัดเลือกจากโรงเรียนที่มีผลการแข่งขันระดับเหรียญทองและเป็นตัวแทนระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อเนื่อง 3 ปี ในการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียนระหว่างปีการศึกษา พ.ศ. 2558 - 2560จำนวน 3 วง ได้แก่ โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัยโรงเรียนบรบือวิทยาคารและโรงเรียนเลยพิทยาคม
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
1. กระบวนการฝึกซ้อมเกิดจากการเรียนการสอนวิชาดนตรี วิชาเพิ่มเติมดนตรี ชั่วโมงกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ และกิจกรรมชุมนุม ที่สามารถนำนักเรียนฝึกซ้อมและทำกิจกรรมเกี่ยวกับการฝึกซ้อมวงขับร้องประสานเสียงเช่น การคัดเลือกนักร้อง การแยกเสียงร้องตามแนวเสียงต่างๆ รูปแบบตำแหน่งการยืนภายในวง เป็นต้น ซึ่งการฝึกซ้อมนั้นจะทำได้ในวันจันทร์ - ศุกร์ โดยใช้เวลาช่วงกิจกรรมหน้าเสาธง การฝึกซ้อมในช่วงพักเที่ยง และช่วงเวลาหลังเลิกโรงเรียนของนักเรียนที่สามารถฝึกซ้อมร่วมกับวงได้ และจะมีการฝึกซ้อมเข้มข้นมากขึ้นโดยการเข้าค่ายฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันทั้งระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระดับชาติ ไม่น้อยกว่า 1 เดือน รวมถึงระดับนานาชาติ ที่จำเป็นจะต้องเข้าค่ายเตรียมความพร้อมไม่น้อยกว่า 6 เดือน ในการคัดเลือกและจัดการโน้ตเพลงสำหรับขับร้องประสานเสียง ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของวงขับร้องประสานเสียงเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนร้องแล้วมีความไพเราะเหมาะสมกับทักษะของนักเรียน ซึ่งบทเพลงขับร้องประสานเสียงจะต้องสั่งซื้อจากเว็บไซต์ต่างประเทศ และได้รับความอนุเคราะห์โน้ตเพลงจากกลุ่มเพื่อนครูดนตรี จากวิทยากรด้านการขับร้องประสานเสียง และสมาคมขับร้องประสานเสียงแห่งประเทศไทยเป็นต้น
2. ปัจจัยสู่ความสำเร็จของวงขับร้องประสานเสียง ผู้บริหารได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมดนตรีและกิจกรรมวงขับร้องประสานเสียง มีการกำหนดนโยบายและวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการคือนักเรียนที่มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่เอาใจใส่ในการฝึกซ้อม และครูผู้ควบคุมวงมีความรู้ความสามารถมีเทคนิคและวิธีการด้านการขับร้องประสานเสียงเป็นอย่างดี จึงทำให้สามารถนำพาวงขับร้องประสานเสียงไปสู่ความสำเร็จผู้บริหารมีส่วนสำคัญในการดูแลเอาใจใส่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนอาคารสถานที่ในการฝึกซ้อมวงขับร้องประสานเสียงคณะครูในโรงเรียนให้การสนับสนุนและดูแลนักเรียนเป็นอย่างดี โดยมีผู้ปกครองได้ให้กำลังใจในการทำกิจกรรมของนักเรียนถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ และได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากสมาคมครูและผู้ปกครองนักเรียน พ่อค้า คหบดี จึงทำให้วงขับประสานเสียงในโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชน; The purposes of this qualitative research were1) to study choir rehearsal process by way of Non participant Observation; and 2) to examine factors for success of the choir chorus. The data were collected and studied by using structured interview. The samples of this study were 3 bands which included Si Sa KetWittayalaiSchool, BorabueWittayakhan School and LoeiPhittayakhom School. The samples were selected by using purposive sampling method from school that won goal medal and were representative of Northeastern region in Student’ Arts and Crafts Competition for 3 consecutive years (2015 - 2017).
Theresult revealed
1. The rehearsal process was occurred due to music subjects, additional music subjects, Teach Less - Learn More hours and gathering activities which provided opportunity for students to practice and rehearse choir. For example, singer recruitment,vocal separation according to various sounds and positions and patterns of each members in the band. The rehearsal was conducted during weekdays at morning ceremony in front of flag pole, lunch break and after school. Moreover, intensive rehearsal camp was conducted at least 1 month before national competition and at least 6 months before international competition. Selection and management of music score for choir were considered to be very essential for the success of the band. In addition, choir song must be purchased from foreign website; however, choir teachers’ network and Thailand Choral Association offered the songs and musical note for them.
2. Factorscontributed to the success of choir band were resulting from board of school administrators’ policy that emphasized on musical and choir activities. Besides, the responsibility of the students played an important role in the success of the band. As students paid attention and concentrated on the rehearsal and teachers equipped with good choir skills and techniques, the band became successful. In addition, not only budget and place for rehearsal provided by school administrators along with teachers and parent’ support, sponsors from community were also considered to be important factors for success of the band that created reputation and pride for schools and community.
2562-01-01T00:00:00Zแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ธนกฤต, ศาสตราโชติhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79732021-11-16T02:42:23Z2563-01-01T00:00:00Zแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์
ธนกฤต, ศาสตราโชติ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของโรงเรียนและเพื่อหาแนวทางการพัฒนาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ครูเอกชน จำนวน 291 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นชุดแบบสอบถามข้อมูลเชิงปริมาณนำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าคะแนนทีที่เป็นอิสระต่อกันและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และข้อมูลเชิงคุณภาพนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า
1. ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสถานะทางอาชีพ รองลงมา คือ ด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว
2. ผลการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามเพศ พบว่าโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. ผลการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานพบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ เพียงด้านเดียว ส่วนด้านอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน
4. ผลการเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ ด้านความรับผิดชอบเพียงด้านเดียว ส่วนด้านอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน
5. แนวทางการพัฒนาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีจำนวนผู้เสนอแนะมากที่สุด โดยพิจารณาจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3 อันดับ คือ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว ด้านเงินเดือนและสวัสดิการและด้านความก้าวหน้า โดยด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว ควรมีนโยบาย แผนงานและแนวทางในการยกระดับความเป็นอยู่ส่วนตัวของครูให้ดีขึ้น ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ พิจารณาอัตราเงินเดือนของครูให้มีความเป็นธรรม และด้านความก้าวหน้า ควรมีนโยบาย แผนงานและแนวทางในการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
2563-01-01T00:00:00Zการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32จารุวัชร, เคนพันคร้อhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79722021-11-16T02:40:51Z2563-01-01T00:00:00Zการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
จารุวัชร, เคนพันคร้อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารที่มีต่อสภาพการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และระยะที่ 2 แนวทางการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของผู้บริหารและครู จำแนกตามสถานภาพ จำนวนกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร จำนวน 66 คน และครู จำนวน 279 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 345 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และกำหนดค่าสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05; This research aims: 1) to study the condition of the management of community learning resources to improve the quality of education, 2) to compare the opinions of teachers and administrators towards the management of community learning resources to improve the quality of education, and 3) to study the guidelines of the management of community learning resources to improve the quality of education. The research instrument employed for data collection was 5-point rating scale questionnaire. The research was conducted in two phases: Phase 1 studying the condition of the management of community learning resources to improve the quality of education by analyzing to see its mean and standard deviation, and Phase 2 studying the guidelines of the management of community learning resources to improve the quality of education by comparing the opinion levels of the administrators and teachers in terms of school sizes by using t-test and comparing the opinion levels of the administrators and teachers in terms of status positions by using F-test one- way ANOVA and Scheffe method. A p value of 0.05 was considered to be statistically significant. The samples of the study were 346 subjects including 66 administrators and 280 teachers by stratified random sampling. The data were analyzed by
percentage, mean, standard deviation, t-test, and One-way ANOVA.
The results of the research were as follows:
1. The management of community learning resources to improve the quality of education in overall was at a moderate level.
2. The comparison of the opinion of school administrators and teachers towards the management of community learning resources to improve the quality of education, classified by the school position, the results revealed that there was no difference in overall and each aspect.
3. The comparison of the opinion of school administrators and teachers towards the management of community learning resources to improve the quality of education, classified by the school size, the results showed that there was statistically significant difference at the .05 level.
4. Guidelines for developing the management of community learning resources to improve the quality of education was that there should be the improvement of school administration and management system to serve the operating tasks by integrating with the various environments existing in the community systematically. Also, it can be monitored and reported to the public.
2563-01-01T00:00:00Zความต้องการสวัสดิสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาธนเดช, คิมเนียงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79712021-11-16T02:39:57Z2021-01-01T00:00:00Zความต้องการสวัสดิสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ธนเดช, คิมเนียง
การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาระดับความต้องการสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ใน 4 ด้าน คือ ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านรายได้ ด้านที่พัก/ที่อยู่อาศัย และด้านนันทนาการ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากร โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 248 คน แล้วทำการสุ่มให้กระจายไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามสัดส่วนโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9745 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
1. ความต้องการด้านสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยเรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำ จะได้ดังนี้ ด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ด้านรายได้ ด้านที่พักอาศัย/ที่อยู่อาศัย และด้านนันทนาการ ตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ควรเพิ่มเบี้ยยังชีพ ให้กับผู้สูงอายุ รองลงมา คือ ควรมีรถรับ – ส่งให้บริการผู้สูงอายุไปยังสถานพยาบาลโดยไม่คิดค่าบริการ และควรมีการจัดกิจกรรมนันทนาการให้กับผู้สูงอายุ ตามลำดับ
2021-01-01T00:00:00Zรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาพระเอกชัย, พิเลิศรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79702021-11-16T02:38:42Z2562-01-01T00:00:00Zรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา
พระเอกชัย, พิเลิศรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา 2)เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา และ 3) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวน 33 โรง ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 66 คน เป็นผู้บริหาร จำนวน 33 คน และตัวแทนครู จำนวน 33 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเพื่อทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง จำนวน 17 คน โดยเลือกแบบเจาะจง ยึดตามขนาดและบริบทของโรงเรียน โดยความสมัครใจของผู้บริหาร ระยะที่ 3 กลุ่มตัวอย่างเพื่อการประเมินผลการใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำ
การเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยผู้บริหารที่สมัครใจเข้าอบรม จำนวน 17 คน และตัวแทนครูร่วมประเมิน จำนวน 17 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง จำนวน 80 ข้อ เป็นลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.98 คู่มือการใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพโดยการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 15 คน และแบบประเมินภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมันทั้งฉบับ 0.91 สถิติที่ใช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test dependent)ผลการวิจัยพบว่า
1)ภาวะผู้นำกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนการกุศลของวัด
ในพระพุทธศาสนา โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2)รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นรูปแบบเชิงระบบ ประกอบด้วย 1) บริบท ได้แก่ หลักการสําคัญ วัตถุประสงค์ ภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง สภาพปัจจุบันที่พึงประสงค์และวิธีการพัฒนาภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง 2) ตัวป้อน ได้แก่
องค์ความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา การเปลี่ยนแปลง 5 องค์ประกอบ 3) กระบวนการได้แก่ การประชุมปฏิบัติการแบบเข้ม ประกอบด้วย 4 โมดูล ได้แก่ (1) การให้องค์ความรู้ (2) การปฏิบัติการเขียนแผนพัฒนาภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง (3) การปฏิบัติการตามแผนพัฒนาในสภาพจริง และ
(4) การประเมินผลการพัฒนาในสภาพจริง 4) ผลผลิต ได้แก่ ผู้บริหารที่เข้ารับการพัฒนามีความรู้และมีภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง และ5) ข้อมูลย้อนกลับ ได้แก่ ผู้บริหารที่เข้ารับการพัฒนามีภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น อยู่ในระดับมาก ผู้บริหารที่เข้ารับการพัฒนาต้องทบทวนและพัฒนาภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง อย่างต่อเนื่อง
3)ผลการประเมินการใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา จํานวน 34 คน โดยผู้บริหารประเมินตนเอง และประเมินโดยครู พบว่า ผู้บริหารมีภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลง หลังการประชุมปฏิบัติการแบบเข้ม โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นําการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ก่อนและหลัง
การประชุมปฏิบัติการแบบเข้ม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ .01
คำสำคัญ :รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสถานศึกษา; The purposes of this research were 1) to study transformational leadership of charity schools administrators in Buddhist temples; 2) to develop a model for transformational leadership of charity schools administrators in Buddhist temples; and 3) to evaluate the use of the model. The samples were divided into 3 phases. Phase 1 was to study transformational leadership of charity schools administrators in Buddhist temples. The samples were 33 schools which were selected by using multi-stage random sampling. Than, 66 people from the schools which comprised 33 administrators and 33 teachers were chosen by using purposive random sampling. For phase 2,17 samples were selected by using purposive random sampling, according to school size and context which voluntarily participated by schools administrators, to be a pilot for the use of the model for transformational leadership. For phase 3, the use of the model was evaluated by 34 samples selected by purposive random sampling, which consisted of 17 voluntary administrators and 17 teachers’ representatives. The instruments used to collect the data were a 5-rating scale questionnaire which contained 80 questions concerning transformational leadership with the reliability of 0.98, a transformational leadership model handbook which was examined by 15 expert and an evaluation form which contained 20 questions with the reliability of 0.91. The statistics used to analyze the data were mean, standard deviation and dependent t-test.
The result revealed as follows:
1. Transformational leadership of charity schools administrators in Buddhist temples in overall aspects was at a high level.
2. Development model for transformational leadership of charity schools administrators was in system format which consisted of 1) Context which included key principles, objectives, transformational leadership, desired current condition and how to develop transformational leadership; 2) Input which comprised body of knowledge about 5 transformational leadership elements; 3) Process which comprised 4 modules in intensive workshop including (1) providing knowledge, (2) composing of transformational leadership development plan, (3) following the development plan in an actual condition and (4) evaluating the result of the development plan; 4) Production which was designated by knowledge of transformational leadership of the administrators who participated in the workshop; and (5) Feedback which included a high level of transformational leadership of the administrators who attended workshop. The administrators who have been developed have to review and develop transformational leadership continuously.
3. The evaluation of the use of transformational leadership model of 34 charity schools administrators by self-assessment and teacher’ assessment conveyed that the administrators possessed transformational leadership after the intensive workshop in overall and each aspect at the highest level. When comparing transformational leadershipof theadministrators before and after intensive workshop, it was found that there was statistically significant different at .01 level.
Keywords :Development model, Transformational Leadership, School Administrators
2562-01-01T00:00:00Zการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33จิรภัทร, เฉิดวาสนาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79692021-11-16T02:34:55Z2562-01-01T00:00:00Zการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33
จิรภัทร, เฉิดวาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33 จำแนกตามตำแหน่งและขนาดของโรงเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารโรงเรียนและครู จำนวน346คน
ซึ่งได้มาโดยการกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี 3 ลักษณะ ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด
มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.95สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียวและทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยรวม
อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก
2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามตำแหน่ง เกี่ยวกับการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาพบว่าโดยรวม ไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน เกี่ยวกับการบริหารสู่ความสำเร็จของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยรวม ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านทักษะ
เทคนิค แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน; The purpose of this study was to examine and compare management to success of Mattayomsuksa school administrators under Secondary Educational Service Area Office 33 classified by position and school size. The samples were 346 school administrators and teachers which were selected by using Krejcie and Morgan’s table with Multi-stage Sampling method. The instrument used to collect the data was a questionnaire which consisted of 3 parts : checklist,
5 Likert Scale and open-ended questions with the reliability of 0.95. The data were analyzed by using frequency, percentage, mean and standard deviation. The hypothesis was tested by using
t-test, One-Way ANOVA and Scheffé’s method of paired comparison.
The results of the study were as follows :
1. The opinion of school administrators and teachers under Secondary Educational Service Area Office 33 concerning management to success of Mattayomsuksa school administrators in overall aspects was at a high level. When considered in each aspect, it was found that every aspect was at a high level.
2. Comparison between opinions of school administrators and teachers under Secondary Educational Service Area Office 33 classified by position concerning management to success of Mattayomsuksa school administrators in overall and each aspect was not different.
2562-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ธนุส, เฮียงราชhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79682021-11-16T02:34:33Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์
ธนุส, เฮียงราช
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารงานบุคคลของครูโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์
และศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของครูโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์โดยดำเนินการเป็น 2 ระยะระยะที่ 1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ
สภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์
ตามความความคิดเห็นของครู โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 291 คน ได้แก่ ครูโรงเรียนเอกชน
โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.975 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวส่วนระยะที่ 2
เพื่อหาแนวทางบริหารงานบุคคลของครูโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์
กลุ่มเป้าหมายมีจำนวน 5 คน ได้จากการเลือกเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ ตามความความคิดเห็นของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานโดยรวมและรายด้าน
ไม่แตกต่างกันและขนาดสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
3. แนวทางการบริหารงานบุคคล
3.1ด้านการวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง ควรดำเนินการอย่างเป็นระบบ
ตรวจสอบได้ มีการวางแผนอัตรากำลังให้เพียงพอ และเหมาะสม
3.2 ด้านการสรรหาบรรจุและแต่งตั้ง ใช้ระบบคุณธรรมและยุติธรรม
3.3 ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีการแจ้งเกณฑ์ประเมินให้ทุกคนทราบ จัดค่าตอบแทนพิเศษ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
3.4 ด้านวินัยและการรักษาวินัย ให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดระเบียบต่างๆและให้มีการอุทธรณ์ ร้องทุกข์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรม
3.5 ด้านการออกจากงานควรจัดกิจกรรมอำลาให้สมเกียรติ
2563-01-01T00:00:00Zผลการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ธิตยา, นัดครบุรีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79672021-11-16T02:32:11Z2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
ธิตยา, นัดครบุรี
การจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและ
การเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของ
แผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพ เพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและ
การเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ระหว่างก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน40 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4จำนวน 6 แผนแบบวัดการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .80 แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.13/86.25
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4มีคะแนนการตั้งค่าเป้าหมายหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวตามทฤษฎีการเลือกอาชีพเพื่อการตั้งเป้าหมายทางการศึกษาและการเลือกอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4อยู่ในระดับมากที่สุด
2564-01-01T00:00:00Zการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์นารี, อุไรรักษ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79662021-11-16T02:31:44Z2562-01-01T00:00:00Zการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
นารี, อุไรรักษ์
การดำเนินการวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยใช้รูปแบบการประเมินแบบ CIPP Model ซึ่งได้ดำเนินการประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 9 คน คณะกรรมการสถานศึกษา จำนวน 15 คน ครู จำนวน 23 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 140 คน และผู้ปกครองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 140 คน รวมจำนวน 327 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิตโดยภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
2. ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านบริบท โดยภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านวิสัยทัศน์ของสถานศึกษา รองลงมาเป็น ด้านพันธกิจของสถานศึกษา ด้านวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา และด้านโครงสร้างหลักสูตรของสถานศึกษา ตามลำดับ
3. ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านปัจจัยนำเข้า โดยภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านงบประมาณ รองลงมาเป็น ด้านบุคลากร ด้านอาคารสถานที่ และด้านสื่อ วัสดุ และอุปกรณ์ ตามลำดับ
4. ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านกระบวนการโดยภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ รองลงมาเป็น ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร ด้านการวัดและประเมินผล และด้านการใช้สื่อในการจัดการเรียนรู้ ตามลำดับ
5. ผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ในด้านผลผลิต โดยภาพรวม พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน รองลงมาเป็น ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ส่วนในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับดี; The purpose of this research was to evaluate the implementation of school curriculum of the Demonstration School of Buriram Rajabhat University through CIPPA Model which has conducted 4 aspects including context, input, process and product. The participants consisted of 9 school administrators, 15 school committee, 23 teachers, 140 grade 4 - 6 students and 140 parents, of grade 4 - 6 students totalling 327 people. The instruments used in this research were questionnaires and recording forms. The data were analyzed by frequency, percentage, means and standard deviation.
The research results were as follows :
1. The results indicated that the evaluation of school curriculum implementation of the Demonstration School of Buriram Rajabhat University on the aspect of context, input, process and product, was found at a high level of appropriateness.
2. The results of the evaluation of school curriculum implementation on the aspect of context was found at the highest level of appropriateness, and when considered each aspect, it was found that the highest average was vision of the school, followed by the main mission, objectives and curriculum structure respectively.
3. The results of the evaluation of school curriculum implementation on the aspect of input, in overall indicated that the appropriateness was found at a high level and when considered each aspect, it was found that the highest average was budget, followed by personnel, buildings, facilities division and teaching aids respectively.
4. The results of the evaluation of school curriculum on the aspect of process in overall indicated that the appropriateness was at the highest level. When considered each aspect, it was found that the highest average was learning management design, followed by learning management, curriculum administration, measurement and evaluation and teaching aids implementation respectively.
5. The results of the evaluation of school curriculum on the aspect of product in overall indicated that the appropriateness was at a high level and when considered each aspect, it was found that the desired characteristics was at the highest level, followed by competencies of learners. However, learning achievement was evaluated at a good level.
2562-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการส่งเสริมการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2วัชรินทร์, รองชัยภูมิhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79652021-11-16T02:29:37Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการส่งเสริมการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
วัชรินทร์, รองชัยภูมิ
การวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยในระยะนี้เป็นการศึกษาสภาพการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานและเปรียบเทียบการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน จำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 335 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.960 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยการทดสอบค่าที (t-test) และการทดสอบเอฟ (F - test) เมื่อพบความแตกต่างเป็นรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ ส่วนระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการสร้างแรงจูงใจ
ในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์
เขต 2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 9 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1. สภาพการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า โดยรวม อยู่ในระดับมาก ( = 4.30)
เมื่อพิจารณารายองค์ประกอบ พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ
ความสำเร็จในการทำงาน ( = 4.37) รองลงมา คือ นโยบายและการบริหารงาน ( = 4.35)
ส่วนองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ เงินเดือน ( = 4.23)
2. การเปรียบเทียบสภาพการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตาม
วุฒิการศึกษา พบว่า โดยรวม และรายองค์ประกอบ ไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามประสบการณ์
ในการทำงาน โดยรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยพบว่า องค์ประกอบเงินเดือน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และองค์ประกอบความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการส่งเสริมการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า ผู้บริหารควรมีการดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับครู ดังนี้ กำหนดนโยบายการบริหารสถานศึกษา จัดทำแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับทิศทางการจัดการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ ส่งเสริมให้ครูพัฒนาตนก้าวทันสื่อ เทคโนโลยี มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กำหนดตัวชี้วัดและวิธีการประเมินผลงาน
ให้ครอบคลุมภาระงานโรงเรียน ยกย่อง ชมเชยครูและมอบรางวัลเมื่องานสำเร็จ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความเคารพผู้อาวุโส ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ระดมทรัพยากรจากชุมชน และ
มีความศรัทธาในวิชาชีพ
2563-01-01T00:00:00Zกลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษา ในจังหวัดสุรินทร์พัชรกิติ์, สุทธิประภาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79642021-11-16T02:28:56Z2020-01-01T00:00:00Zกลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษา ในจังหวัดสุรินทร์
พัชรกิติ์, สุทธิประภา
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบกลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับอาชีวศึกษาในจังหวัดสุรินทร์โดยจำแนกตามเพศและสาขาวิชาที่ศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนในสถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 375 คน ที่ศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกอ้างอิงจากตารางของเครจซี่และมอร์แกน และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น และสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ตามลำดับ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.947 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีที่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัย พบว่า
1. กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษาในจังหวัดสุรินทร์โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาแต่ละกลวิธีที่ใช้ พบว่า มีการใช้กลวิธีด้านความรู้ความเข้าใจในระดับต่ำ ส่วนกลวิธีที่ด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับปานกลาง
2. กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษาในจังหวัดสุรินทร์จำแนกตามเพศ โดยในภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาแต่ละกลวิธีพบว่ากลวิธีด้านความรู้ความเข้าใจมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 กลวิธีด้านความจำ กลวิธีด้านอภิปัญญาและกลวิธีการตัดสินใจอยู่ในระดับ 0.05 ส่วนกลวิธีด้านสังคมไม่มีความแตกต่างกัน
3. กลวิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนอาชีวศึกษาในจังหวัดสุรินทร์จำแนกตามสาขาวิชาที่ศึกษา ทั้งโดยภาพรวมและแต่ละกลวิธีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01; The purposes of this research were to study and compare English vocabulary learning strategies employed by vocational education students in Surin Province, classified by their genders and fields of study. The samples were 375 students of vocational education colleges in Surin Province in the first semester of academic year 2019. They were selected by using the table of Krejcie and Morgan, stratified random sampling, and simple random sampling, respectively. The research instrument was a questionnaire with its reliability of 0.947. The statistics used to analyze the data were mean, standard deviation and independent samples t-test. The findings were as follows:
1. The English vocabulary learning strategies employed by vocational education students in Surin Province in overall was at a moderate level. When considering each strategy used, it was found that the cognitive strategy was reported at the low level while the rest strategies were at the moderate level.
2. The English vocabulary learning strategies employed by vocational education students in Surin Province classified by genders in overall showed statistically significant difference at 0.01 level. When considering each strategy, the cognitive strategy showed statistically significant difference at 0.01 level. Besides, the memory strategy, meta-cognitive strategy and determination strategy were at 0.05 level while the social strategy was not different.
3. The English vocabulary learning strategies employed by vocational education students classified by fields of study both in overall and each strategy showed statistically significant difference at 0.01 level.
2020-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1บุญมา, บ่อไทยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79632021-11-16T02:25:46Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1
บุญมา, บ่อไทย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียน 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียน จำแนกตามเพศ และขนาดของโรงเรียนและ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือระยะที่ 1ศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 322คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี และมอร์แกน และใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิอย่างมีสัดส่วนตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.926สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวเมื่อพบความแตกต่างจะเปรียบเทียบเป็นรายคู่ใช้วิธีการของเชฟเฟ่ระยะที่ 2ศึกษาแนวทางการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 คนโดยวิธีเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนตามความคิดเห็นของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต1โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2.การเปรียบเทียบสภาพการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนตามความคิดเห็นของครูจำแนกตามเพศ และขนาดของโรงเรียนโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. แนวทางการบริหารการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า1)ด้านความรับผิดชอบ สถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับ การดำเนินการส่งเสริมความรับผิดชอบของนักเรียนและควรมีการเปรียบเทียบผลการดำเนินการส่งเสริมความรับผิดชอบของนักเรียนกับเป้าหมายที่กำหนด2) ด้านความมุ่งมั่น อดทน สถานศึกษาควรมีการเปรียบเทียบผลการดำเนินการส่งเสริมความมุ่งมั่น อดทน ของนักเรียนกับเป้าหมายที่กำหนดและควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับการดำเนินการส่งเสริมความมุ่งมั่น อดทน ของนักเรียน และ 3) ด้านการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ สถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุเกี่ยวกับการดำเนินการส่งเสริมการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ ของนักเรียน และควรมีการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานการส่งเสริมการปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับของนักเรียนขึ้นใหม่ให้เหมาะสม; The purposes of this research wereto :1) study state of administration for promotingself -discipline of students,2)compare teachers’ opiniontoward state of administration for promoting self -discipline of studentsdistinguish bygenders and school size; and 3)study guidelines of administration for promoting self -discipline of students in school underBuriramPrimary Educational Service AreaOffice 1.The studywasdivided into2phases.Phase 1studied and comparedthe opinions of teacher concerning the state of administration for promotingself -discipline of students. The samples consisted of 322 teachers,selected by using theTable of Krejcieand Morgan.Proportional Stratified Random Sampling technique was also employed according to school size.The instrument used in this study was a questionnaire with reliability value of 0.926. The data were analyzed by usingpercentage, mean and standard deviation.The hypotheses were testedby usingt-test and one-way ANOVAanalysisof variance and multiple comparisontest (Scheffe’s Method).Phase 2 studied administration guidelines for promoting self -discipline of students.The informants were 6 experts selected by purposive sampling.The instrument was a semi-structured interview form and the data were analyzed by using content analysis.
The research results revealed that:
1. State of administration for promoting self - discipline of students under Buriram Primary Educational Service Area Office 1,according to the opinion of teachers, in overall andeach aspect,was at a high level.
2. The comparison of state of administration for promoting self-disciplineof students under Buriram Primary Educational Service Area Office 1,according tothe opinion of teachers classified by genders, in overall and each aspectwas found statiscally significant differences at the .05 level, and classified by school size, in overall and each aspect was also foundwith statiscally significant differences at the .05 level.
3. The guidelines of administrationfor promoting self -discipline of students under BuriramPrimary Educational Service AreaOffice 1,according to the opinions of experts revealed that1) In responsibility aspect,school should analyze problems and causes of promoting students’ responsibility procedure and compare the results of the procedure with the set objectives, 2) In termsof determination aspect, school should compare the results of promoting determination and patience of the students with the set purposes and problems and their causes should be analyzed ;and 3) For compliance with the regulations aspect, school should analyze the problems and the causes of promoting students’ compliance with school’s regulation procedure.Also, the procedure should be adjusted accordingly.
2563-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 32วิชานนท์, เทียมทะนงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79622021-11-16T02:25:22Z2564-01-01T00:00:00Zพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 32
วิชานนท์, เทียมทะนง
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 32 จำแนกตาม สถานภาพตำแหน่ง และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 111 คน และครูผู้สอนจำนวน 343 คน ได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซีและมอร์แกน
แล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยแบ่งโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 32 ในแต่ละอำเภอออกเป็นกลุ่มย่อยตามขนาดของโรงเรียน คือ ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยลักษณะแบ่งชั้น จำแนกประชากรในแต่ละขนาดโรงเรียนออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเป็นกลุ่มย่อยแบบแบ่งชั้น แล้วทำการสุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนให้กระจายไปตามอำเภอและขนาดของโรงเรียนตามสัดส่วนด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม มี 3 ตอน คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.974สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐาน
ใช้การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า
1. ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการร่วมมือ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการประนีประนอม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการเอาชนะ
2. ความคิดเห็นของครูผู้สอนเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการร่วมมือ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการประนีประนอม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการหลีกเลี่ยง
3. ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งโดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน
ด้านการเอาชนะและด้านการหลีกเลี่ยง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05และ .01 ตามลำดับส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
5. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเกี่ยวกับ
พฤติกรรมการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 32 พบว่า
5.1 ด้านการเอาชนะความคิดเห็นที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ผู้บริหารมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในวิธีการของตนเอง รองลงมาคือ ผู้บริหารไม่ควรใช้อำนาจข่มขู่เพื่อเอาชนะผู้อื่น
5.2 ด้านการร่วมมือ ข้อที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ผู้บริหารขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ช่วยแก้ไขปัญหารองลงมาคือ ผู้บริหารเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายร่วมแสดงความคิดเห็นในการปฏิบัติงาน
5.3 ด้านการประนีประนอม ความคิดเห็นที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ผู้บริหารทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประนีประนอม รองลงมาคือ ผู้บริหารสร้างความเป็นธรรมเพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
5.4 ด้านการหลีกเลี่ยง ความคิดเห็นที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ผู้บริหารจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดปัญหารองลงมาคือ ผู้บริหารหลีกเลี่ยงที่จะรับรู้ปัญหาความขัดแย้ง
5.5 ด้านการยอมให้ ความคิดเห็นที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ผู้บริหารจะต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม รองลงมาคือ ผู้บริหารจะยอมให้ในกรณีที่ตนเองและโรงเรียนไม่เสียประโยชน์
2564-01-01T00:00:00Zแนวทางการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3ยุวดี, สุดสายเนตรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79612021-11-16T02:23:21Z2563-01-01T00:00:00Zแนวทางการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ยุวดี, สุดสายเนตร
การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีประชุมระดมสมอง เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างมีจำนวน 11 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ส่วนระยะที่ 2 ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ โดยอาศัยแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 335 คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิ
การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์
เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า
แนวทางการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3ที่ได้จากการประชุมระดมสมอง มีดังนี้1) ด้านการวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่งควรจัดหาข้อมูลสารสนเทศและสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาความต้องการอัตรากำลังคน เพื่อวางแผนอัตรากำลังให้เหมาะสมกับภาระงานและใช้หลักคุณธรรมในการพิจารณาผลงาน จัดให้มีการเผยแพร่ผลงานของบุคลากรที่มีผลงานดีเด่นให้สาธารณชนรับรู้
2) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งควรจัดประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อจัดกรอบอัตรากำลังพร้อมทั้งส่งเสริมให้ใช้หลักคุณธรรมในการดำเนินการสอบคัดเลือก
มีการประชาสัมพันธ์ประกาศการสอบคัดเลือก แจ้งหลักเกณฑ์ วิธีการ อย่างเป็นทางการ
ให้สาธารณะชนรับทราบอย่างทั่วถึง3) ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
ควรส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาเศรษฐกิจ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรม
เพื่อส่งเสริมให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้สามารถดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ส่งเสริมให้มีการดำเนินงานเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก เยาวชน และผู้ด้อยโอกาส นำการพัฒนาตนเอง
ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหลักสูตรการพัฒนา และนำไปขยายผลเพื่อให้ความร่วมมือและช่วยเหลือในทางวิชาการหรือวิชาชีพแก่ชุมชน 4) ด้านวินัยและการรักษาวินัย
ควรเปิดช่องทางให้คำปรึกษาปัญหาแก่บุคลากรใต้บังคับบัญชา เพื่อป้องกันการกระทำผิดวินัย ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาวินัยเพื่อให้เกิดความตระหนักและนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง
ใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม ช่วยกัน สอดส่องดูแลความประพฤติของครูผู้ช่วย ครู
และบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา5) ด้านการออกจากราชการควรรับฟังสาเหตุ
และเหตุผลการลาออก เพื่อให้คำปรึกษาและร่วมหาทางออก ก่อนตัดสินใจลาออกจากราชการพร้อมทั้งให้ผู้ประสงค์ลาออกกรอกแบบสัมภาษณ์ก่อนลาออกจากราชการ เพื่อนำปัญหา
และข้อเสนอแนะไปปรับปรุงการบริหารงานต่อไป
สภาพการบริหารงานบุคคลตามแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3ภาพรวม
อยู่ในระดับมาก( = 3.73, S.D = .79 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการออกจากราชการอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านอื่นๆ อยู่ในระดับมากโดย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ( = 4.11, S.D = .78 ) รองลงมาคือ ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ( = 4.06, S.D = .86 ) ส่วนรายการที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการออกจากราชการ
( = 3.13, S.D = .84 )
คำสำคัญ:แนวทาง ผู้บริหารสถานศึกษา แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณวิชาชีพ
; YuwadeeSudsainate. 2019. Guidelines of personnel administration based on the professional ethics of school administrators behavior patterns in Buriram Primary Educational Service Area Office 3. Master of EducationProgramin Educational Administration. Thesis Advisors:
Dr. RachaiPunyaratapalinChumsub, Dr. Kittiwat ThauyNgam, 295 pages.
This research was divided into two phases as follows: in the first phase, it was the qualitative research through a brainstorming session to study the guidelines for personnel administration on behavior patterns according to the code of professional ethics of school administrators in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 3, and the sample consisted of 11 school administrators and teachers, selected by purposive sampling method; while in the second phase, it was the quantitative research using a questionnaire to study the guidelines for personnel administration on behavior patterns according to the code of professional ethics of school administrators in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 3. The sample consisted of 335 school administrators and teachers, selected by the stratified random sampling method. The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, and content analysis.
The findings of this research revealed that the guidelines for personnel administration based on behavior patterns and professional ethics of school administrators
in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 through the brainstorming session were as follows: 1) in terms of the manpower planning and the position determination,there should be the preparation of information and the survey on relevant people’s opinions
in order to consider the manpower needs, plan the manpower to suit the workload, and use
the moral principles to consider and organize the dissemination of the personnel’s outstanding works to the public, 2) in terms of recruitment and appointment, there should be the meeting
of the school board in order to set the manpower framework as well as to promote the use of moral principles in taking the recruitment, providing information, issuing announcements,
and informing criteria officially to the public, 3) in terms of enhancing the efficiency
of active duties, there should be the promotion of the environmental conservation, the economic development, the local wisdom, and art and culture in order to encourage students to learn
and live according to the principles of sufficiency economy, the promotion of the protection
of the right of children, youth, and disadvantaged people, the self-development of government teachers and educational personnel according to the development curriculum, and the result extension of academic or professional cooperation and assistance for the community, 4) in terms of discipline and discipline-keeping, the consulting channel for problem-solving should
be provided for subordinate personnel in order to prevent them from misconducting the discipline, educate them about the discipline-keeping , encourage them to be aware of it as well as follow it correctly, use participatory administrative principles, and monitor the behavior
of assistant teachers, teachers, and other educational personnel in schools, and 5) in terms
of resignation, there should beopen-mindedness of the reasons for resignation in order to consult and find the solution before deciding to resign from the civil service as well as let the person
who wants to resign fill in the interview form before his/her resignation to bring those problems and suggestions to the onward administrative improvement.
The condition of personnel administration onbehavior patterns according to the code
of professional ethics of school administrators in schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 was overall at a high level( = 3.73, S.D = .79 ).When considering each aspect, it was found that the resignation from the civil service was at a moderate level,
while other aspects were at a high level. Ranking the mean score from high to low,
the recruitment and the position appointment were first ranked( = 4.11, S.D = .78 ), followed promoting efficiency of active duties( = 4.06, S.D = .86 ), while the lowest mean score is the resignation from the civil service( = 3.13, S.D = .84 ).
Keywords:Guidelines, School administrators, the behavior patterns according to the code
of professional ethics
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์วิเชียร, พรมแก้วhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79602021-11-16T02:22:54Z2564-01-01T00:00:00Zการศึกษาการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
วิเชียร, พรมแก้ว
การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์โดยจำแนกตามเพศ สถานภาพตำแหน่งและระดับการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย ประกอบด้วยบุคลากร
สายวิชาการและสายสนับสนุน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกนได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 265 คนโดยทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิคการสัมภาษณ์จำนวน 16 คน โดยการเลือกแบบจงใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่าที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.9961 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t-test) และค่าเอฟ(F-test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ความคิดเห็นของบุคลากรเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ภาพรวมทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง( = 3.29) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดหาทรัพยากรมนุษย์ อยู่ในระดับมาก ส่วนนอกนั้นอยู่ในระดับปานกลาง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รองลงมา คือ ด้านการธำรงรักษาและป้องกันทรัพยากรมนุษย์ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการให้รางวัลทรัพยากรมนุษย์
2. ผลการวิจัยเมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
โดยจำแนกตามเพศ สถานภาพตำแหน่งและระดับการศึกษา พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างซึ่งไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน
3. ผลการสัมภาษณ์มีข้อเสนอแนะว่ามหาวิทยาลัยต้องปรับกระบวนการกำหนดนโยบายและการวางแผนกลยุทธ์ให้ได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน
2564-01-01T00:00:00Zแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดบุรีรัมย์อานนท์, ทิณรัตน์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79592021-11-16T02:20:41Z2020-01-01T00:00:00Zแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดบุรีรัมย์
อานนท์, ทิณรัตน์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะสำหรับพนักงานสนามบินบุรีรัมย์ 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะและนวัตกรรมสำหรับพนักงานที่สนามบินบุรีรัมย์ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจกับหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะที่ออกแบบและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับพนักงานของสนามบินบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามเป็นพนักงานของสนามบินบุรีรัมย์ จำนวน 40 คนซึ่งประกอบด้วยข้าราชการ 5 คน พนักงานราชการ 5 คน พนักงานประจำ 10 คน และพนักงานชั่วคราว 20 คน กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการสนทนากลุ่มนั้นประกอบด้วยข้าราชการ 2 คน พนักงานราชการ 2 คนพนักงานประจำ 4 คน และพนักงานชั่วคราว 7 คน รวมเป็น 15 คนซึ่งเลือกมาจากกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม 40 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. ความต้องการพัฒนาทักษะการพูดและการฟังมากกว่าทักษะการอ่านและการเขียน ต้องการศึกษาทั้งคำศัพท์/บทสนทนาทั่วไปและคำศัพท์/บทสนทนาเกี่ยวกับการบริการและการบิน
2. นวัตกรรมที่เหมาะสมที่กลุ่มตัวอย่างต้องการคือคู่มือและวิดีโอ และหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะที่ออกแบบสำหรับพนักงานของสนามบินบุรีรัมย์ประกอบด้วย 11 หัวข้อ
3. ความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ต่อนวัตกรรมภาษาอังกฤษโดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมากที่ค่าเฉลี่ย 4.49 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการออกแบบคู่มือในระดับสูงมากที่สุดที่ค่าเฉลี่ย 4.52 และด้านเนื้อหาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับสูงมากที่ค่าเฉลี่ย 4.48; The purposes of this research were 1) to analyze English for Specific Purposes (ESP) needed by the staff of Buriram Airport,2) to develop the English for Specific Purposes (ESP) course and the innovation for the staff of Buriram Airport, and 3) to investigate their satisfaction with the designed English for Specific Purposes (ESP) course and the innovation developed for the staff of Buriram Airport. The samples consisted of 40 staff of Buriram Airport, including five bureaucrats, five bureaucrat employees, 10 permanent employees, and 20 temporary employees. In addition, 15 representatives of 40 samples, including two bureaucrats, two bureaucrat employees, four permanent employees, and seven temporary employees were purposively selected for a focus group discussion. The research instruments consisted of a questionnaire and a focus group discussion. The descriptive statistics for analyzing the quantitative data were percentage, mean and standard deviation while the content analysis was conducted for analyzing the qualitative data. The research findings revealed that:
1. The samples needed to develop speaking and listening skills much more than reading and writing skills. They needed to study both the general terms and specific terms as well as both general conversations and specific conversations used in service and aviation aspects.
2. Two appropriate innovations which were manual and video were needed by the samples. The ESP course designed for the staff of Buriram Airport consisted of 11 topics.
3. The overall satisfaction of the staff on English language innovation was at a high level at an average of 4.49. When considering in each aspect, it was found that the sample group had the highest level of satisfaction with the manual design at an average of 4.52 and also the aspect of English content received a very high satisfaction level at the average of 4.48.
2020-01-01T00:00:00Zองค์ประกอบความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพุชา ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วศุภสิทธิ์, ดีรักษาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79582021-11-16T02:19:41Z2563-01-01T00:00:00Zองค์ประกอบความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพุชา ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว
ศุภสิทธิ์, ดีรักษา
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ1)ศึกษาองค์ประกอบความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพูชา ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว และ 2) ตรวจสอบ
ความสอดคล้องของการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพูชาของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษาครูนักเรียน นักศึกษาไทยและกัมพูชา จำนวน 300 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
ค่าความตรงของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.50 - 1.00 ค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.548 - 0.925
ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.991 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ความโด่ง และวิเคราะห์องค์ประกอบ
เชิงยืนยัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพูชา ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมาก 2 ด้านและอยู่ในระดับปานกลาง 2 ด้าน โดยด้านหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยสูงสุดและอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก ส่วนด้าน
การบริหารจัดการ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดและอยู่ในระดับปานกลาง
2. การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่าโมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรความสำเร็จของการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตรไทย - กัมพูชาของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว ใน4ด้านอยู่ระหว่าง0.25 – 1.03
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05โดยตัวแปรที่มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ด้านหลักสูตรด้านการจัดการเรียนการสอนด้านการบริหารจัดการ และด้านการฝึกอบรมวิชาชีพตามลำดับโดยมีดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างโมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ประกอบด้วย ค่าไคสแควร์ เท่ากับ150.61ค่า P-valueเท่ากับ 0.075องศาความเป็นอิสระ (df) เท่ากับ 61 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.93 ดัชนีวัดระดับความกลมกลืน
ที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.90 ค่าดัชนีรากกำลังสองของค่าเฉลี่ยค่าความแตกต่างโดยประมาณ(SRMR) เท่ากับ 0.043 และค่าดัชนีความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.049
2563-01-01T00:00:00Zแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดบุรีรัมย์พิทยพัฒน์, ลุนโนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79572021-11-16T02:17:28Z2563-01-01T00:00:00Zแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดบุรีรัมย์
พิทยพัฒน์, ลุนโน
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มเป้าหมาย คือ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 18 คน จากโรงเรียนขนาดเล็กที่มีวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 และเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 เครื่องมือ ที่ใช้เก็บข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ประเด็นสำคัญจากเนื้อหา แปลผลในรูป การวิเคราะห์เชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
1. การบริหารงานวิชาการ โรงเรียนเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักเรียนในศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น เฝ้าระวัง ดูแลรักษา พัฒนาแหล่ง การเรียนรู้ภายในโรงเรียน ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้มีวิสัยทัศน์เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของชุมชนเป็นหลัก เปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงความคิดเห็น ตัดสินใจ และร่วมกันประเมินโครงการและกิจกรรม
2. การบริหารงานงบประมาณ โรงเรียนเปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาในการใช้งบประมาณและการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของคณะกรรมการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาและการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โรงเรียนได้จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานเป็นกรรมการตรวจสอบงบประมาณและขยายผลการใช้งบประมาณของโรงเรียนให้ชุมชนได้รับทราบ
3. การบริหารงานบุคคล โรงเรียนเปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเข้ามามีส่วนร่วมในเชิงของการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสรรหาบรรจุแต่งตั้งบุคลากร และ การสรรหาวิทยากรท้องถิ่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่โรงเรียนต้องการ และมีส่วนร่วมใน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจในการพิจารณาความดีความชอบของบุคลากรภายในโรงเรียน
4. การบริหารงานทั่วไป โรงเรียนเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับการดูแล บำรุงรักษา พัฒนาอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อม ให้มีความเหมาะสมกับในการจัดกิจกรรม โรงเรียนมีบทบาทเป็นผู้ประสานงานประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร ให้กับเครือข่ายการศึกษา ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับทราบ ชุมชนมี ส่วนร่วมในการดำเนินงานกิจการนักเรียน ในรูปแบบของการระดมทรัพยากรเข้ามาช่วยเหลือและการเป็นผู้ร่วมดำเนินกิจกรรมทุกกิจกรรมในโรงเรียน; Thisresearchintendstostudybest practices for communityparticipationineducationalmanagement of small primaryschoolsinBuriram province. BasicEducationBoardfromthe Office of BuriramPrimaryEducational Service Area 2 and 3 whichreceivedthefirstprizeinbestpracticeforcommunityparticipationof smallsizeschoolswerepurposivelyselectedtobethetargetgroup. The instrument used to collect the data was semi-structured interview and the important issues from the collected data were analyzed and interpreted by using descriptive analysis.
The findings were as follows:
1. AcademicAdministration : Schoolscollaborated with local speakers to educate students about locality, precaution, security, and development of school learning resources. Moreover, school administrators had a wide vision to listen to community’s opinions and provided a chance for the Basic Education Board to deliberate, decide and evaluate school projects and activities.
2. Budget Administration : The Basic Education Board received a chance to comment on school budget plans and fund raising for education by establishing the committee from the locals. Moreover,the Basic Education Board was assigned to examine the budget and publicize the school’s budget plan to the community.
3. Personnel Administration : The Basic Education Board was allowed to show their opinions to select suitable teachers or local speakers and make a decision to promote school personnel based on their performance.
4. General Administration : Community involved as committee members to make a decisionto maintain and develop school’s bulidings and environment for learning. The role of the school was as a coordinator to communicate and publicize information to educational networks, local leaders, and the Basic Education Board. The community participated in student’s activities through fund raising project and co - organized school’s activities.
2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนารูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13สุกันยามาศ, มาประจงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79562021-11-16T02:16:09Z2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนารูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13
สุกันยามาศ, มาประจง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 และ3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 โดยดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 กลุ่มตัวอย่างเป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 จำนวน 350 โรง ผู้ให้ข้อมูลได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 350 คน และครูที่รับผิดชอบเป็นหัวหน้างานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และมีค่าความเชื่อมั่น 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 ดำเนินการโดย 1) กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) กลุ่มเป้าหมายในการสนทนากลุ่มเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบ ดำเนินการโดยกลุ่มผู้ประเมินได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ประเมินด้านความถูกต้องและความเหมาะสมของรูปแบบ และกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 40 คน ทดลองใช้รูปแบบ หลังจากทดลองใช้รูปแบบแล้วประเมิน
ด้านความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 มีค่าเฉลี่ยรวมรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก ปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยรวมรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับน้อย และสรุปประเด็นการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาที่มีค่าเฉลี่ยสภาพการปฏิบัติได้ต่ำและค่อนข้างมีปัญหา เพื่อนำมาศึกษาหาแนวทางการพัฒนาการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้ง 7 ด้าน พบว่ามีประเด็นที่ต้องนำมาพัฒนาจำนวน 28 ประเด็น
2. รูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 แนวคิดและหลักการ ส่วนที่ 2 วัตถุประสงค์ สำหรับส่วนที่ 3 กระบวนการพัฒนาการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมี4 ขั้นตอน คือ 1) การเตรียมการก่อนการพัฒนา 2) การประเมินตนเองก่อนการพัฒนา 3) การพัฒนา และ 4) การประเมินหลังการพัฒนา และผู้วิจัยได้จัดทำคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
3. ผลการประเมินรูปแบบบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสำนักงานศึกษาธิการภาค 13 ผู้ทรงคุณวุฒิได้ประเมินรูปแบบในด้านความถูกต้องอยู่ในระดับมากที่สุดและความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาหลังจากทดลองใช้รูปแบบแล้วประเมินด้านความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุดและความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด
2563-01-01T00:00:00Zกระบวนการถ่ายทอดของครูปี่พาทย์พื้นบ้าน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ศิริปัญญา, สะเดาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79552021-11-16T02:15:41Z2562-01-01T00:00:00Zกระบวนการถ่ายทอดของครูปี่พาทย์พื้นบ้าน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
ศิริปัญญา, สะเดา
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติ ความเป็นมาของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน
ในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์และ2) ศึกษากระบวนการถ่ายทอดของครูปี่พาทย์พื้นบ้าน อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และเก็บข้อมูลภาคสนาม จากการสัมภาษณ์
และการสังเกต จากครูปี่พาทย์พื้นบ้านจำนวน 3 คน คือนายสิงห์ทอง พวงพันธุ์ นายดำรงศักดิ์ พรมวิหาร
และนายอางปราบภัยเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2560 ถึงเดือน พฤษภาคม 2561 เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ มีค่าความเหมาะสมของแบบสัมภาษณ์อยู่ที่ 0.84 เก็บข้อมูลโดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำเสนอในรูปแบบตาราง และนำเสนอผลการวิจัยโดยวิธีพรรณาวิเคราะห์
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
1. ด้านความเป็นมาของวงปี่พาทย์ในอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์มีการก่อตั้ง
วงปี่พาทย์ที่บ้านเขว้า ตำบลสะเดา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีหลวงประดิษฏิ์ เป็นครูปี่พาทย์
ที่เดินทางมาจากเขมรเป็นผู้ถ่ายทอดการบรรเลงปี่พาทย์ให้กับชาวบ้านลูกศิษย์รุ่นแรกที่มีความรู้ด้าน
การบรรเลงเทียบเท่าครูหลวงประดิษฏิ์คือ ครูยัง (ไม่ทราบนามสกุล) ครูยังได้ถ่ายทอดการบรรเลงปี่พาทย์ให้กับลูกศิษย์และเครือญาติของตนเอง ลูกศิษย์ที่มีความสามารถเทียบเท่าครูยังคือ ครูม่วง เหลวกูล
ในระยะหลังมีการเดินทางเข้ามาของครูดำ ซึ่งนักดนตรีประจำคณะลิเกจากจังหวัดนครราชสีมา ที่มา
ทำการแสดงในเขตอำเภอนางรอง และได้ถ่ายทอดปี่พาทย์ให้กับนักดนตรีในเขตอำเภอนางรอง
พร้อมกับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางเพลงต่อกัน
2. กระบวนการถ่ายทอดการบรรเลงปี่พาทย์ของครูปี่พาทย์พื้นบ้าน มีกระบวนการถ่ายทอดที่คล้ายคลึงกัน เน้นกระบวนการปฏิบัติฝึกเบื้องต้นทั้งวิธีการจับไม้ตี ท่านั่งในการบรรเลง
โดยให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ตามที่ครูสาธิตให้ดู ฝึกปฏิบัติตีคู่แปด คู่สี่ การแบ่งมือ เพื่อเกิดความคุ้นเคย
กับเสียงที่ตีและเมื่อฝึกการตีคู่แปด คู่สี่ การแบ่งมือจนชำนาญแล้ว จึงจะฝึกปฏิบัติด้วยบทเพลง 2 ชั้น
ที่มีทำนองสั้น ๆ ทำบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ และลำดับสุดท้ายเพลงโหมโรงเย็น เพลงชุด
และเพลงพิธีกรรม กระบวนการถ่ายทอดสรุปเป็นขั้นตอนได้ดังนี้ 1) ขั้นสอบถามเพื่อเตรียม
ความพร้อม 2) ขั้นการฝึกปฏิบัติเบื้องต้น 3) ขั้นฝึกปฏิบัติการบรรเลงบทเพลง 4) ขั้นการวัดและประเมินผลนอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติตนที่ดีของนักดนตรี โดยใช้สถานที่คือบ้าน วัดและชมรมดนตรีไทย ในการถ่ายทอดการบรรเลงปี่พาทย์ ในอำเภอนางรอง
"; The purposes of this research were 1) to study historical background of the PiPhat ensembles in Nang Rong district, Buriram provinceand 2) to study transmission process of local PiPhat instructors in
NangRongDistrict, Buriram province. Qualitative research methodology was used to collect data from interviewing and observing three PiPhat instructors namely Mr. Singh Thong Puangpan,
Mr. DamrongsagPunvihanand Mr. AangPrapphai. The data were collected from November 2017 to May 2018.Theinstrument used in this research was interview forms (Index Item – Objective Congruence (IOC) at 0.84.) The data were collected from document research and informal interviews. Data analysis was presented in tabular form while the results were presented using descriptive analysis.
The results of the research were as follows:
1) The traditional PiPhat ensembles were established in Ban Khaow, Sadao sub-
district, Nang Rong district, Buriram province. The first Pi Phat instructor, KhunLaungPradit, who came from Cambodia and passed through Nang Rong district. He taught Pi Phat playing to local people in Nang Rong district. Kru Yang (unidentified last name), the first Pi Phat disciple, had got whole Pi Phatknowledges as KhunLaungPradit. Kru Yang had propagated Pi Phat to local people, his disciples and relative. KruMuangLewkul was Kru Yang’s disciple, who had got equivalent talent to Kru Yang. Kru Dam, a musician of Thai traditional dramatic performance(Likay) from NakhonRatchasima province, had showed Likay in Nang Rong. Furthermore, Kru Dam had taught Pi Phat to the musicians in Nang Rong. Moreover, he had shared the musical exchanges to each other.
2) The local Pi Phat instructions had similar knowledge transmission processes.
These focused on basic practices including; stick holding techniques, appropriate sitting (illustrated by instructors), duo-squad practices and finger management techniques. This allowed their fellow musicians to get used to the sounds of the performance. When they could play the duo-squad and
do finger management techniques proficiently, they would continue on to other processes. These included the brief 2-layer songs, the overtures, and other medley and ceremonial performances.
The transfer process can be concluded as follows :1) asking to be ready, 2) the beginning of the practice, 3) performance practice and 4) the measurement. Furthermore, they were also taught about virtue and morality of being a good musician. The music was performed at homes, temples and music clubs.
"
2562-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์นลินี, จันทร์เปล่งhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79542021-11-15T04:39:47Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์
นลินี, จันทร์เปล่ง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ1)ศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์
2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และวุฒิการศึกษา 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการ
ของผู้บริหารสถานศึกษาการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ศึกษาความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 191 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น .990สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบ
ค่าที ระยะที่ 2 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำใฝ่บริการ
ของผู้บริหารสถานศึกษา ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบ
กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ โดยรวมการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก
2.ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและวุฒิการศึกษาโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3.ความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำ
ใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษามีดังนี้ 1) ด้านการรับผิดชอบดูแลควรปฏิบัติหน้าที่ให้เป็น
ไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง สร้างขวัญกำลังใจต่อบุคลากร และร่วมชื่นชมความสำเร็จ 2) ด้านการมุ่งมั่นพัฒนาบุคคล ควรส่งเสริมให้บุคลากรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการปฏิบัติงาน 3) ด้านความตระหนักรู้ ควรสังเกตพฤติกรรม
การแสดงออกระหว่างการปฏิบัติงานของบุคลากรเมื่อต้องประสบกับสถานการณ์ใหม่ ๆ
4) ด้านการมองการณ์ไกล ควรเปิดโอกาสในการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนในการจัดกิจกรรม 5) ด้านการให้อำนาจควรสร้างบรรยากาศในการทำงาน และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการเวลา และ 6) ด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน ปรับวิธีการปฏิบัติงานตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ยอมรับผิดเมื่อเกิดความผิดพลาดในระบบการทำงาน; This study aimed 1) to examine servant leadership of school’s administrators under Office ofNon-Formal and Informal Education, Surin province, 2) to compare teachers’ opinions towards servant leadership of school’s administrators classified by work experience and educational levels; and 3) to study guidelines for developing servant leadership of school’s administrators. The study was divided into two phases. Phase one was to examine teachers’ opinions towards servant leadership of school’s administrators. The samples were 191 teachers selected by stratified random sampling and the data were collected by using a questionnaire with the reliability level of .990. The collected data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, One-way ANOVAandt-test. For phase two, five experts were purposively selected to be interviewed in order to investigate guidelines for developing servant leadership of school’s administrators by usingsemi-structured interview. The data were analyzed by content analysis.
The results suggested that:
The results suggested that:
1. Servant leadership of school’s administratorsunder Office of Non-Formal and Informal Education, Surin province was implemented at a high level in overall aspect.
2. Comparison of teachers’ opinions towards servant leadership ofschool’s administratorsunder Office of Non-Formal and Informal Education, Surin province classified by work experience and educational background was not significantly different in overall and each aspect.
3. Guidelines for developing servant leadership of school’s administratorsaccording to the interview were that 1) in terms of responsibility aspect, school’s administrators should follow the regulations and rules and be a good model. In addition, morale should be encouraged and success should be appreciated, 2) for determination in personnel development aspect, personnel should be encouraged to continuously participate in self – development training and exchanging opinions concerning work performance, 3) in terms of awareness aspect, school’s administrators should observe the behavior of the personnel during work or their reaction when facing the new situation, 4) for provision aspect, school’s administrators should provide every personnel a chance for decision making and the community to participate in school’s activities planning should be offered, 5) in terms of empowerment aspect, school’s administrators should create good working atmosphere and be a model in time management;and 6) for humility aspect, school’s administrators should adjust working method to be more flexible and admit the mistakes in the working system.
2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ CIRC ร่วมกับการเขียนแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6สุทัศน์, คิดประโคนhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79532021-11-15T04:39:09Z2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ CIRC ร่วมกับการเขียนแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
สุทัศน์, คิดประโคน
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและ
การเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการสอนแบบ CIRC ร่วมกับการเขียนแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/752) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการใช้แบบฝึกทักษะกับหลังการใช้แบบฝึกทักษะ3) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 18 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจงโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย
1) แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษจำนวน 8 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้
จำนวน 8 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษจำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1/E2และ E.I. ทำการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ Dependent Samples t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.36 / 83.15ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 75 / 75
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษมีค่าเท่ากับ 0.6784 แสดงว่ามีร้อยละความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับร้อยละ 67.84
4. นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษมีความพึงพอใจในการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2563-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7นันทพร, จิตรจำลองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79522021-11-15T04:38:09Z2564-01-01T00:00:00Zปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7
นันทพร, จิตรจำลอง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและตรวจสอบความเที่ยงตรงของโมเดลปัจจัย
ที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียนของนักเรียน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1,126 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
คือ ฉบับที่ 1 คะแนนการทดสอบระดับชาติ (O - NET)วิชาวิทยาศาสตร์ฉบับที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มี 6 ตอนประกอบด้วยแบบสอบถามแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แบบสอบถามเจตคติต่อการเรียน แบบสอบถามพฤติกรรมการสอนของครู แบบสอบถามคุณภาพ
การสอนของครู แบบสอบถามบรรยากาศในชั้นเรียน แบบสอบถามมโนทัศน์เกี่ยวกับตนเอง มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่.214-.510และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ มีค่าตั้งแต่ .851 -.872 สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน(CFA)
การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง(SEM)
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. โมเดลสมการโครงสร้างปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ที่พัฒนาขึ้น
มีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (x2= 64.112, df = 48, x2/df = 1.336, p = .059, CFI = .990,
GFI = .990, RMSEA = .046 และ RMR = .032 )
2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือเจตคติต่อการเรียน พฤติกรรมการสอนของครู คุณภาพการสอนของครู บรรยากาศในชั้นเรียน และมโนทัศน์เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งปัจจัยในโมเดลทั้งหมดสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ร้อยละ 67.40; The purposes of this study were to develop and examine the validity of the model affecting the achievement and to study the factors influencing achievement of students of Prathomsueksa 6 Students that affect the achievement. The sample consisted of 1,126students under Nakhonratchasima Primary Education Service Area Office, the second semester of the academic year 2020, by the multi random sampling technique. Two instruments in this study were o-net national test results, and the rating scale of factors affecting learning achievement questionnaire comprising with 6 parts: Attitude toward leaning, achievement motivation, teaching behavior,teaching quality, atmosphere in the classroom, and Self-concept; with discriminating powers ranging .214 - .510and reliability of .851 - .872. The data were analyzed by mean, standard deviation, Confirmatory Factor Analysis (CFA), and Structural Equation Model (SEM).
The research results revealed that:
1. The factor model of variables affecting the achievement of Learning Prathomsueksa 6 Students under Nakhonratchasima primary education service area office 7 was in congruence with the empirical data. (x^2= 64.112, df = 48, x^2/df = 1.336, p = .059, CFI = .990, GFI = .990, RMSEA = .046 and RMR = .032 )
2. The factor directly affecting achievement learning was the achievement motivation. The factor affecting ambition both directly and indirectly was the attitude toward leaning, teaching behavior teaching quality atmosphere in the classroom, and Self-concept. All factors could indicate the variance of achievement learning with 67.40 percent.
2564-01-01T00:00:00Zสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1นาถลดา, บุษบงค์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79512021-11-15T04:36:27Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
นาถลดา, บุษบงค์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งและขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 458 คนโดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า และแบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.996 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าทีแบบแบ่งกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างในแต่ละด้านจะทำการเปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้บริหารและครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการมีระบบทีมร่วมมือร่วมใจ รองลงมาคือ ด้านการมีภาวะผู้นำร่วมส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการมีภาวะผู้นำร่วม และด้านการสนับสนุน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกันในขณะเดียวกันผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครู จำแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ที่มีจำนวนมากที่สุดในแต่ละด้าน คือ ผู้บริหารควรเป็นแกนนำในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้และมีการประชุมคณะครู PLC ร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ให้บุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายร่วมกันและครูได้แสดงวิสัยทัศน์ของตนเองเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการเรียนการสอนโดยร่วมแสดงความคิดเห็นในการพัฒนาและแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาในทุก ๆ ด้านควรตั้งคณะกรรมการการนิเทศภายในโรงเรียน เพื่อสะท้อนคุณภาพงานของโรงเรียน ควรสนับสนุนงบประมาณในการจัดทำสื่อและมีการระดมทรัพยากรจากชุมชนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากทางราชการ ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูได้พัฒนาเกี่ยวกับวิชาชีพ ทั้งด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ การสร้างนวัตกรรมการสอน และการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่องตามลำดับ; The purposes of this study were 1) to investigate state of Teaching Profession Learning Community under Buriram Primary Educational Service Area Office 1; and 2) to compare opinion of administrators and teachers towards state of Teaching Profession Learning Community under Buriram Primary Educational Service Area Office 1 classified by position level and school size . The samples size was determined by using the table of Krejcie and Morgan in which 458 people were selected by usingmulti-stage sampling. The instrument used to collect the data was a questionnaire which divided into 3 sections: checklist, rating scale and open-ended with the reliability level of 0.996. The collected data were analyzed by using frequency, percentage, mean, and standard deviation (S.D). The hypothesis was tested by using independent t-test and One-way ANOVA. Scheffé's Method of paired comparison was used when the difference in each aspect was found.
The results were as follows:
1. Opinion of administrators and teachers toward the state of Teaching Profession Learning Community under Buriram Primary Educational Service Area Office 1 was at a high level in overall aspect. The aspect with the highest mean score was having a team work system followed by having collective leadership. The aspect with the lowest mean score was learning and professional development.
2. Comparison of opinion of administrators and teachers concerning the state of Teaching Profession Learning Community under Buriram Primary Educational Service Area Office 1 classified by position level was not different in overall aspect. When considered in each aspect,it was found that having collective leadership and encouragement were significantly different at the statistical level of .01 while no difference was found in other aspects. However, in terms of the comparison of opinion according to school size, differences were found in overall and each aspect with the statistically significant level of .01.
3. Other comments and suggestions concerning the state of Teaching Profession Learning Community under Buriram Primary Educational Service Area Office 1 which were found at the highest level in each aspect were that administrators should be a leader in creating learning community and organize a meeting with teachers who are responsible for Profession Learning Community (PLC) once a week in order to solve teaching and learning problems. Moreover, school personnel should be involved in determining goals and teachers should have a chance to express their attitude in teaching and learning management in order to be able to develop in every aspect. Internal supervision board in school should be established to assess school’s quality and performance. In addition, budget in teaching aid and media should be promoted and other resource from the community should also be applied in order to solve budget shortage problem. Besides, teaching profession should be encouraged and promoted in terms of learning and teaching activities management, producing academic works for getting higher academic position, creating teaching innovation and conducting classroom action research continuously.
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์สุนันทา, พันธรักษ์พงษ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79502021-11-15T04:36:18Z2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์
สุนันทา, พันธรักษ์พงษ์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็น เกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและระดับชั้นที่จัดการศึกษาของโรงเรียน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทาง
การพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21กลุ่มตัวอย่างเป็นครูจำนวน 265 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นเครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น .985สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์
ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ระยะที่ 2 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชนจังหวัดบุรีรัมย์ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์
แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1.ทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์
โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2.ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชนจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบจำแนกตามระดับชั้นที่จัดการศึกษาของโรงเรียนพบว่า
ครูที่ทำงานในโรงเรียนที่จัดระดับการศึกษาแตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมไม่แตกต่างกัน
4.ความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนเอกชน มีดังนี้ 1) ทักษะด้านวิสัยทัศน์ ควรสร้างความเข้าใจในวิสัยทัศน์ พันธกิจและ เป้าหมายของโรงเรียนให้แก่ครู บุคลากรให้มีความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน 2) ด้านการพัฒนาสภาพการเรียนการสอน ควรวางแผน กำหนดระเบียบ และ แนวปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดทำสารสนเทศที่เกี่ยวข้องรองรับการดูแลอาคารและสถานที่ 3) ทักษะ
ด้านการพัฒนาโครงสร้างองค์กร ควรสร้างแรงบันดาลใจ ให้เกิดกับบุคลากร สร้างวัฒนธรรม
การเป็นเจ้าของโรงเรียนร่วมกัน สามารถผลัดเป็นผู้นำในกิจกรรมหรือการดำเนินงานของโรงเรียนได้ 4) ทักษะด้านการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน ควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจต่อบุคลากร ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือจัดกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ
5) ทักษะด้านการวางแผนพัฒนาคุณภาพครู ควรวางแผนพัฒนาครูผ่านทางผู้รับผิดชอบด้านวิชาการ จัดสรรงบประมาณ ตามแผนปฏิบัติการที่ได้วางไว้ ตามลำดับความสำคัญเพื่อสร้างแรงจูงใจ ตลอดจนจัดทำคู่มือสร้างความบุคลากรตามตำแหน่งงานและเส้นทางความก้าวหน้าหรือการเติบโตโดยมีหลักเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน และ6) ทักษะด้านการสร้างความสัมพันธ์ชุมชน ควรสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนโดย การส่งบุคลากรหรือนักเรียนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของชุมชน
ในโอกาสต่างๆ
2564-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมกับการดำเนินงานประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33ปฏิพล, จำลองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79492021-11-15T04:34:34Z2562-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมกับการดำเนินงานประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
ปฏิพล, จำลอง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมและการดำเนินงานประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 และ2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมกับ
การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหาร
สถานศึกษาและครู จำนวน 416 คน ได้มาจากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ เครจซี
และมอร์แกน แล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น
แบบสอบถามมี3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า และ
แบบปลายเปิด มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.978สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมติฐานโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1.การมีส่วนร่วมตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2.การดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและ
ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง
3. ความสัมพันธ์ระหว่างการมีส่วนร่วมกับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 โดยรวมมีความสัมพันธ์กัน
ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (rXY= .826); The purposes of this research were 1) to study level of participation and internal quality assurance in schools accordingto school administrators’ and teachers’ opinions under Secondary Educational Service Area Office 33;and 2) to investigate relationship betweenparticipation and internal quality assurance. The samples consisted of 416school administrators and teachers which were selected by using a table of Krejcie & Morgan. Stratified random sampling technique was also employed according to school size. The instrument used in this study was a questionnaire which comprised 3 parts : checklist,rating scale and open ended formwith reliability value of 0.978.
The data were analyzed by using percentage, mean and standard deviation. The hypothesis was tested by using Pearson Correlation Coefficient. The research results revealed that:
1. The opinionsof school administrators and teachers under Secondary Educational Service Area Office 33 on participation were at a high level.
2. The opinions of school administrators and teachers under Secondary Educational Service Area Office 33oninternal quality assurance in schoolwere at a moderate level.
3. The relationship between participation and internal quality assurance in school under Secondary Educational Service Area Office 33 in overall aspect was positive at the statistical significant level of .01 with avery highcorrelation level (rXY =.826).
2562-01-01T00:00:00Zผลของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4สุนิสา, สุขผลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79482021-11-15T04:34:03Z2564-01-01T00:00:00Zผลของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
สุนิสา, สุขผล
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับหลังเรียนและ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัด
การเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิค
ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนทัพราชวิทยา จังหวัดสระแก้ว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 7ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 26 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐาน
ของสิ่งมีชีวิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ จำนวน5แผนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเป็นแบบทดสอบ
แบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4ตัวเลือก จำนวน 30ข้อ มีค่าความยาก อยู่ระหว่าง 0.38 ถึง 0.77
ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.23 ถึง 0.62 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.94 แบบทดสอบ
วัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4ตัวเลือก จำนวน 15ข้อ มีค่าความยาก อยู่ระหว่าง 0.65 ถึง 0.77 ค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.23 ถึง 0.69 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัด
การเรียนรู้เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5ระดับ จำนวน 20ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ
ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบที (t-test)
แบบ Dependent Samples
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .052) ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้
เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐาน
ของสิ่งมีชีวิตโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้นร่วมกับเทคนิคผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรัมย์ประพิม, นภวงศ์ ณ อยุธยาhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79472021-11-15T04:32:55Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรัมย์
ประพิม, นภวงศ์ ณ อยุธยา
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1)เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์2)เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและขนาดของสถานศึกษาและ 3)เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนา
การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์ การวิจัยแบ่งออกเป็น 2ระยะ คือ ระยะที่1กลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 205 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นเครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.988สถิติที่ใช้ได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ระยะที่ 2สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. ความคิดเห็นของครู เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ใน
ระดับมาก
2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์ จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3.แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดบุรีรัมย์4ด้าน ได้แก่
1) ด้านการสรรหา ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีส่วนร่วมในการพิจารณาการรับย้าย หรือโอนครู
2) ด้านการพัฒนา ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริม สนับสนุน ให้ครูและบุคลากรได้รับการพัฒนาตนเองให้สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการทำงาน3) ด้านการรักษาไว้ ผู้บริหารสถานศึกษา ควรให้ความสำคัญต่อบุคลากรอย่างเท่าเทียมกัน มีการมอบหมายงานตามความรู้ ความสามารถ และ4) ด้านการใช้ประโยชน์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรกำหนดข้อปฏิบัติร่วมกันโดยสร้าง
ความเข้าใจแนวปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทำหน้าที่กำกับ ดูแลการปฏิบัติงาน
ให้มีคุณภาพ หากกรณีที่บุคลากรมีความผิดทางวินัย ควรดำเนินการตามขั้นตอนโดยให้
ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย; This study aimed 1) to examine states of human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education, 2) to compare teachers’ opinions towards human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education categorized by work experience and school size; and 3) to study guidelines for developing human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education. This study was divided into two phases. Phase one was to examine and compare teachers’ opinions towards human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education. The samples were 205 teachers selected by stratified random sampling. The instrument used to collect the data was a questionnaire with the reliability level of .988 then the collected data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, t-test and one-way ANOVA. For phase two, guidelines for developing human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education were investigated by interviewing five experts. Then, the collected data were analyzed by content analysis.The results were as follows:
1. Teachers’ opinions towards human resource management of school administrators
under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education were at a high level as a whole.
2. Comparison of teachers’ opinions towards human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education categorized by work experience and school size was not different in overall and each aspect.
3. Guidelines for developing human resource management of school administrators under Buriram Provincial Office of the Non-Formal and Informal Education as suggested by the experts were that 1) in terms of recruitment aspect, school administrators should take part in considering teacher transfer since they are the person who knows the need for personnel and the context of the area, 2) for development aspect, school administrators should organize a meeting for making plan in determining working guidelines for each division and human resource development and also working, projectand action plan should be clear and cover every mission; likewise, teachers and personnel should be encouraged to involve in self-development training and pursue higher educational level in order to apply knowledge to work, 3) for personnel retention, school administrators should provide equal importance to all personnel, assign proper workload, give a chance for making comments, trust and give support to the personnel in different occasions, give advice, technique and working method and also fair evaluation in work performance should be made; and 4) in terms of utilization aspect, school administrators should determine mutual practice in school which was classified by mission in each position by enhancing understanding in the practice; moreover, advice, purposes, process and method should be clear under the supervision of the administrators. If disciplinary offenses are found, actions should be made according to the regulations in which fairness should be provided to every party.
2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3สุภกาญจน์, เสียงดีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79462021-11-15T04:31:30Z2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้แผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3
สุภกาญจน์, เสียงดี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ1)ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2)เปรียบเทียบความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ และ 3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนบ้านหงอนไก่(โคกสง่า) ตำบลหนองแวง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำนวน 25 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 แผน และ2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 25 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E.I. และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ Dependent Samples t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3มีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 81.12/81.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80
2. ความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่3หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01
3.ดัชนีประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่3มีค่าเท่ากับ 0.6060 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียน0.6060 หรือคิดเป็นร้อยละ 60.60
2563-01-01T00:00:00Zการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาปรียาภรณ์, พรมชื่นhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79452021-11-15T04:31:09Z2564-01-01T00:00:00Zการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอด อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ปรียาภรณ์, พรมชื่น
การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอดอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ใน 4 ด้าน คือด้านการมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหาและการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วม
ในการดำเนินงาน ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผลกลุ่มตัวอย่าง ได้จากการสุ่มจากประชากรโดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกนได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คนแล้วทำการสุ่มให้กระจายไปตามหมู่บ้านต่างๆ ตามสัดส่วนโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า6 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.9400 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลธารละหลอดอำเภอพิมาย โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ อยู่ในระดับมาก ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล อยู่ในระดับน้อย นอกนั้นอยู่ในระดับปานกลาง
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ควรให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องและการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับปัญหาและความต้องการของประชาชน รองลงมา คือควรให้ อบต.มีการประชาสัมพันธ์แผนให้มากกว่านี้และควรให้องค์การบริหารส่วนตำบล ได้เล็งเห็นปัญหาเร่งด่วนของหมู่บ้านที่มีปัญหามากที่สุด ตามลำดับ; This study aimed to study public participation in constructing local development plan of Than La Lord Sub-district Administrative Organization, Pimai district, Nakorn Ratchasima province according to the four aspects: participation in problem solving and decision making, participation in operation, participation in receiving benefits and participation in evaluation. The samples were 345 people selected by using Krejcie and Morgan’s table. Then, the samples were randomly distributed among villages based on the proportion by simple random sampling. The data were collected by using a questionnaire which consisted of three parts: checklist, 5-rating scale and open-ended with the reliability level of 0.9400. The statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation.
The results were as follows:
1. Public participation in constructing local development plan of Than La Lord Sub-district Administrative Organization, Pimai district, Nakorn Ratchasima province was at a moderate level in overall aspect. When considering in each aspect, it was found that participation in receiving benefits was at a high level while participation in evaluation was at a low level. However, other aspects were at a moderate level.
2. Other comments and suggestions which were at the greatest number were that knowledge should continuously be provided to related personnel and the plan should emphasize on the problems and meet with the public need followed by that the Sub-district Administrative Organization should publicize the plan more and also help the village which was the most problematic, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง แรงและเสียง ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ปวีณา, คำจรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79442021-11-15T04:29:00Z2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง แรงและเสียง ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ปวีณา, คำจร
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563โรงเรียนตลาดบางบ่อ (ศักดิ์ปรีดาประชาสรรค์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 2 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาจำนวน 10แผน เป็นแผนปกติจำนวน 5แผน ๆ ละ 1ชั่วโมง และแผนสะเต็มศึกษาจำนวน 5แผน ๆ ละ 2ชั่วโมง2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ3)แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาจำนวน 4สถานการณ์16 ข้อ4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า
5 ระดับจำนวน 10ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติการหาค่าt แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง แรงและเสียง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง แรงและเสียง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคะแนนในการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง แรงและเสียงสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด; The purposes of this research were 1) to compare the students’ learning achievement before and after learning using STEM education approach towards learning achievement and science problem solving for Prathomsuksa 5 students, 2)to compare the students’on science problem solving before and after learning using STEM education approach towards learning achievement andScience problem solving for prathomsuksa 5 students, and 3) to explore the satisfaction of the students towards learning using STEM education approachfor prathomsuksa 5 students. The samples were 40 prathomsuksa 5 students studying in the second semester of the academic year 2020 at Taladbangbo School in Plaeng Yao District, Chachoengsao Province, selected by simple random sampling. The research instruments were1) 10 lesson plans, 5 lesson plans for stem education and 5 lesson plans based on stem education.2) a 30-item - 4 multiple-choice achievement test. 3) the ability test in science problem solving.4) 10-item questionnaire on students’ satisfaction with 5-rating scale.The statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation. The hypothesis was tested by using dependent samples t-test.
The results of the study were as follows:
1. Thestudents’ learning achievement after learning with using STEM education approach towards learning achievement and science problem solving for Prathomsuksa 5 students was higher than before with the statistically significant difference at the level of .05.
2.Thestudents’science problem solving ability after learning using STEM educationapproach and science problem solving for Prathomsuksa 5was higher than before with the statistically significant difference at the level of .05.
3. The satisfaction of the students towards using STEM education approach for Prathomsuksa 5 students as a whole was at the highest level.
2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2สุภนา, สำราญจิตhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79432021-11-15T04:28:46Z2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
สุภนา, สำราญจิต
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนบ้านกาเกาะระโยง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน
12 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปเรขาคณิต เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ
3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.80 มีค่าความยาก ตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.50 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 แบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง รูปเรขาคณิต เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.90 มีค่าความยาก ตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.55 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด ซึงเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มที่สัมพันธ์กัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง
รูปเรขาคณิต โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้นร่วมกับแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2564-01-01T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3ปิยนุช, เพชรวิเศษhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79422021-11-15T04:27:07Z2563-01-01T00:00:00Zแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3
ปิยนุช, เพชรวิเศษ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูเกี่ยวกับสภาพการนิเทศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 การวิจัยครั้งนี้จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งและขนาดของโรงเรียน และ3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1ศึกษาและเปรียบเทียบสภาพการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารจำนวน 140 คน และครูจำนวน346 คน รวมทั้งสิ้น 486 คน แล้วทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .950การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน กลุ่มเป้าหมายจำนวน 7 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการนิเทศภายในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการส่งเสริมการจัดการความรู้ รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการสอน ด้านการบริหารจัดการระบบคุณภาพด้านการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียนและด้านการสร้างภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนา ตามลำดับ
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูที่มีต่อสภาพการนิเทศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการสร้างภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนา และด้านการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอื่น ๆไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 3 พบว่า 1) ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการสอน ผู้บริหารโรงเรียนควรมีการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และสอดรับกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) ด้านการสร้างภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนา ผู้บริหารต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน
3) ด้านการบริหารจัดการระบบคุณภาพ ผู้บริหารโรงเรียนควรเปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษา
เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินงานของโรงเรียน 4) ด้านการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียน ผู้บริหารโรงเรียนควรสนับสนุนให้ครูนำผลการวิจัยไปใช้แก้ปัญหากับนักเรียนอย่างจริงจัง และ5) ด้านการส่งเสริมการจัดการความรู้ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้บุคลากรเข้ารับการอบรมในด้านต่าง ๆ; The purposes of this study were 1) to examine state of school internal supervision of school administrators under Buriram Primary Educational Service Area Office 3, 2) to compare the opinions between school administrators and teachers towards state of school internal supervision under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 classified by positions and school size; and 3) to investigate guidelines for developing school internal supervision under Buriram Primary Educational Service Area Office 3. This study was divided into two phases. Phase 1 was to examine and compare school internal supervision of school administrators. There were 486 samples in total which included 140 school administrators and 346 teachers selected by multi-stage random sampling. The instrument was a questionnaire with reliability level of .950. Then, the collected data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, t-test and one-way ANOVA. For phase 2, guidelines for developing school internal supervision of school administrators were investigated by interviewing 7 administrators selected by purposive sampling. The collected data were analyzed by using content analysis.
The results suggested that:
1. State of school internal supervision of school administrators under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 was at a high level in overall aspects. The aspect with the highest mean was knowledge management promotion followed by curriculum and teaching development ,quality system management, action research promotion and cluster partnership creation respectively.
2. Comparison of the opinions between school administrators and teachers towards state of school internal supervision under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 classified by positions was not different in each and overall aspects. When classified by school size, no difference was found in overall aspects. However, when considered in each aspect, it was found that cluster partnership creation and action research promotion were significantly different at statistical level of .05 while no difference was found in other aspects.
3. Guidelines for developing school internal supervision under Buriram Primary Educational Service Area Office 3 were that 1) in curriculum and teaching development aspect, school administrators should improve and develop school’s curriculum to be up-to-date and in accordance with Office of the Basic Education Commission policy, 2) in terms of cluster partnership creation, school administrators should establish good relationship with community and provide chances for the community to get involve in school development, 3) for quality system management, school administrators should let school committee supervise and evaluate school performance, 4) for action research promotion, school administrators should encourage the implement of research results to solve students’ problems practically and 5) in terms of knowledge management promotion, school administrators should encourage personnel to attend training in various fields.
2563-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลงตามแนวการสอนภาษาที่สองเพื่อส่งเสิรมทักษะการฟัง - พูดภาษาจีน และความรู้ด้านคำศัพท์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1สุมิตรา, สดทรงศิลป์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79412021-11-15T04:25:09Z2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลงตามแนวการสอนภาษาที่สองเพื่อส่งเสิรมทักษะการฟัง - พูดภาษาจีน และความรู้ด้านคำศัพท์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1
สุมิตรา, สดทรงศิลป์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เพลงตามแนวการสอนภาษาที่สอง ตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาความสามารถด้านทักษะ การฟัง - พูดภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้เพลง 3) เปรียบเทียบความรู้ด้านคำศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการเรียน โดยใช้เพลง 4) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการใช้เพลง และ 5) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้เพลง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังเรียนวิชาภาษาจีน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีรูปแบบการวิจัย เป็นการทดลองกลุ่มเดียว ดำเนินการทดสอบก่อนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลง จำนวน 8 แผน 2) เพลงประกอบการสอน จำนวน 8 เพลง 3) แบบทดสอบทักษะการฟัง - พูดภาษาจีน จำนวน 16 ข้อ 4) แบบทดสอบ วัดความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาจีนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 16 ข้อ และ 5) แบบสอบถาม ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Dependent Sample t - test
ผลการวิจัยพบว่า
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.21/84.60
2. นักเรียนมีความสามารถด้านทักษะการฟัง - พูดภาษาจีน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01
3. นักเรียนมีความรู้ด้านคำศัพท์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01
4. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.8033 คิดเป็นร้อยละ 80.33
5. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เพลง อยู่ในระดับพึงพอใจมาก
2564-01-01T00:00:00Zกระบวนการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดนตรีพื้นบ้านอีสานระดับมัธยมศึกษาตามหลักสูตรของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ดพงศ์จักร, ยามสุขhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79402021-11-15T04:24:59Z2563-01-01T00:00:00Zกระบวนการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดนตรีพื้นบ้านอีสานระดับมัธยมศึกษาตามหลักสูตรของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด
พงศ์จักร, ยามสุข
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาบริบททั่วไปของการจัดการเรียนการสอน และกระบวนการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรดนตรีพื้นบ้านอีสาน ระดับมัธยมศึกษา ในวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด โดยดำเนินการสร้างแบบสัมภาษณ์ หาความสอดคล้องของข้อคำถาม และเก็บข้อมูลจาก กลุ่มบุคคลผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ครูผู้สอน ผู้บริหาร และผู้ผ่านกระบวนการหลักสูตร จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ สังเคราะห์และนำเสนอโดยการเขียนบรรยายความเชิงพรรณนา
โดยผลการศึกษาวิจัยพบว่า
1. บริบททั่วไปของการจัดการเรียนการสอนนั้นเป็นการจัดการเรียนการสอนด้านต่าง ๆในด้านหลักสูตรและงานวิชาการคำนึงถึงความสำคัญในการยกระดับศาสตร์ด้านดนตรีพื้นบ้านอีสานให้มีความสำคัญเทียบเท่ากับสาขาวิชาดนตรีอื่น ๆ มีการกำหนดหลักสูตรที่ชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีพื้นบ้านอีสานและด้านการศึกษาส่วนด้านครูและบุคลากร ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะโดยจะต้องเป็นผู้มีทักษะ ประสบการณ์ทางด้านดนตรีพื้นบ้านอีสานเป็นอย่างดีมีการบริหารงานการเรียนการสอนแบบคณะกรรมการบริหารสถานศึกษา ควบคุมการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และสภาพแวดล้อมทั่วไป อาคารสถานที่มีความเหมาะสมกับการเรียนทักษะทางดนตรี เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนด้านดนตรีพื้นบ้านอีสานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จากบริบทต่าง ๆร่วมกันบนพื้นฐานของหลักสูตร มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อตอบสนองวัสดุครุภัณฑ์เครื่องดนตรีที่เพียงพอ และมีเป้าหมายในการผลิตผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตร
2. ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนนั้นเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวิทยาลัยฯ มีการกำหนดเนื้อหาหลักสูตรไว้อย่างชัดเจน เริ่มจากการวางแผนและกำหนดการสอนก่อนนำเข้าสู่บทเรียน โดยเป็นการวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อสร้างความเข้าใจ ทัศนคติที่ดี ความรักและภูมิใจในการเรียน ซึ่งผู้สอนจะต้องมีวางแผนการสอนล่วงหน้าเสมอ จากนั้นจึงมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะอย่างอิสระโดยมีผู้สอนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยชี้แนะซึ่งจะใช้บทเรียนที่มีความหลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน เน้นการฝึกฝนเครื่องดนตรีให้มีความลึกซึ้งเฉพาะด้าน ใช้การบูรณาการการสอนแบบภูมิปัญญาเดิมร่วมกับทฤษฎีการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานผ่านกระบวนการทางดนตรีและสรุปบทเรียนเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกิจกรรมการสอน ซึ่งผู้เรียนมีบทบาทในการตระหนักถึงการเรียน ได้ทบทวนความรู้และพัฒนาทักษะทั้งในและนอกห้องเรียนและผู้สอนมีบทบาทในการสร้างประสบการณ์จริงในด้านดนตรีพื้นบ้านการแนะแนวทางแหล่งการเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ก่อนถึงกระบวนการวัดและประเมินผล ซึ่งมีจุดหมายในการคาดคะเนผู้เรียน การพัฒนาปรับปรุงผู้เรียนจากการร่วมกันสร้างเกณฑ์มาตรฐานการวัดและประเมินผลทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ และทำการวัดผล คำนึงถึงวิธีการประเมินด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เหมาะสม และให้ผู้สอนร่วมกันหาแนวทางเพื่อให้ผู้เรียนสามารถผ่านกระบวนการวัดผล จึงจะครบกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร
2563-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์จำแนกประเภทปัจจัยสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อผลการทดสอบระดับชาติ (O - NET) สูงและต่ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2พรประภา, รัตนทิพย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79392021-11-15T04:23:02Z2564-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์จำแนกประเภทปัจจัยสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อผลการทดสอบระดับชาติ (O - NET) สูงและต่ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
พรประภา, รัตนทิพย์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) 2) เพื่อวิเคราะห์จำแนกประเภทปัจจัยสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลต่อผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐานและ 3) เพื่อสร้างสมการจำแนกประเภทปัจจัยสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวนอย่างละ 40 คน จากโรงเรียน จำนวน 40 แห่ง โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐานสูง ซึ่งวัดจากตำแหน่งเปอร์เซนไทล์ 75 (P75) ขึ้นไป เป็นจำนวน 24 แห่ง และกลุ่มสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐานต่ำ ซึ่งวัดจากตำแหน่งเปอร์เซนไทล์ 25 (P25) ลงมา เป็นจำนวน 16 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี2 ชนิด คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถามมี 2ฉบับ ดังนี้1) ฉบับผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าอำนาจจำแนก (rxy) ตั้งแต่ .54 ถึง .92 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 2) ฉบับครูผู้สอน มีค่าอำนาจจำแนก (rxy) ตั้งแต่ .52 ถึง .80 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .93สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ตำแหน่งเปอร์เซนไทล์ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยโดย Independent sample t–testและการวิเคราะห์จำแนกประเภท (Discriminant Analysis) แบบขั้นตอน (Stepwise Method) โดยวิธีวิลค์แลมบ์ดา (Wilks’ Lambda)
ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลการทดสอบระดับชาติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 คือ การวัดผลประเมินผลการเตรียมการสอน วิธีการสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างนักเรียน และสภาพอาคารสถานที่และห้องเรียน
2. การวิเคราะห์จำแนกประเภทปัจจัยสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลการทดสอบระดับชาติ สูงและต่ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2โดยตัวแปรที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาในสมการจำแนกประเภท 4ตัวแปร ซึ่งคัดเลือกจากตัวแปร 10 ตัวแปร เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ การวัดผลประเมินผล การเตรียมการสอน วิธีการสอนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างนักเรียน และสภาพอาคารสถานที่และห้องเรียนตัวแปรดังกล่าวนี้มีส่วนในการจำแนกประเภทสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อผลการทดสอบระดับชาติสูงและต่ำ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และตัวแปรทั้งสองตัวนี้สามารถจำแนกกลุ่มได้ถูกต้องร้อยละ 100
3. สมการจำแนกประเภทในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ตามลำดับดังต่อไปนี้
สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ
Y = -6.978-1.510(CON) -1.132(TEA) +2.086(MEA) + 2.257(PRE)
สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน
Zy = -.779(CON)-.589(TEA) + .877(PRE)+ 1.052(MEA); This research aims to 1) study factors affecting Ordinary National Educational Test (O-NET), 2) to conduct the discriminant analysis the basicschool factors affecting Ordinary National Educational Test (O-NET), and 3) to construct the discriminant equation of Ordinary National Educational Test (O-NET) of grade 6 students of Buriram Primary Educational Service Area Office 2. The sample consisted of 40 school administrators and 40 teachers, selected from 40 schools, divided intotwo groups: 24 schools with the high scores of Ordinary National Educational Test (O-NET) at 75 percentile (P75) and 16 schools with the low scores of Ordinary National Educational Test (O-NET) at 25 percentile (P25). Research instruments were two types: in-depth interview and 2 questionnaires, 1) consisting for School administrator having discriminating power (rxy) ranging from .54 to .92 with statistical significance of .05 and an overall reliability of .98 and 2) consisting for teacher having discriminating power (rxy) ranging from .52 to .80 with statistical significance of .05 and an overall reliability of .93Statistics used in data analysis were percentage, mean, S.D., t-test and Wilks’s Lambda’s stepwise method was employed in Discriminant Analysis.
The research results were as follows:
1) Factors affecting Ordinary National Educational Test (O-NET) results ware terms of Evaluation measurement, Teaching preparation, Different teaching methods and Building conditions.
2) The finding of the study revealed that the prathomsuksa6 student’s scores could be respectively discriminated only 4 factors from 10 factors in terms of Evaluation measurement, Teaching preparation, Different teaching methods and Building conditions factors was statistically significant at .05 with its accuracy discriminated group of 100%
3) The discriminated equations in raw-score and standard-score forms could be showed as follows :
Raw score of predicting equation
Y = -6.978-1.510(CON) -1.132(TEA) +2.086(MEA) + 2.257(PRE)
Standard score of predicting equation
Zy = -.779(CON)-.589(TEA) + .877(PRE)+ 1.052(MEA)
2564-01-01T00:00:00Zการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยสำหรับดำเนินการสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์เรื่องหลักการใช้ภาษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4เสาวภา, เนียมเกตุhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79382021-11-15T04:21:53Z2564-01-01T00:00:00Zการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยสำหรับดำเนินการสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์เรื่องหลักการใช้ภาษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
เสาวภา, เนียมเกตุ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยสำหรับดำเนินการสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์เรื่อง หลักการใช้ภาษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้
คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำนวน 330 คน จากโรงเรียน 16 โรงได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ใช้ในการสำรวจหาข้อบกพร่องและหาคุณภาพของแบบทดสอบวินิจฉัยสำหรับดำเนินการสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์เรื่องหลักภาษาผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้
1.ผลการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยหลักการใช้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้แบบทดสอบ จำนวน 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ จำนวน 24 ข้อ ตอนที่ 2 เรื่องคำราชาศัพท์ จำนวน 17 ข้อ ตอนที่ 3 เรื่อง คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ จำนวน 25 ข้อ และตอนที่ 4 เรื่อง ส่วนประกอบของประโยค จำนวน 19 ข้อ
2. ความเที่ยงตรงของแบบทดสอบเพื่อสำรวจหาจุดบกพร่องซึ่งเป็นแบบทดสอบเติมคำตอบได้รับการพิจารณาตัดสินจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาและนักวัดผลทางการศึกษาพบว่าระหว่างเนื้อหากับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมีความสอดคล้องกัน และข้อสอบแต่ละข้อสามารถวัดได้ตรงตามจุดประสงค์พฤติกรรมจริง
3. คุณภาพของแบบทดสอบวินิจฉัยการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัย ทั้ง4 ตอน เป็นดังนี้
ตอนที่ 1 เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำของคำ พบว่า ค่าความยากของข้อสอบอยู่ระหว่าง ถึง 0.42 ถึง 0.73 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.24 ถึง0.74 และค่าความเชื่อมั่น 0.87
ตอนที่ 2 เรื่อง คำราชาศัพท์ พบว่าค่าความยากของข้อสอบอยู่ระหว่าง 0.44 ถึง 0.74
มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.40 ถึง 0.78 และค่าความเชื่อมั่น 0.82
ตอนที่ 3 เรื่อง คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ พบว่าค่าความยากของข้อสอบอยู่ระหว่าง 0.34 ถึง 0.67 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.41 ถึง 0.72 และค่าความเชื่อมั่น 0.86
ตอนที่ 4 เรื่อง ส่วนประกอบของประโยค พบว่า ค่าความยากของข้อสอบอยู่ระหว่าง 0.41 ถึง 0.67 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.46 ถึง 0.85 และค่าความเชื่อมั่น 0.84
4. จำนวนและร้อยละของลักษะความบกพร่อง จากการทดสอบวินิจฉัยทั้ง 4 ตอนจากการทดสอบครั้งที่ 3 ดังนี้
4.1 ตอนที่ 1 เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำนักเรียนมีความบกพร่องมากที่สุดคือการเข้าใจความหมายไม่ชัดเจน ร้อยละ 20.65
4.2 ตอนที่ 2 เรื่อง คำราชาศัพท์มีความบกพร่องมากที่สุดคือการเข้าใจความหมายไม่ชัดเจน ร้อยละ18.95
4.3 ตอนที่ 3 เรื่อง คำที่มาจากภาษาต่างประเทศมีความบกพร่องมากที่สุดคือใช้แนวเทียบผิดร้อยละ 25.12
4.4 ตอนที่ 4 เรื่องส่วนประกอบของประโยค มีความบกพร่องมากที่สุดคือไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ทางภาษา ร้อยละ 24.17
5. ผลการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการวินิจฉัยข้อบกพร่องของนักเรียนในวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก เป็นที่ยอมรับของผู้เชี่ยวชาญในด้าน ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องของโปรแกรม
2564-01-01T00:00:00Zการสร้างแบบวัดทักษะชีวิตสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 11พระครูสังฆรักษ์ เอกพันธ์, มะเดื่อhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79372021-11-15T04:20:19Z2563-01-01T00:00:00Zการสร้างแบบวัดทักษะชีวิตสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 11
พระครูสังฆรักษ์ เอกพันธ์, มะเดื่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาคุณภาพของแบบวัดทักษะชีวิตสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 11 และ เพื่อสร้างเกณฑ์ปกติของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 11 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กลุ่มที่ 11 ภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2561 จำนวน 450รูป ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
1. แบบวัดทักษะชีวิตที่สร้างขึ้น จำนวน 64 ข้อ จำแนกเป็นด้านการตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น27 ข้อ ด้านการคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 15 ข้อ ด้านการจัดการกับอารมณ์ และ ความเครียด10 ข้อ ด้านการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น12 ข้อ
2. คุณภาพของแบบวัดทักษะชีวิตสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.60 ถึง 1.00ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง.224 ถึง .773ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .954 ผลการตรวจสอบค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า ค่าไค-สแควร์( ) เท่ากับ 1408.740 ค่าไค-แควร์สัมพัทธ์ ( /df) เท่ากับ 1.728ค่าความน่าจะเป็น (P-Value) เท่ากับ 0.000 ค่าดัชนีรากของ
กำลังที่สองเฉลี่ยเศษของการประมาณค่าความคลาดเคลื่อน (RMSEA) เท่ากับ 0.0458ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 0.647ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง(GFI) เท่ากับ 0.856
ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องที่ปรับค่าแล้ว(AGFI) เท่ากับ 0.841แสดงให้เห็นความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของแบบทดสอบ
3. ผลการสร้างเกณฑ์ปกติ พบว่า มีเกณฑ์ปกติอยู่ในช่วง T18 ถึง T77 ระดับทักษะชีวิตของนักเรียนอยู่ในระดับควรปรับปรุงถึงระดับดีมาก ส่วนใหญ่มีทักษะชีวิตอยู่ในระดับดีมาก จำนวน 353 รูป คิดเป็นร้อยละ 78.44; The purpose of this research were1) toconstruct and study quality of a life skills test for Matthayomsuksa 1 - 3 students inecclesiastical schools under General Education Division Group 11; and 2) to construct regular norm for the interpretation of a life skills test for Matthayomsuksa 1 - 3 students in ecclesiastical schools underGeneral Education Division Group 11. The sample used in this study was 450 Matthayomsuksa1 - 3 students studying in second semester of academic year 2018, determined by multi-stage random sampling.
The research results were as follows:
1. The life skills test for students in Matthayomsuksa 1 - 3 students composedof 64 items which was divided into 27 items for realization of self-esteem and others, 15 items for analytical thinking, decision making and creative problem solving, 10 items for emotional and stress management and 12 items for creating good relationship with others.
2. The quality of life skills test has the index of Items Objective Congruence (IOC) value from 0.60 to 1.00, discrimination value was between .224 to .773 and reliability value was at .954.Construct validitywas examined by Confirmatory Factor Analysis (CFA) and found thatChi-square ( )was equal to 1408.740, Chi-square Test of Model Fit ( /df)was equal to 1.728 , P-value was equal to 0.000, Root Mean Square Error of Approximation (RMSEA)was equal to 0.0458, Comparative Fit Index (CFI) was equal to 0.647, Goodness of Fit Index (GFI) was equal to 0.856 and Adjusted Goodness of Fit Index (AGFI) was equal to 0.841.Thus, those index values revealed the construct validity of the life skills test.
3. Results from normalized T-score showed that the norm was in the range of T18 to T77. Life skills level of the students was low to very high;however, 353 students (78.44 %) possessed a very high level of life skills.
2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1พระปลัดภูมิพัฒน์, พิมอักษรhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79362021-11-15T04:17:53Z2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
พระปลัดภูมิพัฒน์, พิมอักษร
การวิจัยพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 12)เปรียบเทียบความเข้าใจในคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังการฝึกอบรมและ3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 27 คน ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก เครื่องมือได้แก่ หลักสูตรฝึกอบรมคู่มือการใช้หลักสูตร แผนการจัดกิจกรรมฝึกอบรม จำนวน10 แผน แบบทดสอบวัดความเข้าใจในคุณธรรมจริยธรรม มีลักษณะเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.88 และแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 12 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน
ผลการวิจัย พบว่า1) หลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมที่พัฒนาขึ้นมี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ ความเป็นมาและหลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระโครงสร้างหลักสูตร การจัดกิจกรรมฝึกอบรม สื่อ/วัสดุการฝึกอบรม การวัดและประเมินผลและมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก 2) นักเรียนมีความเข้าใจในคุณธรรมจริยธรรมหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมภาพรวมอยู่ในระดับมาก; The study, Development of a Training Curriculum for Enhancing Morals and Ethics for Matthayomsuksa 1 Students had purposes to 1) develop a training curriculum for enhancing morals and ethics for Matthayomsuksa 1students, 2) compare students’ understanding of morals and ethics before and after training, and 3) study the students’ satisfaction towards the training course. The samples were 27 Matthayomsuksa 1 students studying in the 1 semester of academic year2020 at Sa-gaepronganusorn School, under the Office of Buriram Primary Educational Service Area 1. They were recruited by Simple Random, drawing a classroom number. The research instruments were a training curriculum, a curriculum manual, 10 activity plans, multiple choice test for assessing the students’ comprehension of morals and ethics, and a 12-item satisfaction questionnaire. The test comprised 30 items with 4 multiple choices each and the reliability of the tests was 0.88. The collected data was analyzed by percentage, mean, standard deviation, and dependent t-test was applied to test the t value.
The research findings were 1) The developed morals and ethics training curriculum included 7 topics: Rationale and Principles, Objectives, Contents, Structures, Training Activities, Media/ Material, Assessment and Evaluation, 2) Students’ comprehension after training was higher than before training at .05 statistical significant level, and 3) the students’ satisfaction as a whole was at a high level.
2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32อัมพร, ชมภูวงศ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79352021-11-15T04:17:43Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
อัมพร, ชมภูวงศ์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 2)เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษาและ 3) แนวทางการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ใช้กลุ่มตัวอย่างครูจำนวน 354คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 5 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือใช้แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1.การส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ตามความคิดเห็นของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก
2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวสภาพการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ที่มีประสบการณ์การทำงานต่างกันโดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการดำเนินการทางวินัย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านอื่น ๆ ไม่แตกต่างกัน
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวสภาพการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาขนาดต่างกัน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
4. แนวทางการส่งเสริมการรักษาวินัยของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ข้อเสนอแนะ ดังนี้
4.1 ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการเปิดใจให้ความสำคัญกับทุกคนพร้อมให้คำปรึกษาเป็นกัลยาณมิตรอยู่แบบพี่แบบน้อง ใช้กระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ร่วมกันแก้ไขปัญหา ถูกผิดรับผิดชอบร่วมกัน และเปิดโอกาสบุคลากรทุกคนในการร่วมแสดงความคิดเห็น และสร้างข้อตกลงร่วมกันในการทำงาน และแนวทางการจัดสถานที่ทำงานอย่างเหมาะสมโดยมีวัสดุอุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานให้กับครูและบุคลากรในโรงเรียน ได้ข้อเสนอแนะว่าสถานที่ทำงานของบุคลากรต้องมีความสะอาด เรียบร้อย สถานที่ทำงานของบุคลากรต้องมีอุปกรณ์ เครื่องมือที่ทันสมัย และพร้อมที่จะนำมาใช้งานตลอดเวลา และต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้ในการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ในการทำงาน เพื่อเอื้อให้กระบวนการทำงานของทุกคนสะดวกสบายยิ่งขึ้น
4.2 ด้านการดำเนินการทางวินัย ผู้บริหารสถานศึกษาต้องดำเนินการสืบสวนก่อนการดำเนินการทางวินัย เมื่อมีกรณีสงสัยว่าข้าราชการครูหรือบุคลากรในสถานศึกษาอาจกระทำผิดวินัย กรณีมีมูลกระทำความผิดวินัย ต้องดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและแนวทางในการติดตามตรวจสอบให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนปฏิบัติตนตามระเบียบ วินัยและข้อบังคับต่าง ๆได้ข้อเสนอแนะว่าผู้บริหารสถานศึกษาต้องเอาใจใส่บุคลากรในโรงเรียนทุกคน ให้คำแนะนำ คำปรึกษา หากพบว่ามีปัญหาต้องรีบหาทางแก้ไขโดยเร็วต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ มาตรฐานในการปฏิบัติงานของสถานศึกษา และต้องมีการตรวจสอบภายใน ประเมินผลการดำเนินงานและการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้มีการรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ทุกภาคเรียน
2563-01-01T00:00:00Zการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ รายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33พระวาณิช, เร่คลองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79342021-11-15T04:15:29Z2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ รายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
พระวาณิช, เร่คลอง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักการประเมินผลแบบ
อิงเกณฑ์ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่เรียนวิชาพระพุทธศาสนา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาแล้ว ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 577 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาพระพุทธศาสนา จำนวน 1 ฉบับ การพัฒนาแบบทดสอบดำเนินการโดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แล้วดำเนินการทดสอบ 3 ครั้ง ทดสอบครั้งที่ 1 - 2 เพื่อหาค่าอำนาจจำแนกและค่าความยากคัดเลือกและปรับปรุงข้อสอบ ครั้งที่ 3 เพื่อหาค่าอำนาจจำแนกและค่าความยาก คำนวณค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างตามวิธีของคาร์เวอร์ (Carver Method) ค่าความเชื่อมั่นตามวิธีของโลเวทท์ (Lovett) และคะแนนจุดตัดตามวิธีของเบอร์ก (Berk)
ผลการวิจัยพบว่า
1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ 60 ข้อ
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเท่ากับ 0.80 ถึง 1.00 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.24 ถึง 0.67 มีค่าความยากตั้งแต่ 0.45 ถึง 0.69 มีค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างเท่ากับ 0.87 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95
3.คะแนนจุดตัดของแบบทดสอบรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่1 จำนวน 60 ข้อ มีคะแนนจุดตัดเท่ากับ 27 คะแนน
2564-01-01T00:00:00Zผลของการใช้แผนภูมิความหมายเพื่อเพิ่มพูนการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษและความคงทนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6Umpha, Suksamarnhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79332021-11-15T04:14:31Z2021-01-01T00:00:00Zผลของการใช้แผนภูมิความหมายเพื่อเพิ่มพูนการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษและความคงทนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
Umpha, Suksamarn
The main purposes of this study were 1) to study the efficiency of lesson
plans using semantic mapping to improve English vocabulary learning of grade 6 students based on the criterion set at 75:75; 2) to compare the English vocabulary learning achievement before and after learning through semantic mapping of grade 6 students; 3) to examine grade 6 students’ satisfaction toward semantic mapping to improve English vocabulary learning for grade 6 students and 4) to investigate the English vocabulary learning retention after learning through semantic mapping of grade 6 students. The samples were 27 grade 6 students who enrolled in the Fundamental English Course (E16101) in the first semester of academic year 2020 at Bansiliam School, Prakhonchai District, Buriram Province. They were selected by using simple random sampling technique by using the schools as the sampling units. The research instruments were 8 semantic mapping lesson plans, 72 item achievement test, and satisfaction questionnaire. The statistics used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation, and dependent samples t-test. The finding revealed as follows:
1. The efficiency of lesson plans using semantic mapping to improve
English vocabulary learning of grade 6 students was 78.58/79.57 which was higher than the criterion set at 75/75.
2. The learning achievement of grade 6 students’ post-test mean score was
higher than pre-test mean score with statistically significant difference at .01 level in all three aspects, namely form, meaning and use of vocabulary knowledge.
3. The grade 6 students’ satisfaction towards semantic mapping to improve
English vocabulary learning was at the most satisfactory level.
4. The grade 6 students had retention after learning English
vocabulary through semantic mapping.
2021-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์กลวิธีการแปลกวีนิพนธ์จากภาษาอีสานเป็นภาษาอังกฤษ: กรณีศึกษานิทานอีสานพื้นบ้านเรื่อง ผาแดงนางไอ่Phimphach, Warasiwaphonghttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79322021-11-15T04:12:58Z2564-01-01T00:00:00Zการวิเคราะห์กลวิธีการแปลกวีนิพนธ์จากภาษาอีสานเป็นภาษาอังกฤษ: กรณีศึกษานิทานอีสานพื้นบ้านเรื่อง ผาแดงนางไอ่
Phimphach, Warasiwaphong
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยในครั้งนี้คือวิเคราะห์หากลวิธีที่ใช้ในการแปลบทกวี รวมทั้งหา
ค่าความถี่และร้อยละของแต่ละกลวิธีการแปลที่พบในกวีนิพนธ์นิทานอีสานพื้นบ้านเรื่อง ผาแดงนางไอ่ ซึ่งทำการแปลเป็นภาษาอังกฤษ กวีนิพนธ์เรื่องนี้ประกอบด้วยสองภาคภาษา คือ ภาคภาษาอีสานซึ่งประพันธ์โดย พระอริยานุวัตร (2525) และภาคภาษาอังกฤษซึ่งทำการแปลโดย วยุพา ทศศะ (2533) กลุ่มตัวอย่างจำนวนห้าบทของทั้งสองฉบับ ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างเป็นระบบ ในงานวิจัยนี้ได้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณเพื่อคำนวณหาค่าความถี่และร้อยละของแต่ละกลวิธีการแปลที่พบในการวิจัย รวมทั้งการคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ส่วนระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเกี่ยวข้องกับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์แบบตีความ ของการแปลทั้งสองภาษาได้นำมาทำการวิเคราะห์หากลวิธีการแปลที่ใช้ในบทประพันธ์โดยใช้กรอบทฤษฎีการแปลของ แลแฟเวีย (2535) ผลการวิจัยพบว่า ผู้แปลได้ใช้กลวิธีการแปลทั้ง 7 ประเภทดังนี้ คือ การแปลแบบถ่ายเสียง การแปลแบบตรงตัว การแปลโดยการถ่ายทอดจังหวะหนักเบาของคำ การแปลโดยรักษาความคล้องจอง การแปลบทกวีเป็นร้อยแก้ว การแปลเป็นกลอนเปล่า การแปลโดยการตีความ และผลการศึกษายังพบอีกว่ากลวิธีการแปลลำดับที่หก คือการแปลเป็นกลอนเปล่ามีความถี่ที่ใช้ในการแปลมากที่สุด (55.01%) ในขณะที่กลวิธีการแปลลำดับที่หนึ่งคือการแปลแบบถ่ายเสียงมีความถี่ที่ใช้ในการแปลน้อยที่สุด (1.95%); The purposes of this research were to investigate the translation strategies
employed in translating the verse and to find out the frequency and percentage of the translation strategies in translating the Isan verse Phadaeng Nang Ai into English. The text composed of two versions: Isan version was written by Phra Ariyanuwat (1982) and English version was translated by Tossa (1990). The five chapters of both versions were selected via a systematic random sampling method. The quantitative method involved the calculation of frequency and percentage of each strategy found in the translation analysis and calculation of Inter-rater Reliability (IRR). The qualitative method concerned the analysis of descriptive data and interpretive analysis. The texts of the two versions were analyzed in order to find what the strategies were found in this verse translation under the theoretical framework of Lefevere (1992). The results revealed that all seven translation strategies were employed by the translator, i.e. phonemic translation, literal translation, metrical translation, rhymed translation, poetry in prose, blank verse, and interpretation. The findings also showed that the sixth strategy, blank verse translation, was most frequently used (55.01%) while the first strategy, phonemic translation, was least frequently used (1.95%).
2564-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดล ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6กฤษดา, บุญโสมhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79312021-11-15T04:09:39Z2563-01-01T00:00:00Zผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดล ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
กฤษดา, บุญโสม
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียน2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดล ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนวัดบ้านเมืองโพธิ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 28 คนซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 16 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์เป็นแบบอัตนัย จำนวน 5 ข้อ ตามทฤษฎีการคิดวิเคราะห์ของมาซาร์โน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมสติด้วยสถิติการหาค่า t แบบ dependent sample t-test และ One sample t-test
ผลการวิจัย สรุปได้ว่า
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้เรื่อง การบวก การลบ การคูณ และการหารทศนิยม ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ของ Underhill ร่วมกับเทคนิคการวาดรูปบาร์โมเดลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2เพ็ญประกาย, สุขสังข์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79302021-11-15T04:09:24Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
เพ็ญประกาย, สุขสังข์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพสมรรถนะประจำสายงานครู
2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะประจำสายงานครู จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และ 3) เพื่อหา
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับสภาพสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 327 คน โดยการกำหนดขนาด
ของกลุ่มตัวอย่างตามตารางเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มี 2 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.970 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t (Independent Sample t-test) และระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษา ขนาดเล็ก โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้น ที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ตามความความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก 3 ด้าน และอยู่ในระดับปานกลาง 1 ด้าน โดยด้านการพัฒนาผู้เรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านการบริหารจัดการ
ชั้นเรียน ส่วนด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด
2. การเปรียบเทียบสภาพสมรรถนะประจำสายงานครู จำแนกตามประสบการณ์การทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา และประสบการณ์การทำงานของครู พบว่า โดยรวมและรายด้าน
ไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะประจำสายงานครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรดำเนินการ ดังนี้ 1) ด้านการจัดการเรียนรู้ ควรฝึกทักษะการใช้สื่อเทคโนโลยี เพื่อใช้วางแผนการเรียนการสอน 2) ด้านการพัฒนาผู้เรียน ควรนิเทศติดตามช่วยเหลือครูในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน 3) ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน ควรจัดทำข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน ให้เป็นปัจจุบัน และ 4) ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน ควรฝึกทักษะการวิจัยในชั้นเรียนให้กับครู; This study aimed 1) to examine the states of teachers’ competency, 2) to compare teachers’ competency according to work experience; and 3) to investigate guidelines for developing teachers’ competency in small-sized schools under Primary Educational Service Area Office 2. The study was divided into two phases. Phase 1 was to study and compare the opinions of 327 school administrators and teachers towards the states of teachers’ competency in small-sized schools. The samples size were determined by using Krejcie and Morgan’s table. A questionnaire which comprised of check list and rating scale questions was used to collect the data with the reliability level of 0.970. The statistics used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation and Independent sample t-test. For phase 2, the data of guidelines for developing teachers’ competency in small-sized schools were collected by interviewing 9 experts chosen by purposive sampling. The instrument was a semi-structure interview and the data were analyzed by using content analysis.
The results were as follows:
1. States of teachers’ competency in small-sized schools under Primary Educational Service Area Office 2 according to the opinions of school administrators and teachers were at a high level in overall aspect. When considered each aspect, it was found that three aspects were at a high level while one aspect was at a moderate level. The aspect with the highest mean was learners’ development followed by classroom management whereas conducting action research for learners’ development received the lowest mean.
2. Comparison of teachers’ competency according to work experience of school administrators and teachers was not different in overall and each aspect.
3. Guidelines for developing teachers’ competency in small-sized schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2 according to the opinions from the experts suggested that school administrators should 1) in terms of teaching and learning management, technological competency should be promoted in order to organize a lesson plan, 2) for learners’ development, supervision and follow up should be made to assist teachers in designing the lesson that help foster learners’ development, 3) in terms of classroom management, basic information should be updated; and 4) regarding the research for learners’ development, action research skill should be strengthen among teachers.
2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้ชุดกิจกรรม เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5มณีรัตน์, กลิ่นตันhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79292021-11-15T03:58:28Z2563-01-01T00:00:00Zผลการใช้ชุดกิจกรรม เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
มณีรัตน์, กลิ่นตัน
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม เรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรม
3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรม และ 4) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนกู่สวนแตงพิทยาคม อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 35 คน 1 ห้องเรียน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ จำนวน 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากระหว่าง 0.38 – 0.50 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.44 – 0.75 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ
ของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1/E2 และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ dependent sample t-test
ผลการวิจัย พบว่า
1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับ 81.57 / 82.38 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนชุดกิจกรรมเรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อชุดกิจกรรมเรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) มีความพึงพอใจอยู่ในระดับสูง
4. ความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมเรื่องระบบหมุนเวียนเลือดและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E) ของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ แตกต่างกับหลังเรียนจบทันทีที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
2563-01-01T00:00:00Zความคิดเห็นของบุคลากรสายสนับสนุนต่อการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ภัทรนันท์, เกิดในหล้าhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79282021-11-15T03:57:31Z2564-01-01T00:00:00Zความคิดเห็นของบุคลากรสายสนับสนุนต่อการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ภัทรนันท์, เกิดในหล้า
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของบุคลากรสายสนับสนุน ต่อการบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และ 2) เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารงานบุคคล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ใน 4 ด้าน คือ ด้านการสรรหาและคัดเลือก ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการดำรงรักษาบุคลากร และด้านการพัฒนาบุคคล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรสายสนับสนุนมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ เครจชี่ และมอร์แกน ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 140 คน แล้วทำการสุ่มตัวอย่าง ให้กระจายไปตามสายงานต่าง ๆ ตามสัดส่วน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม มี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.9785 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า
1. ความคิดเห็นของบุคลากรสายสนับสนุนต่อการบริหารงานบุคคลของ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้ง 4 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการสรรหาและคัดเลือก รองลงมา คือ ด้านการดำรงรักษาบุคลากร ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาบุคคล ตามลำดับ
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่พบว่ามีจำนวน มากที่สุด คือ ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรพิจารณาตามหน้าที่รับผิดชอบภาระงาน และพิจารณา ด้วยความเป็นธรรมโปร่งใส รองลงมา คือ ควรพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถตรงตามหน้าที่รับผิดชอบหลัก และควรจัดหาบุคลากรให้เพียงพอ กับปริมาณภาระงานที่รับผิดชอบ ตามลำดับ; This study aimed 1) to examine the opinions of non-academic personnel towards personnel management at Buriram Rajabhat University, Muang district, Buriram province and2) to set guidelines for personnel towards personnel management at Buriram Rajabhat University, Muang district, Buriram province regarding four aspects : Recruitment and selection, performance evaluation, personnel retention and personnel development. The samples were 140 non-academic personnel determined by using Krejcie and Morgan’s table. Then, simple random sampling by using lottery was implemented in order to proportionally distribute the sample in different departments. The instrument used to collect the data wasa questionnaire which was divided into three parts: Checklist, 5-rating scale and open-ended from with the reliability level of 0.9785The collected data were analyzed by using percentage, mean and standard deviation.
The results revealed that:
1. The opinions of non-academic personnel towards personnel management at Buriram Rajabhat University, Muang district, Buriram province in four aspects were at a high level. When considering each aspect, it was found that every aspect was at a high level. The aspect with the highest mean score was recruitment and selection followed by personnel retention. The aspect with the lowest mean was personnel development, respectively.
2. Other comments and suggestions that were found most were that performance evaluation should be made according to responsibilities and workload, and the evaluation should be fair and transparent, followed by the fact that the skills of the personnel should bedeveloped to have the knowledge and ability to meet their main responsibilities whilethe suggestion with the was that sufficient personnel should be provided to meet the responsible workload, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมาอัญมณี, พิทึกทักษ์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79272021-11-15T03:54:54Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา
อัญมณี, พิทึกทักษ์
การศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมาในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ครูของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา ปีการศึกษา 2560 ได้จากการสุ่มตัวอย่างประชากร โดยใช้การกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกนได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 337 คน แล้วทำการสุ่มอย่างง่าย โดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นต่อปัญหาการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา โดยมีเนื้อหา 5 ด้าน ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา เป้าหมายคือ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้จากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมาตรฐานสากล จังหวัดนครราชสีมา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ระดับมาก 1 ด้าน นอกนั้นอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวัดผลและประเมินผลเทียบเคียงมาตรฐานสากล รองลงมาคือด้านการพัฒนาหลักสูตร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจัดการศึกษา ปัญหาโดยใช้หลักวงจรการบริหารคุณภาพ PDCA ใช้กระบวนการ PLC (Professional Learning Community) ชุมชนแห่งการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ ช่วยในการวัดผลและประเมินผล ประเมินจากสภาพจริง โดยเน้นการวัดผลที่หลากหลาย ครอบคลุมสาระและธรรมชาติผู้เรียน ปรับปรุงการวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับความแตกต่างของผู้เรียน ประชุม ชี้แจงทำความเข้าใจให้แก่ผู้พัฒนาหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลก่อนทำการพัฒนาหลักสูตร การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากสภาพและความต้องการของสังคม ศักยภาพของโรงเรียน และหลักสูตรแกนกลางเพื่อ ห้ำมาพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล วิเคราะห์ปัญหาในการใช้หลักสูตรในปีการศึกษาที่ผ่านมา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อใช้เป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตรต่อไป พัฒนาหลักสูตรที่หลากหลายเพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เรียน โดยตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการจัดหลักสูตรโรงเรียน ประชุมชี้แจงกำหนดแนวปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในการดำเนินการวิจัยในแต่ละปีการศึกษาอย่างชัดเจน กระตุ้นให้ครูคิดนวัตกรรมการสอนเป็นของตัวเอง รู้จักประยุกต์นวัตกรรมของคนอื่นหรือวิชาอื่นมาใช้ในวิชาตนเองแล้วนำไปเผยแพร่ มีการกำกับ ติดตามการทำวิจัยให้ต่อเนื่องอยู่เสมอ มีการแลกเปลี่ยนวิจัยเพื่อให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ในการทำวิจัยมากขึ้น
2563-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนังานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ภานุวัฒน์, เหมนวลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79262021-11-15T03:54:24Z2563-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนังานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
ภานุวัฒน์, เหมนวล
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาและการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และ2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 357คน ได้มาจากการใช้เกณฑ์การประมาณกลุ่มตัวอย่างจากประชากรของบุญชม ศรีสะอาดแล้วทำการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมี2 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.974สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมติฐานโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1.ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2. การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
3. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์กับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32โดยรวมมีความสัมพันธ์กัน
ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (rXY= .885); The purposes of this research were 1) to study level of visionary leadership of school administrators and internal quality assurance in schools according to school administrators’ and teachers’ opinions under Secondary Educational Service Area Office 32; and 2) to investigate relationship between visionary leadership of school administrators and internal quality assurance. The samples consisted of 357school administrators and teachers.They were selected by using group estimation criteria of Boonchom Srisa-ard, and stratified random sampling technique. The instrument used in this study was a questionnaire which comprised 2 parts : checklist and rating scale form with reliability value of 0.974. The data were analyzed by using percentage, mean and standard deviation. The hypothesis was tested by using Pearson Correlation Coefficient.The research results revealed that:
1. The visionary leadership of school administrators under Secondary Educational Service Area Office 32 were at a very high level.
2. The internal quality assurance in school under Secondary Educational Service Area Office 32were at a very high level.
3. The relationship between visionary leadership of school administrators and internal quality assurance in school under Secondary Educational Service Area Office 32 in overall aspect was positive at the statistical significant level of .01 with avery high correlation level (rXY = .885).
2563-01-01T00:00:00Zการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32นวพร, ทิพย์มาศโกมลhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79252021-11-15T03:51:40Z2563-01-01T00:00:00Zการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
นวพร, ทิพย์มาศโกมล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1 ) ศึกษาสภาพการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 2) เปรียบเทียนสภาพการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา และ 3) หาแนวทางพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กำหนดขนาดโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกนจำนวน 338 คนแล้วทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นอย่างมีสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.875 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ F-test ระยะที่ 2 ศึกษาแนวทางการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูต่อสภาพการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. การเปรียบเทียนความคิดเห็นของผู้บริหารและครูต่อสภาพการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. แนวทางการดำเนินงานการพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของผู้บริหารสถานศึกษา คือสถานศึกษาควรปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ให้ความสำคัญต่องานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา จัดกระบวนการสอนเน้นการปฏิบัติ มีตารางบันทึกการทำงานในแต่ละวันโดยครู ผู้ปกครองเป็นผู้ประเมิน สร้างแรงจูงใจให้เห็นคุณค่าปละประโยชน์ที่ได้จากความขยัน จัดกิจกรรมส่งเสริมความรักและความสามัคคีในโรงเรียนและชุมชน มีการศึกษาดูงานโรงเรียนที่เป็นแบบอย่างในการส่งเสริมความสามัคคีปลูกจิตสำนึกและ แสดงออกถึงความมีน้ำใจต่อเพื่อน ครู ผู้ปกครองและชุมชน
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนังานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33ภูเบศ, นิราศภัยhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79242021-11-15T03:51:01Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนังานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
ภูเบศ, นิราศภัย
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา การวิจัยแบ่งออกเป็น2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เพื่อศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 70 คนและครู จำนวน 341 คน รวม 411 คน ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขึ้นตอนเครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวระยะที่ 2เพื่อศึกษาแนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 33 พบว่าโดยรวมอยู่ในระดับมากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการบริหารวิชาการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการบริหารงานบุคคล
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูที่มีต่อสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. แนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานของบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา พบว่า1) ใช้เว็บไซต์จัดทำฐานข้อมูลการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและบล็อกภูมิปัญญาท้องถิ่น2) ใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศ (SESA) จัดเก็บรวบรวมพัสดุครุภัณฑ์รายการเรียน3)จัดทำคู่มือการสแกนลายนิ้วมือสแกนใบหน้าและวัดอุณหภูมิร่างกาย ในการจัดเก็บข้อมูลการเข้าปฏิบัติราชการของครูและบุคลากรทางการศึกษาให้บุคลากรในสังกัดทราบผ่านระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (My office)และ 4)ใช้ระบบการจัดเก็บข้อมูลผู้เรียนแบบออนไลน์เป็นฐานข้อมูลกลางสำหรับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน; The purposes of this research were 1) to study the use of information technology for secondary school administrators under the Secondary Educational Service Area Office 33.
2) to compare the use of information technology for school management following the opinions of administrators and teachers classified by working experience and school size3) to study guidelines for promoting to use information technology for school management. Two phases were implemented in this study. Phase 1 was to study using information technology for school management under the Secondary Educational Service Area Office 33.The sample consisted of 70 school directors and 341 teachers totaling 411 using multi-stage random sampling. Material used was on line questionnaire. Statistics used were percentage, mean and standard deviation. The hypothesis was tested by using t-test and the analysis of variance in term of one-way ANOVA. Phase 2 was to find guidelines for promoting to use information technology for secondary school directors Five experts were selected by purposive sampling. Material used was interviewed form. The data were analyzed by using content analysis.
The results of the research were :
1. the study of the use of information technology for secondary school directors under the Secondary Educational Service Area Office 33was in overall at a high level, the academic management was ranked at the highest level and the lowest was personnel management.
2. The comparison of opinions between the school directors and teachers toward information technology classified by work experience and school size was significantly different at the statistical level of .05
3. The guidelines to promote the use of information technology of the secondary school directors were found that.1) Website was used to create a database of local wisdom, the preparation of the database, and local wisdom blog. 2) SESA system was used to collect school materials and facilities. 3) A manual for fingerprint, face and temperature scanning for collecting data about working attendance of the teachers and educational personnel was used via Electronic Correspondence System (My office). 4) students’ data were collected via online system for helping them.
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ไทยรัฐ วงษ์ทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79232021-11-15T03:52:23Z2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
ไทยรัฐ วงษ์ทอง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่งและแนวทางการปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 การวิจัยครั้งนี้เป็นการผสมผสานการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูที่ปรึกษาโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 รวมทั้งสิ้นจำนวน 288 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายมีจำนวน 3 คน เพื่อปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ส่วนการศึกษาแนวทางการการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 กลุ่มเป้าหมายมีจำนวน 5 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
1. ปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 มีดังนี้
1.1 ปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยภาพรวมและรายด้านพบว่ามีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการส่งต่อนักเรียน รองลงมาคือ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการคัดกรองนักเรียน
1.2 ปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า มีปัญหาการดำเนินงาน ไดแก่ ไม่มีการประชุมวางแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ขาดระบบการจัดการที่ดี เครื่องมือที่ใช้ไม่มีความหลากหลาย ครูขาดความรู้ความเข้าใจและไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานขาดการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขาดการนิเทศติดตามและขาดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
2. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำแนกตามสถานภาพ พบว่าสถานภาพที่แตกต่างกัน โดยภาพรวมและรายด้านมีปัญหาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไม่แตกต่างกัน
3. แนวทางการการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ได้แก่ ด้านการส่งเสริมนักเรียน ควรประชุมวางแผนดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้(Knowledge Management) ประสานความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายทั้งหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเอกชน นำผลการคัดกรองมาใช้ในการพิจารณา สร้างความตระหนักแลจิตสำนึกในองค์กร จัดกิจกรรมนิเทศ กำกับติดตามการงานดำเนินงาน ด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหา ควรประชุมวางแผนแบบมีส่วนร่วม ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูได้รับความรู้ ประสบการณ์ ระหว่างบุคคล ครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น
2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2มานพ พันธ์พานิชย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79222021-11-15T03:53:15Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
มานพ พันธ์พานิชย์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 และเพื่อหาแนวทางการบริหารงานวิชาการตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูฝ่ายวิชาการ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เป็นการศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 288 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช่ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในระยะที่ 2 เป็นการหาแนวทางการบริหารงานวิชาการตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูฝ่ายวิชาการ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษาและครูฝ่ายวิชาการ จำนวน 7 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ การส่งเสริมสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา รองลงมา คือ ด้านการนิเทศการศึกษา ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในส่วนของความคิดเห็นของครูฝ่ายวิชาการต่อสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษา รองลงมาคือด้านการประสานความร่วมมิในการพัฒนาวิชาการกับโรงเรียนอื่น ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน
2. แนวทางการบริหารงานวิชาการตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โรงเรียนควรจัดหาปัจจัยหรือเงินทุน ที่จะนำมาใช้ซื้ออุปกรณ์สื่อเพื่อให้มีความพร้อมต่อการใช้งานและเพียงพอต่อจำนวนนักเรียนนอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อมของนักเรียนที่ค่อนข้างยากจน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึง สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ทันสมัย และโรงเรียนตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลจากตัวเมืองใหญ่ จึงเป็นอุปสรรคต่อการใช้สื่อ ในส่วนของความคิดเห็นของครูฝ่ายวิชาการ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า อุปสรรคด้านการวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียนนั้นเกิดจากนักเรียนมีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้ไม่สามารถเข้ารับการศึกษาต่อในระดับชั้นต่อไปได้; The purposes of this study were 1) to examine state of academic administration in primary schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2; and 2) to investigate guidelines of academic administration in primary schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2 according to opinions of schools administrators and academic teachers. The research was divided into two phases. Phase 1 was to examine state of academic administration in primary schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2 with the samples of 288 people selected by stratified random sampling by using a questionnaire to collect the data. The collected data were analyzed by using percentage, mean, and standard deviation.For phase 2, guidelinesof academic administrationwere investigated by interviewing 7 school administrators and academic teachers selected by purposive sampling. The collected data were analyzed by using content analysis.
The results suggested that:
1. State of academic administration in primary schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2 according to the school administrators was at a high level in overall aspect. The aspect with the highest average was academic promotion and support to individuals, families, organizations, departments and other educational institutes followed by academic supervision while development of innovation and technology for education received the lowest average. In addition, according to academic teachers’ opinions, the state of academic administration in primary schools was also at a high level in overall aspect. The highest average was academic supervision, followed by academic development coordination with other schools. The aspect with the lowest mean score was assessment of learning achievement and credits transfer.
2. Guidelines of academic administration in primary schools under Buriram Primary Educational Service Area Office 2 according to opinions of schools administrators were that schools should provide budget for developing innovation and technology for educationto be adequate with the number of students. Moreover, there was a limitation in terms of poverty and the suburban location of schools which obstructed the access to the use of educational innovation and technology.For the opinions of the academic teachers, assessment of learning achievement and credits transfer were problematic as the students’ grade point average was lower than the criteria, so the credits cannot be transferred and they cannot be admitted to study in the next grade.
2563-01-01T00:00:00Zการศึกษาการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลโนนขวาง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์มาริษา ศรีษะแก้วhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79212021-11-15T03:54:02Z2564-01-01T00:00:00Zการศึกษาการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลโนนขวาง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์
มาริษา ศรีษะแก้ว
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลโนนขวาง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ ใน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการลดรายจ่าย ด้านการเพิ่มรายได้ ด้านการประหยัด ด้านการดำรงชีวิต ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านความเอื้ออาทร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ใช้ครัวเรือนเป็นหน่วยการสุ่ม โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของทาโร ยามาเน่ ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 316 ครัวเรือน แล้วทำการสุ่มกระจายไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามสัดส่วน สำหรับผู้ให้ข้อมูลใช้การเลือกแบบเจาะจง โดยการเลือกหัวหน้าครัวเรือนเป็นตัวแทนในการตอบแบบ สอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ลักษณะ คือ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบปลายเปิด ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.9549 สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชาชนตำบลโนนขวาง อำเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า
ด้านการลดรายจ่ายและด้านการเพิ่มรายได้ อยู่ในระดับปานกลาง นอกนั้นอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองลงมาคือ ด้านความเอื้ออาทร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการเพิ่มรายได้
2. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ต้องการให้ภาครัฐจัดทำแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตรในหน้าแล้ง รองลงมา คือ ต้องการให้ภาครัฐจัดหาทุนสนับสนุนในการประกอบอาชีพเสริม และความคิดเห็น ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และปลูกผัก หรือสอนทำปุ๋ยหมัก เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน มีจำนวนน้อยสุดตามลำดับ; The objective of this study was to study how people living their life according to the Philosophy of Sufficiency Economy in Non Kwang sub-district, Ban Dan district, Buriram province according to the six aspects namely reducing expenses, increasing income, Saving, living, conserving natural resources and environment and generosity. The samples were 316 households selected by using household as a unit of selection and the sample size was determined by using Yamane’s table. Then, the samples were randomly distributed among villages based on the proportion. The respondents were the heads of the household who were purposively selected. The data were collected by using a questionnaire which consisted of three parts: checklist, 5-rating scale and open-ended with the reliability level of 0.9549. The statistics used for analyzing the data were percentage, mean and standard deviation.
The results were as follows:
1. Living the life according to the Philosophy of Sufficiency Economy of the people in Non Kwang sub-district, Ban Dan district, Buriram province was at a high level in overall aspect. When considering in each aspect, it was found that the aspects of reducing expenses and increasing income were at a moderate level while the others were at a high level. The aspect with the highest mean was conserving natural resources and environment followed by generosity. However, the aspect with the lowest mean was increasing income.
2. Other comments and suggestions which received the greatest number was that the people want the Government to support them with the water resources to fulfill their need during Dry season. The second most comment was that they want the Government to provide the budget for supporting additional occupation. The comment with the lowest number was that the people want the Government to educate them about raising animals and planting vegetables or teach them to make the fertilizer because it would help them to reduce their costs of living, respectively.
2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30วรวุฒิ บุตรศรรีภูมิhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79202021-11-15T03:55:26Z2563-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30
วรวุฒิ บุตรศรรีภูมิ
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30 ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา ใช้กลุ่มตัวอย่าวงจำนวน 327 คน ได้จากการสุ่มจากประชากรด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.9538 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t- test วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ด้วยวีการเชฟเฟ่ ส่วนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30 กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 16 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
1. สภาพการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30 ตามความคิดเห็นของครู โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือด้านการคัดกรองนักเรียน การส่งต่อนักเรียน การป้องกันและช่วยเหลือนักเรียน การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และการส่งเสริมนักเรียนตามลำดับ
2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30 ตามความคิดเห็นของครูจำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการการป้องกันและช่วยเหลือนักเรียน ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านอื่นๆ แตกต่างกัน และ เมื่อจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่าโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 30 ตามความคิดเห็นของผู้สัมภาษณ์ พบว่าครูที่ปรึกษา ควรสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเป็นรายบุคคลครบทุกคน พร้อมทั้งจดบันทึกพฤติกรรมในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัวและด้านอื่นๆ สถานศึกษาควรมีการประชุมเพื่อวางแผนเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนให้มีมาตรฐาน เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน สถานศึกษาควรใช้ข้อมูลด้านการคัดกรองนักเรียนเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำแผน/โครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้ครอบคลุมนักเรียนทุกคน สถานศึกษาควรมีครูแนะแนวที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษานักเรียนโดยเฉพาะ และสถานศึกษาควรประชุมร่วมกันเพื่อวางแผน เกณฑ์การส่งต่อนักเรียนทั้งการส่งต่อภายในและการส่งต่อภายนอกให้มีมาตรฐานและแนวปฏิบัติเดียวกันทั้งสถาบัน
2563-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32ยรรยง กะซิรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79192021-11-15T03:56:27Z2564-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
ยรรยง กะซิรัมย์
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมองค์กรกับความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 346 คน ซึ่งได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ แบบสอบถามตรวจสอบรายการและแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่าซึ่งแบบสอบถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร มีค่าความเชื่อมั่น .923 และความผูกพันต่อองค์กร มีค่าความเชื่อมั่น .924การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. การศึกษาวัฒนธรรมองค์กรของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.06) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านที่ 3ด้านวัฒนธรรมแบบเครือญาติ ( = 4.07) รองลงมาคือ ด้านที่ 4 ด้านวัฒนธรรมแบบราชการ( = 4.06) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านที่ 2 ด้านวัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จ ( = 4.04)
2. ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับความผูกพันต่อองค์กรของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.27) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านที่ 2 ด้านความทุ่มเทต่อองค์กร ( = 4.38) รองลงมาคือ ด้านที่ 3 ด้านความจงรักภักดีต่อองค์กร ( = 4.26) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านที่ 1 ด้านความศรัทธาต่อองค์กร ( = 4.10)
3. จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์กรกับความผูกพันต่อองค์กร ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .753) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยด้านที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกมากที่สุดคือ ด้านที่ 4 วัฒนธรรมแบบราชการ (r =.712) รองลงมาคือ ด้านที่ 3 วัฒนธรรมแบบเครือญาติ (r = .710) ด้านที่ 2 วัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จ (r = .641) และด้านที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ทางบวกน้อยที่สุดคือ ด้านที่ 1 วัฒนธรรมแบบปรับตัว (r = .622) ตามลำดับ; The objectives of this study were 1) to examine level of organizational culture and commitment of teachers under Secondary Educational Service Area Office 32; and 2) to study the relationship between organizational culture and commitment of teachers under Secondary Educational Service Area Office 32. The samples were 346 teachers from schools under Secondary Educational Service Area Office 32 selected by using Krejcie and Morgan’s table. Then, stratified random sampling was implemented. The data were collected by using a questionnaire which was divided into checklist and rating scale. The reliability level of the organizational culture questionnaire was at .923 and .924 for organizational commitment questionnaire. The data were analyzed by using mean, standard deviation and Pearson’s correlation coefficient.
The results were as follows:
1. Level of organizational culture of teachers was at a high level ( = 4.06) in overall aspect. When considered each aspect, it was found that every aspect was at a high level in which Aspect Number 3 ‘Clan Culture’ received the highest mean score ( = 4.07) , followed by Aspect Number 4 ‘Bureaucratic Culture’ ( = 4.06), while Aspect Number 2 ‘Achievement Culture,’ received the lowest mean score ( = 4.04).
2. Opinions of teachers under Secondary Educational Service Area Office 32 towards organizational commitment were at a high level ( = 4.27) in overall aspect. When considered each aspect, it was found that every aspect was at a high level in which Aspect Number 2 ‘Organizational Engagement’ received the highest mean score ( = 4.38) followed by Aspect Number 3 ‘Organizational Loyalty’( = 4.26),while Aspect Number 1 ‘Faith in Organization,’ gained the lowest mean score ( = 4.10).
3. The result of the relationship between organizational culture and commitment of teachers under Secondary Educational Service Area Office 32 was somewhat highly positive in overall aspect with statistically significant level of .01 (r = .753). When considered each aspect, it was also found positive at statistically significant level of .01. In addition, the aspect which received the highest positive correlation coefficient level was Aspect Number 4 ‘Bureaucratic Culture’ (r =.712) followed by Aspect Number 3 ‘Clan Culture’ (r = .710) and Aspect Number 2 ‘Achievement Culture’ (r = .641), while Aspect Number 1 ‘Adaptability Culture’ received the lowest positive correlation coefficient level (r = .622), respectively.
2564-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31ปนุศรา เฉียดไธสงhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79182021-11-15T03:57:41Z2564-01-01T00:00:00Zความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31
ปนุศรา เฉียดไธสง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ระดับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จำนวน 354 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.098 – 0.877 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.953 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยภาพรวมและเป็นรายข้ออยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กันทางบวกกับประสิทธิผลในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r=.824)
2564-01-01T00:00:00Zสมรรถนะและความต้องการพัฒนาตนเองของครูดนตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์วรรณะ ศาลางามhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79172021-11-15T03:58:55Z2564-01-01T00:00:00Zสมรรถนะและความต้องการพัฒนาตนเองของครูดนตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์
วรรณะ ศาลางาม
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะของครูดนตรีในโรงเรียน
มัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์2) เพื่อศึกษาความต้องการพัฒนาตนเองของครูดนตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนรายวิชาดนตรี
ในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 66 โรงเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91
ผลการวิจัย พบว่า ครูดนตรีที่สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งแบ่ง
การประเมินออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. สมรรถนะของครูดนตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.88 แบ่งได้ 2 ด้าน ดังนี้
1.1สมรรถนะด้านดนตรี โดยรวมอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.72
โดยด้านทักษะการฟัง และการวิเคราะห์อยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 3.90 และ
ด้านการประพันธ์และการด้นสดอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 3.46
1.2สมรรถนะด้านการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 3.96
โดยด้านบริหารจัดการชั้นเรียนอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.02 และด้านการวัดประเมินผลดนตรีอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 3.87
2. ความต้องการพัฒนาตนเองของครูดนตรีในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดบุรีรัมย์ โดยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.29 แบ่งได้ 2 ด้าน ดังนี้
2.1 ความต้องการพัฒนาตนเองด้านดนตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.30 โดยด้านการประพันธ์และการด้นสดอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.36
และด้านทักษะการฟังและการวิเคราะห์อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 4.25
2.2ความต้องการพัฒนาตนเองด้านการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.28โดยด้านการวัดประเมินผลดนตรีอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.34
และด้านหลักสูตรดนตรีอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 4.22; This research aimed 1) to study competency of music teachers at secondary schools, Buriram Province; and 2) to examine need for self-development of music teachers at secondary schools, Buriram Province. The sample was 66 music teachers at secondary schools, Buriram Province selected by purposive sampling. The data were collected by using a 5-point rating scale questionnaire and the data were analyzed by percentage, mean, standard deviation, and simple correlation coefficient.
The results of this study wereas follows:
1. The competency of music teachers at secondary school, Buriram Province was at
a high level in overall aspect. The competency can be divided into 2 parts as follows :
1.1 Music competency was at a high level ( = 3.72) in which aural skills and analysis aspect was at a high level ( = 3.90), and composition and improvisation was at a moderate level ( = 3.46).
1.2Teaching competency was at a high level ( = 3.96) in which class management aspect was at a high level ( = 4.02) and assessment aspect was also at a high level ( = 3.87).
2. The need for self - development of music teachers at secondary school, Buriram Province was at a high level in overall aspect ( = 4.29) which can be divided into 2 parts :
2.1The need for self - development in terms of music was at a high level ( = 4.30) in which composition and improvisation aspect was at a high level ( = 4.36) and aural skills and analysis was also at a high level ( = 4.25).
2.2 The need for self - development in terms of teaching was at a high level ( = 4.28) in which musical assessment was at a high level ( = 4.34) and musical curriculum was also at a high level ( = 4.22).
2564-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3วรลักษณ์ สุขกลางhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79162021-11-15T03:59:56Z2564-01-01T00:00:00Zผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
วรลักษณ์ สุขกลาง
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 70/702) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะเรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 33) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3และ4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านดงบังซับสมบูรณ์ อำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560จำนวน 21คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนซึ่งมีนักเรียนคละความสามารถเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะเรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 เล่ม2) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3จำนวน 6เล่ม3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อและ4)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1/ E2และ E.I. การทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้การทดสอบ t-test แบบ Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า
1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.32/74.76 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 70/70 ที่ตั้งไว้
2) นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3) ดัชนีประสิทธิผลจาการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.5956 แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น0.5956 หรือคิดเป็นร้อยละ 59.56
4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด; The purposes of this research were1) to study the efficiency of the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students to meet the criteria set of 70/70, 2) to compare the learning achievement before and after learning through the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students, 3) to investigate the effectiveness index of learning through the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students; and 4) to explore the satisfaction of the students towards learning through the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students. The samples were 21 students Prathomsuksa 3 from Bandongbang subsomboon School, Nonsuwan district, Buriram Province, selected by using cluster random sampling technique. The research instruments were : 1) 6skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students, 2) 6 lesson plans of the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students, 3) a 30 – item learning achievement test of the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students which comprised of 4 multiple – choice ; and 4) a 5 – rating scale questionnaire concerning the students’ satisfaction towards learning through the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students. The statistics used for data analysis were percentage, mean, standard deviation, E1 / E2 and E.I. The hypothesis was tested by using the dependent samples t-test.
The results of the study were as follows:
1. The efficiency of the skill practice exercisesentitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 studentswas 76.32/74.76 which was higher than the criteria set of 70/70.
2. The learning achievement of the students after using the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students was higher than that before using with statistically significant difference at the level of .01.
3. The effectiveness index of learning by using the skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 studentswas 0.5956 which meant that the learning achievement increased 0.5956, or considered as 59.56 %.
4. The satisfaction of the students towards learning by using skill practice exercises entitled “Multiplication” by using cooperative learning TAI technique for Prathomsuksa 3 students as a whole was at the highest level.
2564-01-01T00:00:00Zสภาพการจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4สิริกร ประทุมทองhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79152021-11-15T04:11:20Z2564-01-01T00:00:00Zสภาพการจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4
สิริกร ประทุมทอง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูเกี่ยวกับสภาพจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามตำแหน่งและขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหาร จำนวน 132 คน และครู จำนวน 331 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 463 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .896 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงทำการทดสอบรายคู่ด้วยวีธีการของเชฟเฟ่ โดยกำหนดที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง
2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูเกี่ยวกับสภาพจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามสถานภาพตำแหน่ง โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูเกี่ยวกับสภาพจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05
4. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสภาพจัดการนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 พบว่าควรพัฒนาระบบบริหารและการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสอนของโร
เรียนให้สนองตอบต่อภาระงานที่ปฏิบัติ โดยบูรณาการกับปัจจัยสภาพแวดล้อมที่หลากหลายที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เป็นระบบสามารถตรวจสอบและรายงานต่อสารธารณชนได้
2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4วรัญญา บุญมีhttp://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79142021-11-15T04:12:14Z2564-01-01T00:00:00Zการพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
วรัญญา บุญมี
การวิจัยครั้งนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแผนการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) หาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ 3) เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านละลมพนู อำเภอประโคนชัย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน26 คน จาก 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แผนการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 8 แผน 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบอัตนัยหรือความเรียง จำนวน 8 ข้อ ซึ่งมีค่าระดับความยาก (D) ตั้งแต่ 0.22 ถึง 0.44 และอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.24 ถึง 0.76 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 และ 3) แบบวัดความพึงพอใจ เป็นแบบวัด 5 ระดับ จำนวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.03/80.20
ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 0.7234 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ 72.34
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีคะแนนเฉลี่ยในการเขียนเชิงสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบซิปปาอยู่ในระดับมาก ( = 4.10, S.D. = 0.26); The purposes of this study were to 1) develop creative writing ability in Thai language subject of Prathomsuksa 4 students to meet the efficiency (E1/ E2 ) criteria set 75/75 by using CIPPA learning management model lesson plans, 2) study the effectiveness index of learning writing by CIPPA model, 3) compare the pretest and posttest scores of the students, and 4) study the students’ satisfaction towards learning writing by CIPPA model. The samples of the study were 26 students who were studying in grade 4, the 1st semester of academic year 2018 of Ban Lalomphanu School, Prakhonchai district, under Primary Educational Service Area Office 2.
They were recruited purposively. They researcher employed 3 research instruments: 1) lesson plans,2) tests,and3) questionnaireand satisfaction questionnaire.There were 8 CIPPA learning management model lesson plans,written pre and posttest,The difficulty, discrimination, and reliability of the tests were 0.22-0.44, 0.24-0.76, and 0.87 consecutively. The collected data was analyzed through percentage, mean, standard deviation, and hypothesis testing.
The results of the study were as follows:
1. The efficiency of CIPPA learning management model lesson plans were 88.03/80.02 which were higher than the set criteria.
2. The effectiveness index of learning through CIPPA model was 0.7234. That is the students’ learning progress was 72.34%.
3. The students’ posttest scores were higher than the pretest scores. It was statistically significant different at .05 level.
4. The students’ satisfaction towards CIPPA learning management model was at the highest level ( = 4.10,S.D. = 0.26).
2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32รุ่งทิพย์ สะโลรัมย์http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/79132021-11-15T04:18:58Z2564-01-01T00:00:00Zสภาพและแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
รุ่งทิพย์ สะโลรัมย์
การวิจัยสภาพและแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ในครั้งนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและขนาดโรงเรียน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดงนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาและเปรียบเทียบสภาพการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต กลุ่มตัวอย่างคือ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 351 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t- test และค่าสถิติ F- test ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 ท่าน วิเคราะห์โดยการตีความหมายในรูปของการการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการวิจัยสรุปว่า
1. ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 โดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสภาพการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต จำแนกตามประสบการณ์การทำงานและจำแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. แนวทางการดำเนินงานทางการบริหารสถานศึกษาตามโครงการโรงเรียนสุจริต พบว่าสถานศึกษาควรส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการคิดแก้ปัญหาเป็น ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ จัดการเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติ (Active Learning) ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดร่วมกัน ให้เข้ากับศตวรรษที่ 21 มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เน้นการบูรณาการ มีนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการเรียนการสอน มีการติดตามประเมินผลโดยเน้นทักษะกระบวนการคิดอย่างต่อเนื่อง มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนแสดงออกถึงความเป็นจิตสาธารณะ ร่วมกับโรงเรียนและชุมชนอย่างสม่ำเสมอ มีการยกย่องเชิดชู เห็นคุณค่าของนักเรียน หรือมอบเกียรติบัตรเพื่อให้นักเรียนเกิดความภูมิใจ โดยผู้ปกครองและครูควรปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีด้านจิตสาธารณะ ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการออมและใช้เงินตามความจำเป็นผ่านกิจกรรม โครงการต่างๆ ปลูกฝังความพอเพียง พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นโรงเรียนต้นแบบด้านความพอเพียง
ครูที่ปรึกษา ควรสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเป็นรายบุคคลครบทุกคน พร้อมทั้งจดบันทึกพฤติกรรมในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านความสามารถ ด้านสุขภาพ ด้านครอบครัวและด้านอื่นๆ สถานศึกษาควรมีการประชุมเพื่อวางแผนเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนให้มีมาตรฐาน เป็นไปตามแนวทางเดียวกัน สถานศึกษาควรใช้ข้อมูลด้านการคัดกรองนักเรียนเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำแผน/โครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้ครอบคลุมนักเรียนทุกคน สถานศึกษาควรมีครูแนะแนวที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษานักเรียนโดยเฉพาะ และสถานศึกษาควรประชุมร่วมกันเพื่อวางแผน เกณฑ์การส่งต่อนักเรียนทั้งการส่งต่อภายในและการส่งต่อภายนอกให้มีมาตรฐานและแนวปฏิบัติเดียวกันทั้งสถาบัน
2564-01-01T00:00:00Z